เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านศรีนครินทร์ เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา คุณนัทเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นคุณนัดต้องอยู่ที่มหาลัยจนดึกเกือบจะทุกวัน เพราะต้องอยู่ทำกิจกรรมที่คณะ
วันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณนัทขึ้นบีทีเอสจากบริเวณมหาลัยมาลงแบริ่ง ช่วงนั้นมีฝนตกลงมาปรอยๆ รู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนมีใครเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่หันไปดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบใคร หรืออาจเป็นเพราะช่วงนั้นไม่มีผู้อืนอยู่เลย บรรยากาศเย็นๆ เหงาๆชอบกล จึงทำให้จิตนาการไปเอง
คุณนัทเดินลงไปโบกแท็กซี่ ให้ไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รถแท็กซี่ค่อยๆออกตัวไปกลางถนน เนื่องจากถนนในเวลานั้น เปียกไปด้วยน้ำฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย
ในจังหวะที่รถวิ่งตรงไปตามถนน อยู่ดีๆ มีรถจากเลนขวาพุ่งเข้ามาปาดหน้า ในระยะกระชั้นชิด จนทำให้รถแท็กซี่ที่คุณนัดนั่งอยู่ต้องเบรคกระทันหัน ล้อรถถูกับกับพื้นถนนเสียงดังลั่นจนรู้สึกแสบหู
คุณนัดใจหายแวบ แต่ยังคงตั้งสติได้ เนื่องจากไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน คนขับแท็กซี่หันควับมามองทางเบาะหลัง ที่คุณนัดนั่งอยู่ แล้วเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่สักอย่าง
คุณนัทคิดว่าคนขับคงกำลังจะหาของอะไรสักอย่าง จึงเปิดแฟลชมือถือช่วยส่องแถวๆที่วางเท้า แต่คนขับกลับพูดขึ้นว่า “น้อง แล้วผู้หญิงที่ขึ้นมากับน้องอ่ะ” คุณนัดได้ยินเช่นนั่นก็รู้สึกงง หมายถึงใครกันแน่
จึงตอบกลับไปว่า “เฮ้ยพี่ ผมขึ้นมาคนเดียว พี่ตลกแล้ว” คนขับทำหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “น้องพี่เห็นจริงๆ เห็นตั้งแต่ที่เค้าเดินตามน้องลงบันไดเลื่อนแล้ว” คุณนัดเริ่มใจเสีย พยายามพูดเพื่อยืนยันว่า “ยังไงผมขึ้นมาคนเดียวแน่นอนพี่”
คนขับเริ่มทำสีหน้าหวาดๆ แล้วพูดว่า “น้องพี่สาบาน พี่เห็นจริงๆ พี่มองกระจกหลัง ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งพิงไหล่น้องอยู่เลย” คุณนัดขนลุกซู่ พยายามคิดว่าคนขับกำลังอำเล่นหรือว่าอะไรกันแน่
สุดท้ายคนขับก็บอกกันคุณนัดว่า ไปส่งไม่ได้จริงๆ และขอให้คุณนัทลงจากรถทันที และจะไม่เก็บค่าโดยสาร คุณนัทก็ต้องจำใจ ลงจากรถแต่โดยดี แล้วไปโบกรถคันอื่นเข้าบ้านแทน
หลักจากนั้นประมานสี่วัน วันนั้นคุณนัดไม่มีเรียน และที่บ้านออกไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงได้อยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เบื่อๆเซงๆ คุณนัดเดินไปหั่นผลไม้มาทานเล่น จนเวลาล่วงเข้าช่วงดึก
คุณนัดจึงวางจานผลไม้ที่เหลือไว้ข้างหน้าต่างในห้องครัว แล้วเดินขึ้นไปทำกิจวัตรต่างๆที่ชั้นบน จนเวลาล่วงเข้าตีสอง ในขณะที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่ คุณนัทได้ยินเสียงดัง “ตึ้ง!!” มาจากชั้นล่าง
คุณนัดตกใจ ดีดตัวขึ้นลุกนั่ง ในใจคิดว่ากลัวจะเป็นโจร รีบเดินไปคว้าบีบีกัน แล้วค่อยๆย่องลงมาที่ชั้นหนึ่ง แล้วกดสวิทช์ไฟให้บ้านมันสว่างทั้งหลัง ด้านขวาจะเป็นโซนรับแขก ส่วนด้านซ้ายจะเป็นห้องครัว คุณนัดกวาดสายตามองไปจนทั่วห้องรับแขก แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
จึงย่องเข้าไปในห้องครัว จังหวะนั้นเอง คุณนัดได้ยินเสียงแหบๆของผู้หญิงพูดว่า “กูหิว กูกินได้มั้ย” คุณนัทตกใจ หันควับไปมองทางต้นเสียง ภาพที่คุณนัทเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะใบหน้าขาวซีด ตัดกับผมสีดำยาว ยืนจับเหล็กดัดหน้าต่างอยู่ข้างนอก ใช้ปากกัดแทะเหล็ดดัด เหมือนพยายามจะเข้ามาในบ้านให้ได้ ลูกกะตาสีดำจ้องมาที่คุณนัทตาไม่กระพริบ ปากกัดลงกับซี่ของเหล็กดัด เสียงดังครึกๆ
คุณนัดขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัวใจแทบหยุดเต้น ร้องตะโกนลั่นบ้าน รีบวิ่งขึ้นห้อง แล้วเหวี่ยงประตูปิดดังลั่นบ้าน พร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา ยืนหายใจหอบอยู่หลังประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพอันน่าสยดสยองที่พึ่งเห็นเมื่อครู่ ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัวจนตัวสั่นระริก
จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง “แคร่ง!!” มาจากชั้นล่าง ทำให้คุณนัทสะดุ้งจนตัวโก่ง รีบดีดตัวออกห่างจากประตู พุ่งขึ้นที่นอนแล้วคลุมโปงทันที ในหัวคิดฟุ่งซ่านว่าเสียงที่ดังนั่นมันคือเสียงอะไร มันเกิดจากอะไร ใครเป็นคนทำ หรือว่าสิ่งนั้นมันจะเข้ามาในบ้านได้แล้ว
คืนนั้นคุณนัทนอนตัวสั่นทั้งคืน จนนอนแทบไม่ได้ รุ่งเช้า คุณนัดค่อยๆเดินย่องลงมาชั้นล่าง พยายามระวังตัวสุดขีด มองไปที่หน้าต่างเหล็กดัดห้องครัว
ภาพที่เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา จนต้องเบือนหน้าหนี คุณนัดรีบขับรถไปทำบุญที่วัดที่ใกล้บ้านที่สุด ระหว่างขากลับ คุณนัดคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้ใคร
คุณนัทขับรถมาจนใกล้จะถึงหมู่บ้าน ช่วงที่รถกำลังติด คุณนัทเหลือบมองออกไปนอกรถ ก็เห็นถาดอาหารถาดหนึ่ง ซึ่งมีธูปปักอยู่ด้วย วางอยู่ข้างทางฟุตบาท ทำให้คุณนัดฉุดคิดขึ้นมาได้ นึกย้อนไปถึงเช้าของวันนั้น วันที่คนขับแท็กซี่ทักว่าเห็นผู้หญิงตามคุณนัทอยู่
คุณนัทต้องรีบเดินทางไปที่คณะ เพราะดันตื่นสาย จนวิ่งไปเตะถาดอาหารถาดนั้นจนคว่ำ แต่ด้วยความที่คุณนัทไม่ได้สนใจ รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปซะก่อน คุณนัทคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ให้ผู้หญิงคนนั้นตามมาจนถึงที่บ้าน
คุณนัทเลี้ยวรถเข้าไปซื้อกับข้าวในร้านอาหารตามสั่งทันที แล้วกลับมายังที่ตรงนั้น วางข้าวกล่องลงบนฟุทบาต ยกมือขึ้นพนม พูดในใจว่า “ผมขอขมานะ กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมไม่ได้เจตนาจริงๆ ขอร้องอย่าตามผม ขอให้จบลงที่ตรงนี้” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณนัด