===Not Click=== ===Not Click===

The Shock เรื่อง พระพี่เลี้ยง - คุณอาร์ต



เหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อประมาณสิบสองปีที่ผ่านมา ช่วงนั้นคุณอาร์ตลาออกจากงาน เพื่อที่จะเข้าบวช คุณอาร์ตอยู่วัดได้สองพรรษา ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำ เพราะกิจวัตรประจําวันก็จะทำแต่เรื่องเดิมๆ

จึงชวนเพื่อนพระสองรูปออกเดินทางไปที่วัดถ้ำแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีสวัสดิ์ เพื่อที่จะศึกษาเรื่องปฎิโมก หลังจากไปถึงที่วัด ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับท่านเจ้าอาวาส ช่วงนั้นที่วัดกำลังมีการก่อสร้างโบสถ์ เป็นโบสถ์ไม่ทั้งหลัง

คุณอาร์ตและเพื่อนๆจึงขอเข้าไปพักกันที่โบสถ์ ตกเวลากลางคืนก็ได้ช่วยกันตั้งกลดพระแบบสามฤดู จนเวลาประมาณตีหนึ่ง ในขณะที่คุณอาร์ตนอนอยู่ในกลด ปรากฏว่าเห็นดวงไฟเขียวๆ ใหญ่ประมาณเท่าหัวคน ลอยเข้ามาในหน้าต่างของโบสถ์

มาหยุดอยู่ข้างๆกลด จนคุณอาร์ตสามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นลักษณะหัวคน ใบหน้าซูบผอม แก้มตอบ จนมองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ผมกระเซิง แต่ที่แปลกๆก็คือมีดวงแก้วกลมๆ ที่เปล่งแสงสีเขียวออกมา อยู่ติดกับใต้หัว เป็นสีนวลๆไม่กระพริบ

สิ่งนั้นพยายามมองเข้ามาในกลด เหมือนสงสัยสงสัยใคร่รู้ คุณอาร์ตตกใจลุกขึ้นมานั่งมอง สิ่งนั่นพยายามลอยไปมารอบๆกลด เหมือนพยายามหาทางเข้า คุณอาร์ตพยายามคุมสติแล้วพูดในใจว่า “ไม่รู้ว่าเป็นภูตหรือผี แต่จะช่วยแผ่เมตตาให้นะ” คุณอาร์ตจึงนั่งแผ่เมตตา สิ่งนั้นก็ค่อยๆลอยหายออกไปทางหน้าต่างของโบสถ์ คุณอาร์ตจึงล้มตัวลงนอน

วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อท่านก็ให้คุณอาร์ตและเพื่อนๆเดินขึ้นเขา เพื่อที่จะไปนั่งท่องหนังสือกันในป่า ต้องเดินเท้าประมาณสามสิบสองกิโลเมตร ผ่านป่าดิบ คุณอาร์ตและเพื่อนๆ เดินได้สักพัก ก็เห็นมีพระรูปนึงเดินอยู่ข้างหน้า คุณอาร์ตจึงคิดว่าเป็นพระพี่เลี้ยงที่คอยเดินนำทาง

ลักษณะทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน ช่วงนั้นฝนตกปรอยๆมาตลอดทาง แต่พระพี่เลี้ยงกลับเดินเร็วมาก จนคุณอาร์ตและเพื่อนๆเดินตามไม่ทัน หลังจากเดินมาได้สักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงที่พักระหว่างทาง ที่พักแห่งนี้จะอยู่ครึ่งทางพอดี

ทุกคนพยายามมองหาพระพี่เลี้ยง แต่ก็ไม่เจอ จึงได้นั่งพักกันจนถึงช่วงบ่าย ก็ได้ออกเดินทางกันต่อ ทุกคนเดินกันไปได้สักพักนึง ก็เห็นพระพี่เลี้ยงเดินอยู่ข้างหน้าไกลๆ ทุกคนพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อจะตามให้ทัน

แต่ไม่ว่าจะเดินเร็วแค่ไหน ก็เหมือนว่าพระพี่เลี้ยงจะเดินไกลออกไปเรื่อยๆจนลับตา ฝนยังเทลงมาแบบไม่ขาดสาย พอถึงช่วงเวลาพลบค่ำก็เริ่มมองทางได้ลำบาก ประกอบกับเป็นป่าดิบ ที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันแน่นป่า แย่งกันบดบังแสงอาทิตย์

คุณอาร์ตและเพื่อนๆเดินกันไปเรื่อยๆจนเห็นแสงเทียนอยู่ไกลๆ รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาเยอะ จึงรีบเดินตรงเข้าไป ก็เห็นเป็นแนวรั้วไม้ ที่ทำจากท่อนซุง เพื่อป้องกันสัตว์ป่าบุกรุก ด้านในจะมีศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ตั้งอยู่ตรงกลาง

ภายในศาลามีพระอาจารย์และพระนั่งทําสมาธิอยู่ประมาณสี่ถึงห้ารูป แต่ไม่พบกับพระพี่เลี้ยง คุณอาร์ตและเพื่อนๆจึงได้เข้าไปนั่งในศาลา ตกกลางคืนพระทุกรูปจะไปตั้งกลดนอนกันอยู่รอบๆศาลา คุณอาร์ตและเพื่อนเลือกทำเลข้างๆศาลา ใกล้ๆกับทางเข้าที่พัก

จากนั้นก็ช่วยกันตั้งกลดแล้วแยกกันพักผ่อน คุณอาร์ตรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เวลาประมาณตีสามกว่าๆ เห็นคนยืนนิ่งอยู่เต็มหน้ามีศาลาการเปรียญเกือบๆร้อยคน คุณอาร์ตคิดว่าอาจจะเป็นญาติโยมที่ขึ้นมาทำบุญ จึงปลุกเพื่อนพระอีกสองรูปเพื่อเตรียมตัวทำวัดเช้า

แต่พอหันกลับมามองที่หน้าศาลา ปรากฏว่าไม่มีใครยืนอยู่เลย แม้แต่คนเดียว คุณอาร์ตเริ่มเอะใจ แต่พยายามคิดในแง่ดีว่าทุกคนอาจแยกย้ายกันทำกิจวัตรต่างๆอยู่ คุณอาร์ตและเพื่อนจึงได้ไปล้างหน้า เตรียมตัวสวดมนต์

ประมาณหกโมงก็ทำวัดเช้าเสร็จ แต่คุณอาร์ตก็ยังไม่เห็นใครเลย จึงได้เก็บความสงสัยเอาไว้ ระยะเวลาที่คุณอาร์ตพักอยู่ที่นี่ มักจะพบเจอกันเรื่องแปลกๆ เช่นบางคืนที่คุณอาร์ตกำลังนอนอยู่ในกลด จะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้อยู่แถวๆปากทางเข้าที่พัก

เพื่อนพระก็เคยมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงดึกของคืนหนึ่ง รู้สึกปวดท้องเบา จึงลุกออกจากกลดไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าเห็นคนใส่ชุดขาวเกือบๆร้อยคน ยืนอยู่หน้าศาลาการเปรียญ แล้วหันมามองเพื่อนพระเป็นตาเดียว

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า คุณอาร์ตท่องหนังสืออยู่ในกลด ก็เห็นพระพี่เลี้ยงเดินจงกรมออกนอกเขตกันสัตว์ จนเวลาประมาณตีสาม ท่านก็จะเดินกลับเข้ามา เป็นแบบนี้อยู่ทุกคืน

แต่ที่น่าแปลกคือช่วงกลางวันจะไม่เห็นท่านเลย จนมีอยู่คืนนึง ด้วยความสงสัย คุณอาร์ตจึงเดินตามพระพี่เลี้ยง จนออกนอกเขตกันสัตว์ ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามของที่นี่ เพราะพระอาจารย์ท่านจะกำชับอยู่ทุกวันว่าเวลากลางดึก ห้ามเดินออกนอกเขตป้องกันสัตว์

คุณอาร์ตเดินตามหลังพระพี่เลี้ยงมาไกลพอสมควร ในป่าตอนกลางคืนจะแตกต่างจากตอนกลางวันแบบคนละเรื่อง ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นเรียงรายกันแน่นขนัด แผ่ขยายกิ่งก้านปกคลุมท้องฟ้าจนมิด มองไม่เห็นแม้แต่ดวงจันทร์ สมกับที่เรียกว่าป่าดิบ

คุณอาร์ตเดินอยู่ในความมืด มีเพียงแค่ไฟฉายเล็กๆส่องนำทาง เสียงสัตว์กลางคืนร้องระงม ดังลั่นป่า เหมือนพยายามจะขับไล่ผู้บุกลุกให้รีบออกไป เสียงของอะไรบางอย่างดังพรึบๆอยู่บนยอดของต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะ ทำให้รู้สึกผวาเป็นพักๆ ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจมาอย่างแน่วแน่แล้วแต่ก็ตาม

การที่มีความมืดอยู่รอบๆตัวเป็นเวลานาน ทำให้ความเครียดและความอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเรื่อยๆ คุณอาร์ตพยายามส่องไฟไปข้างหน้า เพื่อต้องการให้พระพี่เลี้ยงเห็น จะได้ชลอฝีเท้าลง แล้วเดินร่วมทางไปด้วยกัน แต่ก็ไม่เป็นผล พระพี่เลี้ยงเดินจ้ำไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคุณอาร์ต ที่ตามมาข้างหลัง จนหายลับตาไป

คุณอาร์ตเริ่มรู้สึกขึ้นมาเป็นเนืองๆ เหมือนว่าตนเองอยู่ในป่าใหญ่ทั้งป่าแค่คนเดียว ความกลัว ความเครียด เริ่มประทุขึ้นในใจเรื่อยๆ จึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นจนเริ่มเหนื่อยหอบ สักพักก็เดินไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง คุณอาร์ตคิดว่าพระพี่เลี้ยงจะต้องอยู่ในถ้ำแห่งนี้แน่

เป็นถ้ำที่มืดมิด ทั้งๆที่พยายามส่องไฟฉายเข้าไป แต่กลับมองไม่เห็นภายในของถ้ำ ความรู้สึกบางอย่าง เตือนไม่ให้คุณอาร์ตตามเข้าไป ได้แต่ยืนพะอืดพะอมอยู่ที่ปากถ้ำ การที่จะเดินผ่านป่ากลับไปที่พักคนเดียวยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิศไหมยิ่งกว่า

คุณอาร์ตเริ่มสงสัยแล้วว่า พระพี่เลี้ยงท่านนี้อาจจะไม่ใช่คน แต่ก็ยังไม่มั่นใจ จึงคิดว่าจะลองหลบอยู่แถวๆปากถ้ำ รอจนกว่าท่านจะเดินออกมา แล้วค่อยเดินตามหลังกลับที่พัก

คุณอาร์ตยืนรอสักพักใหญ่ๆ รอบๆกายมีแต่ความมืด และเสียงสวบสาบของอะไรบางอย่างอยู่ไกลๆ คุณอาร์ตได้แต่คิดปลอบใจว่ามันอาจจะเป็นสัตว์กลางคืนที่กำลังออกหากิน

แต่บางครั้งในใจก็คิดแย้งขึ้นมาว่า ถ้าเกิดมันไม่ใช่สัตว์หละ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกตั้งไปทั้งตัว ไม่กี่นาทีต่อมา พระพี่เลี้ยงท่านก็เดินออกมาจากถ้ำ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง คุณอาร์ตปล่อยให้ท่านเดินทิ้งระยะห่างออกไปก่อน แล้วจึงเดินตามอย่างระมัดระวัง

พยายามเดินเว้นระยะไว้ ไม่ให้ใกล้และไกลจนเกินไป พยายามสังเกตอากัปกิริยาของท่านจากด้านหลัง และเดาไปต่างๆนาๆว่าท่านเป็นคนหรือผีกันแน่ เสียงสวบสาบยังคงดังไล่หลังมาเรื่อยๆ คุณอาร์ตหันกลับไปส่องไฟฉายดูหลายครั้งหลายครา ก็เจอแต่ความมืดและเงาดําทะมึนของต้นไม้ใหญ่

ความกลัวและความหวาดระแวงยังคงถาโถมเข้ามาหาคุณอาร์ตอยู่เรื่อยๆ กลัวสิ่งที่กำลังตามมาจากด้านหลัง ระแวงว่าพระที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นคนหรืออะไรกันแน่ ได้แต่ทำใจให้สงบนิ่ง ปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างมันยังคงเป็นปกติ

จนคุณอาร์ตมองเห็นแสงเทียนที่ตั้งอยู่บนแนวรั้วไม้ไกลๆ ความรู้สึกปิติยินดีเหมือนได้รับชัยชนะก็ผุดขึ้นมากลบความกลัวที่มีอยู่เหลือล้นในใจ คุณอาร์ตเดินเข้ามาในที่พัก พยายามมองหาพระพี่เลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของท่าน

วันรุ่งขึ้น คุณอาร์ตทนความสงสัยไม่ไหว จึงได้เดินไปที่ถ้ำในเวลากลางวัน ภายในถ้ำมืดมาก มีกลิ่นสาบหลายๆอย่างลอยคละคลุ้งไปทั่ว คุณอาร์ตเดินลึกเข้าไปเกือบสิบเมตร ปรากฏว่าเจอโครงกระดูกหุ้มด้วยจีวรเก่าๆ นอนอยู่ข้างๆปล่องทางเดินของถ้ำ

คุณอาร์ตรู้ขึ้นมาทันทีว่าสิ่งที่พบเจออยู่เกือบทุกวันนั้นคืออะไร ความกลัวเริ่มลุกลามเกาะกุมอยู่ทั่วร่างกาย อยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีออกจากถ้ำให้เร็วที่สุด แต่ก็เหมือนว่าขาทั้งสองข้างจะไม่ให้ความร่วมมือ คุณอาร์ตยืนนิ่งจนไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่นาที

พยายามคิดปลอบใจตัวเองว่า ถึงผีจะมีจริง แต่ไม่สามารถทำอะไรเราได้ พยายามรวบรวมสติ ก้าวขาออกจากถ้ำ ระยะทางแค่ไม่ถึงสิบเมตร แต่มีความรู้สึกราวกับว่ามันอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร เสียงเดินที่สะท้อนไปมาในถ้ำ ฟังเหมือนกับว่ามีใครบางคนเดินตามอยู่ด้านหลัง

คุณอาร์ตคิดในใจเพียงแค่ว่า เวลานี้ไม่มีใครสามารถช่วยตนเองได้นอกจากสติ จนคุณอาร์ตเดินกลับขึ้นไปบนที่พัก ก็ได้เล่าเรื่องที่ไปพบมาให้พระอาจารย์ฟัง ท่านและพระทั้งหมดจึงเดินเข้าไปดูในถ้ำ แล้วช่วยกันเก็บโครงกระดูกของพระรูปนั้นมาทำพิธีให้

พระอาจารย์คาดว่า อาจจะเป็นพระธุดงค์ที่เสียชีวิตเพราะไข้ป่า และด้วยความสงสัยของคุณอาร์ต ในเรื่องแปลกต่างๆที่พบเจอในที่พักแห่งนี้ จึงได้ถามพระอาจารย์ถึงประวัติของที่นี่

พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า ที่พักแห่งนี้ เมื่อก่อนเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ได้ถูกไข้ป่าเล่นงานจนตายกันเกือบหมดหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เหลือจึงช่วยกันฝังศพของคนที่ตายไว้ที่นี่ แล้วสร้างเป็นที่พักไว้ให้พระมาปฏิบัติธรรม จากนั้นก็ได้พากันย้ายไปอยู่ที่อื่นกัน

คุณอาร์ตอยู่บวชต่ออีกสองพรรษา แล้วก็สึกออกไปทำงานต่อ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณอาร์ต