===Not Click=== ===Not Click===

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 5 โดย ธีร์ วรรณกร






“เมื่อห้าปีก่อน….มีครูดนตรีอยู่คนหนึ่งแกชื่อครูอุทัยครับ แกเป็นครูหนุ่มไฟแรงเหมือนกับคุณครูนี่แหละ แกได้ย้ายมาจากโรงเรียนอำเภออื่นมาอยู่ที่นี่ทำการสอนที่นี่ได้ประมาณหลายเดือนอยู่ครับ จนแกก็สามารถสร้างวงโปงลางของโรงเรียนขึ้นมาได้จากความเพียรพยายามของแก

พาไปแข่งที่ไหนๆก็ชนะบ้างได้รองแชมป์บ้างไปตามงานตามเรื่องจนเป็นหน้าเป็นตาแก่สถาบัน แต่แล้ว…แกก็อายุสั้นนะครับ ตายตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นอายุแค่สามสิบต้นๆเอง…”

“แกเป็นอะไรหรือครับลุงถึงได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร?” เมื่อเห็นว่าลุงแกเงียบไปวีระเลยถามแทรกขึ้น ชายอาวุโสในตำแหน่งยามของโรงเรียนถอนหายใจเล็กน้อยพลางเล่าต่อในอาการเดิมมาว่า

“แกตายเพราะเรื่องยอดหญิงประโลมใจของแกน่ะครับ ตายเพราะความรักแท้ๆ….. ผู้หญิงคนที่ว่านี่ก็คือ “ครูจินดา” ครับ!!”

ครูหนุ่มผงะเล็กน้อยอย่างสะดุดใจกับคำๆนี้และเริ่มที่จะประติดประต่อเรื่องราวกันได้แต่ก็มิได้ปริปากว่าคำใดได้แต่นั่งฟังลุงยามแกเล่าต่อไปอยู่เช่นนั้น

“ครูจินดานี่เธอเป็นคนสวยนะครับครู สวยมากๆ เป็นลูกสาวของครูใหญ่อีกซะด้วย มีครูหนุ่มๆหลายคนมาจีบมาทักแต่เธอก็ไม่ได้ลงเอยกับใคร แต่เมื่อมาพบครูอุทัยเข้าสงสัยคงได้ทำบุญด้วยกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งสองคนจึงตกลงคบหาดูใจกันครับ และด้วยเหตุที่ว่าครูจินดาเธอเป็นครูนาฏศิลป์นี่แหละ การแวะเวียนไปมาหาสู่กันระหว่างครูอุทัยกับเธอจึงง่ายดายมาก เพราะเมื่อวงซ้อมใหญ่ในงานพิธีต่างๆทั้งสองคนก็จะช่วยกันดูแลเด็กๆนักเรียนคุมเด็กด้วยกันเป็นประจำ ซึ่งทั้งสองคนรักกันมากครับไอ้เรื่องทะเลาะก็มีบ้างเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจกันได้ดี

แต่พ่อเธอที่เป็นครูใหญ่นี่สิครับแกดันหวงลูกสาวทุกครั้งไป ทั้งยังต่อว่าเธอกับครูอุทัยแทบจะไม่ไว้หน้ากัน ด้วยเหตุผลแค่เพียงว่าครูใหญ่แกไม่ชอบหน้าครูอุทัยแค่นั้นเองครับ และยังกล่าวหาเหมือนกับคนที่มีความรู้ไม่สมกับเป็นครูใหญ่อีกนะครับว่าครูอุทัยนั้นแย่งความรักของลูกไปจากตนเองซึ่งไม่สมเหตุสมผลกันซะเลย

นั่นแหละครับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาครูอุทัยแกก็โดนด่า โดนใส่ร้าย โดนกดดันตลอดจากฝ่ายของครูใหญ่ที่ร่วมมือกัน จนสุดท้ายทั้งสองคนก็ถูกครูใหญ่เรียกพบไปต่อว่าถึงในห้องอีกครั้งจะรุนแรงแค่ไหนอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ รู้แต่เพียงว่าให้ทั้งสองเลิกคบหากันซะไม่อย่างนั้นครูอุทัยจะโดนเล่นงานหนักกว่านี้แน่ ซึ่งทั้งสองเสียใจมากครับร้องไห้พร่ำรำพันด้วยกันแทบจะขาดใจ

หลังจากนั้นแหละครับก็มีข่าวว่าพบศพครูอุทัยนอนตายอยู่ในห้องดนตรี สภาพศพพบรอยมีดกรีดที่ข้อมือและหน้าอกตรงหัวใจเป็นแผลลึกซึ่งตรงอกข้างซ้ายนั้นเป็นรูปกากบาทซึ่งผมก็คาดเดาเองนะครับว่าครูอุทัยแกน่ะตรอมใจตายหลังจากที่ทรมานตนเอง และเขายังบอกอีกว่าแกกอดซอและรูปถ่ายของครูจินดาไว้กับมือทั้งสองข้างแน่นเลยนะครับ

ส่วนครูจินดานั้นก็มีข่าวว่าเธอตายอยู่หน้าห้องนาฏศิลป์ครับ ด้วยการดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไป สภาพศพนั้นเธอนอนน้ำลายฟูมปาก ตาค้างมีคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาอย่างเห็นได้ชัด ข้างๆศพพบว่ามีขวดยา เสื้อและเครื่องแต่งกายในชุดที่เธอรักและชอบใส่ในงานร่ายรำวางไว้ด้วย รวมถึงมือข้างซ้ายของเธอก็ถือรูปของครูอุทัยแนบไว้กับอกตรงกับหัวใจอีกนะครับครู

นี่แหละครับที่ผมบอกว่าเขาทั้งคู่น่าสงสารล่ะ และหลังจากนั้นมาตอนกลางคืนก็จะมีคนเห็นวิญญาณของทั้งสองคนมาปรากฏกายอยู่ที่ๆตนเองตายเป็นประจำเสมอทุกครั้งแหละครับ และโดยเฉพาะวันศุกร์นี่แหละครับจะแรงหน่อยเพราะเป็นวันที่ทั้งคู่ตัดสินใจทรมานปลิดชีวิตตัวเองพอดีซึ่งทั้งสองก็ตายในเวลาเดียวกันและวันเดียวกันด้วยนั่นเองครับครู… นี่แหละครับที่มาของเหตุการณ์ที่เราเจอทั้งหมดล่ะ…”

วีระนิ่งอึ้งไปชั่วขณะในทันทีนั้นเมื่อฟังเรื่องราวอันเป็นเหตุแห่งการปรากฏกายของวิญญาณอันทรมานจากความรัก ซึ่งเขาและลุงยามได้ประสบพบเจอมาเมื่อหยกๆนั้นจบ จิตใจของเขาเริ่มสลดลงและรู้สึกเวทนากับเรื่องราวของทั้งสองคนคู่รักนี้เป็นอย่างยิ่ง มันช่างเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจอะไรเช่นนี้

“ลุงครับ….แล้วครูใหญ่พ่อของครูจินดาล่ะ หลังจากที่ทราบข่าวท่านมีท่าทีอย่างไรบ้าง?” ครูหนุ่มถามขึ้น

“ครูใหญ่น่ะเหรอ….แกก็เครียดและเสียใจมากน่ะสิครับไม่เป็นอันทำการทำงานหม่นหมองใจตลอด…และในที่สุดแกก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยปืนลูกโม่คาบ้านของแกเองนั่นแหละครับครู สรุปแล้วก็…มีคนตายกับเรื่องนี้ถึงสามคนนั่นเองครับ… และอยากบอกไว้นะครับว่าที่ผมรู้เรื่องนี้ได้ก็เพราะข่าวนี้มันดังไปทั่วอำเภอเลยก็ว่าได้เลยครับในสมัยนั้นซึ่งผมเป็นยามก็เหมือนอยู่ในรั้วของสถาบันล้วนรู้เห็นอะไรมากมายๆหลายๆอย่างได้ดีเลยทีเดียวแหละครับ”

วีระพยักหน้าเนิบๆอย่างเข้าใจแล้วก็พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างปลงสังเวช ความรักหนอความรักบางทีมันก็ทำให้เกิดความสูญเสียได้เช่นกันแม้ว่ามันจะสวยงามสักเพียงใดก็ตาม….

ในคืนนั้นทั้งวีระและลุงยามต่างก็ไม่มีใครหลับลงแม้แต่สักคนเดียว เพราะจะหลับตานอนครั้งใดภาพอันน่ากลัวและสยดสยองของวิญญาณทั้งสองคนคู่รักนั้นยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกครา

จึงได้แต่นั่งดูโทรทัศน์ที่มีอยู่ในป้อมจนถึงเช้า

ในวันจันทร์ต่อมา ครูวีระนั้นไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะจิตใจและสมองของเขานั้นมัวแต่คิดและตัดสินใจยังไม่ได้เด็ดขาดนักว่าจะทำอย่างไรกันแน่เพื่อจะให้วิญญาณของทั้งครูอุทัยและครูจินดาหลุดพ้นจากการวนเวียนในวิบากกรรมอยู่เช่นนี้ไปได้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ตระหนักได้ว่าวิญญาณต้องการอะไรถึงมาสื่อหรือปรากฏกายให้เห็นในสภาพการวนเวียนชดใช้กรรมอยู่อย่างที่เห็นมานั้น สุดท้ายเขาจึงต้องปรึกษากับลุงยามอีกครั้งจนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะนำเสนอถึงผู้บริหารซึ่งจะจัดให้มีการทำบุญใหญ่ให้กับดวงวิญญาณของผู้ที่ทรมานในความรักทั้งสองซึ่งจิตใจยังผูกพันอาวรณ์กันอยู่

“เอาแบบนี้แน่ใช่มั้ยลุง?” ครูหนุ่มถามขึ้น

“ครับครู…อย่างไรเสียผมรับรองว่า ครูใหญ่ท่านนี้จะรับฟังความคิดเห็นเราแน่ๆครับ”

ทั้งสองพยักหน้าให้แก่กันอันเป็นความหมายว่าให้พร้อมใจกันไป ณ ที่ใดอันรู้อยู่แก่ใจดี แล้วก็ต่างเดินเคียงกันมุ่งหน้าไปยังที่หมายนั้นทันที

ณ ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งสองคนเข้าไปพบกับท่าน ผอ. ด้วยอาการที่สุภาพและสงบ ทั้งคู่เล่าถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาพบโดยมิได้นัดหมายในครั้งนี้จนหมดสิ้นซึ่งท่านผู้อำนวยการนั้นก็ยินดีรับฟังและเหมือนจะเข้าใจอะไรมามากมายอยู่ก่อนแล้วในที

“สรุปว่าวิญญาณของอุทัยกับจินดายังอยู่อย่างนั้นเหรอลุงพร?” ท่านผอ.ถามไปยังคนยามอาวุโสอย่างราบเรียบ ซึ่งลุงแกก็ยืนยันรับคำหนักแน่น

“อืม…เฮ้อ…!!! ในฐานะที่ผมมีศักดิ์เป็นอาของจินดาน่ะนะ ผมก็เห็นใจเธอกับอุทัยเหมือนกัน พี่สุนทรแกก็ไม่น่าจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองไร้เหตุผลไปถึงเพียงนี้เลย จนสุดท้ายลูกสาวตัวเองก็ต้องมาตายพร้อมกับคนรัก มิหนำซ้ำพี่แกก็ยังมายิงตัวเองตายอีก…ผมล่ะสังเวชใจจริงๆ…”

ท่านผู้อำนวยการพูดพร้อมกับโคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจมีอาการสลดเล็กน้อย

“ท่านผอ.ครับ…แล้วตกลงท่านว่าอย่างไรหรือครับท่าน? พอจะรับพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ไว้ได้หรือไม่ครับ?” ครูวีระถามขึ้นอย่างนอบน้อม

“อ่ะ…งั้นก็ได้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่หวังดีของคุณและมันก็จะเกิดความดีงามความเป็นสิริมงคลต่อโรงเรียนมากขึ้นรวมถึงให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่ภพที่ดีๆด้วย ผมรับข้อเสนอนี้และอนุมัติให้…”

จบประโยคทั้งลุงยามและครูหนุ่มก็ยิ้มหน้าระรื่นและโล่งใจขึ้นเป็นกอง ต่างก็ดีใจกันอย่างเหลือล้นและแอบส่งสายตาแห่งความสำเร็จให้แก่กันอย่างเงียบๆ

วีระทำการเขียนคำร้องขอเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการจัดงานมงคลในโรงเรียนขึ้นแล้วส่งเสนอท่านผู้อำนวยการเพื่อให้เป็นทางการอีกครั้งหลังจากที่ได้เข้าไปพูดคุยกับท่านแล้ว

ซึ่งก็ได้รับการเซ็นอนุมัติมาได้โดยง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานทางผู้บริหารก็เรียกประชุมคณะบุคลากรทางการศึกษาทุกคนทุกฝ่ายให้ได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ในการจัดงานทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งก็มิมีเสียงคัดค้านแต่อย่างใด เพราะทุกคนนั้นล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจและรู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นเช่นไรมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นอีกสองวันถัดมาทางโรงเรียนจึงได้ฤกษ์ดีจัดงานมงคลดังกล่าวขึ้นในวันนั้นอย่างยิ่งใหญ่ดั่งงานมหากุศลของวัดดังๆก็ไม่ปาน

ในงานทำบุญใหญ่ในโรงเรียนครั้งนี้ ทางโรงเรียนก็มีเต็นท์ตั้งโรงทานอาหารคาวหวานเครื่องดื่มมากมายหลายชนิดเต็มไปหมด โดยการร่วมมือกันของครูและเหล่านักเรียนจิตอาสาหลายๆคน ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเจ้านายระดับสูงจนลงมาถึงนักเรียนตัวน้อยๆม.ต้นนั้น ต่างก็เข้ามาร่วมงานกันอย่างล้นหลามเกินคาด ในงานนั้นจัดให้มีการทำบุญเลี้ยงพระ สวดส่งวิญญาณ

และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับทั้งสอง พร้อมกันนั้นก็ยังมีการปัดรังควานในห้องดนตรีและห้องนาฏศิลป์อีกด้วย

ในการสวดส่งวิญญาณและอุทิศส่วนกุศลนั้น ด้านหน้านั้นจะมีพระพุทธรูปพร้อมกับภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตทั้งสองตั้งเคียงกันไว้ใต้ฐานด้านข้างอีกด้วย และเบื้องล่างถัดมานั้นก็คือของใช้ที่เปรียบเสมือนสิ่งที่พันธนาการให้วิญญาณยังคงอยู่ไม่ไปไหน ได้ถูกนำมาวางเพื่อทำพิธีการสวดถอนและปลดปล่อยอีกด้วย ซึ่งของๆครูจินดานั้นคือเครื่องแต่งกายที่เธอใส่รำในงานใหญ่ๆในชุดการแสดงเป็นประจำอันได้แก่ เสื้อไหมสีฟ้า ผ้าแพรที่ใช้เป็นสไบ ปิ่นปักผม และผ้าซิ่นลวดลายวิจิตร ซึ่งทางวีระผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในงานนี้นั้นก็ทราบรายละเอียดอยู่ดีจากการพบเจอวิญญาณของเธอมาแล้วด้วยนั่นเอง

ส่วนของใช้ของครูอุทัยนั้นเห็นทีจะเป็นซอประจำกายตัวโปรดของแกเองนั่นแหละ ซึ่งวีระเองก็ได้ทราบภายหลังจากลุงยามอีกว่า ซอนี้มันถูกเก็บไว้ในกล่องบนตู้เก็บเอกสารของห้องที่มุมด้านในสุด ซึ่งครูหนุ่มนั้นก็ได้ทำการขอขมาขออนุญาตพร้อมกับนำซอคันนั้นลงมาจากที่ตรงนั้น แล้วจัดการปัดฝุ่นกล่องและเช็ดทำความสะอาดซอจนแลดูใหม่เอี่ยมไร้ที่ติ จากนั้นก็นำไปวางไว้เคียงกันกับของใช้ของครูจินดาในหอประชุมใหญ่อันเป็นสถานที่ทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้การประกอบพิธีสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมไม่บกพร่องนั่นเอง

ในขณะทำพิธีนั้นท้องฟ้าโปร่งใสแลดูสว่างจ้าอยู่ไม่น้อย ราวกับเป็นนิมิตหมายอันดีฉะนั้น เสียงพระสงฆ์ท่องบทสวดมนต์คาถาดังก้องไปทั่วทุกสารทิศในโรงเรียน ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก็อยู่ในอาการที่สงบนั่งพนมมือกันนิ่งราวกับหุ่นปั้น แต่แล้วเมื่อมาถึงตอนที่กำลังสวดส่งวิญญาณและอุทิศส่วนกุศลนั้นเอง จู่ๆก็มีลมพัดวูบเข้ามาในหอประชุมที่เปิดประตูโล่งไว้อย่างแรงราวกับเกิดพายุ

ครูวีระนั้นสัมผัสได้จากความรู้สึกลึกๆภายในได้แล้วว่าบัดนี้ดวงวิญญาณของคนทั้งสองคงจะได้รับรู้ถึงการทำบุญใหญ่เพื่ออุทิศให้แก่พวกเขาเหล่านั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเมื่อมาถึงช่วงถวายภัตตาหารเพลให้แก่พระภิกษุสงฆ์นั้นเอง ครูหนุ่มก็ได้เดินออกมาจากประตูหอประชุมเพื่อจะไปทำหน้าที่ประสานงานกับทางคณะผู้ใหญ่ให้ได้ทราบถึงลำดับพิธีการขั้นตอนของงานต่อไป ทันใดนั้นเองเมื่อเขาเดินมาถึงมุมของหอประชุมด้านหนึ่ง เขาก็ต้องชะงักหยุดยืนนิ่งจ้องพิจารณาภาพที่เห็นต่อหน้าแทบตาไม่กระพริบ

เพราะเมื่อมองไปยังด้านหน้าห้องหมวดดนตรีอันเป็นสถานที่ใกล้เคียงบริเวณทำพิธีนั้น เขาพบกับหญิงชายคู่หนึ่งอยู่ที่นั่น ทั้งๆที่ๆแห่งนั้นจัดได้ว่าปลอดคนที่สุดแล้วในช่วงเวลาแบบนี้

เขาใช้เวลามองร่างของคนทั้งคู่อยู่สักพัก ก็ทำให้ขนต้องลุกซู่…ไปทั่วทั้งร่างขึ้นมาในทันทีนั้นแต่ก็มิได้เกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใดผิดกับเมื่อครั้งแรกๆที่เจอ ใช่แล้ว….ทั้งหญิงและชายที่เขาได้พบนั้นคือร่างของครูอุทัยและครูจินดา กำลังสวมกอดแนบชิดกันอย่างหวานชื่นเป็นที่สุด ทั้งสองยิ้มให้แก่กันดวงตาเป็นประกายอย่างสมปรารถนาที่เสมือนว่ารอคอยมานานแสนนาน ดวงวิญญาณของครูจินดานั้นในยามนี้ไม่มีคราบแห่งความน่ากลัวเหลืออยู่เลย มีแต่ผิวพรรณที่งดงามเปล่งปลั่งดูอิ่มเอิบขาวนวลไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าก็ยิ้มแย้มสดใสดูสวยน่ารักอย่างเหลือที่จะบรรยาย

ครูอุทัยเองนั้นก็ดูดีมีเสน่ห์คมเข้มในกิริยาและใบหน้าอย่างเต็มไปด้วยความสมหวังและผลกุศลที่ได้อุทิศให้เช่นกัน ทั้งคู่นั้นยังคงสวมชุดที่ตนเองรักหรือจดจำในเมื่อครั้งก่อนเสียชีวิตอยู่ดังเดิม

จะต่างไปก็แต่ดูสวยงามและเปล่งปลั่งมากกว่าครั้งที่ยังทนทรมานอยู่นั่นเอง ซึ่งครูจินดานั้นเมื่อสวมชุดที่เธอรักเข้าอย่างเต็มยศ ก็ยิ่งแลดูสวยสะพรั่งเข้าไปอีกหลายสิบเท่า เสื้อไหมที่แวววับระยิบระยับล้อแสงกุศล รวมถึงชุดสีกากีในเครื่องแบบข้าราชการครูของครูอุทัยนั้น เมื่อยิ่งพิจารณาดูอย่างถนัดที่สุดแล้วก็เป็นที่แน่ใจได้แล้วว่า ดวงวิญญาณของคนทั้งคู่นั้นหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความทรมานมาพบกัน และน้อมรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลที่เขาและหลายคนๆทำการอุทิศให้จากใจจริงได้แล้วอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรอีกทั้งสิ้น

ร่างอันเป็นกายละเอียดของผู้ล่วงลับทั้งสองพูดกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมาอย่างหวานชื่นอยู่เช่นนั้น เขาตวัดอ้อมแขนสวมกอดรัดเอวของเธอ เธอก็สวมกอดคล้องคอของเขา แล้วทั้งสองก็โน้มใบหน้าเข้าหากันพร้อมกับจุมพิตอย่างดูดดื่มในรสรักเป็นที่สุด

วีระยืนมองภาพนั้นอยู่อีกมุมของสถานที่ทำพิธีอย่างยิ้มๆ และน้ำตาแห่งความปีติตื้นตันก็พลันไหลออกมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ครูหนุ่มยกมือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มในขณะที่สายตายังคงจ้องมองภาพนั้นอยู่ และแล้วร่างวิญญาณของคนทั้งสองก็คลายจูบนั้นออกจากกัน ค่อยๆหันหน้ามาทางเขา วีระสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง

ครูอุทัยและครูจินดามองมาที่เขาด้วยอาการที่เหมือนจะขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ พร้อมกันนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานลึกซึ้งแล้วโค้งศีรษะคำนับให้อย่างสุภาพ จนในที่สุดผู้วายชนม์อันเป็นกายละเอียดทั้งสองนั้นก็พลันค่อยๆยกมือขึ้นมา สูงกว่าระดับไหล่เล็กน้อย แล้วก็พลางโบกไปมาอย่างช้าๆเหมือนจะเป็นการอำลาไปสู่ภพภูมิอื่นที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะต้องไปสู่ที่แห่งนั้น

ครูวีระจ้องมองดวงวิญญาณของคู่รักอยู่ด้วยความรู้สึกที่ดีเหลือล้นเกินที่จะกล่าว พลางเขาก็ยิ้มตอบกลับแล้วโบกมืออำลาร่างของทั้งสองเช่นกัน และจนวินาทีสุดท้ายที่ได้พบกับภาพอันแสนที่จะตื้นตันโสมนัสในหัวใจนั้นเอง รูปกายของทั้งครูอุทัยและครูจินดาก็ค่อยๆเลือนรางจางหายไปอย่างช้าๆกับอากาศธาตุจนลับตา เหลือเพียงสถานที่อันโล่งว่างเปล่าแปนของมันอยู่เช่นเดิม


จบ