เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นผมได้รับฟังมาอีกทอดหนึ่งจากเพื่อนของผมเองเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเมลนะครับ เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เพื่อนของผมมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าพี่รุ่ง พี่รุ่งนั้นมีอาการของโรคประจำตัวอยู่ก็คือความดันสูง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็มาเกิดขึ้น
ช่วงสงกรานต์เมื่อหลายปีที่ผ่านมา พี่รุ่งมีอาชีพเพาะพันธุ์ปลาสวยงามเพื่อค้าขาย และมีอยู่วันหนึ่งขณะที่พี่รุ่งกำลังวิดน้ำออกจากบ่อ เพื่อจะเปลี่ยนน้ำใหม่ลงไปนั้นอยู่ดีๆสติของแกก็ดับวูบลงไปเฉยๆ พี่รุ่งมาเล่าให้ฟังตอนที่ฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลว่า ระหว่างที่วิดน้ำปลาอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดอาการหน้ามืด มีอาการวิงเวียรศรีษะอย่างรุนแรง รู้สึกตัวแค่ว่ากำลังจะล้มลงสู่พื้นดิน แล้วภาพทุกอย่างที่มองเห็นก็ดับวูบมืดมิดลง
นี่คือคำบอกเล่าจากปากของพี่รุ่ง หลังจากที่ฟื้นและรู้สึกตัวขึ้นมาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน
หลังจากคุณหมอได้ตรวจอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้วก็ลงความเห็นว่าด้านท้ายทอยของพี่รุ่งนั้นมีเส้นเลือดบางแห่งขาด ทำให้มีเลือดไหลอยู่ภายในสมอง คล้ายกับอาการเส้นเลือดในสมองแตก เพียงแต่ว่าเคสนี้นั้นเบากว่า วิธีการรักษาก็คือต้องนำคนป่วย เข้าผ่าตัด
ซึ่งพี่รุ่งนั้นก็ถูกคุณหมอและพยาบาลนำตัวเข้าสู่ห้องไอซียูก่อนเป็นอันดับแรก อย่างที่รู้กันโดยทั่วไปว่าลักษณะภายใน ห้องไอซียูนั้นจะมีเตียงของผู้ป่วยตั้งอยู่หลายๆเตียง โดยที่มีเพียงแค่ม่านกั้นเอาไว้เท่านั้น และผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องมาใช้ห้องนี้ โดยทั่วไปมักมีอาการที่หนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
พี่รุ่งถูกนำตัวส่งเข้าห้องไอซียู โดยที่พี่รุ่งนั้นได้สติอยู่เป็นช่วงๆ ตอนที่นำตัวเข้าสู่ห้องไอซียูนั้นเป็นช่วงบ่ายๆเย็นๆ ต้องรอผ่าตัดตอนรุ่งเช้า เนื่องจากพี่รุ่งนั้นมีอาการหนักพอสมควร ทำให้การรับรู้ของแกมีไม่ครบนัก ช่วงที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องไอซียูตอนนั้น
พี่รุ่งไม่ได้สติ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็มีหมอและพยาบาลเข้ามาดูอาการของพี่แกอยู่ หลังจากนั้นพี่รุ่งห็นอนหลับๆตื่นๆ
แต่ก็พยายามสังเกตุ สิ่งรอบตัวทั้งหมด และแล้วพี่รุ่งก็สังเกตุได้ว่าด้านขวามือของเตียงพี่รุ่งนั้นมีเตียงผู้ป่วยอีก 1 คน มองลักษณะผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง เป็นคุณยายแก่ๆท่านหนึ่งซึ่งกำลังมีเครื่องช่วยหายใจระโยงระยาง ดูแล้วอาการน่าจะหนักอยู่พอสมควร สักพักนึงพี่รุ่งก็หมดสติไป
จนกระทั่งกลางดึกรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เป็นตอนที่มีนางพยาบาลกำลังเดินตรวจผู้ป่วยท่านอื่นๆอยู่ ระหว่างที่นางพยาบาลกำลังจะเดินผ่าน เตียงของพี่รุ่งไปนั้น พี่รุ่งก็สังเกตุได้ว่าคุณยายที่นอนอยู่เตียงข้างๆนั้นกำลังเอามือของแกเองปลดเครื่องช่วยหายใจออก และค่อยๆลุก ขึ้นจากเตียงคนไข้ คุณยายที่พี่รุ่งเห็นก่อนหน้านี้นั้นดูแล้วมีอาการเพียบหนักนอนหลับตาไม่ไหวติงอยู่นานสองนาน
แต่ ณ เวลานี้คุณยายคนนั้น กำลังค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียง และก้าวขาลงจากเตียงเดินตามหลังพยาบาลที่พึ่งจะผ่านเตียงของพี่รุ่งไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งเวลานั้นพี่รุ่งก็รู้แล้วว่าตัวเองกำลังประสบอยู่กับเหตุการณ์แบบไหน หลังจากนั้นสติของแกก็ค่อยๆหมดไป
จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีพี่รุ่งกำลังถูกเข็นไปโดยบุรุษพยาบาลมุ่งหน้าสู่ห้องผ่าตัด แต่ว่าระหว่างนั้นพี่รุ่งสามารถสื่อสารบอกกับ พยาบาลได้ว่าต้องการขอใช้โทรศัพท์สักครู่ ซึ่งพี่รุ่งก็ได้ทำการติดต่อไปหาพระอาจารย์ที่นับถืออยู่เพื่อขอพรให้ตัวเองนั้นปลอดภัย
จากการผ่าตัดครั้งนี้เนื่องจากว่าพี่รุ่งรู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดีนัก
หลังจากนั้นจึงได้ทำการซักถามกับพยาบาลว่าคุณยายข้างเตียงที่นอนอยู่ ด้วยกันเมื่อคืนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง พยาบาลก็ตอบกับพี่รุ่งว่าคุณยายนั้นอาการหนัก เสียชีวิตลงแล้วเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา แต่ว่าพี่รุ่ง ไม่ต้องกลัว อาการไม่หนักเหมือนคุณยาย และพี่รุ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าเมื่อคืนนี้พี่รุ่งได้พบได้เจออะไร
หลังจากนั้นการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองของพี่รุ่งก็ผ่านไป ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งพี่รุ่งนั้นได้รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง อยู่ในห้องพักฟื้นเพียงลำพัง โดยครั้งนี้มีเพื่อนๆและภรรยาผลัดเวียนกันมาเฝ้า เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นดูแล้วเหมือนกับว่า ทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดี เพียงแต่ว่าช่วยที่พี่รุ่งนอนพักฟื้นอยู่ในห้องส่วนตัวนั้น
กลางดึกของคืนแรกที่พี่รุ่งออกจากห้องผ่าตัด ระหว่างที่พี่รุ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงก็ต้องรู้สึกตัวตื่นเนื่องจากว่ามีแรงกระชากที่แขนข้างขวา ตอนแรกนึกว่าเป็นพยาบลมาดูอาการ เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกจับแขนนั้น วัตถุที่มาทาบกับผิวมันเย็นเกินไป พอพี่รุ่งลืมตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่ด้านขวามือของแกก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดคนไข้เหมือนกัน เอามือข้างขวาของเธอจับแขนข้างขวาของพี่รุ่งไว้ พยายามดึงลงจากเตียง
ตอนนั้นพี่รุ่งรู้สึกตกใจมาก แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ความรู้สึกที่ขาข้างซ้ายก็ถูกจับเช่นเดียวกัน พอเหลือบตาไปมอง สิ่งที่อยู่ปลายเตียงก็คือ หญิงชราคนหนึ่งกำลังจับขาของแกอยู่และก็เขย่า คราวนี้พี่รุ่งเริ่มสังเกตุได้แล้วว่าในห้องตอนนี้ไม่ได้มีแค่แก อยู่เพียงลำพัง
ยังมีผู้หญิงที่อยู่ด้านขวามือของเตียง และหญิงชราที่อยู่ปลายเตียง แต่ว่าพอสังเกตุดูดีๆแล้ว รอบเตียงของพี่รุ่ง มีคนยืนล้อมรอบอยู่มากมายเต็มไปหมด มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่ ทุกคนนั้นหน้าตาเฉยเมย ทุกคนสวมใส่อยู่ในชุดผู้ป่วย ตอนนั้นพี่รุ่งตกใจกลัวสุดขีด
ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นกำลังค่อยๆเคลื่อนเข้าหาเตียงของพี่รุ่ง และก็เริ่มจะมีเสียงดังขึ้นมาว่า “ไปอยู่ด้วยกันมั้ย ไปอยู่ด้วยกันมั้ย” เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงของทุกคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาพี่รุ่ง เป็นเสียงประสานที่ทำให้พี่รุ่งนั้นถึงกับสติดับวูบลง มารู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว
ตื่นมาได้พบหน้าภรรยาและเพื่อนๆ ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง แล้วก็ขอโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปหาพระอาจารย์ ที่นับถือ พระท่านก็บอกกับพี่รุ่งว่าอย่าไปกลัว บางครั้งเมื่อคนเรากำลังจะเข้าสู่ที่ดับก็อาจจะสามารถสื่อสารกับอะไรบางอย่างเหล่านี้ได้
เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้
ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : พี่ตี่ตี๋