===Not Click=== ===Not Click===

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 4 โดย ธีร์ วรรณกร





และห้วงเวลาของสิ่งที่เขาให้คำนิยามกับมันว่าเป็นวันแห่งความน่าสะพรึงนั้นก็เคลื่อนคล้อยลอยละลิ่วเข้ามาอีกราวกับว่านาฬิกาจะเร่งรีบให้ถึงแค่วันนี้วันเดียวฉะนั้น ใช่แล้ว….วันศุกร์…วันที่เขาต้องเข้าเวรนอนและตรวจตราโรงเรียนประจำนั่นเอง…

ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงอยู่รอมร่อ ครูหนุ่มเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวของตนเองแล้วนั้นก็รีบบึ่งรถจักรยานยนต์คู่ใจเข้าสู่ประตูรั้วใหญ่ด้านหน้าโรงเรียนทันที เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ใต้ชายคาของที่จอดรถข้างป้อมยาม พร้อมกับนำสัมภาระที่เตรียมมาและอาหารเครื่องดื่มที่จำเป็นต่อมื้อเย็นมาวางไว้ที่ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใกล้ๆกับประตูป้อมยามอีกด้วย

และทันทีที่เขานั่งลงบนม้าหินอ่อนอีกตัวข้างๆกันอย่างสบายอารมณ์นั้นเอง ยามอาวุโสก็เดินออกมาจากประตูป้อมพร้อมกับกล่าวทักทายต้อนรับอย่างเป็นกันเอง วีระนั้นก็พูดจาพาทีตามผู้ที่มีอัธยาศัยดีอยู่เสียเพลินปาก จนกระทั่งทั้งสองก็ชวนกันรับประทานอาหารด้วยกันที่ต่างก็เตรียมกันมาอย่างออกรส ทานไปก็คุยเรื่องนาๆจิปาถะไปพลางอย่างคุ้นเคย

เวลายามราตรีก็คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วน่าแปลกในคืนวันนี้ อากาศหนาวๆเย็นๆพิลึก โรงเรียนทั้งโรงเรียนก็เงียบสงัดราวกับเป่าสาก มีเพียงพวกเสียงจิ้งหรีดที่ส่งเสียงร้องยามกลางคืนบอกอาณาเขตของมันอยู่เป็นระยะๆ

ตัววีระเองนั้นก็รู้สึกได้ว่าคืนนี้มีอะไรที่แปลกๆเช่นกัน เพราะตั้งแต่ที่เขาเจอเรื่องผีๆสางๆที่ห้องในวันนั้นมาจนถึงหนที่สองที่ต้องเข้าเวรในครั้งนี้นั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะเฉียดเข้าไปนอนในห้องหมวดใกล้ห้องดนตรีอีกเลย และยิ่งคิดถึงเมื่อตอนเจอในฝันกลางวันแสกๆอีกก็ยิ่งทำให้เขาต้องปอดเข้าไปใหญ่ จนได้มาอาศัยนอนเวรกับลุงยามที่ป้อมนี่แหละ และบรรยากาศในค่ำคืนนี้ก็น่ากลัวกว่าคืนแรกที่เขาได้มาทำหน้าที่เข้าเวรอีกเสียด้วยสิ

ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่จะต้องทำการออกตรวจตราบริเวณโรงเรียนของทั้งสองคนซึ่งก็หมายถึงลุงยามและเขา ดังนั้นแล้วทั้งครูหนุ่มและคนยามอาวุโสก็พยักหน้าชวนกันออกทำหน้าที่อย่างไม่อาจละเลยได้ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับเดินฝ่าดงหมอกและความหนาวสะท้านของยามกลางคืน ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกเพราะทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆแต่เหตุใดอากาศถึงได้เย็นเฉียบถึงเพียงนี้ได้
ดวงเดือนบนฟ้าสว่างแจ้งเต็มดวงสวยงามส่องให้เห็นอะไรๆได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมทั้งบวกกับแสงหลอดไฟจากเสาตามทางเดินของโรงเรียนแล้วนั้นก็ยิ่งทำให้สว่างชัดเจนในทุกสิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งสองพากันเดินตรวจตราไปตามห้องและอาคารต่างๆอย่างช้าๆเหมือนที่เคยทำ จนกระทั่งผ่านมาถึงจุดที่ครูวีระไม่กล้าเข้าใกล้ในตอนค่ำคืนเป็นที่สุดซึ่งนั่นก็คือโซนของด้านห้องดนตรีนั่นเอง และในขณะที่เขาและลุงยามกำลังเดินไปตามทางเพื่อมุ่งเข้าสู่ด้านหน้าของตัวอาคารนั้นเอง ทั้งคู่ก็ต้องหยุดเดินชะงักกึกหันมามองหน้ากันอย่างเสียไม่ได้ เพราะเมื่อเดินมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทางที่จะเข้าสู่ที่หมาย พวกสุนัขจรจัดที่อยู่ตามมุมที่มืดและทั่วบริเวณโรงเรียนประมาณหก-เจ็ดตัวก็พากันส่งเสียงหอนต้อนรับเป็นทอดๆฟังดูเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเป็นที่สุด

ครูหนุ่มผู้อยู่รั้งท้ายมีอาการตัวสั่นเล็กน้อย พร้อมกับโพล่งอยู่ในใจอย่างหวาดๆว่า “เอาอีกแล้วหรือนี่..? อะไรจะเฮี้ยนหนักหนาขนาดนี้..?”

ลุงยามเองก็มีอาการเลิ่กลั่กเหลียวหน้าเหลียวหลังและเหมือนระแวงๆเช่นกัน พลางกวาดลำไฟฉายในมือไปรอบๆและในมุมที่มืดๆอย่างไม่ไว้ใจอยู่ในที

และแล้วในขณะที่คนทั้งสองกำลังเดินใกล้จะถึงหน้าห้องของอาคารนั้นเอง ก็มีอันต้องสะดุ้งโหยงและหยุดกึก..อยู่กับที่อีกครั้งด้วยลักษณะอาการที่บอกไม่ถูก เมื่อโสตประสาทรับเสียงของทั้งเขาและลุงยามดันไปรับได้กับเสียงๆหนึ่งที่ดังมาจากในห้องดนตรีนั้น ใช่แล้ว….

มันคือเสียงซอ…เสียงซอที่สำเนียงมันคุ้นหูดีสำหรับครูวีระ มันยังคงบรรเลงท่วงทำนองที่เศร้าสร้อยโหยหวนเยือกเย็นน่าขนลุกอยู่เหมือนเคย และยิ่งประกอบกับเสียงหมาหอนด้วยแล้วมันก็ยิ่งเพิ่มความน่าสยองขวัญสั่นประสาทเข้าไปอีกเป็นร้อยๆเท่า มิหนำซ้ำละอองหมอกที่ค่อนข้างหนาๆนั้นก็กลับลอยผุดขึ้นมาแต่ยามใดมิอาจทราบได้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะอากาศแห่งความเป็นจริงเลย เสียงซอที่ครวญบรรเลงด้วยอารมณ์ที่หม่นหมองก็ยังดังอยู่ ลุงยามเหมือนจะแข็งใจฉุดมือของวีระให้เดินไปต่อ ครูหนุ่มเองก็ทำใจดีสู้ผีและเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

“เอาวะ..!! เอากับลุงแกสิ…นี่ขนาดเจอเข้าแบบนี้ยังจะมีกะจิตกะใจจะตรวจต่ออีก…เอาเข้าไป!!”
เขาบ่นอยู่ในใจอย่างหมดหนทางที่จะปลีกเลี่ยงได้

“นี่…เดี๋ยวก่อนครับลุง..!!!” เขาร้องเตือนมาเบาๆขณะที่ลุงยามกำลังฉุดมือเขาเดินต่อไปยังที่มาของเสียงซออาถรรพ์อย่างช้าๆ

คนยามอาวุโสหันมามองหน้าพร้อมกับหยุดเดินและถามขึ้นว่า

“เดี๋ยวอะไรกันครับครู…นี่ครูจะไม่ไปตรวจห้องดนตรีเรอะ?”

“คือ…ผมจะบอกว่า…ไอ้เสียงซอที่ผมได้ยินน่ะ มันดังแบบนี้ในทำนองแบบนี้และเวลาไล่ๆกันนี้ด้วยนี่แหละครับลุง..!!!” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ผมเข้าใจแล้ว….แต่ครูไม่อยากรู้เหรอครับว่าเสียงซอน่ะสาเหตุและที่มามันเป็นอย่างไร?”

“อยากสิครับลุง….แต่ผมยอมรับนะว่าผมกลัว…ว่าแต่ลุงเหอะ…ไม่กลัวบ้างรึไงล่ะ?”

“กลัวสิครับครู…”

“อ้าว!!!แล้วกันสิ…แล้วจะไปดูทำไมกันอีก…?”

“ก็เพราะอยากให้ครูรู้น่ะสิครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น..!!!”

“อ่ะ..!!หา!!!…ว่ายังไงนะครับ…!!เอ่อ..เดี๋ยว…!!!”

ยังไม่ทันที่วีระจะเอ่ยถามคำใดต่อไปอีกลุงยามก็รีบฉุดมือเขาให้วิ่งไปที่ห้องดนตรีนั้นทันที
เมื่อมาถึงที่หมายลุงยามก็พาเขามาหยุดยืนให้ห่างจากประตูห้องประมาณสี่เมตรได้ และแน่นอน…เสียงซอนั้นก็ยังคงถูกบรรเลงอยู่

“ครู…อยากรู้ใช่มั้ยครับว่าใคร…หรืออะไรกำลังสีซออยู่ในห้องนั้นกันแน่?” ลุงยามเอ่ยถามขึ้นเบาๆน้ำเสียงก็สั่นไม่แพ้กัน ใจของวีระตอนนี้เต้นระทึกแรงแทบจะทะลุออกมานอกอก ได้แต่พยักหน้าเนิบๆด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง และในทันทีนั้นเองลุงยามก็ยกลำไฟฉายส่องพุ่งเข้าไปข้างในห้องอย่างรวดเร็วมือที่กำกระบอกไฟฉายแน่นสั่นระริก….

และแล้วเมื่อแสงของไฟฉายสาดส่องผ่านประตูกระจกโปร่งใสนั้นเข้าไปยังบริเวณในห้อง ก็พลันส่องให้เห็นอะไรได้ถนัดชัดเจนเป็นที่สุด จนภาพที่เห็นแทบจะทำให้วีระหมดลมหายใจนอนสลบไปเสียตรงนั้นให้ได้

เพราะสายตาทั้งสองได้รับรู้ว่าภายในห้องนั้น มีร่างของชายผู้หนึ่งสวมชุดสีกากีในเครื่องแบบข้าราชการครูซึ่งเป็นร่างของชายคนเดียวกันที่เขาพบเจอในฝันเมื่อตอนกลางวันของวันเสาร์ที่ผ่านมา ผิดแต่บัดนี้ชายผู้นั้นกำลังนั่งขัดสมาธิหันหลังให้ มือทั้งสองก็บรรเลงซอด้วยทำนองที่แสนรันทดอาลัยโหยหวนคร่ำครวญราวกับเสียงคนร้องไห้อยู่เช่นนั้น ท่วงทำนองของมันช่างเนิบๆเชื่องช้าฟังแล้วน่ากลัวเสียนี่กะไร
และแล้วหัวใจของครูหนุ่มก็ต้องตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆกิริยาของผู้ที่กำลังนั่งสีซออยู่นั้นค่อยๆเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมาทำเอาจิตใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ เพราะเขาผู้นั้นค่อยๆหันใบหน้ากลับมาด้านหลังมองทั้งสองคนที่ยืนตะลึงนิ่งตัวแข็งราวกับถูกสะกดอย่างช้าๆคล้ายหุ่นยนต์ถูกบังคับ ลำคอค่อยๆหมุนกลับมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนกระทั่งศีรษะหันบิดผิดรูปราวกับจะหมุนรอบได้ 360 องศามาบรรจบรอบอยู่ที่ด้านหลัง พร้อมกับจ้องมองครูหนุ่มและคนยามอาวุโสด้วยสีหน้าที่สลดเศร้าหมอง
ดวงตาที่มีแต่นัยน์ตาสีขาวเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ใบหน้าเขียวอื๋อไม่ใช่ผู้ใช่คน ชิ้นเนื้อหลุดร่อนบางส่วนและมีผิวหนังที่เน่าๆห้อยร่องแร่งติดอยู่ด้วย น้ำตาที่หลั่งรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างมันคือเลือดสดๆที่แลเห็นแดงคล้ำอาบนองแก้มอยู่อย่างชัดเจนน่าสยดสยอง พร้อมกันนั้นมือทั้งสองก็ยังคงบรรเลงซอเรื่อยไปโดยไม่ขาดช่วง หมาก็ยังหอนกันเกรียวกราวแสนที่จะหวั่นสะพรึงขนลุกขนชันเป็นที่สุด

“…..เห็นแล้วใช่มั้ยครับครู….?” เสียงแหบพร่าสั่นเครือของลุงยามถามฝ่าความนิ่งงันขึ้นจนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

“ครับ….ครับลุง…จ….จะๆเลยล่ะทีนี้….” ครูวีระตอบกลับด้วยอาการที่ไม่ต่างกัน

“เผ่นกันเถอะครู!!!!”

จบประโยคลุงยามอาวุโสก็คว้าหมับเข้าที่แขนของครูหนุ่มแล้วเปิดแน่บออกจากที่แห่งนั้นไปในทันที ทั้งสองวิ่งไปหอบแฮกๆไปด้วยอาการขวัญหาย จนในที่สุดเมื่อมาถึงถนนเส้นที่มีสามแยกเป็นรูปตัวทีอยู่ต่อหน้า พวกเขาก็ต้องเบรกฝีเท้าหยุดไปอีกครั้ง เพราะเมื่อมองไปยังอาคารห้องนาฏศิลป์ที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งครูวีระและคนยามก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเข้าให้อีกแล้ว!!!

เสียงซอสำเนียงที่คุ้นหูดังครวญครางอยู่บนชานระเบียงของอาคาร พร้อมกันนั้นก็ปรากฏร่างอันเป็นเงาดำตะคุ่มๆรางๆอยู่ที่นั่น เงานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่บนระเบียงนั้นมิใช่วิญญาณดวงเก่าที่เขาทั้งคู่ได้เห็นมาเมื่อตะกี้นี้อย่างแน่นอน แต่ทว่ามันกลับเป็นเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งที่กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงามดั่งเป็นท่าที่ประกอบกับเสียงซอผีสิงนั่นอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ย!!!!นี่…..นี่มันอะไรกันอีกวะเนี่ย!!??” วีระอ้าปากค้างโพล่งออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตาตนเอง ลุงยามอาวุโสก็กระเดือกน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงคออย่างยากเย็นเป็นที่สุด

“ใคร….?….ใครกันน่ะ..?” ลุงยามเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่หลุดลอดออกมาจากลำคอ
และแล้วแกก็ตัดสินใจวาดลำแสงไฟฉายขึ้นส่องไปยังร่างนั้นอีกครั้งดั่งที่เคยทำอยู่ห้องดนตรีเมื่อครู่ และภาพที่แกเห็นก็ถึงกับทำให้ต้องร้องว้าก!!ขึ้นสุดเสียงผงะถอยหลังชนกับครูวีระที่ยืนอยู่ด้านนั้นก่อนแล้วจนล้มลงไปก้นจ้ำเบ้ากันทั้งคู่ ไฟฉายที่กำแน่นสาดแสงค้างอยู่ในมือของลุงยามซึ่งระยะคนทั้งสองห่างจากอาคารไม่เกินสามเมตรนั้น ส่องให้เห็นว่าบนระเบียงอาคารของห้องนาฏศิลป์ที่พบเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร่ายรำนั้น บัดนี้….มันชัดเจนขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า

เพราะสภาพของหญิงสาวที่เห็นกำลังร่ายรำอยู่นั้นหาใช่มนุษย์ไม่ แต่จะเรียกได้ว่าผี….เต็มปากเต็มคำได้เลยทีเดียว เพราะร่างของเธอทั่วทั้งร่างซีดเผือดไร้เลือดลม ขาวโพลนปานกระดาษ ตามทั่วกายนั้นก็กลับมีเส้นเลือดผุดขึ้นมาไปจนถ้วนทั่วแลเห็นดำคล้ำจนไปถึงใบหน้า ดวงตาถลนออกมานอกเบ้าข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็มีแต่เลือดที่ทะลักพรั่งพรูไหลย้อยลงมาจนถึงคางราวกับเปิดก๊อก เล็บยาวสีดำน่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับแม่มด ปากอ้าค้างพลางสะอื้นร่ำไห้อย่างโหยหวนน่าเวทนาเป็นที่สุด เธอสวมชุดไหมสีฟ้าที่ดูงามตาแต่เปรอะเปื้อนน้ำเลือด มีผ้าแพรเป็นสไบเฉียงพาดลงมาจากไหล่ซ้าย เกล้าผมเป็นมวยพร้อมมีปิ่นปัก มีดอกลำดวนแนบแซมทัดอยู่ที่ข้างหูด้านขวา นุ่งซิ่นลายโบราณที่ดูๆแล้วเป็นเครื่องแต่งกายของสาวชาวอีสานเราดีๆนี่เอง

และที่ซ้ำร้ายชวนหลอนไปกว่านั้นก็คือบทเพลงที่เธอกำลังร่ายรำอยู่นั้นคือท่วงทำนองของเสียงซออาถรรพ์ที่ได้ยินจากห้องดนตรีเมื่อหยกๆนี้เป็นบทเพลงสำเนียงเดียวกันไม่มีผิด!!!

ลุงยามตะลึงดูภาพๆนั้นอยู่ราวกับต้องมนตร์สะกด ส่วนครูวีระเองอ้าปากค้างตาเบิกโพลงหายใจหอบๆด้วยอาการที่อกสั่นขวัญแขวนไม่แพ้กัน และแล้วคนยามอายุรุ่นพี่พ่อก็เหมือนจะตั้งสติได้ก่อนครูหนุ่ม แกชันกายลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางรีบเข้าไปพยุงร่างของครูวีระขึ้นจากอาการที่เหมือนคนเป็นอัมพาตอยู่นั้นพร้อมกับละทิ้งทุกอย่างพาเขาจ้ำอ้าวๆกลับไปยังป้อมยามทันทีโดยไม่เหลียวหลังหันไปสนใจกับอะไรอีกเลย

เมื่อมาถึงทั้งสองคนได้แต่นั่งมองตากันไปมาอย่างเงียบๆภายใต้ความรู้สึกที่เกินจะบรรยายถูกได้ แต่เมื่อเขาสังเกตดูลุงยาม ณ ตอนนี้เห็นแกนั่งตาแดงน้ำตาคลอทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาเองในตอนนี้ก็ใบ้กินไปเช่นกัน ได้แต่นั่งผ่อนลมหายใจปาดเหงื่อที่ผุดซึมไหลอาบไปทั่วใบหน้าจาการวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตอยู่อย่างนั้น

“โธ่….ไม่น่าเลย….ไม่คิดว่าจะยังอยู่กันอีก…” เสียงของลุงยามเอ่ยฝ่าความเงียบขึ้นอย่างระล่ำระลักแผ่วเบา

“นี่…นี่ลุงหมายความว่าอย่างไรกันน่ะครับ?” วีระหันไปถามด้วยความสงสัย

“ครูครับ….ผม….ผมต้องขอโทษด้วยที่ปิดบังและทำเป็นไม่เชื่อครูเรื่องผีที่ครูเจอเมื่อวันนั้น..”

“เอ๊ะ!!อะไรกันครับนี่..?ผม…ผมงงไปหมดแล้วนะครับลุง!!?”

“ครูครับ….วิญญาณที่เราๆเห็นกันมาเมื่อครู่นี้น่ะ เขาทั้งคู่น่าสงสารมากๆเลยนะครับ..”

“ลุงครับ….ผมไม่เข้าใจ…..แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องอธิบายลุงก็พูดมาเถอะครับ ผมเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันนะ นิ่งอมพะนำไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ครับลุง..”

สีหน้าของลุงยามในตอนนี้เปลี่ยนไป จากอาการที่ตกตะลึงในความกลัวนั้นก็กลับกลายมาเป็นอาการสลดสังเวชใจแทน แกเริ่มต้นเรื่องราวที่แกจะเล่าอย่างเศร้าๆในน้ำเสียงว่า…..


อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 5 (จบ)