The Shock : สยองขวัญ วันล่องเรือ - คุณคิง





เป็นเรื่องเล่าของป้าแมว ที่นำมาถ่ายทอดให้คุณคิงฟัง ซึ่งมีคนเล่าให้ป้าแมวฟังอีกที ความเชื่อของชาวเรือมีหลายรูปแบบ ในกรณีของการไหว้เรือ หรือไหว้หัวเรือ คุณคิงเล่าว่า ครั้งนึงเคยมีเพื่อนไปเป็นลูกเรือหาปลา

ในการออกไปหาปลาแต่ละครั้ง เพื่อนๆบนเรือ มักจะคอยเตือนอยู่เสมอๆว่า “ห้ามมองขึ้นไปบนเสากระโดงเรือตอนกลางคืนนะ เฉพาะกลางคืน แต่กลางวันจะนอนมองยังไงก็ได้ แต่กลางคืนอย่ามอง ไม่งั้น คงไม่กล้าออกเรือหาปลาอีกแน่”

และได้เตือนอีกอย่างหนึ่งว่า ตอนกลางคืน ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆในห้องเครื่อง ห้ามไปดูเด็ดขาด เพราะตามความเชื่อ มันคือการตรวจอะไรต่างๆของแม่ย่านาง หรืออาจจะเป็นคนเก่าคนแก่ ที่เป็นเจ้าของเรือ กำลังเดินอยู่ภายในของเครื่อง หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ วิญญาณของคนที่ถูกเครื่องจักรของเรือ ดูดเข้าไปปั่นจนเสียชีวิต กำลังเดินวนเวียนอยู่ในที่ที่ตนเองเสียชีวิต

ครั้งนึง เรือที่เพื่อนของคุณคิงนั่งไปหาปลา เกิดติดพายุฝนรุนแรง ท้องฟ้าสีดำมืดปั่นป่วนจนมองไม่เห็นแสงจากพระอาทิตย์ คลื่นลูกยักษ์โหมซัดเข้าหาเรือครั้งแล้วครั้งเล่า จนเรือจะพลิกคว่ำเข้าไปทุกทีๆ

เพื่อนวิ่งหาธูป เพื่อที่จะเอามาจุดไหว้ขอให้สิ่งศักสิทธิ์ต่างๆคุ้มครอง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เพราะส่วนมาก คนทางแถบนั้นไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเอาบุหรี่มาจุดสิบหกมวน แล้วปักไว้ที่หัวเรือ พร้อมกับหาถุงพลาสติกใสมาครอบไว้ แล้วนั่งไหว้ขอให้รอด

พอมองไปที่หัวเรือ ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาดำๆ ลักษณะเหมือนผู้หญิง ยืนอยู่บนหัวเรือ ไม่กี่อึดใจต่อมา พายุที่โหมกระหน่ำก็ค่อยๆซาลง ลูกเรือทุกคนต่างออกมานั่งคุกเข่า หันหน้าไปทางหัวเรือ แล้วก้มลงกราบ

กลับมาถึงเรื่องเล่าของคนที่เคยถ่ายถอดให้ป้าแมวฟัง ตัวเค้าเองเป็นคนที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรือมาก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม คุณลุงของเค้าเป็นไต๋ก๋งเรือ จึงได้บอกกับคุณลุงว่า ช่วงนี้ว่าง อยากลงไปในเรือด้วย อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง คุณลุงก็อนุญาต

ก่อนจะลงเรือ คุณลุงก็สอนวิธีการต่างๆที่ควรรู้ให้ จนมีอยู่คืนหนึ่ง เค้าได้ยืนมองออกไปในน้ำทะเลตอนกลางคืน ไปเห็นเข้ากับอะไรสักอย่าง สีออกเขียวๆฟ้าๆ กำลังลอยเข้ามาหาเรืออย่างช้าๆ เค้ายืนมองอย่างพินิจ รู้สึกว่ามันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ก็เลยไปเรียกคุณลุงให้มาดู คุณลุงเดินมาถึงก็ยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็หันหลัง เดินเข้าไปในห้องบังคับเรือ เพื่อหันหัวเรือหนีเจ้าสิ่งนั้น พร้อมกับเดินเครื่องเต็มกำลัง เค้าเริ่มรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมคุณลุงถึงต้องพยายามหนีเจ้าก้อนนั้น

จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร สักพักคุณลุงก็จอดเรือ แล้วบ่นออกมาเบาๆว่า “อืมมม สงสัยจะหนีไม่พ้นจริงๆว่ะ” ทำให้เค้าเกิดความสงสัยมาก จึงถามคุณลุงว่าทำไมถึงพูดอย่างนี้ แล้วมันแปลกประหลาดอะไรนักหนากับไอ่ก้อนนั่น ที่มันลอยเข้ามาหาเรือ

คุณลุงก็บอกให้ลองไปดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันลอยทวนน้ำเข้ามาหาเรือ เร่งเครื่องหนีมาได้สักระยะแล้ว แต่มันกลับตามเรือมาติดๆ ก็เลยถามคุณลุงว่าอะไร คุณลุงบอกว่า “นี่ดูไม่ออกจริงๆเหรอ นั่นมันศพ”

ก็เลยให้ลูกน้องลงไปโยงเชือกผูกกับศพเอาไว้ แต่จะไม่ดึงขึ้นเรือมาเด็ดขาด ใช้วิธีการลากตามหลังเรือเอา ลูกน้องที่ลงไปผูกเชื่อ ขึ้นมาบอกว่า “โห่ไต๋ ผมนี่บานเป็นแพเลย ศพอืดแล้วอึดอีก จนไม่กล้ามองเลย” ลูกน้องของคุณลุงคนนี้เป็นคนที่ใจบุญ ขี้สงสาร จึงรับอาสาลงไปทำให้

ในขนะที่กำลังลากศพไปได้สักระยะ พายุเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนฝนเทลงมาเหมือนกับฟ้ารั่ว ชนิดที่ว่าเดินเรือไปไหนแทบไม่ได้ ไต๋จึงพยายามมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุด เพราะการอยู่ในดงพายุแบบนี้นานๆ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก

จึงค่อยๆขยับเรือไปทีละนิด หาเกาะอะไรก็ได้สักเกาะ แล้วนำเรือเข้าจอด เพื่อไม่ให้เรืออับปางอยู่กลางทะเล จนไปเห็นเกาะแห่งหนึ่งอยู่ไกลลิบตา ทำให้ทุกคนบนเรือดีใจกันยกใหญ่ ที่จะได้ลงเกาะ

พอยิ่งขับใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงสุมไฟกันประมาณเจ็ดแปดคนอยู่ในเกาะ ทำให้ลูกเรือร้องดีใจที่จะได้เพื่อนนั่งดื่มนั่งกันในคืนนี้ แต่อยู่ๆ ไต๋ก็รีบหยุดเรือ แล้วหันมาบอกกับทุกคนว่า “ไม่ต้องลงแล้วล่ะ”

ทุกคนอยู่ในอาการงุงงง จึงถามไต๋ว่า “อ่าว ทำไมไม่ลงอ่ะ” ไต๋บอกว่า “พายุก็แรง จะลงไปยังไงล่ะ ผีทั้งนั้น ไม่ใช่คนนะน่ะ” ลูกเรือแย้งขึ้นมาว่า “ไต๋รู้ได้ไง ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงฝั่งเลย”

ไต๋พูดเน้นเสียงว่า “ดูดีๆดิ ประสบการณ์เรือนี่น้อยมากเลย คนอะไรวะ มันจะมานั่งก่อกองไฟกลางพายุอย่างเงี้ย แล้วไฟมันก็ไม่มอดเลยซักนิด” ต่างคนต่างงง คิดว่ามันจะใช่ผีจริงหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นผี ทำไมมันถึงมองเห็นชัดขนาดนั้น

แต่ไต๋ก็ยังยืนยันว่าพวกมันเป็นผี จึงค่อยๆเดินเรือเลาะตามเกาะแห่งนี้ไปเรื่อยๆ แต่ไต๋จะไม่จอดหยุดเรืออยู่กับที่เด็ดขาด จนพายุเริ่มสงบ ตัวคนที่เล่าเอง เพิ่งลงเรือมาเป็นครั้งแรก ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้

จึงลงไปหลบอยู่ข้างในจนเผลอหลับ มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาช่วงกลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ ช่วงนั้นพายุต่างๆได้สงบลงแล้ว จึงเดินขึ้นมาข้างบน คิดในใจว่า ทุกคนคงกำลังนั่งดื่มกันอยู่ เพราะปกติ ลูกเรือมักจะนอนเวลาไม่ตรงกัน

หูก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง เหมือนคนกำลังนั่งล้อมวงทานข้าวกันอยู่ในห้องครัว เค้าก็เลยเดินแวะเข้าไปดู พอเข้าไปถึงห้องครัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปมอง สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงที่ขึ้นอืดอยู่ท้ายเรือกับคนอีกประมาณเจ็ดแปดคน นั่งล้อมวงคดข้าวกันอย่างเมามัน

แล้วก็ค่อยๆแหงะหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเขียวๆขึ้นสีม่วงจับจ้องมาทางเค้าแบบตาไม่กระพริบ ส่วนคนอื่นๆ เห็นเป็นลักษณะของคนตัวสีนำตาลเข้มทั้งตัว กำลังนั่งใช้มือจกข้าวใส่ปาก จนเค้าสลบหงายท้องทันที

ตื่นมาอีกที ก็ตอนที่ทุกคนช่วยปฐมพยาบาลให้ เค้าจึงเล่าให้ทุกคนฟัง คุณลุงก็งงว่าทำไมวิญญาณเหล่านี้ถึงเข้ามาในเรือได้ พอถามกับลูกเรือก็ได้ความว่า ลูกเรือคนที่ใจบุญ ที่ลงไปมัดศพ เอาธูปมาปักหนึ่งดอกในสำรับอาหารที่เตรียมไว้ให้ แล้วบอกกับศพของผู้หญิงคนนั้นว่า ถ้าหิวก็ขึ้นมากินได้

แต่ธูปดอกนั้นมันไม่ได้เชิญแค่ดวงเดียว มันกลับไปเชิญเอาวิญญาณแถวนั้นให้ยกโขยงเข้ามาด้วย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ คุณคิง

The Shock : ทางสามแพร่ง สยองขวัญ - คุณกีกี้ง





เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังนึง แถวย่าน ม.หอการค้า เมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา เป็นบ้านตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า สมัยก่อนบ้านหลังนี้แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหน้าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกีกี้งจะอาศัยอยู่ แล้วคุณปู่คุณย่าก็จะอาศัยอยู่ฝั่งหลัง

ซึ่งถนนหน้าบ้านจะเป็นลักษณะของทางสามแพรง มักจะเกิดอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ที่หนักๆก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้เสียชีวิตที่ทางสามแพรง ปัจจุบันนี้คุณปู่คุณย่าเสียชีวิตแล้ว จึงทุบบ้านรวมกันแล้วสร้างเป็นหลังเดียว

คุณกีกี้งอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งช่วงประมาณเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณแม่ได้สร้างบ้านใหม่ และได้ทำพิธีลงเสาเอก แต่ตัวคุณกีกี้งเองไม่ได้อยู่ด้วยในขณะที่ทำพิธี จึงไม่รู้ว่าตรงไหนที่เค้าเรียกว่าเสาเอก พอสร้างบ้านเสร็จแล้วเข้าอยู่ กลางคืนก็จะมีเสียงคนมาเคาะกระจกบ้าง มาเคาะประตูบ้าง และเสียงคนเดินอยู่หน้าห้อง ซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ทุกคืน

จนมีอยู่คืนนึง น้องของคุณกีกี้งมานอนด้วย น้องได้ยินเสียงคนเคาะประตู ก๊อกๆๆ แล้วน้องก็พูดกับคุณกีกี้งว่า ยายเรียกหรือเปล่า ไปเปิดประตูสิ แต่คุณกีกี้งเองรู้แล้ว ว่ามันเป็นเสียงแบบนี้ทุกคืนอยู่แล้ว คุณกีกี้งเลยบอกกับน้องว่า ออกไปดูสิ น้องจึงเปิดประตูออกไปดู แต่ก็ไม่พบใคร น้องก็เลยไปเคาะเรียกคุณยายที่ห้อง แล้วถามว่า ยายเรียกเหรอ มีอะไรหรือเปล่า คุณยายก็ตอบกลับมาว่า ไม่ได้เรียก นอนแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่น้องคุณกีกี้งเป็นคนไม่ค่อยกลัว

แล้วมีอยู่คืนนึง คุณกีกี้งนอนคนเดียว แล้วคืนนั้นคุณกีกี้งคุยโทรศัพท์กับแฟน ประมาณตีหนึ่ง แล้วได้มีปากเสียงกัน พูดจาไม่เพราะ และวางสายแล้วนอน คุณกีกี้งรู้สึกว่าคืนนี้อากาศร้อนมาก อยากจะเปิดแอร์นอน จึงลุกขึ้นจะไปเปิดแอร์ แต่กลับคิดในใจว่า ไม่เอาดีกว่า ขี้เกียด ช่างมันเถอะ แล้วก็นอนต่อ

แต่สักพักคุณกี้รู้สึกเย็น เย็นเหมือนเปิดแอร์ จึงลืมตาขึ้นจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่ม จังหวะที่ลืมตาขึ้นมา เห็นคนนั่งอยู่ด้านบนหัวของคุณกีกี้ง ไม่เห็นเท้าหรือลำตัวใดๆ เห็นแต่ผมยาวปิดตัวทั้งตัว ยาวจนมาถึงที่นอน คุณกีกี้งคิดในใจว่า ใครว๊ะ แล้วสังเกตุดูดีๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าคงไม่ใช่คนแล้ว และก็เริ่มมีเสียงคนหัวเราะ สิ่งแรกที่คุณกีกี้งนึกขึ้นได้คือ นะโมตัสสะ แล้วก็เริ่มท่อง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ เค้าท่องตามแล้วหัวเราะไปด้วย คุณกีกี้งคิดในใจว่าไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว และคิดว่าถ้าเกิดเดินไปเปิดประตูเนี่ย แล้วประตูมันเปิดไม่ออกหละ แล้วจะทำยังไงดี แต่เสียงหัวเราะก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง คุณกีกี้งทนไม่ไหว จึงรีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนอนในห้องพระ แล้วนอนอยู่ในห้องพระอยู่แบบนั้นจนเช้า

คุณแม่ตื่นมาเห็นเข้าก็ถามว่ามานอนทำไมในนี้ คุณกีกี้งจึงเล่าเหตุการณ์ของเมื่อคืนให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ได้แต่บอกว่าคิดมากไปหรือป่าว ได้ไปทำอะไรไม่ดีมาหรือป่าว คุณกีกี้งบอกว่าสงสัยจะพูดไม่เพราะมั้ง คุณแม่จึงบอกว่า ห้องที่คุณกีกี้งนอน ทางด้านหัวนอนจะมีเสาอยู่ เสานั้นคือเสาเอกของบ้าน

หลังจากนั้น คุณป้าที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามของบ้าน เค้าเป็นเหมือนคนทรง พอรู้เรื่องราวจึงมาบอกว่า บ้านหลังนี้เจ้าที่แรงมาก ตั้งแต่สมัยตอนสร้างบ้านแล้ว แถมยังอยู่ทางสามแพรงด้วย แล้วเดิมที สมัยคุณปู่คุณย่าอาศัยอยู่ เวลามีงานศพจะจัดงานศพกันที่บ้านมาตั้งแต่สมัยก่อน

แล้วช่วงกลางวัน ห้องนอนของคุณกีกี้งจะไม่สามารถปิดประตูได้ ประตูจะต้องเปิดออกเองตลอดเวลา เหมือนเป็นทางเดินเข้าเดินออกของเค้า ทุกวันนี้คุณกีกี้งก็ยังเจออยู่บ้าง เช่นกลับมาบ้าน ประตูบ้านมันจะเปิดออกมาเอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณกีกี้ง

เรื่องเล่าเขย่าวัญ เรื่อง สามล้อผีสิง - FC HON





เมื่อ พ.ศ.2521 ข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรน้อยที่วัดป่าศาลาวิเวก อ.เมือง จ.มุกดาหาร เป็นวัดป่าที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ถนนหนทางเปล่าเปลี่ยว ไฟฟ้าไม่สว่าง ห่างไกลจากผู้คนและรถรา ผู้คนส่วนมากไม่ค่อยกล้าเข้าไปที่วัดนั้น ช่วงกลางคืนยิ่งไม่มีเลย

ข้าพเจ้าและเพื่อนสามเณรอาศัยอยู่วัดป่าราว 5-6 รูป ทุกๆ เย็นจะต้องเดินไปเรียนที่วัดศรีบุญเรือง ต.ในเมือง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. เป็นประจำ

พอเลิกเรียนพวกเราก็เดินกลับวัด ถ้าเลิกไม่พร้อมกันแต่ข้าพเจ้าเลิกก่อนก็จะเดินกลับลำพัง รู้สึกเฉยๆ มากกว่ากลัวเพราะเดินจนชินแล้ว…เส้นทางระหว่างสองวัดนั้น มีสามล้อปั่นรับจ้างสำหรับผู้ต้องการความสะดวกอีกด้วย

อยู่มาวันหนึ่งได้ทราบข่าวว่ามีรถบรรทุกสิบล้อชนคนปั่นสามล้อตายคาที่!

ชาวบ้านเชื่อว่าคนที่ตายโหงต้องนำศพไปฝังที่วัดจนครบ 5 ปีจึงจะขุดขึ้นมาเผา ดังนั้นศพคนถีบสามล้อถึงถูกนำไปฝังใกล้ๆ กุฏิที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่

ขณะนั้นกุฏิในวัดป่าจะสร้างห่างกันมาก และข้อบังคับของทางวัดก็คือห้ามอยู่ด้วยกัน คือกุฏิหนึ่งหลังจะต้องอยู่คนเดียว!

คืนหนึ่งหลังจากเลิกเรียน ข้าพเจ้าติดธุระกับเพื่อนสามเณรในวัดศรีบุญเรือง พูดคุยธุระกับเพื่อนเกือบ 4 ทุ่มก็เดินทางกลับไปยังวัดป่า ช่วงนั้นถือว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว

ก่อนถึงวัดป่าราว 1 กิโลเมตร ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดสลัว สองข้างทางมีแต่หมู่ไม้ดำทะมึน ได้ยินเสียงนกร้อง ลมพัดยอดไม้หวีดหวิวชวนให้วังเวงใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร เพราะเคยเดินไปมาคนเดียวบ่อยครั้ง…

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหมือนคนปั่นสามล้อตามมาข้างหลัง…เมื่อมาถึงใกล้ๆ ตัวก็มองเห็นสารถีมีผ้าโพกหัวสีแดง สะพายย่ามใบโต ด้านหลังมีมีดเล่มใหญ่ เขาเอ่ยปากทักขึ้นว่า…เณรจะเข้าไปวัดป่าใช่ไหม? ข้าพเจ้าตอบว่า…ใช่แล้วโยม

แต่แล้วใจหนึ่งก็นึกวูบไปถึงคนถีบสามล้อที่ถูกรถสิบล้อชนตาย แม้เดี๋ยวนี้ศพก็ยังฝังอยู่ในวัด!

คนปั่นสามล้อเลยชวนข้าพเจ้าขึ้นรถ แต่ก็ปฏิเสธไป บอกว่าจะเดินกลับเองเพราะใกล้จะถึงวัดแล้ว แต่เขาคะยั้นคะยอจนข้าพเจ้าใจอ่อน ตัดสินใจขึ้นสามล้อจนได้

ตอนที่นั่งอยู่นั้นก็นึกสงสัยว่า เวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้ว สามล้อคนนี้จะเข้าไปในวัดทำไม? แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่คิดอยู่ในใจ

ตลอดทางเราไม่ได้พูดจาอะไรกันเลย จนใกล้จะถึงจุดหมาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามล้อค่อยๆ ช้าลง…ช่วงนั้นมีต้นไม้ปกคลุม แสงสว่างจากไฟฟ้าก็ไม่มี มีแต่แสงสลัวจากดวงจันทร์ในความเงียบเชียบเท่านั้น

เมื่อถึงหน้ากุฏิ คนถีบสามล้อถามว่า…ถึงกุฏิหรือยัง? ข้าพเจ้าตอบว่าถึงแล้ว! จอดๆ เขาก็ทำตามโดยดี ข้าพเจ้าถามว่า…เอาเท่าไรโยม? เขาบอกว่า…ไม่เอาหรอกสามเณร

ขณะที่ลงจากรถ แล้วมองไปที่ใบหน้าของสารถียามดึก ก็เห็นใบหน้าเขาดำปี๋เหมือนไม่ใช่คน เล่นเอาใจระทึก แต่ก็ตอบเขาไปว่า…ขอบใจมากนะ คุณโยม ก่อนจะเดินขึ้นกุฏิ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เหลียวมองไปยังคนปั่นสามล้อที่หันหลังกลับ

คุณพระช่วย! เขาปั่นสามล้อไปที่หลุมฝังศพ…แล้วเลือนหายไป!

ข้าพเจ้าสะบัดหน้างุนงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า? หรือจะเป็นเพียงภาพลวงตาก็ได้ เพราะขณะนั้นดึกมากแล้ว กับมีเสียงแสงจันทร์ส่องสลัวเท่านั้นเอง

เหตุการณ์แปลกประหลาดในคืนนั้นข้าพเจ้าเก็บเงียบ ไม่ได้เล่าให้เพื่อนๆ หรือผู้อื่นฟังแม้แต่คนเดียว

รุ่งขึ้นเป็นวันพระ คืนนั้นเราก็ไปเรียนที่วัดศรีบุญเรืองตามเคย ขากลับก็กลับคนเดียวเหมือนคืนก่อน ปรากฏว่าได้พบกับสามล้อคนเก่า และเหตุการณ์ก็เหมือนกับคืนแรกทุกประการ!

ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่าโดนผีสามล้อหลอกหลอนเข้าจริงๆ ถึงสองคืนติดๆ กัน

ในที่สุด จึงนำเรื่องขนหัวลุกไปเล่าให้เพื่อนๆ และเจ้าอาวาสฟัง ท่านอาจารย์จึงแนะนำให้ข้าพเจ้ากรวดน้ำแผ่เมตตาให้กับวิญญาณของสามล้อผู้นั้น ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านแต่โดยดี

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบกับสามล้อผีสิงคันนั้นอีกเลย หวังว่าวิญญาณของเขาคงจะไปสู่สุคติแล้ว!


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : FC HON

The Shock เรื่อง ผีถ้วยแก้ว สยองขวัญ - คุณโน๊ต





เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวย่านท่าพระ เมื่อประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ด้วยความว่าง คุณโน๊ตและเพื่อนๆก็มาคุยกันว่า วันศุกร์ ตอนเลิกเรียน หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว มาเล่นผีถ้วยแก้วกันดีกว่า

คุณโน๊ตอาสาทำกระดานผีถ้วยแก้วเอง จึงได้ไปถามวิธีการมาจากคนเฒ่าคนแก่ จากนั้นก็เริ่มทำ โดยใช้กล่องกระดาษตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ใช้พู่กันจีนแต้มเลือดไก่สดๆ เขียนข้อความบนกระดาน

พอถึงวันศุกร์ หลังจากที่ทำความสะอาดหลังเลิกเรียนเสร็จแล้ว คุณโน็ตและเพื่อนๆอีกสี่คนก็ได้นั่งกันที่หลังห้อง ดึงเอาอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา มีกระดานผีถ้วยแก้ว ถ้วยแก้วเล็กๆหนึ่งใบ กระจกส่องหน้าประมาณห้านิ้ว กระถางธูปและธูปหนึ่งดอก

มีเพื่อนคนนึงขอยืนดูอยู่เฉยๆ จึงมีคนเล่นทั้งหมดสี่คน หลังจากมานั่งล้อมวงกันหมดแล้ว เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า “จะเรียกเค้ายังไงดี” คุณโน็ตบอกว่า “ท่องนะโมพุทธายะย้อนหลังสามรอบ และอัญเชิญวิญญาณ”

พอทุกคนท่องจบ รู้สึกว่ากระดานมันขยับเล็กน้อย ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก คุณโน๊ตพูดว่า “ถ้าท่านมาแล้วให้ไปที่คำว่าใช่ หรือไปที่รูปบ้านก็ได้” แต่แก้วก็ยังไม่ขยับไปไหน

แต่อยู่ๆ ไม้กวาดหลังห้องที่อยู่ในช่องเก็บ เด้งตกลงพื้นเอง ทุกคนตกใจหันไปมองเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมันมาก แล้วหันไปสนใจผีถ้วยแก้วกันต่อ แต่ว่าเรียกเท่าไหร่ แก้วก็ยังไม่ยอมขยับ

แต่คุณโน๊ตสังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆก้มหน้าลงทีละนิด เหมือนพยายามสังเกตอะไรสักอย่างในกระจก ที่ตั้งอยู่ข้างๆกระดาน แล้วอยู่ๆเพื่อนผู้หญิงก็ลุกพรวด คว้ากระเป๋า เดินออกจากห้องทันที

เพื่อนที่เหลือต่างนั่งมองหน้ากัน คุณโน๊ตคิดในใจว่าเพื่อนต้องเห็นอะไรแน่ๆ ทุกคนต่างระแวงกันไปต่างๆนาๆ จนดูท่าไม่ดี จึงย้ายกันไปนั่งเล่นที่หน้าห้อง เพราะจุดนั้นจะสว่างกว่าหลังห้อง

จากนั้นก็เริ่มท่องใหม่กันตั้งแต่แรก แต่คราวนี้แก้วขยับเคลื่อนที่ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีใครคนนึงแกล้งขยับมันหรือเปล่า ลักษณะแก้วจะวนเร็วมาก จนไปหยุดอยู่ที่อักษร “ร”

คุณโน๊ตจึงถามว่า “ถ้ามาแล้วจริงๆ เพื่อนผมมันใส่กางเกงในสีอะไร” แต่รู้สึกเหมือนแก้วมันพยายามจะพลิก ทุกคนจึงช่วยกันกด ต่างก็ตั้งคำถามใส่กันว่าใครแกล้ง จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง กลิ้งเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง “ตุ๊บ!!ตึกๆๆๆๆ”

ทุกคนตกใจมาก รีบหันไปมองทางต้นเสียง สิ่งนั้นกลิ้งไปชนกับประตูหลังห้อง แล้วกลิ้งกลับมาหยุดอยู่ตรงช่วงกลางๆของหลังห้อง ลักษณะเป็นลูกกลมๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า “ใครโยนลูกมะพร้าวเข้ามาวะ นี่มันชั้นสามนะ”

ทุกคนยังคงจับตามองไปที่ลูกกลมๆนั่น แต่เหมือนว่ามันค่อยๆขยับหมุนอยู่กับที่ เหมือนมีคนไปจับมันหมุนเบาๆ คุณโน๊ตพยายามเพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตปรุงแต่งหรือเปล่า แต่เห็นเหมือนเป็นจมูกคน

คุณโน๊ตเริ่มใจสั่น ขอให้ตนเองมองผิด แล้วพยายามสั่งเกตให้ดีๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดขึ้นมาว่า “หัวคนนี่หว่า” ทุกคนรีบวิ่งกระเจิงออกห้องทันที แล้วต่างคนต่างวิ่งหนีกลับบ้าน

เช้าวันต่อมา ทุกคนโดนครูเรียกเข้าไปทำโทษ สาเหตุที่ครูทราบเพราะว่าพวกคุณโน๊ตไม่ได้เก็บอุปกรณ์ต่างๆกลับมาด้วย หลังจากพักทานอาหารเที่ยง คุณโน๊ตก็ไปถามเพื่อนผู้หญิงที่กลับบ้านไปก่อน

แต่เพื่อนก็ไม่ยอมพูดอะไร คุณโน๊ตจึงบอกว่า “แกบอกมาเหอะ เพราะเมื่อวานพวกเราก็เจอมาเหมือนกัน” เพื่อนผู้หญิงก็บอกว่า “ถ้าเราเล่าให้ฟัง เราจะเจออะไรมั้ย” ทุกคนมองหน้ากันแล้วตอบว่า “เราเล่าให้แกฟังแล้ว แกก็ต้องเล่าให้เราฟังบ้างดิ”

เพื่อนก็เล่าว่า ตอนที่กำลังท่องอัญเชิญกันอยู่ ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ เสียงคล้ายๆตุ๊กแกร้อง “แอ๊ะๆๆๆๆ” แต่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิง และได้เหลือบไปมองในกระจก เห็นมือหนึ่ง ลักษณะขาวซีดคล้ำๆ ห้อยลงมาแตะที่กลางถ้วยแก้ว

จึงได้ก้มลงมองต่ำๆผ่านกระจก ปรากฏว่าเห็นเป็นศพผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดม่อฮ่อมสีครีมเปื้อนโคลน ขาทั้งคู่ชี้ตั้งไปบนเพดาน นิ้วมือแตะลงบนถ้วยแก้ว คล้ายๆท่าหกสูง ศพนั้นค่อยๆหันตัวมาทางเพื่อนผู้หญิง ใบหน้าสีขาวคล้ำ ตาเหลือกมองไปที่กระดาน จมูกแห้งๆ เห็นแค่สันจมูกเหมือนหัวกระโหลก ริมฝีปากสีดำ อ้าปากกว้างเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง

คุณโน๊ตได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกจุกที่ท้อง จนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ คิดว่าแบบนี้มันไม่ปกติแน่ ความกลัวและหวาดระแวงทำให้คุณโน๊ตอยู่นิ่งไม่ได้ หลังจากเลิกเรียน จึงได้ชวนเพื่อนทุกคนไปปรึกษาพระที่วัด

ในขณะที่กำลังเดินออกจากโรงเรียน ภารโรงเดินมาพูดว่า “เป็นไงหละพวกเอ็ง ใครเค้าให้เล่นกันช่วงโพล้เพล้” คุณโน๊ตจึงถามกลับไปว่า “ทำไมอ่ะ” ภารโรงบอกว่า “พิธีกรรมที่ทำเฉพาะตอนเย็นก็คือการสวดศพ แล้วรู้หรือเปล่า ช่วงที่วิญญาณเค้ากำลังเดินทางอยู่ พวกเอ็งเรียกใคร ถ้าใครผ่านอยู่แถวนั้น เค้าก็มาหาพวกเอ็งกันหมด คำโบราณที่เค้าพูดกันว่าตะวันทับฟ้า คือเป็นช่วงเปิดกับปิด แล้วเอ็งรู้มั้ย ทุกวันนี้เค้าตามพวกเอ็งอยู่ เพราะพวกเอ็งไม่ได้เชิญเค้าออก แล้วเค้าจะไปไหนได้”

คุณโน๊ตใจหายแวบ รู้สึกขนลุกตั้งทั้งตัว ภารโรงพูดต่อว่า “รู้มั้ย ตอนเที่ยงที่พวกเอ็งนั่งกินข้าวกันอยู่ ข้าเห็นเค้านั่งแย่งข้าวพวกเอ็งกินอยู่บนโต๊ะ รีบไปหาหลวงตาซะ ให้ท่านช่วยก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”

คุณโน๊ตและเพื่อนๆจึงเดินน้ำตาไหลไปหาหลวงตาที่วัด พอไปเจอหลวงตาที่วัด ท่านก็พูดว่า “เอ็งอย่าพึ่งเข้ามา รอข้างนอกก่อน” คุณโน๊ตกับเพื่อนๆก็งง จึงถามหลวงตาว่า “รออะไรครับหลวงตา”

ท่านบอกว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงพวกเอ็ง ข้าหมายถึงผู้หญิงที่เดินตามพวกเอ็งมา” คุณโน็ตรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หันไปมองข้างหลัง แต่ก็เจอแค่ความว่างเปล่า หลวงตาท่านก็ถามว่า “ไปทำอะไรกันมา”

คุณโน๊ตจึงเล่าเหตุการณ์ให้หลวงาฟัง ท่านบอกว่า “ตอนนี้ไม่ทัน เดี๋ยวข้าจะผูกสายสินญ์ข้อมือให้ แล้วพวกเอ็งก็กลับไปนอนกันก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมาใหม่ จะทำบังสุกุลให้”

หลังจากที่คุณโน๊ตและเพื่อนๆเข้าพิธีบังสุกุลแล้ว ก็กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ส่วนผีผู้หญิง หลวงตาท่านก็ได้สวดส่งวิญญาณให้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณโน๊ต

The Shock เรื่อง คืนก่อนผ่าตัด - พี่ตี่ตี๋





เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นผมได้รับฟังมาอีกทอดหนึ่งจากเพื่อนของผมเองเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเมลนะครับ เรื่องราวก็มีอยู่ว่า  เพื่อนของผมมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าพี่รุ่ง พี่รุ่งนั้นมีอาการของโรคประจำตัวอยู่ก็คือความดันสูง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็มาเกิดขึ้น

ช่วงสงกรานต์เมื่อหลายปีที่ผ่านมา พี่รุ่งมีอาชีพเพาะพันธุ์ปลาสวยงามเพื่อค้าขาย และมีอยู่วันหนึ่งขณะที่พี่รุ่งกำลังวิดน้ำออกจากบ่อ เพื่อจะเปลี่ยนน้ำใหม่ลงไปนั้นอยู่ดีๆสติของแกก็ดับวูบลงไปเฉยๆ พี่รุ่งมาเล่าให้ฟังตอนที่ฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลว่า ระหว่างที่วิดน้ำปลาอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดอาการหน้ามืด มีอาการวิงเวียรศรีษะอย่างรุนแรง รู้สึกตัวแค่ว่ากำลังจะล้มลงสู่พื้นดิน แล้วภาพทุกอย่างที่มองเห็นก็ดับวูบมืดมิดลง

นี่คือคำบอกเล่าจากปากของพี่รุ่ง หลังจากที่ฟื้นและรู้สึกตัวขึ้นมาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน

หลังจากคุณหมอได้ตรวจอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้วก็ลงความเห็นว่าด้านท้ายทอยของพี่รุ่งนั้นมีเส้นเลือดบางแห่งขาด ทำให้มีเลือดไหลอยู่ภายในสมอง คล้ายกับอาการเส้นเลือดในสมองแตก เพียงแต่ว่าเคสนี้นั้นเบากว่า วิธีการรักษาก็คือต้องนำคนป่วย เข้าผ่าตัด

ซึ่งพี่รุ่งนั้นก็ถูกคุณหมอและพยาบาลนำตัวเข้าสู่ห้องไอซียูก่อนเป็นอันดับแรก อย่างที่รู้กันโดยทั่วไปว่าลักษณะภายใน ห้องไอซียูนั้นจะมีเตียงของผู้ป่วยตั้งอยู่หลายๆเตียง โดยที่มีเพียงแค่ม่านกั้นเอาไว้เท่านั้น และผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องมาใช้ห้องนี้ โดยทั่วไปมักมีอาการที่หนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

พี่รุ่งถูกนำตัวส่งเข้าห้องไอซียู โดยที่พี่รุ่งนั้นได้สติอยู่เป็นช่วงๆ ตอนที่นำตัวเข้าสู่ห้องไอซียูนั้นเป็นช่วงบ่ายๆเย็นๆ ต้องรอผ่าตัดตอนรุ่งเช้า เนื่องจากพี่รุ่งนั้นมีอาการหนักพอสมควร ทำให้การรับรู้ของแกมีไม่ครบนัก ช่วงที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องไอซียูตอนนั้น

พี่รุ่งไม่ได้สติ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็มีหมอและพยาบาลเข้ามาดูอาการของพี่แกอยู่ หลังจากนั้นพี่รุ่งห็นอนหลับๆตื่นๆ

แต่ก็พยายามสังเกตุ สิ่งรอบตัวทั้งหมด และแล้วพี่รุ่งก็สังเกตุได้ว่าด้านขวามือของเตียงพี่รุ่งนั้นมีเตียงผู้ป่วยอีก 1 คน มองลักษณะผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง เป็นคุณยายแก่ๆท่านหนึ่งซึ่งกำลังมีเครื่องช่วยหายใจระโยงระยาง ดูแล้วอาการน่าจะหนักอยู่พอสมควร สักพักนึงพี่รุ่งก็หมดสติไป

จนกระทั่งกลางดึกรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เป็นตอนที่มีนางพยาบาลกำลังเดินตรวจผู้ป่วยท่านอื่นๆอยู่ ระหว่างที่นางพยาบาลกำลังจะเดินผ่าน เตียงของพี่รุ่งไปนั้น พี่รุ่งก็สังเกตุได้ว่าคุณยายที่นอนอยู่เตียงข้างๆนั้นกำลังเอามือของแกเองปลดเครื่องช่วยหายใจออก และค่อยๆลุก ขึ้นจากเตียงคนไข้ คุณยายที่พี่รุ่งเห็นก่อนหน้านี้นั้นดูแล้วมีอาการเพียบหนักนอนหลับตาไม่ไหวติงอยู่นานสองนาน

แต่ ณ เวลานี้คุณยายคนนั้น กำลังค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียง และก้าวขาลงจากเตียงเดินตามหลังพยาบาลที่พึ่งจะผ่านเตียงของพี่รุ่งไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งเวลานั้นพี่รุ่งก็รู้แล้วว่าตัวเองกำลังประสบอยู่กับเหตุการณ์แบบไหน หลังจากนั้นสติของแกก็ค่อยๆหมดไป

จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีพี่รุ่งกำลังถูกเข็นไปโดยบุรุษพยาบาลมุ่งหน้าสู่ห้องผ่าตัด แต่ว่าระหว่างนั้นพี่รุ่งสามารถสื่อสารบอกกับ พยาบาลได้ว่าต้องการขอใช้โทรศัพท์สักครู่ ซึ่งพี่รุ่งก็ได้ทำการติดต่อไปหาพระอาจารย์ที่นับถืออยู่เพื่อขอพรให้ตัวเองนั้นปลอดภัย
จากการผ่าตัดครั้งนี้เนื่องจากว่าพี่รุ่งรู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดีนัก

หลังจากนั้นจึงได้ทำการซักถามกับพยาบาลว่าคุณยายข้างเตียงที่นอนอยู่ ด้วยกันเมื่อคืนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง พยาบาลก็ตอบกับพี่รุ่งว่าคุณยายนั้นอาการหนัก เสียชีวิตลงแล้วเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา แต่ว่าพี่รุ่ง ไม่ต้องกลัว อาการไม่หนักเหมือนคุณยาย  และพี่รุ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าเมื่อคืนนี้พี่รุ่งได้พบได้เจออะไร

หลังจากนั้นการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองของพี่รุ่งก็ผ่านไป ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งพี่รุ่งนั้นได้รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง อยู่ในห้องพักฟื้นเพียงลำพัง โดยครั้งนี้มีเพื่อนๆและภรรยาผลัดเวียนกันมาเฝ้า เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นดูแล้วเหมือนกับว่า ทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดี เพียงแต่ว่าช่วยที่พี่รุ่งนอนพักฟื้นอยู่ในห้องส่วนตัวนั้น

กลางดึกของคืนแรกที่พี่รุ่งออกจากห้องผ่าตัด ระหว่างที่พี่รุ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงก็ต้องรู้สึกตัวตื่นเนื่องจากว่ามีแรงกระชากที่แขนข้างขวา ตอนแรกนึกว่าเป็นพยาบลมาดูอาการ เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกจับแขนนั้น วัตถุที่มาทาบกับผิวมันเย็นเกินไป พอพี่รุ่งลืมตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่ด้านขวามือของแกก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดคนไข้เหมือนกัน เอามือข้างขวาของเธอจับแขนข้างขวาของพี่รุ่งไว้ พยายามดึงลงจากเตียง

ตอนนั้นพี่รุ่งรู้สึกตกใจมาก แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ความรู้สึกที่ขาข้างซ้ายก็ถูกจับเช่นเดียวกัน พอเหลือบตาไปมอง สิ่งที่อยู่ปลายเตียงก็คือ หญิงชราคนหนึ่งกำลังจับขาของแกอยู่และก็เขย่า คราวนี้พี่รุ่งเริ่มสังเกตุได้แล้วว่าในห้องตอนนี้ไม่ได้มีแค่แก อยู่เพียงลำพัง

ยังมีผู้หญิงที่อยู่ด้านขวามือของเตียง และหญิงชราที่อยู่ปลายเตียง แต่ว่าพอสังเกตุดูดีๆแล้ว รอบเตียงของพี่รุ่ง มีคนยืนล้อมรอบอยู่มากมายเต็มไปหมด มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนแก่ ทุกคนนั้นหน้าตาเฉยเมย ทุกคนสวมใส่อยู่ในชุดผู้ป่วย ตอนนั้นพี่รุ่งตกใจกลัวสุดขีด

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นกำลังค่อยๆเคลื่อนเข้าหาเตียงของพี่รุ่ง และก็เริ่มจะมีเสียงดังขึ้นมาว่า “ไปอยู่ด้วยกันมั้ย ไปอยู่ด้วยกันมั้ย” เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงของทุกคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาพี่รุ่ง เป็นเสียงประสานที่ทำให้พี่รุ่งนั้นถึงกับสติดับวูบลง มารู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เช้าแล้ว

ตื่นมาได้พบหน้าภรรยาและเพื่อนๆ ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง แล้วก็ขอโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปหาพระอาจารย์ ที่นับถือ พระท่านก็บอกกับพี่รุ่งว่าอย่าไปกลัว บางครั้งเมื่อคนเรากำลังจะเข้าสู่ที่ดับก็อาจจะสามารถสื่อสารกับอะไรบางอย่างเหล่านี้ได้

เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : พี่ตี่ตี๋

กระทู้ผีพันทิป เรื่อง อากง ที่ห้อง 420





ผมมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังครับ ซึ่งเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ผ่านมาประมาณ5ปีได้

เรื่องมีอยู่ว่าผมทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แถวๆถนนจันทน์ เขตสาทร งานที่ผมทำเกี่ยวกับทำความสะอาดห้อง
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Room Boy” ต้องทำความสะอาดตามห้องที่ลูกค้า Check Out ออกจากห้อง

ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน และแขกอาหรับ  ซึ่งวันนั้นผมได้ทำงานกะดึกคนเดียว ต้องดูแลทั้งชั้นเลยก็ว่าได้

เพราะตอนกลางคืนไม่วุ่นวาย ผมก็ทำงานตามปกติ จนเวลา ประมาณ 22.00 ได้เดินลงบันไดมา ชั้น4 ซึ่งจังหวะนั้นผมทำเงินเหรียญสิบตก ผมจึงก้มเก็บ ตอนที่ก้มเก็บผมต้องมองลอดใต้หว่างขา

บังเอิญเหลือบไปเห็นเหมือนมีคนหนึ่ง ใส่กางเกงขาก๊วยยืนอยู่ข้างหลังผม ด้วยความตกใจจึงรีบหันไปดู ปรากฏว่า “ไม่มีใคร มีเพียงผมแค่คนเดียว” จังหวะนั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะเราคิดไปเอง

หลังจากนั้นผมจึงเดินลงไปต่อที่ชั้น3 ซึ่งเป็นห้องของพนักงานทำความสะอาด หรือคนทั่วไปมักเรียกว่าห้องแม่บ้าน

เวลาประมาณ 22.30 มีพนักงาน Front Operator โทรมาบอกว่าให้ผมน่ะ ขึ้นไปที่ชั้น4 ห้อง420 ให้ที เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย

ผมแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง คือห้อง420 ที่จะไปน่ะ มันเป็นห้องสูท (ไม่ทราบว่าเขียนแบบนี้รึเปล่า เพราะเห็นเค้าเรียกกัน)
ไม่ได้มีใคร Check In นานละ ตั้งแต่ผมทำงานที่นี่มาไม่เคยได้ไปทำความสะอาดห้องนี้เลย

ผมจึงตอบตกลงว่าจะไปตรวจดูให้

ผมมีกุญแจมาสเตอร์ อยู่หนึ่งดอก ซึ่งกุญแจดอกนี้มันพิเศษมากๆ สามารถเปิดได้ทุกห้อง
พอเดินมาถึงหน้าห้องผมจึงหยิบกุญแจมาเปิดประตู

“แกร๊ก แกร๊ก” เสียงไขกุญแจ ผมเปิดกุญแจห้องนี้ไม่ได้ครับ ทั้งที่ใช้กุญแจมาสเตอร์เปิด ผมลองพยายามอีกครั้ง ปรากฏว่าเป็นเหมือนครั้งแรก ผมจึงละพยายามเดินกลับไปที่ห้องแม่บ้าน โทรศัพท์กลับไปหาที่ Front Operator เพื่อบอกกับเค้าว่าผมเปิดห้องนี้ไม่ได้นะ เค้าจึงตอบกลับมาว่า “ลองดูอีกทีได้มั้ย” ผมจึงได้แต่ตอบรับ ครับๆ ได้ครับ

ผมจึงเดินไปที่ห้องเบอร์เดิมอีกครั้ง แล้วหยิบกุญแจดอกเดิมมาไข ปรากฏว่า เป็นแบบเดิมครับ เปิดไม่ออก

ผมจึงพูดอยู่หน้าห้องว่า “นี่ Room Boy นะครับ ขออนุญาตเข้าไปตรวจความเรียบร้อยครับ”

ผมก็เสียบกุญแจเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันเปิดได้ครับ  ผมเลยเปิดเข้าไปแบบแง้มๆดูนะครับ ตอนนั้นไม่ได้กลัวอะไรทั้งสิ้นครับ
คิดแค่ว่า อาจจะมีลูกค้าอยู่

ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ในห้องมันมืด แต่ก็พอมีแสงสลัวๆ เล็ดลอดเข้ามานิดหน่อย เพราะตรงข้ามกับประตูที่ผมเปิดเป็นประตูกระจกเพื่อเปิดไปที่ระเบียง และมีผ้าม่านปิดอยู่นิดเดียว

สายตาผมเหลือบไปเห็นม้านั่งโยกเยก ซึ่งมองดูแล้วเหมือนมันโยกเองได้ และที่แปลกไปกว่านั้นคือ มันมีคนนั่งอยู่บนนั้นด้วยครับ

ผมจึงพูดไปว่า ขออนุญาตตรวจห้องนะครับ ก็ไม่มีเสียงตอบจากคนที่อยู่บนเก้าอี้ ผมก็ไม่กล้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า

ลืมบอกไปนะครับ ห้อง420 ห้องสูทห้องนี้ เป็นห้องของเจ้าของโรงแรม เปิดไว้สำหรับให้ครอบครัวมาพัก ผมเพิ่งทราบมาจาก Front Operator อีกที ก่อนจะขึ้นมาเปิดรอบสองน่ะครับ

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบผมจึงปิดประตู ในตอนนั้นไม่ได้กลัวอะไรเลยนะครับ
(จริงๆ)

พอตอนเที่ยงคืนได้เวลาพักเบรคทานข้าว ก็มีช่างซ่อมบำรุง และพนักงานคนเก่าหลายคนมาพักเบรคด้วย อยู่ช่างก็พูดขึ้นมาว่า “เห้อ คิดถึงอากงเนอะ” พนักงานอีกคนได้ยินดังนั้น ก็ตอบว่า “คิดถึงแกเหมือนกัน”

ด้วยความสงสัย เพราะอยากรู้ว่าอากงคือใคร ผมเลยถามว่า “อากงคือใครครับพี่ๆ” ช่างตอบว่า “อากงคือพ่อของเจ้าของโรงแรมนี้ เจ้าของห้อง 420อ่ะ” ผมได้ยินดังนั้นผมตอบไปว่า “คิดถึงก็ไปหาสิ แกอยู่บนห้องนั้นแหละ” ช่าง และพนักงานได้ยินที่ผมตอบ มองหน้ากัน แล้วถามผมเป็นเสียงเดียวกันว่า “เห็นหรอ เจอหรอ”

“เห้ย เจอสิพี่ แกนั่งม้าโยกอยู่บนเก้าอี้บนห้องแน่ะ”
“จะบ้าหรอ อากงตายไปตั้งนานแล้วนะ”
“จริงพี่นั่งโยกอยู่บนห้อง”

ช่างและพนักงานได้ยินดังนั้น ก็ต่างพากันเงียบ และคิดว่าผมคงจะเจอจริงๆ เพราะไม่เคยมีใครเล่าเรื่องอากงให้ฟัง
ช่างเล่าว่า “องกาแกอายุมากแล้ว แกป่วยและเสียที่ห้อง420นั่นแหละ ตอนเสียแกใส่กางเกงขาก๊วยและเสื้อสีขาว”

ผมก็เริ่มกลัวๆแล้ว เพราะสิ่งที่ผมเจอในห้อง420 กับที่บันไดชั้น4 ใช่อากงแน่ๆครับ
หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ผมก็ลาออกจากที่นั่น เรื่องก็มีแค่นี้แหละครับ
ขอบคุณที่รับฟังครับ


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : สมาชิกหมายเลข 4208512

The Shock เรื่อง ตามมาถึงบ้าน - คุณนัด



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านศรีนครินทร์ เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา คุณนัทเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นคุณนัดต้องอยู่ที่มหาลัยจนดึกเกือบจะทุกวัน เพราะต้องอยู่ทำกิจกรรมที่คณะ

วันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณนัทขึ้นบีทีเอสจากบริเวณมหาลัยมาลงแบริ่ง ช่วงนั้นมีฝนตกลงมาปรอยๆ รู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนมีใครเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่หันไปดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบใคร หรืออาจเป็นเพราะช่วงนั้นไม่มีผู้อืนอยู่เลย บรรยากาศเย็นๆ เหงาๆชอบกล จึงทำให้จิตนาการไปเอง

คุณนัทเดินลงไปโบกแท็กซี่ ให้ไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รถแท็กซี่ค่อยๆออกตัวไปกลางถนน เนื่องจากถนนในเวลานั้น เปียกไปด้วยน้ำฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย

ในจังหวะที่รถวิ่งตรงไปตามถนน อยู่ดีๆ มีรถจากเลนขวาพุ่งเข้ามาปาดหน้า ในระยะกระชั้นชิด จนทำให้รถแท็กซี่ที่คุณนัดนั่งอยู่ต้องเบรคกระทันหัน ล้อรถถูกับกับพื้นถนนเสียงดังลั่นจนรู้สึกแสบหู

คุณนัดใจหายแวบ แต่ยังคงตั้งสติได้ เนื่องจากไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน คนขับแท็กซี่หันควับมามองทางเบาะหลัง ที่คุณนัดนั่งอยู่ แล้วเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่สักอย่าง

คุณนัทคิดว่าคนขับคงกำลังจะหาของอะไรสักอย่าง จึงเปิดแฟลชมือถือช่วยส่องแถวๆที่วางเท้า แต่คนขับกลับพูดขึ้นว่า “น้อง แล้วผู้หญิงที่ขึ้นมากับน้องอ่ะ” คุณนัดได้ยินเช่นนั่นก็รู้สึกงง หมายถึงใครกันแน่

จึงตอบกลับไปว่า “เฮ้ยพี่ ผมขึ้นมาคนเดียว พี่ตลกแล้ว” คนขับทำหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “น้องพี่เห็นจริงๆ เห็นตั้งแต่ที่เค้าเดินตามน้องลงบันไดเลื่อนแล้ว” คุณนัดเริ่มใจเสีย พยายามพูดเพื่อยืนยันว่า “ยังไงผมขึ้นมาคนเดียวแน่นอนพี่”

คนขับเริ่มทำสีหน้าหวาดๆ แล้วพูดว่า “น้องพี่สาบาน พี่เห็นจริงๆ พี่มองกระจกหลัง ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งพิงไหล่น้องอยู่เลย” คุณนัดขนลุกซู่ พยายามคิดว่าคนขับกำลังอำเล่นหรือว่าอะไรกันแน่

สุดท้ายคนขับก็บอกกันคุณนัดว่า ไปส่งไม่ได้จริงๆ และขอให้คุณนัทลงจากรถทันที และจะไม่เก็บค่าโดยสาร คุณนัทก็ต้องจำใจ ลงจากรถแต่โดยดี แล้วไปโบกรถคันอื่นเข้าบ้านแทน

หลักจากนั้นประมานสี่วัน วันนั้นคุณนัดไม่มีเรียน และที่บ้านออกไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงได้อยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เบื่อๆเซงๆ คุณนัดเดินไปหั่นผลไม้มาทานเล่น จนเวลาล่วงเข้าช่วงดึก

คุณนัดจึงวางจานผลไม้ที่เหลือไว้ข้างหน้าต่างในห้องครัว แล้วเดินขึ้นไปทำกิจวัตรต่างๆที่ชั้นบน จนเวลาล่วงเข้าตีสอง ในขณะที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่ คุณนัทได้ยินเสียงดัง “ตึ้ง!!” มาจากชั้นล่าง

คุณนัดตกใจ ดีดตัวขึ้นลุกนั่ง ในใจคิดว่ากลัวจะเป็นโจร รีบเดินไปคว้าบีบีกัน แล้วค่อยๆย่องลงมาที่ชั้นหนึ่ง แล้วกดสวิทช์ไฟให้บ้านมันสว่างทั้งหลัง ด้านขวาจะเป็นโซนรับแขก ส่วนด้านซ้ายจะเป็นห้องครัว คุณนัดกวาดสายตามองไปจนทั่วห้องรับแขก แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

จึงย่องเข้าไปในห้องครัว จังหวะนั้นเอง คุณนัดได้ยินเสียงแหบๆของผู้หญิงพูดว่า “กูหิว กูกินได้มั้ย” คุณนัทตกใจ หันควับไปมองทางต้นเสียง ภาพที่คุณนัทเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะใบหน้าขาวซีด ตัดกับผมสีดำยาว ยืนจับเหล็กดัดหน้าต่างอยู่ข้างนอก ใช้ปากกัดแทะเหล็ดดัด เหมือนพยายามจะเข้ามาในบ้านให้ได้ ลูกกะตาสีดำจ้องมาที่คุณนัทตาไม่กระพริบ ปากกัดลงกับซี่ของเหล็กดัด เสียงดังครึกๆ

คุณนัดขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัวใจแทบหยุดเต้น ร้องตะโกนลั่นบ้าน รีบวิ่งขึ้นห้อง แล้วเหวี่ยงประตูปิดดังลั่นบ้าน พร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา ยืนหายใจหอบอยู่หลังประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพอันน่าสยดสยองที่พึ่งเห็นเมื่อครู่ ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัวจนตัวสั่นระริก

จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง “แคร่ง!!” มาจากชั้นล่าง ทำให้คุณนัทสะดุ้งจนตัวโก่ง รีบดีดตัวออกห่างจากประตู พุ่งขึ้นที่นอนแล้วคลุมโปงทันที ในหัวคิดฟุ่งซ่านว่าเสียงที่ดังนั่นมันคือเสียงอะไร มันเกิดจากอะไร ใครเป็นคนทำ หรือว่าสิ่งนั้นมันจะเข้ามาในบ้านได้แล้ว

คืนนั้นคุณนัทนอนตัวสั่นทั้งคืน จนนอนแทบไม่ได้ รุ่งเช้า คุณนัดค่อยๆเดินย่องลงมาชั้นล่าง พยายามระวังตัวสุดขีด มองไปที่หน้าต่างเหล็กดัดห้องครัว

ภาพที่เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา จนต้องเบือนหน้าหนี คุณนัดรีบขับรถไปทำบุญที่วัดที่ใกล้บ้านที่สุด ระหว่างขากลับ คุณนัดคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้ใคร

คุณนัทขับรถมาจนใกล้จะถึงหมู่บ้าน ช่วงที่รถกำลังติด คุณนัทเหลือบมองออกไปนอกรถ ก็เห็นถาดอาหารถาดหนึ่ง ซึ่งมีธูปปักอยู่ด้วย วางอยู่ข้างทางฟุตบาท ทำให้คุณนัดฉุดคิดขึ้นมาได้ นึกย้อนไปถึงเช้าของวันนั้น วันที่คนขับแท็กซี่ทักว่าเห็นผู้หญิงตามคุณนัทอยู่

คุณนัทต้องรีบเดินทางไปที่คณะ เพราะดันตื่นสาย จนวิ่งไปเตะถาดอาหารถาดนั้นจนคว่ำ แต่ด้วยความที่คุณนัทไม่ได้สนใจ รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปซะก่อน คุณนัทคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ให้ผู้หญิงคนนั้นตามมาจนถึงที่บ้าน

คุณนัทเลี้ยวรถเข้าไปซื้อกับข้าวในร้านอาหารตามสั่งทันที แล้วกลับมายังที่ตรงนั้น วางข้าวกล่องลงบนฟุทบาต ยกมือขึ้นพนม พูดในใจว่า “ผมขอขมานะ กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมไม่ได้เจตนาจริงๆ ขอร้องอย่าตามผม ขอให้จบลงที่ตรงนี้” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ คุณนัด

The Shock เรื่อง รอบหนังหลอน - คุณโอ๋



เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน

จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม

คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย

คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเลย พอหนังเริ่มฉายไปได้สักพัก ประมาณครึ่งเรื่อง ขนมเริ่มหมด และหางตาของคุณโอ๋เห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่แถวเดียวกัน ประมาณสองถึงสามคน ถัดจากที่นั่งของคุณโอ๋ไปสองที่นั่ง คุณโอ๋ก็งงว่ามาตอนไหน แต่คุณโอ๋ไม่ได้หันไปมองตรงๆเพราะกลัวจะเป็นการเสียมารยาท

หลังจากนั้นอีกประมาณสิบห้านาที ขนมของคุณโอ๋หมด คุณโอ๋ก็เลยจะเอากล่องใส่ขนมวางไว้ข้างล่าง พอจังหวะที่คุณโอ๋ก้มตัววางกล่องขนมไว้ข้างล่าง คุณโอ๋สังเกตเห็นหัวคนโผล่ออกมาจากเบาะที่นั่งถัดจากคุณโอ๋ไปหนึ่งที่ คุณโอ๋เลยรีบเงยหน้าขึ้นมา แต่คนที่นั่งอยู่แถวเดียวกับคุณโอ๋สองถึงสามคนที่คุณโอ๋เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ บัดนี้ไม่มีใครเลย คุณโอ๋ตกใจมาก เลยรีบย้ายที่นั่งไปนั่งในแถวที่มีคนกำลังนั่งอยู่

และนั่งคิดทบทวนว่าสิ่งที่เจอมันคืออะไร แต่คุณโอ๋มั่นใจว่ามันคือหัวคนแน่ๆ จนกระทั่งหนังจบ คุณโอ๋รีบลุกขึ้นเตรียมที่จะออกจากโรงหนัง จังหวะที่กำลังเดินออกจากที่นั่ง คุณโอ๋สังเกตุเห็นเงาคนสองถึงสามคนตรงที่นั่งในแถวที่คุณโอ๋นั่งดูก่อนที่จะย้ายมานั่งที่ใหม่

เป็นลักษณะเงาดำๆแล้วก็ค่อยๆหายเข้าไปในเบาะที่นั่ง คุณโอ๋เห็นแบบนั้นจึงรีบเดินออกจากโรงหนังทันที และก่อนจะออก คุณโอ๋ได้ลองถามน้องพนักงานว่า “โรงเนี่ยมันมีชัวๆใช่มั้ย แล้วมีโรงไหนอีกที่มันมี” พนักงานก็บอกกับคุณโอ๋ได้แค่ว่า “ผมจะอยู่แค่ข้างล่าง จะไม่ขึ้นไปเหยียบชั้นที่นั่งบนๆเด็ดขาด และไม่สามารถบอกได้ว่าโรงไหนมีบ้าง แต่ผมจะอยู่แค่ตรงประตู”

พอคุณโอ๋ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ เพื่อนของคุณโอ๋ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเค้าเองก็ได้มาดูหนังในโรงหนังแห่งนี้ และนั่งที่นั่งแถวบนเหมือนกัน และก็เจอคล้ายๆกับที่คุณโอ๋เจอ คือตอนแรกแถวที่เพื่อนของคุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนเลย พอหนังฉายไปได้ครึ่งเรื่อง ก็มีคนโผล่ออกมานั่งเต็มทุกแถวที่นั่งที่อยู่ชั้นบนๆ แล้วทุกคนก็หันมามองหน้าเพื่อนคุณโอ๋กันเป็นสายตาเดียว และพอหนังจบตอนที่ออกจากโรงหนัง กลับไม่มีคนเลย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก  คุณโอ๋

The Shock เรื่อง คืนเปิดป่า - คุณสน



เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อประมาณสามสิบปีที่ผ่านมา ในสมัยที่คุณสนยังเป็นวัยรุ่น คุณสนชอบไปส่องสัตว์นั่งห้างเวลากลางคืนกับลุงสวน เพราะช่วงนั้นทางการยังให้สัมปทานสัตว์ป่าอยู่ จึงไม่ผิดกฎหมาย เดือนนึงก็จะเข้าป่ากันประมาณสองถึงสามครั้ง ครั้งนึงประมาณสามถึงสี่วัน แล้วช่วงนึง ตอนเช้า ลุงสวนก็มาชวนคุณสนตั้งแต่เช้า และบอกว่า พอดีลูกกล้วยป่ามันสุก จะชวนไปดักยิงอีเห็นกัน

และไปทำห้างนั่งยิงกันด้วย แล้วเพื่อนของคุณสนที่อยู่ด้วยสองคนได้ยินเข้า จึงขอเข้าไปด้วย ปกติลุงสวนจะไม่ให้ใครไปด้วย เพราะกลัวว่าจะไปทำผิดผีกัน คุณสนเลยขอร้องว่าขอให้เพื่อนไปด้วย ลุงสวนก็เลยอนุญาต แล้วเรียกเพื่อนของคุณสนไปอบรมว่า ห้ามเอ่ยชื่อกัน ห้ามทำอะไรก่อนที่ลุงสวนจะบอก เพื่อนของคุณสนก็รับปาก พอเตรียมข้าวของเสร็จแล้ว

ก็เดินเข้าป่ากันไปประมาณเจ็ดกิโลเมตร ถึงตีนเขา ลุงสวนจึงทำวิธีเปิดป่า เพราะลุงสวนเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่พอสมควร จุดธูปบอกเจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้ต้อนพวกสัตว์ที่หมดอายุไขแล้วมาให้พวกเราหน่อย พอเสร็จพิธีก็เดินขึ้นเขากัน ขึ้นไปได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ลุงสวนเจอค่างตัวนึง ก็เลยยิงค่างได้ ตัวใหญ่พอสมควร จากนั้นก็ตัดกิ่งไม้หามกันขึ้นไป กะว่าจะไปทำกินกันตอนเย็น

ก็เดินกันต่อไปอีกประมาณสี่กิโลเมตร เวลาประมาณบ่ายสามโมง ก็เลยนั่งแล่ค่างเอาเนื้อออก เอากระดูกกับหนังกองไว้ ลุงสวนใช้ให้เพื่อนของคุณสนสองคนไปตักน้ำ แล้วทางเดินที่จะไปตัดน้ำ มันจะต้องผ่านโป่งดินใหญ่ ตรงจุดนั้นช้างจะลงมากินดินโป่งทุกคืน ลุงสวนก็กำชับว่าให้เดินผ่านไปเฉยๆ อย่าไปทำอะไร แล้วก็ฝากเอากระดูกกับหนังค่างไปทิ้งด้วย เพื่อนสองคนก็รับปาก

ประมาณสักครึ่งชั่วโมง เพื่อนของคุณสนสองคนก็เดินกลับมา แล้วก็มาทำอาหารกินกันปกติ ประมาณห้าโมงเย็นใกล้จะมืด ก็เตรียมฟืนกับไฟฉายให้พร้อม นั่งรอเวลาให้ท้องฟ้ามืด จะได้ไปนั่งดักยิงสัตว์ สักพักได้ยินเสียงช้างวิ่งแตกฝูงกันและร้องลั่นป่า ลุงสวนลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “ช่างมันตื่นอะไรว๊ะ” คุณสนก็ลุกขึ้นตามแล้วบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันลุง” แล้วคุณสนก็สังเกตเห็นเพื่อนของตนเองนั่งหัวเราะกันอยู่สองคน

ลุงสวนก็เลยถามว่า “เฮ้ย เมื่อกี้ตอนที่เอ็งไปตักน้ำ เอ็งทำอะไรหรือป่าวว๊ะ” เพื่อนก็ตอบว่า “ไม่ได้ทำ” จนลุงสวนเค้นหนักขึ้นและพูดว่า “เอ็งบอกมาเร็วๆ ถ้าเอ็งไม่บอกข้านะ เอ็งออกไม่ได้นะ เอ็งตายคาป่านะ รีบบอกมา” สักพักเพื่อนของคุณสนเลยยอมบอก เค้าบอกว่า หนังค่างที่ลุงสวนให้เอาไปทิ้ง เค้าได้เอาเถาวัลย์ไปมัดแขนสองข้าง และขาสองข้าง ขึงมันไว้ตรงโป่งที่ช้างลงไปกิน ทำให้ช้างมันตกใจ

ลุงสวนคิดว่าแย่แน่ เลยสั่งให้ยิงปืนออกให้หมดทั้งสี่กระบอกจดหมด แล้วลุงสวนก็ล้วงมือเข้าไปหยิบของในย่ามออกมา เป็นกระสุนตะกั่วสีดำๆ แล้วแจกให้คนละสี่ลูก แล้วรีบบรรจุลงไปในปืนทันที พอบรรจุกระสุนกันเสร็จ ก็สั่งให้รีบวิ่งไปหาที่โล่ง ทุกคนถือของแล้วรีบวิ่งออกไปทันที จนไปเจอที่ชาวบ้านเค้าถางป่าไว้เตรียมจะทำไร่ ลุงสวนก็พาคุณสนและเพื่อนๆไปนั่งตรงกลาง แล้วก็จุดธูปทำพิธี แล้วใช้พานท้ายปืนขีดล้อมเป็นวงกลมใหญ่ๆ แล้วเข้าไปนั่งข้างในกันสี่คน

แกสั่งขึ้นมาอีกว่าถือปืนไว้นะ ถ้าไม่ได้สั่งอะไรห้ามทำ ห้ามวิ่งออกจากเส้นวงกลม จะกำชับอยู่แบบนี้ตลอด เวลาประมาณสองทุ่ม คุณสนและลุงสวนก็นั่งกันอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ป่าใหญ่ทั้งป่าไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่มีเสียงนกร้อง หรือแม้แต่เสียงแมลง เงียบจนบางครั้งเหมือนกับอาการหูอื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของป่ามาก คุณสนนั่งเหงื่อไหลคิดในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

แล้วลุงสวนก็สั่งขึ้นมาว่า “จำไว้นะ ถ้าเห็นอะไรให้ฉายไฟส่องทันที เอาให้มันสว่างเลย” สักพักนึงเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณสนสังเกตเห็นเหมือนเงาคนยืนอยู่ข้างต้นไม้ แถวๆตีนป่า คุณสนก็เลยฉายไฟไปทางนั้น แสงไฟกระทบกับดวงตาของเงาที่อยู่ยืนเห็นเป็นสีแดงๆ สองข้าง คุณสนเลยยกปืนขึ้นประทับบ่า แล้วเสียงของลุงสวนบอกว่ายิงเลยๆ คุณสนเลยเหนี่ยวไกปืนทันที ได้ยินเสียงลมตึงแล้วดิ้นอยู่กับพื้น แล้วก็เงียบไป

สักพักนึงมีเงาตาแดงๆโผล่ออกมาอีก ทุกคนเลยช่วยกันยิง แต่สิ่งนั้นมันก็ยังมากันเรื่อยๆ กระโดดขึ้นกระโดดลงจากต้นไม้อยู่ตรงตีนป่า จนเวลาเกือบจะตีสอง เงานั้นก็เริ่มซาลงไปเรื่อยๆ จนถึงสว่าง พอได้ยินเสียงไก่ขัน ทุกคนก็โล่งใจ ลุงสวนบอกให้เก็บของกลับ แต่คุณสนอยากรู้ว่ามันคืออะไร เพราะเวลายิ่งไปแล้วได้ยินเสียงมันล้มลง แล้วดิ้นอยู่กับพื้น ก็เลยเดินเข้าไปดู

ปรากฏว่ามีแต่ศพลิงนอนตายเกลื่อนกลาด เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะว่าลิงเป็นสัตว์ที่จะไม่ออกหากินตอนกลางคืน ลุงสวนบอกว่าให้รีบเก็บของกันเร็วๆจะได้รีบกลับ จากนั้นทุกคนก็ลงจากเขาไปเข้าหมู่บ้านกัน และก่อนที่คุณสนและเพื่อนๆจะเข้าบ้าน ลุงสวนตะโกนมาว่า “เฮ้ยๆๆ อย่าพึ่งเข้าบ้าน ไปวัดก่อนเลย” คุณสนก็งงว่าไปทำไมที่วัด จึงพากันไปที่วัด ไปยืนกันอยู่หน้ากุฎิ ลุงสวนก็เรียกหลวงพ่อที่อยู่ในกุฎิ

พอหลวงพ่อเดินออกมาเห็น ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “โอโห โยม มากันเต็มลานเลยนะ” คุณสนก็งงว่าคืออะไร ลุงสวนก็เลยเข้าไปคุยกับหลวงพ่อ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง หลวงพ่อท่านบอกว่างั้นรอซักครู่นะ แล้วท่านก็เดินไปเอากระป๋องมาให้สี่ใบ แจกให้คนละใบ ข้างในประป๋องจะมีน้ำมนต์ แล้วท่านก็จุดเทียนไข แล้วหยอดลงไปในกระป๋องที่ละใบ แล้วให้เอาไปอาบตัว

จากนั้นท่านก็บอกให้กลับบ้านกันได้แล้ว ส่วนสิ่งที่ตามมาเดี๋ยวหลวงพ่อจะหาที่อยู่ให้พวกเค้าเอง คุณสนก็งงว่าหาที่อยู่ให้ใคร เพราะมองไปก็ไม่เห็นอะไร พอเดินพ้นออกมาจากวัด คุณสนเลยถามลุงสวนว่า ตอนแรกลุงสวนคุยอะไรกับหลวงพ่อ ลุงสวนก็ตอบกลับมาว่า “เอ็งรู้มั้ย เมื่อคืนที่เรายิงกันทั้งหมด ตอนนี้พวกมันตามเรามาหมดทุกตัวเลย” คุณสนขนลุกขึ้นมาทันที แล้วถามว่าอะไรตามมา

ลุงสวนตอบว่าวิญญาณลิง เป็นวิญญาณสัมภเวสีที่สิงสู่อยู่ตามป่าเขา ลุงสวนก็เลยยังไม่ให้เข้าบ้าน เพราะกลัวว่ามันจะเข้าไปอยู่ในบ้านด้วย ก็เลยต้องพาไปรดน้ำมนต์ก่อน แล้วค่อยเข้าบ้าน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณสน

The Shock เรื่อง ห้องเช่าเขย่าขวัญ (ชลบุรี) - คุณเต้



เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี เมื่อประมาณหกปีที่ผ่านมา ปกติคุณเต้ทำงานอยู่ที่ใจกลางเมืองกรุงเทพ แต่ต้องไปติดตั้งระบบเสียงและภาพให้ลูกค้า ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในทีมมีกันทั้งหมดสามคน คุณเต้จะเป็นหัวหน้าชุด และมีแฟนของลูกน้องขอตามไปด้วยคนนึง รวมเป็นสี่คน จึงเดินทางไปที่หน้างานกัน ที่นั่นมีทีมติดตั้งในส่วนอื่นๆกำลังทำงานกันอยู่ด้วย คุณเต้ก็จึงคิดว่างานตัวนี้ น่าจะไม่เสร็จในเร็วๆนี้แน่

จึงได้คุยกันว่าจะเช่าบ้านอยู่ เพราะให้ขับรถไป-กลับชลบุรีทุกวันคงไม่ไหวแน่ พอตกลงกันทั้งสี่คนแล้ว เวลาประมาณหกโมง ก็ได้ตะเวนหาบ้านเช่าแถวๆบางแสน จนไปเจออยู่หลังนึง ติดป้ายให้เช่า

ลักษณะเป็นทาวน์เฮ้าส์สามชั้น อยู่ติดกัน และหลังนี้จะอยู่หัวมุมขวาสุด เป็นหลังเดียวที่ว่าง จึงได้ไปติดต่อผู้ดูแล ผู้ดูแลก็พาคุณเต้และทีมเข้าไปดูภายในบ้าน ชั้นหนึ่งมีเครื่องครัวให้ครบ ส่วนชั้นสองจะมีห้องนอนอยู่หนึ่งห้อง คุณเต้จึงให้ลูกน้องที่มีแฟนมาด้วยนอนที่ชั้นนี้ ส่วนตนเอง จะนอนที่ชั้นสามกับลูกน้องอีกคน

และได้เดินขึ้นไปดูห้องที่ชั้นสาม ห้องจะไม่ใหญ่มาก ขวามือจะเป็นตู้วางทีวี ซ้ายมือจะมีเตียงนอน ผนังฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า จะมีประตูอยู่บางนึง คุณเต้ได้เดินไปลองเปิดประตูบานนี้ดู แต่มันฝืดมาก ผู้ดูแลก็ได้เดินตามหลังคุณเต้มาแล้วพูดว่า

ผู้ดูแล : พี่จะทำอะไร
คุณเต้ : อ๋อ ประตูนี้มันไปไหนหรอครับ เปิดไปได้มั้ย
ผู้ดูแล : พี่จะทำอะไรหละ
คุณเต้ : ผมคิดว่า ถ้าเกิดซักผ้าตากผ้าเนี่ย จะได้เอาผ้าขึ้นมาตาก
ผู้ดูแล : เอางี้พี่ พี่อย่าใช้ตรงนี้เลย พี่ไปข้างหลังดีกว่า มันมีที่โล่ง ตากผ้าได้ดีกว่า

คุณเต้ก็รู้สึกตะหงิดขึ้นมานิดๆ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เค้าว่าไงเราก็ว่างั้น เพราะดูรวมๆแล้ว บ้านหลังนี้มันน่าอยู่ จึงได้ตกลงเช่า หลังจากนั้นจึงได้ไปหาซื้อข้าวมานั่งทานด้วยกัน แล้วเตรียมเข้านอน

คุณเต้เปิดทีวีดู แต่ลูกน้องได้หลับไปแล้ว จึงได้ปิดทีวี ปิดไฟนอน จนสักพักนึง รู้สึกว่าเหมือนเตียงกำลังโยก คุณเต้ก็คิดว่าลูกน้องที่นอนข้างๆแกล้งอะไรหรือป่าว จึงได้ผงกหัวขึ้นมาดู แต่ก็เห็นลูกน้องนอนนิ่ง จึงได้นอนต่อ

สักพักนึง ได้ยินเสียงคนหมุนลูกบิดประตูหลังห้อง ที่คุณเต้พยายามเปิดเมื่อตอนเย็น คุณเต้เริ่มใจไม่ดี กลัวว่าจะมีคนปีนขึ้นมา จนสักพักนึง เสียงบิดก็เหมือนจะดันขึ้นกว่าเดิม ก็คิดในใจว่าหรือจะไม่ใช่คน

พอคุณเต้คิดแบบนั้น จากเสียงหมุนลูกบิด กลายเป็นเขย่าแรงๆแทน จนประตูสั่นไปทั้งบาน คุณเต้ลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิทันที แล้วพยายามพูดในใจว่า “อะไรที่อยู่ข้างนอกนั่น และอยากจะเข้ามา ไม่จำเป็นต้องเข้ามาหรอก เดี๋ยวแผ่เมตาให้” แล้วเสียงประตูก็เงียบลง

ลูกน้องที่นอนอยู่ข้างๆตื่นขึ้นมา แล้วบอกกับคุณเต้ว่า แบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว คุณเต้จึงบอกว่า อย่าให้สองคนข้างล่างรู้ เดี๋ยวจะกลัวกันซะเปล่าๆ จนตอนเช้าก็ได้ออกไปซื้อกับข้าวกันข้างนอก คุณเต้ไม่ได้ไปด้วย เพราะยังมีของเหลือจากเมื่อวาน

คุณเต้ได้ลองเดินสำรวจแถวๆหน้าบ้าน ก็สังเกตเห็นตรงจั่วหน้าบ้าน มีไม้กางเขนแปะอยู่ แต่หลังอื่นๆกลับไม่มี สักพักลูกน้องก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปสั่งกับข้าว ลูกจ้างร้านอาหารตามสั่งก็ได้ถามว่า

ร้านตามสั่ง : มาจากไหนกับครับพี่ ผมพึ่งเคยเห็น
ลูกน้องคุณเต้ : มาจากกรุงเทพครับ เช่าทาวน์เฮ้าส์อยู่ไกล้ๆนี้เอง
ร้านตามสั่ง : อ๋อ งั้นพี่ไม่ต้องรอก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาไปส่งให้ แล้วพี่อยู่หลังไหนครับ
ลูกน้องคุณเต้ : อยู่หลังแรก ตรงหัวมุมขวา
ร้านตามสั่ง : งั้นเอางี้ดีกว่า พี่รอเอาไปเลยละกัน

คุณเต้จึงได้บอกเรื่องที่เจอมาเมื่อคือกับลูกน้องที่มาคู่กับแฟน ก็เป็นอย่างที่คุณเต้คิด ลูกน้องขอย้ายออกทันที ทุกคนจึงตัดสินใจย้ายออกหมดทุกคน ไปเช่าอยู่บ้านแถวๆละแวกไกล้ๆกัน

และทุกวันนี้ บ้านหลังนั้นก็ยังคงเปิดให้เช่าอยู่ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณเต้

The Shock เรื่อง ดวงดับ - คุณเอ



เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งในย่านสุขาภิบาลห้า เมื่อสี่ปีที่ผ่านมา โดยปกติคุณเอเป็นคนชอบดูดวง คุณเอจึงเริ่มเรียนดูไพ่ยิปซี จนดูเป็นพอสมควร และคุณเอก็ได้ไปรู้จักพี่อีกคนนึง จากร้านเกมด้วยกัน ซึ่งก็ดูดวงเป็นเช่นเดียวกัน แต่นับถือศาสนาคริส

แล้วคุณเอก็มักจะชอบนั่งดูดวงด้วยกันกับพี่คนที่รู้จัก จนครั้งนึง คุณเอเกิดความนึกอุตริ จึงได้พูดขึ้นมาว่า ถ้าอยากดูแม่นสงสัยต้องไปดูในที่เงียบๆ ในที่ๆไม่มีคน เผื่อมันจะแม่น และในบริเวณนี้จะมีตึกอยู่ตึกนึง ที่ชั้นห้าจะเป็นชั้นที่ไม่มีคนอยู่เลย แล้วคนในย่านนั้นก็มักจะพูดกันว่า ตรงชั้นนั้นผีดุ

คุณเอกับพี่เลยตกลงกันว่าจะเข้าไปในชั้นที่ว่านั่นตอนตีสอง จึงเตรียมเทียนกับเสื่อไปด้วย กะไปนั่งดูกันเต็มที่ ซึ่งเข้าไปกันประมาณหกคน สี่คนนั่งล้อมวงกันเพื่อที่จะดูไพ่ยิปซี แต่อีกสองคนยืนดูอยู่บริเวนชานของตึก

น่าแปลกตรงที่ว่าพอจะเริ่มดูไพ่กัน ก็สับไพ่กันตามปกติ พอเปิดไพ่ออกมา สิ่งที่คุณเอเอะใจครั้งแรกก็คือ อดีต (ไพ่ยิปซีมันจะต้องมีไพ่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต) แต่คุณเอกลับเห็นแค่ อดีต ปัจจุบัน แต่ไม่เห็นอนาคต ซึ่งเป็นไพ่ที่บอกอนาคตไม่ได้ และที่สำคัญ ไพ่ใบที่ออก ไม่ใช่ไพ่ของผู้ชาย ซึ่งคนที่ดูกับคุณเอเป็นผู้ชาย

คุณเอจึงบอกว่ามั่วแล้วหรือป่าวแบบนี้ จึงให้พี่ลองสับไพ่ใหม่อีกที ก็ยังออกมาเป็นไพ่ผู้หญิงเหมือนเดิม คุณเอขนลุกทันที เลยบอกว่าจะขอลองสับไพ่เอง พอคุณเอสับไพ่เสร็จ ไพ่ที่ออกก็แทบไม่ต่างไปจากเดิมเลย แต่ความหมายยังคงเดิม พี่ที่ดูด้วยกันเลยพูดขึ้นมาว่า สงสัยจะไม่ใช่ของเราแล้วหละ

คุณเอเลยพูดว่า ถ้างั้นก็คงจะเป็นของคนแถวๆนี้แหละ และคุณเอก็คิดว่า ถ้าเค้าอยากดูนัก ก็ดูให้เค้าไปเลย ก็เริ่มดูต่อ และคุณเอก็ทายว่า คนเนี่ยเป็นผู้หญิง แต่สาเหตุที่เค้าเสียชีวิตคือ เค้าฆ่าตัวตายเพราะความรัก แต่ไม่ได้ตาย ณ ที่นี้ ด้วยความเป็นสัมภเวสี เค้าก็จะล่องลอยไปตามที่ต่างๆจนเจอที่ๆเงียบสงบ ก็จะอยู่ตรงนั้น ถึงได้มีประโยคที่ว่า ถึงบางที่จะไม่มีคนตาย แต่ถ้าไม่มีคนอยู่ ก็จะมีสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่

และสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เค้าทุกข์ทรมานมาก เนื่องจากเค้าไม่สามารถไปไหนได้ เพราะชีวิตเค้ายังจะต้องวนเวียนอยู่ หลังจากดูจบ คุณเอจึงพูดขึ้นมาว่า ดูให้แล้วนะ ถ้าอยากหลุดพ้น ให้ปลงและทำใจ เพื่อที่จะได้ไปสู้ภพภูมิที่ดีขึ้น

ซักครู่ที่คุณเอพูดว่า นี่มันไม่ใช่ไพ่ของคน เพื่อนของคุณเอสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงเข้ามาอยู่ข้างๆแล้วขอดูด้วย คุณเอจึงสับไพ่อีกรอบนึง คราวนี้มันไม่ใช่คนเดียวกัน ไพ่เปลี่ยนไปเป็นของผู้ชายแทน ซึ่งคุยเอคิดว่าไม่ได้มีแค่ตนเดียวแน่ๆ น่าจะมีมากกว่าสิบตน

พี่คนที่นั่งอยู่ด้วยก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าอยากดูกันนักก็เรียงแถวกันเข้ามาดูเลย ซักครู่เสียงนกแสกก็ร้องอยู่แถวๆบริเวนนั้น จากนั้นคุณเอก็ดูให้คนที่สองต่อ คนที่สองก็ตายเพราะความรักอีกเช่นกัน เป็นผู้ชาย แต่ว่าฆ่าตัวตายอีกเหมือนกัน และคุณเอก็ได้แต่บอกว่าให้ทำใจ เพราะว่าเค้าไม่สามารถหลุดออกจากบ่วงของเค้าเองได้

จากนั้นจึงดูให้คนที่สามต่อ เป็นผู้หญิง ตายทั้งกลม สาเหตุก็มาจากความรักเช่นกัน พอครบสามคน คุณเอเริ่มไม่ไหวแล้ว และรู้สึกอึดอัด เหมือนได้ดูให้จริงๆ จึงได้เดินกลับลงมากัน ตอนเดินลงมา ก็ได้คุยกันและพึ่งมาสังเกตุกันว่า ตรงที่นั่งดูไพ่ยิปซีกัน ทางตรงนั้นมันเป็นทางสามแพร่ง และเพื่อนก็เห็นเหมือนเงาวูบๆอยู่บริเวนปลายทางเดินเยอะมาก แล้วมีเพื่อนอยู่คนนึงหลุดพูดออกมาว่า ขอบคุณครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าขอบคุณใครและเรื่องอะไร

หลังจากลงมาถึงหน้าตึก พี่คนที่ดูไพ่ก็หันไปหาตึกแล้วโบกมือพร้อมกับพูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูให้ใหม่นะ วันต่อมาคุณเอเลยจำเป็นต้องมาดูด้วยกันอีกครั้ง ในเวลาเดิมคือตีสอง รอบนี้ไปนั่งดูกันในห้อง แต่คราวนี้เอาคนมาเพิ่มอีกคนนึง และน้องคนนี้เหมือนจะมีซิกเซ้นส์ด้วย

พอเริ่มเปิดไพ่กัน ไพ่มันก็ดูเหมือนจะมั่วๆ ไม่สามารถจับต้นชนปลายถูกเลย เหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่สัญญาณเค้าอ่อนมาก ไม่เหมือนเมื่อวาน คุณเอก็เลยถามน้องว่า มีความรู้สึกอะไรบ้างมั้ย น้องก็ตอบว่า รู้สึกว่าเค้าอยู่หน้าประตู เข้ามาไม่ได้ คุณเอก็เลยงง คิดว่าใครใส่พระอะไรหรือเปล่า ปรากฎว่าไม่มีใครใส่ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เค้าเข้ามาไม่ได้

คุณเอจึงพยายามดูต่อ แต่ก็ดูไม่ได้ จึงย้ายกลับไปนั่งกันที่เดิม เมื่อย้ายไปที่เดิม เค้าก็ยังเข้ามาไม่ได้อีก จนลองกันสองถึงสามครั้ง คุณเอเลยลองดูอีกทีนึงตรงบันไดเลย ปรากฎว่าไพ่ออกชัดเจน แต่เป็นไพ่ในลักษณะของเจ้าที่ แล้วไพ่สิบดาบขึ้นที่บริเวณของปัจจุบัน ประมาณว่าให้หยุดการกระทำนี้

แล้วพี่คนที่เป็นคริสบอกว่า เค้าได้ยินเสียงเหมือนเป็นทูตสวรรค์ของเค้าลอยเข้ามาในหู บอกเค้าว่าให้หยุดการกระทำนี้ซะ เพราะว่าการที่เราไปบอกเค้าแบบนี้ มันเป็นเหมือนการไปทำให้เค้าปลดจากกรรมที่เค้าก่อขึ้นมา เหมือนไปเตือนให้เค้ารู้แจ้งในสิ่งที่เค้าได้ทำผิดพลาดลงไป ซึ่งจะทำให้กฎแห่งกรรมของเค้าเสีย แล้วเค้าก็จะได้หลุดพ้นจากตรงนี้และไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่มันไม่ดีสำหรับเรา เพราะมันเป็นกรรมที่เค้าต้องชดใช้ ถ้าเค้าไปดี กรรมของเค้าก็จะต้องมาตกที่เรา

เหมือนที่คุณริวเคยพูดไว้ว่า ดูอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปทักคน เพราะว่าถ้าทักแล้ว กรรมของคนนั้นจะตกมาที่เรา และกรรมที่ว่านั่นก็มาตกที่คุณเอ หลังจากนั้นคุณเอดูดวงไม่แม่นอีกเลย และมักจะโชคไม่ดีอยู่บ่อยๆ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณเอ

The Shock เรื่อง อาถรรพ์ไร่อ้อย - คุณเสก



เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดอุดรธานี วันที่เกิดเรื่อง คุณเสกได้เอาของไปลงที่เวียงจันทร์ และช่วงเย็นก็ได้ข้ามกลับมาที่ฝั่งไทย ช่วงเวลาประมาณเดือนธันวาคม ปี 2556 และช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังตัดอ้อยกัน

ทางบริษัทสั่งให้ไปขึ้นน้ำตาลที่อำเภอนึง ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ คุณเสกไปกับภรรยาสองคน และไปถึงที่หมายก่อนเวลากำหนด จึงได้ไปนอนรอขึ้นน้ำตาล กว่าจะเสร็จก็ประมาณตีหนึ่ง ภรรยาถามว่าจะนอนต่อมั้ย จะวิ่งตอนเช้าหรือว่าจะวิ่งตอนนี้เลย คุณเสกตอบไปว่ายังไงก็ได้นอนแล้ว เดี๋ยววิ่งออกไปเลย

คุณเสกจึงขับรถออกมา พอหลุดออกมาจากหมู่บ้านนั้น จะเข้ามาในเขตจังหวัดอุดรธานี เป็นช่วงต่อระหว่างหมู่บ้านนึงไปยังอีกหมู่บ้านนึง ระยะทางประมาณหกถึงเจ็ดกิโลเมตร ตามข้างทางจะมีป่าอ้อยและดงมัน พอเข้าดงป่าอ้อย

คุณเสกรู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ง่วงชนิดที่ว่าจะหลับให้ได้ สักพักนึงคุณเสกสังเกตเห็นทางแยกข้างหน้า เหมือนเป็นทางแยกลงไปที่ไหนสักแห่ง แล้วมีเวิ้งช่องว่างพอที่จะให้รถจอดได้ คุณเสกจึงเลี้ยวรถเข้าไปแล้วจอดรถชิดขอบทาง โดยพยายามเอารถหลบออกห่างจากถนน

ภรรยาได้ถามคุณเสกว่า จะนอนตรงนี้เลยหรอ คุณเสกตอบว่า ไม่ไหวแล้ว ขอสักงีบก่อน ปกติเวลานอนคุณเสกจะยกผ้าม่านมาปิดหน้ารถและหน้าต่างข้างรถหมด แต่วันนั้นคุณเสกง่วงมาก จอดรถได้ ดับเครื่องยนต์ ปิดไฟ เอนเบาะนอนเลย แล้วก็หลับ

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนภรรยาปลุก ภรรยาตะโดนลั่นเลย แล้วบอกว่าตอนที่คุณเสกหลับ ประมาณสามสิบนาทีได้ แต่ภรรยาไม่หลับ ได้ยินเสียงหญ้าข้างทางแหวกออกเหมือนมีคนเดิน ภรรยาจึงชะโงกมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะข้างนอกมืดมาก และก็มีเสียงเดินรอบรถ เดินไปเดินมา

ซักพักนึงภรรยาของคุณเสกก็เริ่มจะมองเห็นลาง เห็นเป็นผู้ชายสองคน จึงเริ่มตกใจและรีบปลุกคุณเสก และบอกว่ามีคนมาปีนรถเราอยู่ คุณเสกสดุ้งตื่นขึ้นมา มองไปข้างหน้าต่าง เห็นขาคนปีนบันไดข้างรถขึ้นไปด้านบนหัวรถ (รถสิบล้อจะมีบันไดติดอยู่ข้างรถใกล้ๆประตูด้านคนขับ)

คุณเสกเห็นอย่างนั้นก็ตกใจคิดว่าเป็นโจร จึงรีบสตาร์ทเครื่องทันที แล้วคลำดูที่ประตูรถก็ยังล็อกอยู่ เปิดไฟหน้ารถแล้วขับออกมาเลย เพราะ ณ ตอนนั้นอยู่กลางป่า ไม่สามารถเปิดประตูออกไปดูได้ ภรรยาก็บอกว่ามันยังอยู่บนหลังคารถสองคนเลย คุณเสกรีบขับรถออกมาจากตรงนั้น

จนไปถึงตัวอำเภอวังสามหมอ พอพบป้อมตำรวจ คุณเสกเลยจอดรถทันที แต่ไม่กล้าเปิดประตู เลยแง้มกระจกแล้วส่องขึ้นไปดู แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย สักพักนึงคุณเสกเห็นตำรวจอยู่ในป้อม จึงเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง แล้วหันกลับมามอง ก็ไม่เจอใครอยู่ข้างบนหลังคารถ คุณเสกลองเดินสำรวจรอบรถแต่ก็ไม่เจออะไร สักพักคุณเสกก็กลับเข้ามาในรถ แล้วขับออกไปนอนที่ปั้มน้ำมัน

คิดว่าตอนเช้าค่อยเดินทางต่อ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ คุณเสกเอาของไปลงในตัวเมืองจังหวัดของแก่น ครั้งนี้เดินทางคนเดียว พอลงเสร็จ บริษัทโทรมาบอกว่า ให้ไปขึ้นไม้ยูคาที่อำเภอนึง เป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอสีชมพูกับศรีบุญเรือง ก็คือจังหวัดขอนแก่นกับหนองบัวลําภู

คุณเสกบอกกับทางบริษัทว่า นี่มันก็บ่ายแล้วนะ น่าจะไปถึงประมาณสี่โมงเย็น เค้าจะขึ้นให้มั้ย ทางบริษัทบอกว่าขึ้นให้ คุณเสกก็เลยขับออกไป ลักษณะจะเป็นไร่ป่าไม้ยูคาทั้งสองข้างทาง ตัวไร่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณสองกิโลเมตร

คุณเสกนำรถวิ่งเข้าไปในไร่ ทางเข้าไร่จะเป็นทางเกวียน ถึงที่หมายประมาณสี่โมงเย็น เค้าก็นำไม้ขึ้นรถให้ จนถึงเวลาประมาณหกโมงเย็น แสงแดดโพ้เพ้ แต่ก็ยังขึ้นไม่เสร็จ ไม้ไม่พอต้องรอขึ้นพรุ่งนี้อีก คุณเสกเลยบอกว่า แล้วจะนอนที่ไหนหละ เค้าบอกว่า เดี๋ยวเข้าไปนอนในหมู่บ้านกับพวกเค้าก็ได้ คุณเสกก็บอกว่า แล้วรถของผมหละ เค้าบอกว่า รถอะจอดไว้นี่ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่คุณเสกเป็นห่วงรถ เลยถามออกไปว่า พี่มานอนเป็นเพื่อนผมไม่ได้หรอ แต่ก็ไม่มีใครอาสามานอนด้วย

สุดท้ายคุณเสกตัดสินใจนอนในรถคนเดียว ประมาณทุ่มนึง มืดมาก คุณเสกลงไปปัสสาวะแล้วรีบขึ้นมานอน ปิดผ้าม่านรอบรถ เปิดพัดลม แล้วก็หลับ วันนั้นร้อนมาก คุณเสกสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที เหมือนมีคนมาขย่มรถ ลักษณะเหมือนมีคนเดินขึ้นเดินลงรถ และเสียงดัง ตุ๊บ เหมือนมีคนกระโดดลงจากรถ ทั้งซ้ายทั้งขวา คุณเสกตาสว่างขึ้นมาทันที เลยเอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วปิดพัดลมเพื่อไม่ให้มีเสียง เงียบมากจนได้ยินแม้แต่เสียงแมลงที่อยู่ในป่า

ซักพักคุณเสกเปิดโทรศัพท์ดูนาฬิกา เวลาประมาณตีสามกว่าๆ เหมือนมีคนเดินในลักษณะเดิม เสียงเดินรอบรถ สักพักมาหยุดเดินอยู่ที่หน้ารถ แล้วก็มีเสียงผู้ชายคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ คุณเสกเริ่มนึกไปถึงเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ไปประสพมาที่ไร่อ้อย ณ ตอนนั้นคุณเสกทำอะไรไม่ได้เลยเพราะอยู่ในป่าคนเดียว ได้แต่ฝืนนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เสียงคุยกันก็ยังดังต่อเนื่องแต่ก็จับใจความไม่ได้ จนกระทั่งคุณเสกได้ยินเสียงนกกระพือปีกดัง พรึ่บ คุณเสกก็เริ่มจับใจความเสียงที่คุยกันอยู่นอกรถได้ความว่า กินมั้ย ไม่ได้กินนานแล้ว พอได้ยินแบบนั้น คุณเสกคิดในใจว่า ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่ๆ ได้แต่นอนตัวสั่นคลุมโปงน้ำตาไหลอยู่ในรถ แต่ก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงคนเดินอยู่รอบรถ เสียงลมพัดต้นไม้ แต่ในรถร้อนมาก จนคุณเสกหลับไปตอนไหนไม่ทราบได้

ตื่นมาอีกทีตอนเจ็ดโมง คนขึ้นไม้มาเรียก คุณเสกกะจะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่เล่าให้ฟัง แต่มันอดใจเก็บไว้ไม่ได้ เลยต้องเล่าให้คนขึ้นไม้ฟัง คนขึ้นไม้บอกว่า ที่แรกพวกเค้าก็มาตั้งแคมป์ตรงนี้เหมือนกัน แต่เค้าไม่ใช่คนพื้นที่ มารับจ้างตัดไม้เฉยๆ ก็เจอแบบที่คุณเสกเจอเหมือนกัน เค้าบอกว่า เค้ามากันสิบคน มาตั้งแคมป์ทำงานตัดไม้ กลางดึกปวดปัสสาวะ ก็เดินออกมาปลดทุกข์ เค้าก็เจอในลักษณะเงาคนเดินไปเดินมาในป่า เวลาคืนเดือนหงายมันยังพอจะมีแสงให้มองเห็นได้บ้าง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก คุณเสก

Shock Story เรื่อง คืนเฝ้านา - คุณดุสิต



เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้รับฟังมาจากลุงชม แกบอกว่า เป็นประสบการณ์ของแกเองตอนหนุ่มๆ ลุงชมเล่าว่า บ้านแกมีอาชีพทำนามีที่นาอยู่หลายไร่ เวลาทำนาจะแบ่งเป็นแปลงๆแล้วทำคันดินกั้นแต่ละแปลงไว้ แล้วก็สูบน้ำเข้านา

โดยคันดินที่กั้นนาแต่ละแปลงนั้น จะทำช่องให้น้ำไหลเพื่อให้น้ำเต็มนาทุกแปลง ลุงชมจึงต้องมาเฝ้าน้ำในนาด้วย เพื่อไม่ให้น้ำมันเยอะเกินไป ซึ่งกว่าน้ำจะเต็มที่นาทุกแปลงก็ใช้เวลาพอสมควร

ลุงชมจึงต้องมานอนเฝ้าที่ห้างนา ห้างนานั้นจะปลูกติดกับถนนลูกรัง อากาศเวลากลางคืนแม้จะเป็นหน้าร้อน แต่ลมก็พัดแรงจนทำให้หนาวพอได้ แกเลยจุดไฟเพื่อผิงแก้หนาวและเอาเหล้ามากินด้วย ระหว่างที่ลุงชมกำลังนั่งกินเหล้าเพลินๆ ตอนนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่มแล้ว ลุงชมได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่บนทาง เพราะจุดที่นั่งก็ไม่ห่างจากถนนมากเท่าไร

ลุงชมเลยหันไปมอง เห็นเป็นร่างผู้ชายอายุน่าจะราวๆ 50 กว่าๆ รูปร่างผอมๆ ผิวเหี่ยวแห้งออกคล้ำๆ ผมหงอกเต็มหัวเลย ไม่ใส่เสื้อแต่ใส่กางเกงขาสามส่วนและที่เอวมีผ้าขาวม้ามัดไว้ ลุงชมด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดี ก็เลยทักไปว่า ลุงๆ จะเป็นไปไหน ไม่หนาวเหรอ แวะกินเหล้ากันก่อน ชายแก่ได้ยินแบบนั้นก็เลยเดินแวะเข้ามาหาลุงชม และนั่งลงตรงข้ามกับลุงชม

ลุงชมแกก็ชวนคุยไปเรื่อย แต่ชายแก่ไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าและยิ้มเท่านั้น ลุงชมเลยพูดว่า ลุงนี่แปลกคนเนาะ ไม่พูดไม่จาไรเลย แล้วลุงชมก็รินเหล้าใส่แก้วแล้วยื่นให้ชายแก่และพูดว่า เอ้า ลุงแกหนาวสักแก้ว ชายแก่รับแก้วเหล้าไป แล้วทำท่ายกแก้วขึ้นกระดกเข้าปาก

แต่จังหวะที่ชายแก่้เงยหน้าขึ้นกินเหล้านั้น ลุงชมต้องตกใจสุดขีด กระโดดพรวดออกห่างจากกองไฟ เพราะแกเห็นคอของชายแก่คนนั้น หักพับลงไปข้างหลัง (พอจะนึกภาพออกนะครับ) ลุงชมรู้แล้วว่าเจอกับอะไร แกรีบวิ่งไปคว้าจักรยาน รีบปั่นเข้าบ้่าน ไม่สนใจน้ำในนาอีกต่อไป

พอไปถึงบ้านก็เคาะประตูเสียงดังลั่นจนพ่อแม่ของลุงชมตกใจรีบเปิดประตูออกมา พ่อลุงชมถามว่า มีอะไรไอ้ชม มึงไม่เฝ้าน้ำล่ะ ลุงชมเลยเล่าให้พ่อแม่ฟัง ได้ยินดังนั้นพ่อลุงชมเลยเข้าบ้านไปคว้าพระมาห้อยคอ แล้วก็พากันไปที่นา เพื่ออยู่เฝ้าน้ำเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่เจอชายแก่คนนั้นอีก เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ดุสิต รอบุญ

The Shock เรื่อง ยันต์แดง - คุณอั้ม



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี เมื่อสิบปีที่ผ่านมา คุณอั้มย้ายมาอยู่ที่อำเภอไทรน้อยตั้งแต่ยังเด็ก บ้านของคุณอั้มจะอยู่แถวๆปากซอย แถวที่คุณอั้มอยู่ จะมีทาวน์เฮ้าส์ใหม่ๆผุดขึ้นอยู่หลายหลัง แถวกลางซอยแต่เดิม มีทาวน์เฮ้าส์เก่าๆอยู่หลายหลัง แต่ก็ได้รับการบูรณะใหม่ทุกหลัง

แต่ท้ายซอยจะมีบ้านสองชั้นอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งเก่าและทรุดโทรมมาก ก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ไม่มีบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์หลังไหน กล้าปลูกติดกับบ้านหลังนี้ แต่จะขยับออกไปปลูกกันห่างๆ บ้านหลังนี้ร้างมาตั้งแต่ที่คุณอั้มย้ายเข้ามาอยู่ ผ่านมาไม่กี่เดือน ก็ได้มีคนเข้ามาบำรุงใหม่ ซึ่งก็น่าจะเป็นเจ้าของ แล้วแขวนป้ายให้เช่า ไม่นานก็มีคนมาเช่าอยู่ เป็นร่างทรง

คุณอั้มมักจะชอบปั่นจักรยานไปเล่นแถวๆท้ายซอยอยู่บ่อยๆ จะเห็นพวกตุ๊กตา พวกของบูชาอยู่เยอะมาก จนล้นออกมาหน้าบ้าน และจะมีควันธูปลอยโขมงอยู่ตลอดเวลา ร่างทรงเช่าอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบสิบปี แล้วก็ได้ย้ายออก ไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนใหม่เข้ามาเช่าอยู่

แต่ก็อยู่ได้แค่สองวัน คุณอั้มได้ยินชาวบ้านแถวๆนั้นพูดกันว่า คนที่มาเช่าอยู่ใหม่ รีบขนของย้ายออกกลางดึกทันที แต่ทุกคนก็ไม่ทราบเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ก็มีน้าของเพื่อนคุณอั้ม ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้

ช่วงแรกๆ ตอนที่น้าย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ น้าเป็นคนปกติดีทุกอย่าง แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้สองเดือน ก็เริ่มกลายเป็นคนเพ้อ มักจะบอกว่า เค้ามีแฟนและลูก อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ทั้งๆที่น้าอยู่ที่นี่แค่คนเดียว

วันนั้น คุณอั้มได้ขอคุณแม่ว่า จะไปนอนที่บ้านน้าของเพื่อน ที่อยู่ท้ายซอย เพราะจะได้แอบไปสูบบุหรี่ด้วย จึงเดินถือหมอนไปที่ท้ายซอยกับเพื่อนสองคน พอไปถึงบ้านน้า คุณอั้มกับเพื่อนก็คุยเล่นกันปกติ จนเวลาย่างเข้าตีหนึ่ง ก็ขึ้นไปนอนกันที่ชั้นบน ส่วนน้าจะนอนที่ชั้นล่างอยู่แล้ว

ในห้องชั้นสองไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก มีเพียงแค่เตียงนอนที่อยู่ขวามือ โต๊ะเครื่องแป้งอยู่ถัดจากเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าจะอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนห้องน้ำจะอยู่หลังห้อง ตรงข้ามกับประตูทางเข้าพอดี

คุณอั้มนอนไปได้สักพัก เริ่มได้ยินเสียงพัดลมตั้งพื้นดัง “แกร็กๆๆๆ” ทั้งๆที่ตอนแรกมันก็ไม่ได้มีเสียงอะไร จนเพื่อนที่นอนข้างๆสะกิด แล้วบอกว่า “พัดลมดังอ่ะ” คุณอั้มรู้ว่าเพื่อนกลัว เพราะปกติเพื่อนคนนี้จะเป็นคนกลัวผีมาก

คุณอั้มจึงลุกไปปิด มันจะไม่ได้ส่งเสียงดังน่ารำคาญอีก สักพักใหญ่ๆ คุณอั้มรู้สึกตัวตื่น เพราะเพื่อนสะกิดที่หลัง ด้วยอารมณ์ที่ง่วงนอนปนโมโห จึงลุกขึ้นมาถามเพื่อนว่า “เป็นอะไรเนี่ย” ก็เห็นเพื่อนนอนหลับตาปี๋ แล้วชี้ไปทางปลายเตียง

ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิง นั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียง อายุรุ่นๆอนุบาลสาม ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่ชุดราตรี นั่งแกว่งหัวโยกตัวไปมา จากคนที่ไม่กลัวผี คุณอั้มเริ่มคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคืออะไร ความกลัวเล็กๆเริ่มผุดขึ้นในตัว คุณอั้มหลับตาลง คิดในใจว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็น แสดงว่าตาฝาด

ครู่เดียว คุณอั้มค่อยๆลืมตาขึ้นมา เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ที่ปลายเตียงมีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าหลังเก่าๆ จึงรู้สึกใจโล่งขึ้นมาทันที แต่อยู่ๆ ประตูห้องมันกลับเปิดออกเอง แล้วค่อยๆอ้าออกอย่างช้าๆ “แอ๊ดดดดดดด”

คุณอั้มรู้สึกขนลุกตั้ง ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนล็อกมันกับมือก่อนนอนแล้วแท้ๆ ต้องมีคนเปิดมันจากด้านในเท่านั้น แต่คุณอั้มไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องน้ำก็ค่อยๆอ้าออก คุณอั้มรีบหัวควับไปมองทันที

ปรากฏว่าเห็นเด็กผู้หญิง คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงเมื่อครู่ ไปนอนคว่ำหน้าอยู่กลางห้องน้ำ คุณอั้มตกใจจนตัวเกร็ง รีบหลับตาลง ความกลัวเริ่มแผ่กระจายจนทั่วร่างกาย นึกใจในว่า “ไม่ใช่ๆ เราไม่ใช่คนกลัวผี มันต้องไม่ใช่” แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นดูอีกที ก็เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ในสภาพเดิม

คุณอั้มคิดในใจว่า มันคืนอะไรกันแน่ ตาฝาดไปเองหรือเห็นภาพหลอน คุณอั้มรีบปลุกเพื่อนที่นอนอยู่ข้างตัวให้ลุกขึ้นมาก่อน “ฟ้า ตื่นๆๆๆ” เพื่อนก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณอั้ม แต่ยังไม่ทันที่คุณอั้มจะได้พูดอะไร เพื่อนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ต้องเล่า เห็นทุกอย่างแล้ว”

คืนนั้น คุณอั้มกับเพื่อนตัดสินใจวิ่งลงไปข้างล่าง แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน รุ่งเช้าจึงมานั่งเล่ากันว่าต่างคนต่างเจออะไรกันบ้าง คุณนัทเล่าไปถึงตอนที่เห็นเด็กนั่งอยู่ปลายเตียง แล้วพยายามหลับตาลง พอลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว คิดว่าคงจะตาฝาดไปเอง

แต่เพื่อนกลับบอกว่า ความจริงเด็กมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันลุกเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินกลับมาเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินหายเข้าไปในตู้เสื้อผ้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะเด็กคนนั้นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลน เหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง

ช่วงเย็น เวลาประมาณหกโมง คุณอั้มและเพื่อนจึงเดินไปเล่าเรื่องนี้ให้น้าฟัง แต่น้ากลับไม่เชื่อ ทุกคนจึงเดินขึ้นไปดูกันที่บนห้อง คุณอั้มเดินนำหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดสวิทช์ไฟที่อยู่แถวๆหัวบันได หลอดนีออนกระพริบอยู่สองสามที แล้วก็ดับพรึบ

แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก แล้วเดินเข้าไปในห้อง จังหวะที่เปิดประตูเข้าไป กลิ่นอับๆ พุ่งปะทะจมูกของคุณอั้ม จนต้องรีบเอามือปิดจมูก สภาพของห้องต่างจากเมื่อคืนอย่างลิบลับ พื้นไม้มีฝุ่นเกาะอยู่หนาเตาะ เตียงนอนมีแต่ฝุ่นจับอยู่เต็มผ้าปูเตียง ตู้เสื้อผ้าเก่าจนแทบจะหักพับลงมาได้ทุกเมื่อ กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีแต่คราบฝ้าสีขาวๆจับอยู่ทั่วทั้งบาน

คุณอั้มหัวใจเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอก คิดอยู่ในใจว่า นี่เมื่อคืนเรานอนอยู่ในห้องนี้เหรอ หันไปมองหน้าเพื่อน เห็นเพื่อนทำหน้าจะร้องไห้ คุณอั้มถามน้าว่า “น้า ทำไมห้องนี้มันถึงได้เก่าแบบนี้อ่ะ” น้าตอบกลับมาว่า “ก็ตั้งแต่ที่มาอยู่ ยังไม่เคยขึ้นมาเหยียบข้างบนนี้เลย รู้สึกไม่ชอบข้างบนนี้”

คุณอั้มเหลือบไปมองที่ประตูห้องน้ำ ก็พบว่ามันถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจเก่าๆจากด้านนอก และมียันต์สีแดงเก่าๆ แผ่นประมาณเท่าฝ่ามือ แปะอยู่กลางประตูห้องน้ำ ถึงแม้ว่าคุณอั้มจะกลัว แต่มีความรู้สึกว่า ต้องรู้ให้ได้ว่าในห้องนั้นมันมีอะไร

จึงขอทุบแม่กุญแจที่ล็อกประตูห้องน้ำไว้ น้าก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร คุณอั้มเอาค้อนหวดจนที่ล็อกแม่กุญแจหลุดกระเด็น จับบานประตูเตรียมจะเปิด อยู่ๆก็รู้สึกถึงความกลัวในอะไรบางอย่าง ในใจคิดว่า ถ้าเปิดออกมาแล้วเจอศพเด็ก จะทำยังไง

คุณอั้มรวบรวมสติ ค่อยๆผลักประตูช้าๆ สภาพห้องน้ำค่อนข้างเก่ามาก มีหยากไย่และเชื้อราดำๆ เกาะอยู่เต็มฝ้าและผนัง มีกระถางธูปสีน้ำเงินเก่าๆ มีธูปที่เหลือแต่ก้าน ปักอยู่หนึ่งดอก วางอยู่กลางห้องน้ำ ข้างๆกระถางธูปมีจานใส่กับข้าวขึ้นราดำๆอยู่หนึ่งจาน มีชุดราตรีสีขาวเก่าๆของเด็กผู้หญิง แขวนอยู่ตรงราวแขวนผ้าขนหนู มีตุ๊กตาเกือบๆร้อยตัว ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ กองอยู่ทางผนังฝั่งชักโครก

คุณอั้มเห็นแบบนั้นก็ผงะถอยหลัง รีบปิดประตูทันที น้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำสีหน้าหวาดกลัวไม่ต่างจากคุณอั้ม ส่วนเพื่อนรีบเดินจ้ำออกจากห้อง ไม่พูดไม่จาสักคำ คุณอั้มอยากจะเดินตามหลังเพื่อนออกจากห้องจนใจจะขาด ติดที่ว่าขาทั้งสองข้างมันตายสนิท

มาขยับได้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงน้าพูดว่า “ลงไปข้างล่างกันดีกว่า” คุณอ้ำจึงเดินลิ่วออกจากห้องก่อน แล้วน้าก็เดินตามหลังมาติดๆ ระหว่างที่กำลังเดินลงบันได หูก็แว่วได้ยินเสียงเหมือนเด็กกำลังฮำเพลง ออกมาจากในห้องน้ำ “ฮื้มมม..ฮืมมม..ฮื่มมมมม” ทำให้คุณอั้มเสียวสันหลังวาบ ความคิดที่ว่าตนเองเป็นคนไม่ค่อยกลัวผี บัดนี้รู้ซึ้งแล้วว่า ตัวเองเป็นคนที่กลัวผีมากๆ

หลังจากนั้น คุณอั้มขอให้น้าย้ายออกจากที่นี่ แต่น้ากลับบอกว่าย้ายออกไม่ได้ เพราะน้าทิ้งลูกทิ้งเมียไว้ที่นี่ไม่ได้ ทำให้คุณอั้มเริ่มระแวงว่า ลูกเมียที่น้าพูดถึงอยู่บ่อยๆ เป็นใครกันแน่ จนต้องมีญาติมาบังคับให้ย้ายออก น้าถึงจะยอมย้าย

คุณอั้มพยายามถามประวัติของบ้านหลังนั้น จากคนที่อยู่ในซอยเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนี้เลย ปัจจุบันคุณอั้มกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง ตั้งแต่ที่เปิดเข้าไปในห้องน้ำห้องนั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ ‎คุณอั้ม

The Shock เรื่อง อาบอบนวดสยองขวัญ - คุณบอย



เหตุการณ์เกิดขึ้นที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง แถวถนนเพชรบุรี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณบอยเปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อน เกี่ยวกับกำจัดแมลง และได้คอนแทรคกับสถานอาบอบนวดที่หนึ่ง ให้เข้าไปทำการดูแลความสะอาดและพวกแมลง โดยมีสัญญาหนึ่งปี

ที่แห่งนี้จะมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งยังเปิดทำการปกติ แต่ชั้นสองและชั้นสามกำลังรีโนเวทใหม่อยู่ ทางสถานอาบอบนวดนัดให้คุณบอยกับเพื่อนเข้าไปทำตอนตีหนึ่ง เพราะต้องรอให้คนออกจากสถานที่ให้หมดก่อน

หลังจากที่คุณบอยเดินทางไปถึง พบกับยามและสุนัขหนึ่งตัว นั่งเฝ้าอยู่หน้าตึก ยามบอกกับคุณบอยว่า “มากันแล้วใช่มั้ยน้อง เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้ แล้งน้องขึ้นไปกันเองนะ” คุณบอยก็ตอบกลับว่า “อ่าวพี่ ผมเพิ่งมาครั้งแรก ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าต้องไปเปิดไฟตรงไหน”

ยามหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง วาดแผนพังแบบสังเขป พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า “นี่ชั้นสองนะ พอขึ้นไปจะมีทางเดินซ้ายขวา ตรงกลางมันจะมีพวกแผงสวิทช์ต่างๆอยู่ ส่วนชั้นสาม ถ้าขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอห้องน้ำ ตรงกลางจะมีพวกแผงสวิทช์ไฟอยู่เหมือนกัน แต่สวิทช์ไฟที่ชั้นสามยังใช้ไม่ได้ ต้องไปกดที่ชั้นสองเท่านั้น”

คุณบอยและเพื่อนไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เจ้าบ้านจะให้เข้าไปจัดการกันเอง จึงถือแผนที่แล้วเดินไปตามทางที่ยามบอกไว้ ชั้นหนึ่งจะปิดไฟทั้งหมด ทางเจ้าของสถานที่เค้าห้ามเปิดไฟ

คุณบอยจึงเอาไฟฉายขึ้นมาส่องไปตามมุมต่างๆ แล้วยกกระป๋องฉีดยา เดินฉีดไปเรื่อยๆ โดยแยกทำกับเพื่อน สถานที่แห่งนี้ค่อยข้างใหญ่พอสมควร การที่คุณบอยต้องมาเดินอยู่ในความมืดเพียงลำพัง มีแค่เสียงรองเท้าที่ดังก้องไปมาในโถงทางเดินใหญ่ๆทึบๆ ทำให้รู้สึกหวาดระแวงพอสมควร จนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง เพื่อกลบความกลัว

เมื่อเสร็จจากชั้นหนึ่ง จึงเดินกลับมารอเพื่อนที่ห้องโถงใหญ่ สักพักเพื่อนก็เดินเข้ามาหา คุณบอยตกลงกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวเราขึ้นไปฉีดที่ชั้นสามก่อน แล้วค่อยลงมาฉีดที่ชั้นสอง เสร็จแล้วกลับเลย” เพื่อนเห็นดีด้วย จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง

ทางเจ้าของสถานที่อนุญาตให้เปิดไฟที่ชั้นสองและสามได้ คุณบอยจึงสับสวิทช์ไฟที่ชั้นสองขึ้นแบบมั่วๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคือจุดไหนบ้าง แสงสว่างไล่ความมืดและความกลัวได้ดีพอสมควร

เมื่อคุณบอยชะเง้อขึ้นไปมองที่ชั้นสาม พบว่ามีแสงสว่างจากหลอดนีออนแล้ว จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม ในขณะที่กำลังเดินขึ้น คุณบอยได้ยินเสียงน้ำไหล แต่ไม่ได้ไหลแรงมากนัก ลักษณะเหมือนเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ คุณบอยจำได้ว่า ทางซ้ายมือเป็นห้องน้ำ จึงไม่แปลกใจนักที่จะมีเสียงน้ำไหล

ชั้นสามจะดูแคบกว่าชั้นอื่นๆ ไฟติดแต่ตรงทางเดินหน้าบันใด ทางซ้ายและขวามือจะเป็นทางเดินยาวๆมืดๆ มีข้าวของและเศษก้อนปูนวางระเกะระกะ ตามฝาผนังยังคงทาสีไม่เสร็จดี

คุณบอยหยุดอยู่แถวๆทางเดินหน้าบันได คุยกับเพื่อนว่า “น้ำมันไหลอยู่ได้ยังไง นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ” ถึงแม้ว่าคุณบอยและเพื่อน จะเคยทำงานในเวลากลางดึกแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป คุณบอยรู้สึกอึดอัดและไม่ค่อยดีกับสถานที่แห่งนี้มาก

จึงบอกกับเพื่อนว่า “เดี๋ยวเรารีบๆทำงานให้เรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันกลับดีกว่า” จุดแรกที่จะเข้าไปฉีดคือห้องน้ำ คุณบอยเดินตรงไปที่ทางเดินด้านซ้าย ห้องน้ำจะอยู่ห้องแรกซ้ายมือ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งทำให้ได้ยิงเสียงน้ำไหลชัดเจน คุณบอยพยายามหมุนลูกบิดประตู แต่มันกลับถูกล็อกจากด้านใน จึงหันไปคุยกับเพื่อนว่า “หรือว่าจะมีคนอยู่ข้างใน” แต่เพื่อนก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “หรือเค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำมันไหลนานแล้วนะ”

จึงช่วยกันเคาะประตู “มีคนอยู่ข้างในมั้ยครับ มีมั้ยครับ” ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา นอกจากเสียงน้ำไหล คุณบอยดูท่าไม่ดี  คิดว่าจะเดินลงไปเรียกยามขึ้นมา จังหวะที่หันหลังจะเดินลงบันได ปรากฏว่าได้ยินเสียงปลดล็อคดัง “แกร่ก!!”

คุณบอยและเพื่อนสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง เห็นประตูมันค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ทำให้คุณบอยและเพื่อนยืนอึ้งอยู่กับที่ แต่พยายามคิดปลอบใจตัวเองว่า มันคงไม่มีอะไรหรอก จึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วดันประตูเข้าไป

เป็นห้องมืดๆที่แทบจะมองอะไรไม่เห็น มีกลิ่นสาบของอะไรบางอย่างจางๆ คุณบอยใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดู ทำให้รู้ว่ามันคือห้องน้ำที่ถูกทุบทั้งหมด ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่า คุณบอยขนลุกวาบ แล้วเสียงน้ำไหลที่ได้ยินมันคือเสียงของอะไรกันแน่

เพื่อนพูดขึ้นมาทันทีว่า “ท่าไม่ดีแล้วแฮะ เอางี้มั้ย เราลงไปข้างล่าง แล้วไปปรึกษายามดู” คุยบอยและเพื่อนเดินถอยออกมาจากห้องน้ำ แล้วตรงไปที่บันได แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือก รีบกระโดดกลับหลังทันที เพราะประตูห้องน้ำมันดีดปิดเองดัง “ปั้ง!!”

แล้วเสียงน้ำไหลมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดังก้องไปทั้งชั้น พร้อมกับกลิ่นคาวของอะไรบางอย่าง ลอยอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ ในจังหวะที่คุณบอยและเพื่อนยืนตัวสั่นมองหน้ากันอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียงผู้หญิงครวญครางดังอยู่ไกลๆ “อื้ออออื่ออออื้อออ”

เป็นเสียงที่ผิดมนุษย์มนามาก ดังมาจากความมืดปลายทางเดินด้านซ้าย คุณบอยและเพื่อนค่อยๆฉายไฟไปทางต้นเสียงด้วยใจระทึก แสงไปกระทบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้า ใส่ชุดคลุมท้อง เนื้อตัวมีแต่รอยเลือด เหมือนเอามือที่เปื้อนเลือดจับไปตามร่างกาย ยืนกางแขนกางขาเล็กน้อย มีเลือดสีแดงเข้ม ไหลออกมาจากหว่างขา

ภาพที่เห็นมันตอบโจทน์ได้ทันทีว่า เสียงน้ำไหลมันคืออะไร มีเสียงครวญครางดังอยู่ตลอดเวลา “อื้อออ..อื้ออออออ” คุณบอยกับเพื่อนยืนขาตาย ทำอะไรไม่ถูก ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย รู้สึกหน้ามืดอยากอาเจียน เพราะกลิ่นเหม็นคาวมันรุนแรงขึ้นทุกที

ผู้หญิงคนนั้นยืนครางในลำคอเหมือนคนเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วอยู่ๆก็วิ่งกระกระสนเข้ามาหาคุณบอยและเพื่อน ครางเสียงสั่นๆในลำคออยู่ตลอดเวลา “อื้ออื้อออื้อออื้ออ” คุณบอยและเพื่อนตกใจสุดขีด โยนถังฉีดแมลงในมือทิ้ง วิ่งกระเจิงลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ร้องตะโกนโวยวาย “ผี ผีหลอกกกก ผีหลอกโว้ยยยย”

ปรากฏว่ายามกับสุนัขที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู วิ่งหนีออกไปนอกถนน คุณบอยได้ยินเสียงเพื่อนจะโกนบอกว่า “ขึ้นรถ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” จึงขึ้นรถกับเพื่อนคนละคัน แล้วเหยียบออกไปจากที่นี่ทันที

รุ่งเช้า เพื่อนโทรมาบอกว่า ลูกค้าเรียกไปให้หา เมื่อคุณบอยและเพื่อนเดินทางไปถึง เจ้าของสถานที่ก็ยิงคำถามมาทันที ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทิ้งอุปกรณไว้แกะกะแบบนี้ แต่คุณบอยกับเพื่อนไม่สามารถเล่าเรื่องที่เจอมาให้ลูกค้าฟังได้ เพราะจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ

จึงตอบแค่ว่า “ผมดูสถานที่แล้วมันไม่สะดวกที่จะทำงานครับ งั้นผมขอยกเลิกสัญญาเลยก็ได้ แล้วจะคืนเงินให้ครับ” คุณบอยจึงขึ้นไปเก็บอุปกรณ์ข้างบน มีคนงานก่อสร้างกำลังทำงานกันอยู่หลานคน

คุณบอยเจอเข้ากับหัวหน้าคนงานที่ชั้นสาม หัวหน้าคนงานเดินมาบอกว่า “พี่ ผมเก็บไว้ให้ละ สองถัง ของพี่ใช่มั้ยครับ” คุณบอยตอบว่า “ใช่ครับ” แล้วรับถังฉีดแมลงมา คุณบอยมองไปตามทางเดินทางซ้าย ภาพที่เห็นเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว

ด้วยความสงสัย จึงลองเดินไปสุดทางเดิน ตรงที่ผู้หญิงคนเมื่อคืนยืนอยู่ พบว่าด้านขวามือ เป็นห้องสำหรับตรวจภายใน ห้องไม่ค่อยกว้างมากนัก มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตียงนอน โคมไฟบนหัวแบบห้องผ่าตัด เครื่องมือสแตนเลสต่างๆ รวมไปถึงเชือกสลิง ของทุกอย่างมีสภาพค่อนข้างเก่า เหมือนผ่านการใช้มาแล้วนับไม่ถ้วน

คุณบอยรู้สึกไม่ดีกับห้องนี้มาก เหมือนกับว่าห้องนี้มันเก็บความเจ็มปวดของใครหลายๆคนเอาไว้อยู่เต็มไปหมด จนชวนให้รู้สึกหดหู่ใจ จนคุณบอยต้องรีบเบือนหน้าหนี แล้วรีบเดินลงมาจากตึก แยกย้ายกันไปทำที่อื่นต่อ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ คุณบอย

The Shock เรื่อง ห้างผีเฮี้ยน - คุณอัน



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่ห้างแห่งหนึ่ง แถวฝั่งธน เมื่อหลายปีที่แล้ว บริษัทที่คุณอันอยู่ ได้ไปเปิดร้านกาแฟยังห้างแห่งหนึ่ง และทางบริษัทได้ให้คุณอันไปทำงานประจำยังร้านกาแฟแห่งนี้ ร้านจะอยู่ที่ชั้นสองของห้าง

และเนื่องจากร้านกาแฟจะอยู่ในส่วนของตัวห่าง เวลาที่จะส่งเงิน จึงไม่สามารถเอาไปเข้าแบงค์เองได้ ต้องผ่านห้างก่อนเท่านั้น วิธีการที่จะเอาเงินไปส่งให้แคชเชียร์ของห้าง จะต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง เพื่อไปที่ชั้นเก้า ระยะเวลาที่จะต้องส่งเงิน จะอยู่ที่ประมาณสามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม

วันนั้นเป็นวันแรกที่ร้านเพิ่งเปิดทำการ หลังจากที่ปิดยอดเสร็จแล้ว คุณอันต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง บริเวณนั้นก็จะมีพนักงานห้าง และคนอื่นๆที่จะต้องไปส่งเงินอยู่หลานคน มีทั้งใส่ชุดฟอร์มของห้าง และของร้านต่างๆ

ลิฟท์หน้าห้างจะมีอยู่สองตัว ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่คุณอันสักเกตเห็นว่า คนจะมายืนต่อคิวกันที่ลิฟท์ทางฝั่งขวาหมด ทั้งๆที่ลิฟท์ทางฝั่งซ้ายลงมารออยู่ชั้นล่างแล้ว แต่กลับไม่มีใครเดินเข้าไปใช้

ถึงคุณอันจะงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทันที เพราะต้องรีบขึ้นไปส่งเงิน วันที่สอง เวลาประมาณเกือบๆสี่ทุ่ม ได้เวลาที่คุณอันจะต้องขึ้นไปส่งเงิน พอไปถึงที่หน้าลิฟท์ ก็เห็นเหมือนกับวันแรก

ไม่มีใครเข้าไปใช้ลิฟท์ทางฝั่งซ้าย แต่ไปยืนรอลิฟท์กันทางฝั่งขวาหมดทุกคน ในใจคุณอันคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องยืนรอนาน จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทางฝั่งซ้ายทันที คุณอันกดที่ชั้นเก้าเหมือนเดิม

เชือกสลิงดึงลิฟท์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ชั่นสี่ แล้วประตูก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก คุณอันมองออกไปที่หน้าลิฟท์ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ จึงกดปุ่มปิดลิฟท์ แต่ประตูกลับค้างไม่ยอมปิด

ในขณะที่คุณอันกำลังพยายามกดปิด อยู่ๆก็มีพนักงานผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในลิฟท์ ทำให้คุณอันตกใจเล็กน้อย เพราะตอนแรกก็ไม่ได้เห็นว่ามีใครยืนรอลิฟท์อยู่ แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเลื่อนปิด คุนอันจึงถามว่า “ส่งเงินที่ชั้นเก้าใช่มั้ยคะ” แต่หนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองคุณอัน

ลิฟท์ค่อยๆเลื่อนขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนไปถึงชั้นเก้า ประตูเลื่อนเปิดออก คุณอันยืนกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ค้างไว้ เพื่อรอให้ผู้ร่วมทางเดินออกไปก่อน แต่พนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง สายตาเหม่อลอย แสดงใบหน้าเรียบเฉย

คุณอันถามว่า “ออกมั้ยคะพี่” ไร้การโต้ตอบใดๆอีกเช่นเคย นอกจากสีหน้าเรียบเฉยที่ไร้ชีวิตชีวา คุณอันจึงเดินออกจากลิฟท์ด้วยความสงสัย ว่าเธอคนนั้นเป็นอะไร ทำไมถึงไม่ยอมคุยกันกับเราด้วย

หลังจากที่เดินออกมาจากลิฟท์ได้สามถึงสี่ก้าว เสียงประตูลิฟท์ที่กำลังเลื่อนปิด ก็ดังขึ้นข้างหลัง คุณอันจึงหันกลับไปมอง ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับตัว จนประตูลิฟท์ปิดลง รปภ ที่ประจำอยู่หน้าลิฟท์ก็มองคุณอันแบบแปลกๆ

ถึงคุณอันจะยังไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์นี้ แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน จากนั้นก็เดินมารอลิฟท์ที่จุดเดิม รปภ หน้าลิฟท์ก็ถามคุณอันว่า “หนูเห็นอะไรเหรอ” คุณอันตอบว่า “หนูเห็นพี่คนนึงเค้าอยู่ในลิฟท์ แต่เค้าไม่ยอมออก” รปภ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มตอบคุณอันเบาๆ

ตกอีกวันหนึ่ง คุณอันเจอกับลุง รปภ ที่ชั้นล่างของห้าง รปภ ถามคุณอันว่า “หนู เมื่อคืนเห็นอะไร” คุณอันนึกย้อนไปถึงเมื่อคืน ตอนที่ขึ้นไปส่งเงิน จึงบอกกับ รปภ ว่า “หนูเห็นแคชเชียร์คนนึงค่ะ เค้าแปลกๆอ่ะค่ะ เค้าไม่พูดกับหนู” รปภ ก็บอกว่า “อืมม เหรอ ทีหลังก็ขึ้นอีกฝั่งนะ”

ด้วยความสงสัย คุณอันจึงไปถามหัวหน้าที่คุมอยู่ในโซนชั้นที่คุณอันทำงานอยู่ หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่ห้างแห่งนี้เปิดมาได้ประมาณสองปี มีแคชเชียร์คนนึงขึ้นไปส่งเงินในเวลาดึก แต่ รปภ ที่คุมลิฟท์อยู่ไม่รู้ จึงได้สับสวิตช์ไฟของลิฟท์ลง

ทำให้แคชเชียร์ขาดอากาศหายใจตายอยู่ในลิฟท์ สภาพศพค่อนข้างหน้ากลัว ตาเหลือก อ้าปากค้าง ฉีกเงินกระจุยกระจาย จนเล็บหลุดออกเป็นแผ่นๆ ข้างฝาลิฟท์มีแต่รอยเลือด เหมือนกับว่าพยายามใช้มือที่เปื้อนเลือด ตบไปรอบๆลิฟท์ ผนักงานที่ทำงานอยู่ที่นั่น จะไม่มีใครกล้าใช้ลิฟท์ตัวนี้ ในเวลากลางคืน

หลังจากที่คุณอันรู้เรื่องนี้เข้า ก็รู้สึกขนลุกตั้งทันที ภาพของผู้หญิงที่เจอในลิฟท์ ผุดขึ้นมาในหัว คิดว่าดีเท่าไหร่แล้วที่เค้าไม่ออกมาให้เห็นในสภาพอื่น แต่ก็ยังพยายามไม่คิดมาก เพราะยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ แต่เลื่อนมาใช้ลิฟท์อีกตัวแทน เพราะนึกภาพที่ข้างฝาลิฟท์ที่เต็มไปด้วยรอยมือเปื้อนเลือด ก็แทบไม่อยากจะเดินเข้าใกล้

หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ คุณอันขึ้นไปส่งเงินปกติ เห็นผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กอายุประมาณหกขวบ ถือเบียร์สองขวด เดินขึ้นลิฟท์มาด้วย

วันนั้นคุณอันขึ้นไปส่งเงินช้า ส่วนมากคนอื่นๆจะส่งเงินกันเสร็จหมดแล้ว คุณอันก็เกิดความสงสัย ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะไปที่ไหน ถ้าจะไปที่โรงหนัง ต้องไปขึ้นลิฟท์อีกที่หนึ่ง พอลิฟท์เปิดที่ชั้นเก้า

สองพ่อลูกก็เดินออกจากลิฟท์ แล้ววกไปขึ้นบันไดข้างๆโต๊ะของ รปภ คุณอันก็มองตามอย่างงงๆ ว่าสองคนนั้นกำลังจะไปไหน แล้วทำไม รปภ ถึงไม่ห้าม รปภ ก็หันมามองหน้าคุณอันแล้วพูดว่า “เห็นเหรอ” คุณตอบว่า “ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะลุง”

รปภ ตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก เค้าก็มาแบบนี้ทุกวันแหละ ไปส่งเงินเถอะ” คุณอันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน หลังจากส่งเงินเสร็จแล้ว คุณอันก็ออกมาถามทันทีว่ามันคืออะไร

รปภ จึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว มีพนักงานแคชเชียร์ของที่นี่คนหนึ่ง ลาออกจากงาน แล้วหนีไปอยู่กับแฟนใหม่ สามีจึงหอบลูกมาตามหา แต่พอทราบว่าแฟนขอตนเองได้ลาออกจากที่นี่ไปแล้วก็รู้สึกเครียด ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

จึงซื้อเบียร์มานั่งดื่มรอแฟนที่นี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ซื้อเบียร์แอบขึ้นไปนั่งกินบนดาดฟ้ากับลูก แล้วจับลูกกระโดดลงไปข้างล่างด้วยกัน รปภ บอกอีกว่าผู้ชายคนนี้กับลูกจะต้องมาในเวลาเดิมทุกวัน บางวันก็เห็น บางวันก็ไม่เห็น ถ้าวันไหนเห็นเข้า ก็ทำทีว่ามองไม่เห็น

และอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์พอดี เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเพลียมาก เนื่องจากคนเยอะ ประกอบกับที่ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ช่วงคนเริ่มซาๆ จึงขอน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ขึ้นไปนั่งทานข้าวที่ชั้นสาม บนชั้นสามก่อนจะเข้าห้องอาหาร จะเป็นโซนขายเสื้อผ้าเด็ก และของเล่นเด็ก

ระหว่างที่คุณอันกำลังเดินผ่าน ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึง นั่งเล่นอยู่คนเดียว ด้วยความที่คุณอันเป็นคนรักเด็ก คิดในใจว่าเด็กคนนี้น่ารักจัง หลังจากทานอะไรเสร็จก็ลงมาที่ร้านต่อ จนเวลาล่วงไปถึงสองทุ่ม เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ยอดขายกลับไม่ดีเท่าที่ควร

ช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า คุณอันก็ได้เดินไปเข้าห้องน้ำ คนยืนต่อคิวกันเข้าห้องน้ำกันเยอะมาก เพราะเป็นช่วงสงกรานต์ แต่คุณอันสังเกตเห็นห้องหนึ่งที่ไม่มีคนใช้ เพราะประตูมันปิดไม่สนิท จึงลองผลักประตูเข้าไปดู

ปรากฏว่าเห็นเข้ากับเด็กผู้ชายตัวสีดำๆ นั่งยองๆอยู่บนฝาชักโครก คุณอันตกใจ รีบปล่อยมือถอยหลังออกห่างจากประตูห้องน้ำ แต่ด้วยความที่กำลังเหนื่อย จนทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่ากลัว จึงพูดขึ้นในใจว่า “พี่เหนื่อย ขอพี่ฉี่ก่อนได้มั้ย ถ้าอยากกินขนมอะไรอ่ะ ไปเรียกลูกค้าเข้าร้านพี่ ถ้าได้หมื่นนึงอ่ะ พี่จัดชุดใหญ่ให้เลย”

คุณอันค่อยๆผลักประตูเข้าไปช้าๆ ฝาชักโครกที่มันปิดอยู่ ตอนนี้กลับเปิดอ้าขึ้นเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยกลัว แต่ก็ยังรู้สึกระแวงอยู่หน่อยๆ ดีที่มีคนในห้องน้ำเยอะ คุณอันจึงเข้าไปทำกิจด้วยอาการขนลุกตั้ง แต่วันนั้น ยอดขายได้เกินหมื่นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่น่าเชื่อ จึงจัดชุดใหญ่ให้ตามที่เคยบอกไว้

คุณอันอยากรู้ประวัติของเด็กคนนั้น จึงไปถามคนในแผนกกีฬาที่อยู่ข้างๆ ได้ความว่า มีเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แต่จะอยู่แค่ในแผนกของเล่น ถ้าผนักงานในแผนกคนไหน ทุจริตหรือขโมยของแม้แต่ชิ้นเดียว เด็กคนนี้จะตามไปถึงที่บ้าน จนอยู่ทำงานที่นี่ต่อไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ‎ คุณอัน

The Shock เรื่อง ใครในห้อง - คุณพลอย



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านพระรามสี่ และเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่กี่วันที่ผ่านมา บ้านของคุณพลอยเป็นลักษณะของตึกแถวสามชั้น แต่ละชั้นจะมีสองห้อง คือฝั่งหน้าและฝั่งหลัง มีบันไดอยู่กลางบ้าน

วันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณพลอยนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นสองกับน้องชาย และได้ใช้ให้น้องชายลงไปหยิบน้ำในตู้เย็นที่อยู่ชั้นล่างขึ้นมา น้องชายก็ออกจากห้องหายไปสักพัก ก็เปิดประตูเข้ามา แล้วชงักอยู่หน้าประตู จ้องมาที่คุณพลอยด้วยดวงตาเบิกโพลง

คุณพลอยมองน้องชายด้วยความสงสัย แล้วถามว่า “ว่าเป็นอะไร” น้องชายก็ค่อยๆเดินเข้ามาในห้อง แล้วมาแตะที่ตัวของคุณพลอย พร้อมกับถามว่า “ตัวจริงป๊ะเนี่ย” ทำให้คุณพลอยยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ น้องชายก็เดินไปล็อกประตูห้อง แล้วใช้ไม้ถูพื้นยันประตูไว้อีกที

เสร็จแล้วก็เดินมานั่งข้างๆคุณพลอยแล้วพูดว่า “เมื่อกี้อ่ะ ตอนที่ลงไปเอาน้ำ แล้วเดินขึ้นมาชั้นสอง เห็นพี่พลอย นั่งก้มหน้าอยู่ข้างในอีกห้องหนึ่ง ที่แง้มๆประตูไว้อ่ะ ก็เลยคิดว่าพี่ไปเล่นอยู่อีกห้อง พอเปิดประตูเข้ามาในห้องนี้แล้วเห็นพี่อยู่ ก็เลยตกใจ” คุณพลอยรู้สึกขนลุกไปทั่วตัว น้องชายจึงเอาแต่นั่งเงียบ

และก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นไปดู ว่าความจริงแล้ว ใครกันแน่ ที่นั่งอยู่ในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง คุณพลอยจึงคิดว่าปิดไฟนอนกันดีกว่า เพราะตอนนั้นทั้งบ้านอยู่กันแค่สองคน

แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรก เพราะคุณพลอยและคนอื่นๆ มักจะเห็นคนที่อาศัยอยู่ในบ้านนี้ ในตอนที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในบ้าน เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ คุณย่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้กับบันไดทางขึ้นชั้นสอง ก็เห็นคุณแม่ชะเง้อหน้าโผล่ออกมาจากราวบันไดชั้นสอง ทั้งๆที่เวลานั้น คุณแม่ออกไปทำงานแล้ว มีแต่คุณย่าอยู่ที่บ้านคนเดียว

เหตุการณ์ต่อมา คุณพ่อกำลังเดินเข้าบ้าน ก็เห็นคุณพลอยกำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง คุณพ่อจัดของเสร็จแล้วก็ขึ้นไปบนบ้าน แต่ก็ไม่เจอใคร จึงได้โทรตามคุณพลอย แต่ปรากฏว่าตอนนั้น คุณพลอยอยู่ที่บ้านเพื่อน

และไม่กี่วันถัดมา คุณพลอยเดินลงมาหยิบน้ำที่ตู้เย็นชั้นหนึ่ง ก็เห็นคุณย่ายืนหันหลังอยู่ในห้องครัวหลังบ้าน และก็ได้เดินกลับขึ้นไปบนชั้นสอง แล้วมาฉุดคิดขึ้นได้ว่า ตอนนี้คุณย่าอยู่ข้างนอกกับคุณแม่ แล้วทั้งบ้านมีแค่คุณพลอยอยู่คนเดียว จึงได้รีบวิ่งลงมาดูในห้องครัว แต่ก็ไม่พบใคร

และตอนเย็นของวันหนึ่ง คุณแม่นอนดูทีวีอยู่ในห้องนอนชั้นสามคนเดียว ได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าห้อง แต่วันนั้นคุณแม่อยู่บ้านคนเดียว จึงได้เดินไปแง้มประตูออกมาดู ก็เห็นคุณพ่อกำลังเดินลงบันได จึงได้เดินตามลงไปหาดู แต่ก็ไม่เจอใครอยู่ในบ้าน

ส่วนน้องชาย ตอนนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืน ได้ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำจะอยู่ที่ชั้นสอง แต่ได้ยินเสียงคนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ชั้นหนึ่ง จึงได้เดินลงไปดู เห็นคุณพลอยยืนอยู่ในห้องครัวมืดๆคนเดียว จึงเดินไปเปิดไฟ แต่พอไฟสว่างขึ้น กลับไม่เห็นใครอยู่ในห้องครัว

พอเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆเข้า คุณพลอยจึงปรึกษากับคุณพ่อ คุณพ่อก็บอกว่า คงจะเป็นเจ้าที่ แต่ที่ท่านให้เห็นเป็นคนในบ้าน ก็คงเพราะไม่อยากให้ตกใจกลัว เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า อายุประมาณสี่สิบปี และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณพลอย

The Shock เรื่อง คืนงัดโลง - คุณชุง



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา หลังจากที่คุณชุงเรียนจบ ป.6 คุณพ่อได้ให้คุณชุงไปบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ้าน คุณชุงบวชอยู่ที่นี่ประมาณห้าปี จึงได้สึกออกมา

ช่วงนั้นที่วัดกำลังเตรียมจัดงานเทศกาลใหญ่ คุณชุงก็ได้ไปช่วยเณรเตรียมงานต่างๆภายในวัด โดยหลวงพ่อให้เอาผ้าสี ไปขึงไว้แถวๆเมรุเผาศพ หลังจากขึงผ้าเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ก็ได้พากันเดินไปเล่นแถวๆโกดังเก็บศพ

แถวๆบริเวณโกดังเก็บศพ จะเป็นที่เล่นประจำของคุณชุงและเพื่อนๆสามเณร ช่วงหลังๆมีการปลูกสร้างคอนโดขึ้นที่ข้างๆวัด ทางวัดจึงทยอยเอาศพออกจากโกดัง จนเหลืออยู่ศพหนึ่ง ซึ่งคุณชุงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกย้ายออกไปที่อื่น

ตอนนั้นคุณชุงและสามเณรอีกสองรูป เกิดคิดพิเรนกันขึ้น พยายามจะงัดโลงออกมาดู เพราะอยากรู้ว่าจะมีศพอยู่ข้างในหรือเปล่า จึงได้ไปดึงราวตากผ้าที่หลังกุฏิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการงัด

พอเปิดประตูช่องเก็บศพ คุณชุงก็ใช้ราวตากผ้าที่เป็นท่อนเหล็ก งัดฝาโลงขึ้น งัดไปงัดมา ฝาโลงเกิดแตกจนมันเปิดอ้าออก แต่ก็เปิดขึ้นได้แค่ประมาณคืบเดียว เพราะจะติดเพดานช่องเก็บศพ

คุณชุงมองเข้าไปในโลง แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่ความมืด ประกอบกับช่วงนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มที เพื่อนเณรยื่นไฟแช็คให้ แล้วบอกให้คุณชุงใช้จุดส่องดู คุณชุงก็รับไฟแช็คมา แล้วยื่นมือเข้าไปในโลงศพ แล้วจุดไฟแช็ค

ภาพที่เห็นทำให้คุณชุงร้องอุทาน พร้อมกับชักมือกลับออกมาทันที สิ่งที่เห็นคือซากศพแห้งๆ ที่นอนพนมมืออยู่ในโลง ด้วยความตกใจ คุณชุงรีบวิ่งกลับไปที่ศาลาการเปรียญ โดยมีเพื่อนเณรทั้งสองรูป วิ่งตามหลังมาติดๆ

เวลาย่างเข้าหนึ่งทุ่ม คุณชุงเดินกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อได้ไปช่วยงานที่วัดจนดึก ที่บ้านจะเหลือเพียงแค่น้าชายคนเดียว คุณชุงเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลากี่โมง ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง “ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ” อยู่แถวๆปลายเตียง

คุณชุงพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะว่าลืมตาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กดทับที่เปลือกตาไว้ เสียงปริศนามันเริ่มขยับมาดังอยู่ตรงข้างๆเตียง จนคุณชุนต้องใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออก เพื่อจะดูว่ามันคืออะไรกันแน่

ภาพที่คุณชุงเห็นก็คือ ซาพศพแห้งๆ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ลักษณะพนมมือมัดตราสัง โน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวเดินเหมือนคนที่กำลังอิดโรย คุณชุงตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนลั่นเหมือนคนสติแตก แต่เสียงกลับอยู่แค่ในลำคอ

สิ่งนั้นเดินวนไปมารอบๆห้องอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าสนใจคุณชุงเลย คุณชุงนอนมองอยู่นานพอ จนสามารถเห็นทุกส่วนของศพได้ชัดเจน ลูกกะตาลึกโบ๋ จมูกเห็นเป็นเพียงแค่สันบางๆ ไม่มีริมฝีปาก จึงทำให้เห็นฟังสีเหลือง ที่เรียงซี่กันอย่างสวยงาม

ช่วงลำตัวเห็นเป็นซากหนังแห้งๆสีเทา หุ้มโครงกระดูกกะหร่อง เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับว่าพร้อมที่จะล้มกองลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ คุณชุนทนมองภาพอันน่าขนลุกต่อไปไม่ไหว รวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ตะโกนเรียกน้าชายลั่นห้อง จนเสียงสามารถหลุดออกมาจากลำคอได้

ไม่กี่อึดใจต่อมา น้าชายก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่ร่างอันน่าขนลุกนั่นค่อยๆหายไป คุณชุงลุกพรวดขึ้นจากเตียง บอกกับน้าชายว่า โดนผีหลอก และขอให้น้าชายอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า

วันต่อมา คุณชุงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จึงรีบไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด และไปเจอเข้ากับเพื่อนเณรก่อน เพื่อนเณรก็บอกว่าเจอเหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนที่กำลังเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัด

เห็นศพแห้งๆที่อยู่ในโกงดัง ยืนขย่มอยู่บนต้นโพธิ์ข้างห้องน้ำ แล้วค่อยๆใต้ลงมาจากต้นโพธิ์ เพื่อนเณรจึงรีบวิ่งกลับเข้ากุฏิ ส่วนเพื่อนเณรอีกคนนอนจับไข้อยู่ในกุฏิ คุณชุงก็ได้เข้าไปหา

เพื่อนเณรจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่กำลังจะนอน ได้ยินเสียงคนเคาะที่หน้าต่างกุฏิ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ปรากฏว่าเห็นศพแห้งๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่หัวเป็นสุนัขดำ มีน้ำลายเหนียวๆ ยืดออกมาจากปาก

เมื่อหลวงพ่อทราบเรื่อง จึงได้ให้จัดเครื่องเซ่นคาวหวาน ไปขอขมาที่หน้าโกดังเก็บศพ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : คุณชุง

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .