เป็นเรื่องเล่าของป้าแมว ที่นำมาถ่ายทอดให้คุณคิงฟัง ซึ่งมีคนเล่าให้ป้าแมวฟังอีกที ความเชื่อของชาวเรือมีหลายรูปแบบ ในกรณีของการไหว้เรือ หรือไหว้หัวเรือ คุณคิงเล่าว่า ครั้งนึงเคยมีเพื่อนไปเป็นลูกเรือหาปลา
ในการออกไปหาปลาแต่ละครั้ง เพื่อนๆบนเรือ มักจะคอยเตือนอยู่เสมอๆว่า “ห้ามมองขึ้นไปบนเสากระโดงเรือตอนกลางคืนนะ เฉพาะกลางคืน แต่กลางวันจะนอนมองยังไงก็ได้ แต่กลางคืนอย่ามอง ไม่งั้น คงไม่กล้าออกเรือหาปลาอีกแน่”
และได้เตือนอีกอย่างหนึ่งว่า ตอนกลางคืน ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆในห้องเครื่อง ห้ามไปดูเด็ดขาด เพราะตามความเชื่อ มันคือการตรวจอะไรต่างๆของแม่ย่านาง หรืออาจจะเป็นคนเก่าคนแก่ ที่เป็นเจ้าของเรือ กำลังเดินอยู่ภายในของเครื่อง หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ วิญญาณของคนที่ถูกเครื่องจักรของเรือ ดูดเข้าไปปั่นจนเสียชีวิต กำลังเดินวนเวียนอยู่ในที่ที่ตนเองเสียชีวิต
ครั้งนึง เรือที่เพื่อนของคุณคิงนั่งไปหาปลา เกิดติดพายุฝนรุนแรง ท้องฟ้าสีดำมืดปั่นป่วนจนมองไม่เห็นแสงจากพระอาทิตย์ คลื่นลูกยักษ์โหมซัดเข้าหาเรือครั้งแล้วครั้งเล่า จนเรือจะพลิกคว่ำเข้าไปทุกทีๆ
เพื่อนวิ่งหาธูป เพื่อที่จะเอามาจุดไหว้ขอให้สิ่งศักสิทธิ์ต่างๆคุ้มครอง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เพราะส่วนมาก คนทางแถบนั้นไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเอาบุหรี่มาจุดสิบหกมวน แล้วปักไว้ที่หัวเรือ พร้อมกับหาถุงพลาสติกใสมาครอบไว้ แล้วนั่งไหว้ขอให้รอด
พอมองไปที่หัวเรือ ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาดำๆ ลักษณะเหมือนผู้หญิง ยืนอยู่บนหัวเรือ ไม่กี่อึดใจต่อมา พายุที่โหมกระหน่ำก็ค่อยๆซาลง ลูกเรือทุกคนต่างออกมานั่งคุกเข่า หันหน้าไปทางหัวเรือ แล้วก้มลงกราบ
กลับมาถึงเรื่องเล่าของคนที่เคยถ่ายถอดให้ป้าแมวฟัง ตัวเค้าเองเป็นคนที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรือมาก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม คุณลุงของเค้าเป็นไต๋ก๋งเรือ จึงได้บอกกับคุณลุงว่า ช่วงนี้ว่าง อยากลงไปในเรือด้วย อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง คุณลุงก็อนุญาต
ก่อนจะลงเรือ คุณลุงก็สอนวิธีการต่างๆที่ควรรู้ให้ จนมีอยู่คืนหนึ่ง เค้าได้ยืนมองออกไปในน้ำทะเลตอนกลางคืน ไปเห็นเข้ากับอะไรสักอย่าง สีออกเขียวๆฟ้าๆ กำลังลอยเข้ามาหาเรืออย่างช้าๆ เค้ายืนมองอย่างพินิจ รู้สึกว่ามันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ก็เลยไปเรียกคุณลุงให้มาดู คุณลุงเดินมาถึงก็ยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็หันหลัง เดินเข้าไปในห้องบังคับเรือ เพื่อหันหัวเรือหนีเจ้าสิ่งนั้น พร้อมกับเดินเครื่องเต็มกำลัง เค้าเริ่มรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมคุณลุงถึงต้องพยายามหนีเจ้าก้อนนั้น
จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร สักพักคุณลุงก็จอดเรือ แล้วบ่นออกมาเบาๆว่า “อืมมม สงสัยจะหนีไม่พ้นจริงๆว่ะ” ทำให้เค้าเกิดความสงสัยมาก จึงถามคุณลุงว่าทำไมถึงพูดอย่างนี้ แล้วมันแปลกประหลาดอะไรนักหนากับไอ่ก้อนนั่น ที่มันลอยเข้ามาหาเรือ
คุณลุงก็บอกให้ลองไปดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันลอยทวนน้ำเข้ามาหาเรือ เร่งเครื่องหนีมาได้สักระยะแล้ว แต่มันกลับตามเรือมาติดๆ ก็เลยถามคุณลุงว่าอะไร คุณลุงบอกว่า “นี่ดูไม่ออกจริงๆเหรอ นั่นมันศพ”
ก็เลยให้ลูกน้องลงไปโยงเชือกผูกกับศพเอาไว้ แต่จะไม่ดึงขึ้นเรือมาเด็ดขาด ใช้วิธีการลากตามหลังเรือเอา ลูกน้องที่ลงไปผูกเชื่อ ขึ้นมาบอกว่า “โห่ไต๋ ผมนี่บานเป็นแพเลย ศพอืดแล้วอึดอีก จนไม่กล้ามองเลย” ลูกน้องของคุณลุงคนนี้เป็นคนที่ใจบุญ ขี้สงสาร จึงรับอาสาลงไปทำให้
ในขนะที่กำลังลากศพไปได้สักระยะ พายุเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนฝนเทลงมาเหมือนกับฟ้ารั่ว ชนิดที่ว่าเดินเรือไปไหนแทบไม่ได้ ไต๋จึงพยายามมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุด เพราะการอยู่ในดงพายุแบบนี้นานๆ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก
จึงค่อยๆขยับเรือไปทีละนิด หาเกาะอะไรก็ได้สักเกาะ แล้วนำเรือเข้าจอด เพื่อไม่ให้เรืออับปางอยู่กลางทะเล จนไปเห็นเกาะแห่งหนึ่งอยู่ไกลลิบตา ทำให้ทุกคนบนเรือดีใจกันยกใหญ่ ที่จะได้ลงเกาะ
พอยิ่งขับใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงสุมไฟกันประมาณเจ็ดแปดคนอยู่ในเกาะ ทำให้ลูกเรือร้องดีใจที่จะได้เพื่อนนั่งดื่มนั่งกันในคืนนี้ แต่อยู่ๆ ไต๋ก็รีบหยุดเรือ แล้วหันมาบอกกับทุกคนว่า “ไม่ต้องลงแล้วล่ะ”
ทุกคนอยู่ในอาการงุงงง จึงถามไต๋ว่า “อ่าว ทำไมไม่ลงอ่ะ” ไต๋บอกว่า “พายุก็แรง จะลงไปยังไงล่ะ ผีทั้งนั้น ไม่ใช่คนนะน่ะ” ลูกเรือแย้งขึ้นมาว่า “ไต๋รู้ได้ไง ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงฝั่งเลย”
ไต๋พูดเน้นเสียงว่า “ดูดีๆดิ ประสบการณ์เรือนี่น้อยมากเลย คนอะไรวะ มันจะมานั่งก่อกองไฟกลางพายุอย่างเงี้ย แล้วไฟมันก็ไม่มอดเลยซักนิด” ต่างคนต่างงง คิดว่ามันจะใช่ผีจริงหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นผี ทำไมมันถึงมองเห็นชัดขนาดนั้น
แต่ไต๋ก็ยังยืนยันว่าพวกมันเป็นผี จึงค่อยๆเดินเรือเลาะตามเกาะแห่งนี้ไปเรื่อยๆ แต่ไต๋จะไม่จอดหยุดเรืออยู่กับที่เด็ดขาด จนพายุเริ่มสงบ ตัวคนที่เล่าเอง เพิ่งลงเรือมาเป็นครั้งแรก ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้
จึงลงไปหลบอยู่ข้างในจนเผลอหลับ มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาช่วงกลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ ช่วงนั้นพายุต่างๆได้สงบลงแล้ว จึงเดินขึ้นมาข้างบน คิดในใจว่า ทุกคนคงกำลังนั่งดื่มกันอยู่ เพราะปกติ ลูกเรือมักจะนอนเวลาไม่ตรงกัน
หูก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง เหมือนคนกำลังนั่งล้อมวงทานข้าวกันอยู่ในห้องครัว เค้าก็เลยเดินแวะเข้าไปดู พอเข้าไปถึงห้องครัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปมอง สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงที่ขึ้นอืดอยู่ท้ายเรือกับคนอีกประมาณเจ็ดแปดคน นั่งล้อมวงคดข้าวกันอย่างเมามัน
แล้วก็ค่อยๆแหงะหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเขียวๆขึ้นสีม่วงจับจ้องมาทางเค้าแบบตาไม่กระพริบ ส่วนคนอื่นๆ เห็นเป็นลักษณะของคนตัวสีนำตาลเข้มทั้งตัว กำลังนั่งใช้มือจกข้าวใส่ปาก จนเค้าสลบหงายท้องทันที
ตื่นมาอีกที ก็ตอนที่ทุกคนช่วยปฐมพยาบาลให้ เค้าจึงเล่าให้ทุกคนฟัง คุณลุงก็งงว่าทำไมวิญญาณเหล่านี้ถึงเข้ามาในเรือได้ พอถามกับลูกเรือก็ได้ความว่า ลูกเรือคนที่ใจบุญ ที่ลงไปมัดศพ เอาธูปมาปักหนึ่งดอกในสำรับอาหารที่เตรียมไว้ให้ แล้วบอกกับศพของผู้หญิงคนนั้นว่า ถ้าหิวก็ขึ้นมากินได้
แต่ธูปดอกนั้นมันไม่ได้เชิญแค่ดวงเดียว มันกลับไปเชิญเอาวิญญาณแถวนั้นให้ยกโขยงเข้ามาด้วย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณคิง