กระทู้ผีพันทิป : คำผีบอก





เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ฉันประสบอุบัติเหตุ รถโดยสารที่ฉันนั่งไปได้ไถลลงไปที่เกาะกลางถนนแล้วชนเอาเข้ากับต้นไม้ ฉันที่นั่งอยู่ห้องโดยสารด้านหลังแต่นั่งในสุด ถูกผู้โดยสารท่านอื่นอัดกระแทกเข้าเต็มๆตามแรงชนของรถ ทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บที่กระดูกค่ะ กระดูกเชิงกรานด้านขวาของฉันแตกออก ตาตุ่มที่ขาซ้ายก็ผิดรูปค่ะ เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องนานพอดู

แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ ฉันฝันค่ะ ฉันฝันว่าได้เดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง (จะเรียกว่าฝันก็ไม่แน่ใจค่ะ เหมือนตัวฉันไปเองเลยมากกว่า ฮ่าๆ) เดินไปเรื่อยๆจนสุดทางก็พบกับกระท่อมหลังหนึ่ง ฉันเดินขึ้นไปบนกระท่อมหลังนั้น ก็พบผู้ชายแก่ๆคนหนึ่ง ในฝันเขาดูอายุมากก็จริงนะคะ แต่มีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาด้วยยังไงก็ไม่รู้ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีขาวค่ะ มีสไบเล็กๆสีขาวพาดอยู่ที่หัวไหล่ (เหมือนสไบที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบใส่ไปวัดเวลาทำบุญน่ะค่ะ) เหมือนว่าจะนุ่งโจงกระเบนสีขาวและนั่งชันเข่าขึ้นมาเข่าหนึ่งด้วยค่ะ

ฉันนั่งตรงหน้าชายคนนั้น เขายกยิ้มให้ ก่อนที่จะพูดกับฉันประมาณว่า “ฉันจะได้รับอุบัติเหตุนะ ถึงโดนรถชนก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังต้องเจอกับเรื่องราวต่างๆอีกมาก เพราะบุญฉันหมดแล้ว ฉันโดนเจอตัวแล้ว” ในฝันฉันรู้สึกตกใจ ฉันกลัวไปหมด ชายตรงหน้าฉันก็เพียงแค่ส่งยิ้มให้แล้วก็บอกว่าเขาช่วยฉันได้เท่านี้ ต่อจากนี้ให้วัดดวงเอา หลังจากจบประโยคฉันก็สะดุ้งตื่นค่ะ อย่างที่ฉันบอกไปว่าเหมือนั่นไม่ใช่ฝัน เหมือนฉันไปเองจริงๆ และฉันยังรู้สึกด้วยว่าฉันคุ้นเคยกับชายแก่คนนี้ที่มาเตือนฉันแต่ฉันก็นึกไม่ออก

ฉันเล่าเรื่องฝันให้แม่แล้วก็เพื่อนที่หอพักฟัง เพื่อนก็บอกว่าฉันคิดมากไป ใครจะดวงซวยได้ขนาดนั้น บางทีฝันก็ไม่แม่นไปสักทุกเรื่อง แม่ฉันเองก็พูดกับฉันคล้ายๆเพื่อนเลยค่ะ บอกว่าบางทีฝันก็เชื่อไม่ได้ อีกอย่างคนที่มาเตือนในฝันเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันคิดมากไปเอง

พอคนใกล้ตัวบอกกันแบบนั้นฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ ใช้ชีวิตอยู่ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในฝัน ขนาดวันที่ประสบอุบัติเหตุฉันยังลืมเลยค่ะว่าเคยฝันเรื่องนี้ไว้

แต่พอตอนที่ฉันนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อรอแม่มาหา ก็มีเพื่อนมาอยู่ด้วยคนหนึ่งค่ะ เพื่อนฉันกับแม่เขาก็คุยกันเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น ว่าอาจจะเกี่ยวกับที่ฉันฝันขึ้นมาจริงๆก็ได้ เท่านั้นแหละค่ะ ฉันขนลุกทั้งตัว เพราะฉันฝันคืนวันอาทิตย์ เช้าวันจันทร์เล่าให้แม่กับเพื่อนฟัง ตกเย็นวันพุธก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาทันที แม้จะคิดว่าอาจเป็นความประมาทของคนขับ แต่ลึกๆในใจก็อดคิดไม่ได้ค่ะ ว่าอาจจะเป็นฝันบอกเหตุจริงๆก็ได้

ฉันยังเฝ้าหาคำตอบอยู่เสมอว่าคนที่มาเตือนฉันในฝันเป็นใคร จนวันที่ฉันออกจากโรงพยาบาล กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ 2-3 อาทิตย์ และกลับมาพักฟื้นต่อที่สถานศึกษานั่นแหละค่ะ ถึงได้พบกับคำตอบโดยบังเอิญ

หลังจากที่ฉันกลับมาพักฟื้นที่สถานศึกษา อาจารย์ก็ให้ฉันย้ายจากหอพักที่เคยอยู่ก่อนเกิดอุบัติเหตุไปอยู่ที่อาคารอำนวนการในสถานศึกษาแทน เนื่องจากฉันเรียนอยู่ที่ตึกนั้น อีกทั้งที่ตึกก็มีลิฟต์ไม่ต้องขึ้นลงบันไดให้กระดูกกระทบกระเทือนหรือเคลื่อนไปมากกว่าเดิม ในช่วง 2-3 วันแรก ฉันพักที่ชั้นล่าง เนื่องจากห้องพักที่ฉันต้องย้ายขึ้นไปต้องทำเรื่องขอกับผู้อำนวยการก่อน ตอนพักอยู่ชั้นแรกฉันไม่เจออะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติถึงแม้ว่าทั้งตึกจะมีแค่ฉันกับเพื่อนที่คอยมาดูแลอยู่กันแค่ 2 คนก็ตาม ฉันนอนหลับได้สบายมาก

จนกระทั่งเรื่องอนุมัติฉันได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการให้ขึ้นไปพักที่ชั้น 5 ของตึกได้ (ที่ตึกนี้ชั้น 5 จะเป็นห้องพักของพี่อบรมในแต่ละรุ่นรวมไปถึงเหล่าวิทยากรที่ทางสถานศึกษาได้เชิญมาในแต่ละครั้ง) เพื่อนฉันก็แวะเวียนมาเที่ยวหา พร้อมกับบอกฉันพลางๆว่า ฉันอยู่ที่ชั้น 5 นั้นไม่เหงาหรอก เพราะมีรุ่นพี่ของเราอยู่ด้วย ฉันก็หัวเราะไปกับเพื่อนแล้วก็บอกว่าจะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีใครอยู่ชั้นนั้นเสียหน่อย เพื่อนฉันคนเดิมก็พูดต่อว่า ลืมไปแล้วหรอพี่ที่เคยประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตนั่นไง แกก็รู้ว่าทุกวันนี้เขาก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน ฉันขนลุกขึ้นมาแล้วก็หันไปมองหน้ากันกับเพื่อนที่อาสาดูแลฉัน พวกเราลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท…

เพราะแบบนั้นฉันจึงเลือกย้ายขึ้นไปพักที่ห้องชั้น 5 ในตอนเช้า ก่อนหน้าที่จะย้ายขึ้นไปบนห้อง ฉันได้ขอให้อาจารย์ที่เป็นหัวหน้าภาควิชาที่ฉันเรียนอยู่เป็นคนอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันนำติดตัวมาด้วยขึ้นไปให้ก่อน (อาจารย์ท่านนี้เป็นคนที่ฉันให้ความเคารพ นับถือ และศรัทธา เหมือนท่านจะมีสัมผัสพิเศษด้วยมั้งคะ ไม่แน่ใจ) อาจารย์ท่านก็เชิญรูปหล่อองค์พ่อปู่ชีวก รูปหล่อท้าวเวสสุวรรณ เหรียญพระนเรศวร  และเหรียญสมเด็จพ่อ ร.5 ขึ้นไปให้ ก่อนเชิญอาจารย์ก็หันาหัวเราะแล้วก็บอกกับฉันว่ากลัวขนาดนี้เลย แน่นอนฉันตอบแบบไม่คิดว่า ค่ะ

ฉันยอมรับว่าตอนที่ขึ้นไปอยู่ชั้น 5 ฉันไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันที่พี่อบรมรุ่นหนึ่งมาเข้าพักที่ชั้นนี้ ทำให้ฉันได้พบกับคำตอบทั้งหมดที่สงสัยมานาน

ระหว่างที่พี่อบรมมาพักฉันก็ออกไปข้างนอกห้องบ้าง เนื่องจากต้องออกไปกรอกน้ำดื่มบ่อยๆในเวลาที่เพื่อนไม่อยู่ ออกไปทุกครั้งก็จะเจอพี่อบรมมองมาด้วยความตกใจ เพราะฉันต้องหนีบไม้ค้ำไปด้วยเสมอ พี่อบรมคุ้นหน้าคุ้นตาฉันดี มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนฉันกลับไปทำธุระที่หอพัก ฉันเองก็ออกมาเดินข้างนอก แล้วก็ได้เจอกับพี่อบรมท่านหนึ่ง เขายืนจ้องหน้าฉันนานมากแล้วส่งยิ้มมาให้ ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรยิ้มตอบกลับไป

แต่ทุกครั้งที่ฉันเจอพี่เขา เขาจะจ้องฉันเสมอ ในที่สุดความอยากรู้ก็เอาชนะ ฉันเจอกับพี่เขาพอดี และก็เหมือนเดิม พี่เขาจ้องฉันอีก ถึงตอนนั้นฉันเลยถามไปว่า “พี่มีอะไรหรือเปล่าคะ” พี่เขาก็มองหน้าฉันแล้วก็บอกว่า “อยากรู้มั้ยว่าคนที่มาเตือนเป็นใคร” ฉันขนลุกไปทั่วทั้งตัว เรื่องความฝันนี้ฉันไม่เคยเล่าให้คนที่ไม่รู้จักฟัง ฉันมั่นใจว่าฉันเพิ่งจะเจอกับพี่เขา แล้วเขารู้ได้ยังไง พี่เขาคงอ่านสีหน้าตกใจปนสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของฉันออก พี่เขาจึงบอกว่า “มาสิเดี๋ยวพี่จะบอก เขาอนุญาตแล้ว”

ที่ห้องพักชั้น 5 จะมีห้องรวมไว้ดูหนังฟังเพลง ฉันก็เดินเข้าไปคุยในห้องนั้นกับพี่เขา หลังจากที่จัดแจงที่นั่งเรียบร้อยแล้วพี่เขาก็ขอจับข้อมือข้างขวาของฉัน หลังจากที่ฉันยื่นให้พี่เขาก็จับแล้วก็หลับตา ในตอนนั้นฉันใจเต้นแรงมาก ไม่รู้สิ มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก มันหนาวๆร้อนๆแบบแปลกๆ พี่เขาจับอยู่สักพักแล้วก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับบอกฉันว่า “หนูรู้มั้ย ถ้าเกิดเหตุตอนกลางคืนหนูไม่รอดหรอกนะ หนูจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แน่ๆ” พอฉันได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ ฉันไม่รู้ว่าที่ฉันกำลังเจออยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอุบัติเหตุจริงๆหรือเกิดจากสิ่งอื่น

พี่เขาคงสัมผัสได้ถึงความกลัวปนสงสัย เขาจึงได้ยิ้มแล้วบอกฉันต่อว่า “คนที่เขามาเตือนหนู เขาช่วยไว้ หนูน่ะดวงตกจริงๆ บุญหนูเองก็หมดเหมือนกัน เพราะแบบนั้นเจ้ากรรมนายเวรของหนู เลยตามหาหนูเจอ” พอฉันได้ฟังฉันก็ยิ่งจิตตกเข้าไปใหญ่ ฉันเคยฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่ามาบ้างแหละว่าเมื่อใดก็ตามที่เราบุญหมดหรือดวงตก เมื่อนั้นจะถูกตามเจอ แต่ฉันไม่คิดว่าเร่องนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน

ทีนี้ฉันก็ถามพี่เขาออกไปเลยว่าสามารถบอกฉันได้มั้ยว่าคนที่มาเตือนฉันเป็นใคร?

พี่เขาก็ยิ้มแล้วก็ถามฉันว่าคนที่มาเตือนฉันน่ะเป็นคนแก่ใช่มั้ย แล้วพี่เขาก็ยังบอกท่าทางการแต่งตัวได้ถูกหมดเลยด้วย พี่เขาบอกว่า “ถ้ารู้แล้วก็ลงไปไหว้ท่านซะนะ เพราะคนที่มาเตือนหนูเขานั่งอยู่ที่ศาลาข้างล่าง” ถึงตรงนี้ฉันขนลุกให้พรึ่บเลยค่ะ ขนนี่ลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ศาลาข้างล่างในบริเวณอาคารอำนวยการนี้ เป็นที่ประดิษฐานองค์พ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์ บิดาแห่งการแพทย์แผนไทย หลักสูตรที่ฉันเรียนอยู่…

พี่เขาเสริมต่ออีกว่าเพราะฉันเป็นลูกของเขา ทุกคนที่เรียนที่นี่เป็นลูกขององค์พ่อปู่จึงไม่แปลกที่ท่านจะมาช่วยเหลือ แต่ท่านก็ทำได้แค่ในขอบเขตของท่าน ฉันถึงได้รับผลกรรมมาบ้าง

ฉันนิ่งอึ้งไป มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยค่ะ และก่อนหน้าที่จะแยกย้ายกัน พี่เขายังบอกกับฉันอีกว่าไม่ใช่แค่องค์พ่อปู่นะที่คอยดูแล อีกองค์หนึ่งที่คอยดูแลอยู่ตลอดและคอยช่วยก็องค์ท้าวเวสสุวรรณนั่นแหละ  (ต้องขอบอกก่อนนะคะว่า ฉันเป็นคนกลัวผีขึ้นสมอง เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ป้องกันภูตผีได้ ฉันจะหามาไว้กับตัว แน่นอนค่ะฉันขอท้าวเวสสุวรรณกับแม่ ตั้งแต่ที่ได้องค์ท้าวมาฉันก็ไม่เคยเจอกับสิ่งลี้ลับเลย อย่างมากก็มักจะมาในรูปแบบฝันมากกว่าค่ะ ฉันไม่ค่อยฝันบ่อยแต่ถ้าฝันก็จะเป็นประมาณนี้แทบทุกครั้งไปค่ะ แต่นั่นต้องเป็นฝันที่เป็นรูปเป็นร่างนะคะ ไอ้ที่ปะติดปะต่อไม่ได้นี่จะไม่ค่อยเกิด ฮ่าๆ) แล้วที่สำคัญฉันยังมีพ่อคอยอยู่ดูแลด้วย (พ่อฉันเสียชีวิตได้ประมาณ 8 ปีแล้วค่ะ) ถึงตรงนี้ฉันนั่งร้องไห้เลยค่ะ

หลังจากที่พี่เขาเล่าให้ฉันฟัง ฉันไม่รู้ว่านี่ใช่เรื่องจริงมั้ย เพราะมันเป็นเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ด้วยหลักการหาเหตุและผล  แต่ลึกๆในใจฉัน ฉันก็เชื่อนะคะว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อปู่หรือใครก็ตามที่มาเตือนฉันในฝัน ฉันอยากจะขอบคุณที่อย่างน้อยๆยังทำให้ฉันมีชีวิตอยู่


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : สมาชิกหมายเลข 1950985

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 5 โดย ธีร์ วรรณกร






“เมื่อห้าปีก่อน….มีครูดนตรีอยู่คนหนึ่งแกชื่อครูอุทัยครับ แกเป็นครูหนุ่มไฟแรงเหมือนกับคุณครูนี่แหละ แกได้ย้ายมาจากโรงเรียนอำเภออื่นมาอยู่ที่นี่ทำการสอนที่นี่ได้ประมาณหลายเดือนอยู่ครับ จนแกก็สามารถสร้างวงโปงลางของโรงเรียนขึ้นมาได้จากความเพียรพยายามของแก

พาไปแข่งที่ไหนๆก็ชนะบ้างได้รองแชมป์บ้างไปตามงานตามเรื่องจนเป็นหน้าเป็นตาแก่สถาบัน แต่แล้ว…แกก็อายุสั้นนะครับ ตายตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นอายุแค่สามสิบต้นๆเอง…”

“แกเป็นอะไรหรือครับลุงถึงได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร?” เมื่อเห็นว่าลุงแกเงียบไปวีระเลยถามแทรกขึ้น ชายอาวุโสในตำแหน่งยามของโรงเรียนถอนหายใจเล็กน้อยพลางเล่าต่อในอาการเดิมมาว่า

“แกตายเพราะเรื่องยอดหญิงประโลมใจของแกน่ะครับ ตายเพราะความรักแท้ๆ….. ผู้หญิงคนที่ว่านี่ก็คือ “ครูจินดา” ครับ!!”

ครูหนุ่มผงะเล็กน้อยอย่างสะดุดใจกับคำๆนี้และเริ่มที่จะประติดประต่อเรื่องราวกันได้แต่ก็มิได้ปริปากว่าคำใดได้แต่นั่งฟังลุงยามแกเล่าต่อไปอยู่เช่นนั้น

“ครูจินดานี่เธอเป็นคนสวยนะครับครู สวยมากๆ เป็นลูกสาวของครูใหญ่อีกซะด้วย มีครูหนุ่มๆหลายคนมาจีบมาทักแต่เธอก็ไม่ได้ลงเอยกับใคร แต่เมื่อมาพบครูอุทัยเข้าสงสัยคงได้ทำบุญด้วยกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งสองคนจึงตกลงคบหาดูใจกันครับ และด้วยเหตุที่ว่าครูจินดาเธอเป็นครูนาฏศิลป์นี่แหละ การแวะเวียนไปมาหาสู่กันระหว่างครูอุทัยกับเธอจึงง่ายดายมาก เพราะเมื่อวงซ้อมใหญ่ในงานพิธีต่างๆทั้งสองคนก็จะช่วยกันดูแลเด็กๆนักเรียนคุมเด็กด้วยกันเป็นประจำ ซึ่งทั้งสองคนรักกันมากครับไอ้เรื่องทะเลาะก็มีบ้างเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจกันได้ดี

แต่พ่อเธอที่เป็นครูใหญ่นี่สิครับแกดันหวงลูกสาวทุกครั้งไป ทั้งยังต่อว่าเธอกับครูอุทัยแทบจะไม่ไว้หน้ากัน ด้วยเหตุผลแค่เพียงว่าครูใหญ่แกไม่ชอบหน้าครูอุทัยแค่นั้นเองครับ และยังกล่าวหาเหมือนกับคนที่มีความรู้ไม่สมกับเป็นครูใหญ่อีกนะครับว่าครูอุทัยนั้นแย่งความรักของลูกไปจากตนเองซึ่งไม่สมเหตุสมผลกันซะเลย

นั่นแหละครับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาครูอุทัยแกก็โดนด่า โดนใส่ร้าย โดนกดดันตลอดจากฝ่ายของครูใหญ่ที่ร่วมมือกัน จนสุดท้ายทั้งสองคนก็ถูกครูใหญ่เรียกพบไปต่อว่าถึงในห้องอีกครั้งจะรุนแรงแค่ไหนอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ รู้แต่เพียงว่าให้ทั้งสองเลิกคบหากันซะไม่อย่างนั้นครูอุทัยจะโดนเล่นงานหนักกว่านี้แน่ ซึ่งทั้งสองเสียใจมากครับร้องไห้พร่ำรำพันด้วยกันแทบจะขาดใจ

หลังจากนั้นแหละครับก็มีข่าวว่าพบศพครูอุทัยนอนตายอยู่ในห้องดนตรี สภาพศพพบรอยมีดกรีดที่ข้อมือและหน้าอกตรงหัวใจเป็นแผลลึกซึ่งตรงอกข้างซ้ายนั้นเป็นรูปกากบาทซึ่งผมก็คาดเดาเองนะครับว่าครูอุทัยแกน่ะตรอมใจตายหลังจากที่ทรมานตนเอง และเขายังบอกอีกว่าแกกอดซอและรูปถ่ายของครูจินดาไว้กับมือทั้งสองข้างแน่นเลยนะครับ

ส่วนครูจินดานั้นก็มีข่าวว่าเธอตายอยู่หน้าห้องนาฏศิลป์ครับ ด้วยการดื่มยาฆ่าแมลงเข้าไป สภาพศพนั้นเธอนอนน้ำลายฟูมปาก ตาค้างมีคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาอย่างเห็นได้ชัด ข้างๆศพพบว่ามีขวดยา เสื้อและเครื่องแต่งกายในชุดที่เธอรักและชอบใส่ในงานร่ายรำวางไว้ด้วย รวมถึงมือข้างซ้ายของเธอก็ถือรูปของครูอุทัยแนบไว้กับอกตรงกับหัวใจอีกนะครับครู

นี่แหละครับที่ผมบอกว่าเขาทั้งคู่น่าสงสารล่ะ และหลังจากนั้นมาตอนกลางคืนก็จะมีคนเห็นวิญญาณของทั้งสองคนมาปรากฏกายอยู่ที่ๆตนเองตายเป็นประจำเสมอทุกครั้งแหละครับ และโดยเฉพาะวันศุกร์นี่แหละครับจะแรงหน่อยเพราะเป็นวันที่ทั้งคู่ตัดสินใจทรมานปลิดชีวิตตัวเองพอดีซึ่งทั้งสองก็ตายในเวลาเดียวกันและวันเดียวกันด้วยนั่นเองครับครู… นี่แหละครับที่มาของเหตุการณ์ที่เราเจอทั้งหมดล่ะ…”

วีระนิ่งอึ้งไปชั่วขณะในทันทีนั้นเมื่อฟังเรื่องราวอันเป็นเหตุแห่งการปรากฏกายของวิญญาณอันทรมานจากความรัก ซึ่งเขาและลุงยามได้ประสบพบเจอมาเมื่อหยกๆนั้นจบ จิตใจของเขาเริ่มสลดลงและรู้สึกเวทนากับเรื่องราวของทั้งสองคนคู่รักนี้เป็นอย่างยิ่ง มันช่างเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจอะไรเช่นนี้

“ลุงครับ….แล้วครูใหญ่พ่อของครูจินดาล่ะ หลังจากที่ทราบข่าวท่านมีท่าทีอย่างไรบ้าง?” ครูหนุ่มถามขึ้น

“ครูใหญ่น่ะเหรอ….แกก็เครียดและเสียใจมากน่ะสิครับไม่เป็นอันทำการทำงานหม่นหมองใจตลอด…และในที่สุดแกก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยปืนลูกโม่คาบ้านของแกเองนั่นแหละครับครู สรุปแล้วก็…มีคนตายกับเรื่องนี้ถึงสามคนนั่นเองครับ… และอยากบอกไว้นะครับว่าที่ผมรู้เรื่องนี้ได้ก็เพราะข่าวนี้มันดังไปทั่วอำเภอเลยก็ว่าได้เลยครับในสมัยนั้นซึ่งผมเป็นยามก็เหมือนอยู่ในรั้วของสถาบันล้วนรู้เห็นอะไรมากมายๆหลายๆอย่างได้ดีเลยทีเดียวแหละครับ”

วีระพยักหน้าเนิบๆอย่างเข้าใจแล้วก็พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างปลงสังเวช ความรักหนอความรักบางทีมันก็ทำให้เกิดความสูญเสียได้เช่นกันแม้ว่ามันจะสวยงามสักเพียงใดก็ตาม….

ในคืนนั้นทั้งวีระและลุงยามต่างก็ไม่มีใครหลับลงแม้แต่สักคนเดียว เพราะจะหลับตานอนครั้งใดภาพอันน่ากลัวและสยดสยองของวิญญาณทั้งสองคนคู่รักนั้นยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกครา

จึงได้แต่นั่งดูโทรทัศน์ที่มีอยู่ในป้อมจนถึงเช้า

ในวันจันทร์ต่อมา ครูวีระนั้นไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะจิตใจและสมองของเขานั้นมัวแต่คิดและตัดสินใจยังไม่ได้เด็ดขาดนักว่าจะทำอย่างไรกันแน่เพื่อจะให้วิญญาณของทั้งครูอุทัยและครูจินดาหลุดพ้นจากการวนเวียนในวิบากกรรมอยู่เช่นนี้ไปได้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ตระหนักได้ว่าวิญญาณต้องการอะไรถึงมาสื่อหรือปรากฏกายให้เห็นในสภาพการวนเวียนชดใช้กรรมอยู่อย่างที่เห็นมานั้น สุดท้ายเขาจึงต้องปรึกษากับลุงยามอีกครั้งจนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะนำเสนอถึงผู้บริหารซึ่งจะจัดให้มีการทำบุญใหญ่ให้กับดวงวิญญาณของผู้ที่ทรมานในความรักทั้งสองซึ่งจิตใจยังผูกพันอาวรณ์กันอยู่

“เอาแบบนี้แน่ใช่มั้ยลุง?” ครูหนุ่มถามขึ้น

“ครับครู…อย่างไรเสียผมรับรองว่า ครูใหญ่ท่านนี้จะรับฟังความคิดเห็นเราแน่ๆครับ”

ทั้งสองพยักหน้าให้แก่กันอันเป็นความหมายว่าให้พร้อมใจกันไป ณ ที่ใดอันรู้อยู่แก่ใจดี แล้วก็ต่างเดินเคียงกันมุ่งหน้าไปยังที่หมายนั้นทันที

ณ ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งสองคนเข้าไปพบกับท่าน ผอ. ด้วยอาการที่สุภาพและสงบ ทั้งคู่เล่าถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาพบโดยมิได้นัดหมายในครั้งนี้จนหมดสิ้นซึ่งท่านผู้อำนวยการนั้นก็ยินดีรับฟังและเหมือนจะเข้าใจอะไรมามากมายอยู่ก่อนแล้วในที

“สรุปว่าวิญญาณของอุทัยกับจินดายังอยู่อย่างนั้นเหรอลุงพร?” ท่านผอ.ถามไปยังคนยามอาวุโสอย่างราบเรียบ ซึ่งลุงแกก็ยืนยันรับคำหนักแน่น

“อืม…เฮ้อ…!!! ในฐานะที่ผมมีศักดิ์เป็นอาของจินดาน่ะนะ ผมก็เห็นใจเธอกับอุทัยเหมือนกัน พี่สุนทรแกก็ไม่น่าจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองไร้เหตุผลไปถึงเพียงนี้เลย จนสุดท้ายลูกสาวตัวเองก็ต้องมาตายพร้อมกับคนรัก มิหนำซ้ำพี่แกก็ยังมายิงตัวเองตายอีก…ผมล่ะสังเวชใจจริงๆ…”

ท่านผู้อำนวยการพูดพร้อมกับโคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจมีอาการสลดเล็กน้อย

“ท่านผอ.ครับ…แล้วตกลงท่านว่าอย่างไรหรือครับท่าน? พอจะรับพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ไว้ได้หรือไม่ครับ?” ครูวีระถามขึ้นอย่างนอบน้อม

“อ่ะ…งั้นก็ได้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่หวังดีของคุณและมันก็จะเกิดความดีงามความเป็นสิริมงคลต่อโรงเรียนมากขึ้นรวมถึงให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่ภพที่ดีๆด้วย ผมรับข้อเสนอนี้และอนุมัติให้…”

จบประโยคทั้งลุงยามและครูหนุ่มก็ยิ้มหน้าระรื่นและโล่งใจขึ้นเป็นกอง ต่างก็ดีใจกันอย่างเหลือล้นและแอบส่งสายตาแห่งความสำเร็จให้แก่กันอย่างเงียบๆ

วีระทำการเขียนคำร้องขอเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการจัดงานมงคลในโรงเรียนขึ้นแล้วส่งเสนอท่านผู้อำนวยการเพื่อให้เป็นทางการอีกครั้งหลังจากที่ได้เข้าไปพูดคุยกับท่านแล้ว

ซึ่งก็ได้รับการเซ็นอนุมัติมาได้โดยง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานทางผู้บริหารก็เรียกประชุมคณะบุคลากรทางการศึกษาทุกคนทุกฝ่ายให้ได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ในการจัดงานทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งก็มิมีเสียงคัดค้านแต่อย่างใด เพราะทุกคนนั้นล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจและรู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นเช่นไรมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นอีกสองวันถัดมาทางโรงเรียนจึงได้ฤกษ์ดีจัดงานมงคลดังกล่าวขึ้นในวันนั้นอย่างยิ่งใหญ่ดั่งงานมหากุศลของวัดดังๆก็ไม่ปาน

ในงานทำบุญใหญ่ในโรงเรียนครั้งนี้ ทางโรงเรียนก็มีเต็นท์ตั้งโรงทานอาหารคาวหวานเครื่องดื่มมากมายหลายชนิดเต็มไปหมด โดยการร่วมมือกันของครูและเหล่านักเรียนจิตอาสาหลายๆคน ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเจ้านายระดับสูงจนลงมาถึงนักเรียนตัวน้อยๆม.ต้นนั้น ต่างก็เข้ามาร่วมงานกันอย่างล้นหลามเกินคาด ในงานนั้นจัดให้มีการทำบุญเลี้ยงพระ สวดส่งวิญญาณ

และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับทั้งสอง พร้อมกันนั้นก็ยังมีการปัดรังควานในห้องดนตรีและห้องนาฏศิลป์อีกด้วย

ในการสวดส่งวิญญาณและอุทิศส่วนกุศลนั้น ด้านหน้านั้นจะมีพระพุทธรูปพร้อมกับภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตทั้งสองตั้งเคียงกันไว้ใต้ฐานด้านข้างอีกด้วย และเบื้องล่างถัดมานั้นก็คือของใช้ที่เปรียบเสมือนสิ่งที่พันธนาการให้วิญญาณยังคงอยู่ไม่ไปไหน ได้ถูกนำมาวางเพื่อทำพิธีการสวดถอนและปลดปล่อยอีกด้วย ซึ่งของๆครูจินดานั้นคือเครื่องแต่งกายที่เธอใส่รำในงานใหญ่ๆในชุดการแสดงเป็นประจำอันได้แก่ เสื้อไหมสีฟ้า ผ้าแพรที่ใช้เป็นสไบ ปิ่นปักผม และผ้าซิ่นลวดลายวิจิตร ซึ่งทางวีระผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในงานนี้นั้นก็ทราบรายละเอียดอยู่ดีจากการพบเจอวิญญาณของเธอมาแล้วด้วยนั่นเอง

ส่วนของใช้ของครูอุทัยนั้นเห็นทีจะเป็นซอประจำกายตัวโปรดของแกเองนั่นแหละ ซึ่งวีระเองก็ได้ทราบภายหลังจากลุงยามอีกว่า ซอนี้มันถูกเก็บไว้ในกล่องบนตู้เก็บเอกสารของห้องที่มุมด้านในสุด ซึ่งครูหนุ่มนั้นก็ได้ทำการขอขมาขออนุญาตพร้อมกับนำซอคันนั้นลงมาจากที่ตรงนั้น แล้วจัดการปัดฝุ่นกล่องและเช็ดทำความสะอาดซอจนแลดูใหม่เอี่ยมไร้ที่ติ จากนั้นก็นำไปวางไว้เคียงกันกับของใช้ของครูจินดาในหอประชุมใหญ่อันเป็นสถานที่ทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้การประกอบพิธีสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมไม่บกพร่องนั่นเอง

ในขณะทำพิธีนั้นท้องฟ้าโปร่งใสแลดูสว่างจ้าอยู่ไม่น้อย ราวกับเป็นนิมิตหมายอันดีฉะนั้น เสียงพระสงฆ์ท่องบทสวดมนต์คาถาดังก้องไปทั่วทุกสารทิศในโรงเรียน ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก็อยู่ในอาการที่สงบนั่งพนมมือกันนิ่งราวกับหุ่นปั้น แต่แล้วเมื่อมาถึงตอนที่กำลังสวดส่งวิญญาณและอุทิศส่วนกุศลนั้นเอง จู่ๆก็มีลมพัดวูบเข้ามาในหอประชุมที่เปิดประตูโล่งไว้อย่างแรงราวกับเกิดพายุ

ครูวีระนั้นสัมผัสได้จากความรู้สึกลึกๆภายในได้แล้วว่าบัดนี้ดวงวิญญาณของคนทั้งสองคงจะได้รับรู้ถึงการทำบุญใหญ่เพื่ออุทิศให้แก่พวกเขาเหล่านั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเมื่อมาถึงช่วงถวายภัตตาหารเพลให้แก่พระภิกษุสงฆ์นั้นเอง ครูหนุ่มก็ได้เดินออกมาจากประตูหอประชุมเพื่อจะไปทำหน้าที่ประสานงานกับทางคณะผู้ใหญ่ให้ได้ทราบถึงลำดับพิธีการขั้นตอนของงานต่อไป ทันใดนั้นเองเมื่อเขาเดินมาถึงมุมของหอประชุมด้านหนึ่ง เขาก็ต้องชะงักหยุดยืนนิ่งจ้องพิจารณาภาพที่เห็นต่อหน้าแทบตาไม่กระพริบ

เพราะเมื่อมองไปยังด้านหน้าห้องหมวดดนตรีอันเป็นสถานที่ใกล้เคียงบริเวณทำพิธีนั้น เขาพบกับหญิงชายคู่หนึ่งอยู่ที่นั่น ทั้งๆที่ๆแห่งนั้นจัดได้ว่าปลอดคนที่สุดแล้วในช่วงเวลาแบบนี้

เขาใช้เวลามองร่างของคนทั้งคู่อยู่สักพัก ก็ทำให้ขนต้องลุกซู่…ไปทั่วทั้งร่างขึ้นมาในทันทีนั้นแต่ก็มิได้เกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใดผิดกับเมื่อครั้งแรกๆที่เจอ ใช่แล้ว….ทั้งหญิงและชายที่เขาได้พบนั้นคือร่างของครูอุทัยและครูจินดา กำลังสวมกอดแนบชิดกันอย่างหวานชื่นเป็นที่สุด ทั้งสองยิ้มให้แก่กันดวงตาเป็นประกายอย่างสมปรารถนาที่เสมือนว่ารอคอยมานานแสนนาน ดวงวิญญาณของครูจินดานั้นในยามนี้ไม่มีคราบแห่งความน่ากลัวเหลืออยู่เลย มีแต่ผิวพรรณที่งดงามเปล่งปลั่งดูอิ่มเอิบขาวนวลไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าก็ยิ้มแย้มสดใสดูสวยน่ารักอย่างเหลือที่จะบรรยาย

ครูอุทัยเองนั้นก็ดูดีมีเสน่ห์คมเข้มในกิริยาและใบหน้าอย่างเต็มไปด้วยความสมหวังและผลกุศลที่ได้อุทิศให้เช่นกัน ทั้งคู่นั้นยังคงสวมชุดที่ตนเองรักหรือจดจำในเมื่อครั้งก่อนเสียชีวิตอยู่ดังเดิม

จะต่างไปก็แต่ดูสวยงามและเปล่งปลั่งมากกว่าครั้งที่ยังทนทรมานอยู่นั่นเอง ซึ่งครูจินดานั้นเมื่อสวมชุดที่เธอรักเข้าอย่างเต็มยศ ก็ยิ่งแลดูสวยสะพรั่งเข้าไปอีกหลายสิบเท่า เสื้อไหมที่แวววับระยิบระยับล้อแสงกุศล รวมถึงชุดสีกากีในเครื่องแบบข้าราชการครูของครูอุทัยนั้น เมื่อยิ่งพิจารณาดูอย่างถนัดที่สุดแล้วก็เป็นที่แน่ใจได้แล้วว่า ดวงวิญญาณของคนทั้งคู่นั้นหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความทรมานมาพบกัน และน้อมรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลที่เขาและหลายคนๆทำการอุทิศให้จากใจจริงได้แล้วอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรอีกทั้งสิ้น

ร่างอันเป็นกายละเอียดของผู้ล่วงลับทั้งสองพูดกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมาอย่างหวานชื่นอยู่เช่นนั้น เขาตวัดอ้อมแขนสวมกอดรัดเอวของเธอ เธอก็สวมกอดคล้องคอของเขา แล้วทั้งสองก็โน้มใบหน้าเข้าหากันพร้อมกับจุมพิตอย่างดูดดื่มในรสรักเป็นที่สุด

วีระยืนมองภาพนั้นอยู่อีกมุมของสถานที่ทำพิธีอย่างยิ้มๆ และน้ำตาแห่งความปีติตื้นตันก็พลันไหลออกมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ครูหนุ่มยกมือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มในขณะที่สายตายังคงจ้องมองภาพนั้นอยู่ และแล้วร่างวิญญาณของคนทั้งสองก็คลายจูบนั้นออกจากกัน ค่อยๆหันหน้ามาทางเขา วีระสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง

ครูอุทัยและครูจินดามองมาที่เขาด้วยอาการที่เหมือนจะขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ พร้อมกันนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานลึกซึ้งแล้วโค้งศีรษะคำนับให้อย่างสุภาพ จนในที่สุดผู้วายชนม์อันเป็นกายละเอียดทั้งสองนั้นก็พลันค่อยๆยกมือขึ้นมา สูงกว่าระดับไหล่เล็กน้อย แล้วก็พลางโบกไปมาอย่างช้าๆเหมือนจะเป็นการอำลาไปสู่ภพภูมิอื่นที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะต้องไปสู่ที่แห่งนั้น

ครูวีระจ้องมองดวงวิญญาณของคู่รักอยู่ด้วยความรู้สึกที่ดีเหลือล้นเกินที่จะกล่าว พลางเขาก็ยิ้มตอบกลับแล้วโบกมืออำลาร่างของทั้งสองเช่นกัน และจนวินาทีสุดท้ายที่ได้พบกับภาพอันแสนที่จะตื้นตันโสมนัสในหัวใจนั้นเอง รูปกายของทั้งครูอุทัยและครูจินดาก็ค่อยๆเลือนรางจางหายไปอย่างช้าๆกับอากาศธาตุจนลับตา เหลือเพียงสถานที่อันโล่งว่างเปล่าแปนของมันอยู่เช่นเดิม


จบ

กระทู้ผีพันทิป : อีแนน อย่ามายุ่งกับผัวกู! ตอนที่ 2 จบ





“ทีนี้น้องจะกลับมาทำรายงานต่อไง เลยให้พี่บอลมาส่งที่ห้อง พอขึ้นห้องไปก็ตามที่น้องเล่านั่นแหละ โอย !!! หันมาแบบบิดมาแต่หัวเลยนะพี่ ตาดุมาก ฉีกยิ้มกว้าง ฟันในปากไม่มี น้องก็กรี๊ด แล้วน้องก็ภาพตัดเลย มารู้ตัวอีกที นอนเจ็บหัวอยู่โซฟาใต้หอ คนเฝ้าหอเค้าก็ว่า น้องกรี๊ดลั่นชั้น ห้องข้างๆ เค้าเลยออกมาดู เห็นน้องนอนสลบหน้าห้อง เค้าเลยอุ้มลงมาข้างล่าง”

“แล้วก่อนหน้านี้ เคยเจออะไรแบบนี้ไม๊ เคยไปทำอะไรใครหรือเปล่า”

“หนูแนนไม่เคยเจอเต็มๆ ตาแบบนี้เลยพี่ ครั้งแรกในชีวิตหนูแนนเลย หนูไม่กล้าไปนอนที่ห้องแล้วพี่หยก”

ดิฉันนั่งครุ่นคิด ในเมื่อหนูแนน ไม่เคยไปตีกับผีที่ไหน หรือไปลบหลู่อะไรมา แล้วห้องนั้นหนูแนนก็อยู่มาเป็นปีแล้วไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ลักษณะการมาปรากฏให้เห็น ก็ตรงตามตำราเหมือนมาทำให้หวาดกลัว เธอผู้นั้นจะเป็นใครกันแน่ ดิฉันจึงให้จำปาพาหนูแนนไปเก็บข้าวของมานอนที่ห้องดิฉันชั่วคราว พอกลับมา เป๋อที่ไปด้วยก็บอกว่า หนูแนนออกอาการลนลานไม่ยอมเข้าห้อง เพราะภาพมันติดตา แต่จำปาเป็นคนเปิดนำหน้าเข้าไปเปิดไฟ หนูแนนถึงกล้าเข้าไปเก็บของ หนูแนนบอกว่า ไม่เอาแล้ว จะย้ายหอ
ดิฉันบอกให้หนูแนนเย็นใจไว้ก่อน เพราะหนูแนนอยู่มาเป็นปีๆ ไม่เคยเจอ แต่อยู่ๆ มาเจอจังๆ แปลว่ามันต้องมีมูลเหตุ ดิฉันจึงจุดธูป 1 ดอก ที่ระเบียง แล้วตั้งจิตส่งออกไปว่า

“ดวงวิญญาณ ที่มาหลอกหนูแนน เหอ มีไอ่ไหรก็ให้มาพบมาเจอกันในฝันช้านนะ”

ดิฉันทำแบบนั้นอยู่ 3 คืน พอคืนที่ 4 ดิฉันก็ฝัน แต่ในฝัน มีดิฉันเป็นคนแค่คนเดียว เพราะดิฉันฝันว่า ดิฉันยืนอยู่ที่ไหนสักที่ มันมืดมากจนจำสถานที่ไม่ได้เลย ในฝันมีก้อย (เพื่อนผู้เสียชีวิตไปแล้ว) ยืนเป็นเพื่อน อีกคนคือพี่สาวฝาแฝดดิฉัน (เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กๆ) แล้วก็มีผู้หญิงผมยาวคนนึง รูปร่างหน้าตาดี ใส่ชุดลูกไม้กระโปรงฟูฟ่อง เดินตรงเข้ามาหา

ในฝันนั้นหญิงสาวคนนั้นยิ้มให้ดิฉัน หน้าดุ แต่ฟันไม่มี เหมือนฟันหักแทบหมดปากจากอะไรบางอย่าง ในฝันดิฉันไม่ทันได้ถามอะไร พอเธอเดินมาถึง เธอก็ชี้หน้าตะคอกใส่ดิฉันดังลั่นก้องอยู่ในฝันว่า
“อย่ามายุ่งผัวกู” (พูดมาเป็นสำเนียงใต้)

แล้วเธอคนนั้นก็เดินหนีไป โดยที่ในฝันดิฉันได้แต่ยืนมองตาม…เช้าที่ดิฉันตื่นจากฝันเห็น ก็เอามาเล่าให้น้องแนนฟัง ว่ามีผู้หญิงผมยาวเดินมาชี้หน้าตะคอกในฝันว่า “อย่าไปยุ่งผัวเขา” น้องแนนก็นั่งคิดตาหยีหน้าบี้

“ผัวใคร…แนนไม่ใช่ไปมั่วผัวใครที คนมีเมีย น้องไม่ใช่ยุ่งนิพี่หยก”

“ใช่…หนูแนนไม่ยุ่งผัวคน แต่หนูแนนรู้เหรอ คนที่หนูแนนไปยุ่งเมียเค้าไม่ได้เป็นผี เขาหวง เขามาทวงของเขาคืน !!!”

“ใครวะ…น้องไม่ใช่รู้จริงๆ นิพี่”

“คิดดีๆ ตอนนี้คุยใครอยู่มั่ง แล้วไปไล่สืบว่าแฟนเก่าเค้าเลิกกันเพราะอะไร”

“ตอนนี้ที่น้องคุยๆ ก็ พี่บอลรูปหล่อ พี่ต่อเทคโน พี่โย ม.ทักษิณ พี่ดินราชภัฏ พี่อัดสวนตูล แค่นี้เองพี่ !!!”
“เออๆ นั่นแหละ ลองไปสืบๆ พวกนั้นแล ว่าแฟนเก่าเค้า เลิกกันแบบไหน”

หนูแนนก็เงียบไป 2 วัน แล้วก็มาบอก พร้อมเอารูปผู้หญิงคนหนึ่งมาให้ดิฉันดู ดิฉันเห็นแล้วก็ตกใจ !!!
“คนนี้ใช่ไม๊พี่หยก ที่พี่เจอในฝัน”

“ใช่ คนนี้แหละ !!! ทำไม ? ไปเจอมาได้ยังไง”

“คนนี้เป็นแฟนเก่าพี่อัด สวนตูล”

“อ่อ…นั่นไงแล้วเป็นไง เค้าเป็นอะไรตาย ?”

หนูแนนก็เล่าว่า เธอไปสืบถามเรื่องแฟนเก่าจากบรรดาชายที่เธอคุยด้วย จนรู้จากคนชื่ออัดและเล่าเรื่องเมียของเค้าที่เสียชีวิตไปว่า แฟนเขานั่งรถไปเที่ยวกับครอบครัว ลงไปทางอำเภอสะเดาแล้วแฟนคนนี้นั่งกระบะท้าย เจอรถอีกคันพุ่งออกมาจากข้างทาง รถเบรคไม่ทัน เลยชนกันเต็มแรง ความแรงของการกระแทกเลยทำให้แฟนพี่อัด ที่นั่งมาในกระบะท้าย ร่างพุ่งหน้ากระแทกถนน ปากทิ่มครูดกับพื้นถนน จนฟันร่วงแทบหมดปาก หน้าเละไปครึ่งหน้า ตายคาที่ น่าเวทนามาก

น้องแนน ก็เลยไปบอกกับพี่อัดว่า เธอโดนผีแฟนของพี่อัดมาตามหลอกถึงในห้อง และเข้ามาบอกในฝันของดิฉันว่า ห้ามหนูแนนไปยุ่งกับพี่อัดอีก ซึ่งหนูแนนก็ไม่อยากเสี่ยง หนูแนนบอกว่า มีเรื่องกับคนไม่กลัวอยู่แล้วเรื่องตบตี แต่จะให้ไปรบกับผีไม่มีฟัน หนูแนนยอมแพ้ หนูแนนเลยขอยุติการพูดคุยกับพี่อัดไป และนี่ก็เป็นเรื่องราวความหลอนที่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ก่อนจะคุยกับใคร ก็ลองเช็คประวัติคนที่คุยหน่อยแล้วกันนะคะ คนที่มีเจ้าของแล้วเราอย่าไปยุ่งจะดีมากค่ะ เพราะบางครั้ง เจ้าของคนที่เราคุยด้วย เค้าอาจจะไม่ใช่คน !!! “ผัวใคร ใครก็รัก มาวุ่นวายนัก อาจจะคอหักตาย”

ส่วนน้องแนนน่ะหรอ…ทุกวันนี้เธอก็ยังคั่วกับพี่บอลพร้อมๆ กับคบคนอื่นซ้อนเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ…สวัสดี


ขอขอบคุณที่มา : พันทิปดอทคอม

กระทู้ผีพันทิป : อีแนน อย่ามายุ่งกับผัวกู! ตอนที่ 1





“หยก”
“ว่าพรือเป๋อ”
“ฝากน้องรหัสไอ้จำปาไปนอนคนต่ะ”
“เอ้า!!! พรือละคะ มาฝากภาระให้กู”
“น้องมันโดนผีหลอก มันไม่กล้านอนห้องเอง เห็นมึงนอนคนเดียวเลยฝากนิด”
“เออๆ พามา”

หนูแนน เป็นชื่อของน้องรหัสของจำปาค่ะ เป็นสาวแก่นๆ ตัวขาวผมยาว ชอบแต่งหน้าเหมือนผีจูออน เป็นคนที่มีความอ้อร้อสูงมาก อ้อร้อในที่นี้คือชอบอ่อย เล่นหูเล่นตากับหนุ่มๆ แบบหยอกให้อยากแล้วก็จากไป หากมีหนุ่มคนไหนให้ความสนใจ เข้ามาขอเบอร์ขอไลน์ หนูแนนก็จะทำท่ามารยาเอียงอาย แต่สุดท้ายก็ให้เบอร์

ในสายตาคนอื่นๆ เพื่อนๆ จะหมั่นไส้หนูแนนค่อนข้างมาก แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรหนูแนน เพราะทราบมาว่า พ่อของหนูแนนเป็นนายทหารยศใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ประจำการอยู่ที่ 3 จังหวัดภาคใต้ หนูแนนเลยค่อนข้างได้ใจ และไม่ค่อยยอมให้ใครง่ายๆ แต่หากใครสามารถกุมหัวใจหนูแนนไว้ได้ เรียกว่าแม้เสี่ยงตายหนูแนนก็ลุยแทน

หนูแนน เป็นน้องรหัสของจำปา และเพราะจำปา ไม่ชอบขนบธรรมเนียมงี่เง่า เช่น ให้น้องแขวนป้ายตัวโตๆ เท่าฝาโอ่งไปไหนมาไหน หรือการไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ มาแลกลายเซ็น จำปาว่าบ้าบอ ไร้สาระ ไม่มีผลอะไรต่อการเรียน จำปาก็ไม่ให้น้องทำ จำปาเป็นคนใจเย็นและนิ่งบวกกับเรียนเก่งเป็นทุนเดิม เวลาหนูแนนมาขอคำแนะนำอะไรด้านการเรียน จำปาก็จะแนะนำได้ถูกจุด เรียกว่าเป็นพี่รหัสตัวอย่างก็น่าจะได้
คนห่ามๆ มั่นใจตัวเองสูงแบบไม่ค่อยยอมให้ใครแบบหนูแนน เลยเกิดความเคารพยำเกรงในตัวของจำปาไปโดยปริยาย โดยที่จำปา ไม่ต้องไปทำตัวข่ม ว่ากูเป็นรุ่นพี่ มึงต้องฟังกู มันเกิดจากการทำตัวให้เห็นจนเกิดความยำเกรงไปเอง หนูแนน มีกลุ่มเพื่อนของเธอ แต่เธอมักชอบมาคลุกกับกลุ่มของดิฉันบ่อยๆ เพราะมีจำปา นางบอกนางเกิดความรักจำปาเหมือนพี่สาวคนนึง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด ก็แค่สายรหัส แต่นางรักในนิสัยของจำปาและการกระทำ เธอบอกแบบนั้น

หนูแนน เป็นคนสวย และมีแฟนมาแล้วหลายคน แต่ด้วยลักษณะนิสัยการเอาแต่ใจ และพฤติกรรมที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองสูงปรี๊ด หากแฟนคนไหนมาทำให่ไม่ถูกใจขึ้นมา หนูแนนจะเขี่ยทิ้งแบบไม่ใยดีทันที แต่หากจะถามว่าหนูแนนยังซิงไม๊ นางก็ยืดอกแบบเกิร์ลส์ๆ ว่า

“อ๋อ…หนูผ่านผู้ชายมา 3 คนแล้วค่ะ ถ้าเรื่องอย่างว่า”

“แล้วหนูแนนมีแฟนมาแล้วกี่คนเนี่ย”

หนูแนนกรอกตามองฟ้า บ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะดีดนิ้วประกอบการคิด 1…2…3…4….5…6…7…8…อืมๆๆ

“แฟนคนแรกตอน ม.2 ครั้งแรกตอน ม.4 รวมๆ แล้วที่คบมาจริงๆ จังๆ ก็ 8 คนได้แล้วค่ะ ส่วนที่ไม่จริงจังอย่าไปนับเลย”

ต้องเรียกว่าหนูแนนเป็นคนที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามสูงมากก็ไม่แปลก แต่หนูแนนก็ยังดีตรงที่ ถึงนางจะอ้อร้อในด้านอ่อยแรง แต่หากคนที่มีเจ้าของแล้ว ถึงหนูแนนจะถูกใจแค่ไหน หนูแนนก็จะอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่เน้นควง แต่เน้นเสนอหน้าอยู่ในโพสต์ของคนที่ตัวเองแอบปลื้มแทน

ซึ่งผู้ชายในใจของหนูแนนคนหนึ่ง ที่หนูแนนชอบมาทำเนื้อเต้นระริกระรี้ทุกทีที่ได้เจอไกลๆ นั่นคือพี่บอล ปี 4 หนุ่มหล่อหน้าแขก แต่ไม่ได้เป็นแขกเพราะพี่แกแดรกหมูกระทะลงเฟสบ่อยๆ ความหล่อของพี่บอลปี 4 นั้น ต้องเรียกว่ากระแทกใจสาวๆ ราชภัฏสงขลาหลายๆ คน แบบแอบมองไกลๆ ก็ยังดี ไม่มีใครรู้หรอกว่าพี่บอลมีแฟนหรือยัง ก็ประมาณคนหน้าตาดีทั่วไปนั่นแหละ ที่มักจะไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องคนรักลงในเฟส เพื่อคงเรตติ้งเอาไว้ อ่อยสาวไปเรื่อยๆ หนูแนนไปเจอเฟสพี่บอล จากในเพจของมหาลัยราชภัฏ นางก็ส่งข้อความไปขอแอด

และเพราะหนูแนนก็เป็นสาวสวยใส สไตล์สาวใต้ทันสมัย ปากแดงแหลงกลางทองแดง ชอบแต่งตัวสายเดี่ยวเสียวไส้ลงเฟส คงไปเตะตาพี่บอลเข้าบ้าง พี่บอลก็เลยรับแอด หนูแนนก็ดีใจ เอามาคุยในกลุ่มอวดพวกดิฉันกับจำปาและจำปี ว่าพี่บอลรับแอดเธอ เพราะปกติแล้วพี่บอลจะไม่ค่อยรับแอดเฟสใครไปทั่ว เรียกว่าใครจะมาแอดเฟรนเฟสพี่บอล ต้องมีดีกรีความสวยเซ็กซี่พอตัวทีเดียว และต้องอยู่ในละแวกที่สามารถจะนัดเจอตัวจริงได้เท่านั้น พี่บอลถึงจะรับ พี่บอลเคยบอกหนูแนนไว้ในแชทว่า

“พี่เน้นมิตรภาพคนใกล้ตัว มากกว่าการกดไลค์จากใครก็ไม่รู้ครับ”

ก็ไม่รู้ว่าหนูแนน ไปคุยกับพี่บอลท่าไหนบ้าง ไม่นานก็มีคนเห็นพี่บอลพาหนูแนนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เที่ยวไปในเมืองสงขลา-หาดใหญ่ ยามค่ำๆ บ่อยๆ เราก็ไม่ได้ไปตามติดอะไรมาก แต่มักจะเห็นหนูแนนเช็คอินตามผับของสงขลาบ่อยครั้ง แต่มักจะลงรูปพร้อมแคปชั่นประมาณว่า มากับเพื่อนที่นั่นที่นี่

แต่จำปาก็เคยบอกดิฉันว่า พี่บอลกับหนูแนนเค้าก็กินๆ กันอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่ากินกันอยู่ เพราะกลัวเรทติ้งตกทั้งคู่ ในเฟสของคนสวยหล่อเค้าก็มักจะทำกันแบบนั้นแหละ โสดไว้ก่อน ทั้งๆ ที่โลกความจริง นอนด้วยกันจนขาเตียงแทบทรุดอยู่แล้ว แต่ก็นะ คนในแวดวงเพื่อนทั้งคู่จะรู้กันดี ปล่อยให้คนนอกเพ้อล้อฟรีเพราะหวังกันไป เม้นชมคนที่ชอบ กดไลค์แทบตาย ได้แค่คำว่า “ขอบคุณค่ะ” “ขอบคุณครับ” กลับมา แต่ขาเตียงเค้าเอี๊ยดอ๊าดกันแทบพังอยู่ร่ำไป

แต่ไม่นานนัก ภาระก็บังเกิดมาที่จำปา เมื่อเสียงโทรศัพท์ ปลายสายจากหนูแนนเข้ามา ให้ลงไปรับใต้หอ หนูแนนร้องห่มร้องไห้ มากอดจำปาถึงหอ เล่าให้ฟังตัวสั่นว่าโดนผีหลอก ผีใครก็ไม่รู้ เกิดมาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้

ตกใจจนน็อคกลางอากาศ มีคนช่วยอุ้มไปปฐมพยาบาลที่ด้านล่างของหอ พอฟื้นมาได้ หนูแนนก็ไม่กล้ากลับไปนอนในห้อง เธอขวัญผวาตัวสั่น เธอนึกถึงใครไม่ออก เลยมาบอกจำปา

จำปาก็โทรมาหาดิฉัน เพราะรู้ว่าดิฉันจะช่วยได้ดีกว่าในเรื่องแบบนี้ ดิฉันก็ให้จำปาพาน้องมาที่ห้อง หนูแนนมานั่งในห้องได้ ก็เล่าเรื่องที่เจอผู้หญิงผมยาวมานั่งกลางเตียงในห้องของตัวเองให้ฟัง

“ใครก็ไม่รู้พี่หยก ตอนแรกน้องเปิดประตูห้องก็ตกใจ ว่าใครมันมานั่งในห้องน้อง ผมยาวถึงกลางหลังเลยนะ น้องก็ทักแหละว่า เห้ย !!! มึงเป็นใคร”

“ดีนะ มันไม่ตอบกลับมาว่า กูเป็นนักศึกษา นักล่าปริญญา ใฝ่ฝันขึ้นไปเป็นหย่าย” อิเป๋อเธอแทรก
“แล้วยังงายยยยยย” จำปาก็ต่อมุข ตามประสาคู่ซี้

“กูเป็นผีนะสิว้า แขนกูยืดยาวกว่า กูจะมาหักคอเมิงงงงงงงง” อ่ะ…กูตบมุขให้เมิงทั้งคู่ เล่นไม่ดูเลยน้องมันกลุ้ม

“แหะๆ นิดๆ หน่อยๆ น่าาา น้องอย่าเคืองพี่นะหนูแนน พวกพี่ก็แบบนี้แหละ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูแนนไม่ถือ แต่หนูแนนอยากตบรุ่นพี่ตอนนี้”
“ชะอุ้ย…หลบมือแพ๊บ…!!!”
“อ่ะหนูแนน มั่นใจเหรอ ว่าเป็นผีแท้ๆ หนูไม่ได้ไปเมามาจากไหนใช่ป่ะ”

“โถ่พี่หยก ดูปากน้องแนนนะคะ จะดมก็ได้ค่ะ หนูแนนยังไม่ได้จัดแอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือดแม้แต่มิลลิกรัมเดียวเลยค่ะ น้องไปนั่งริมเลกัน 2 คน กับพี่บอลมา”

“ฮั่นแน่…ไปนั่งทำไหรกันเห้อ แคว่กกันมาแล้วม้ายล่ะ หยบๆ มืดๆ 2 คน”

“ไม่ได้ทำไหรเลยพี่เป๋อเหอ พี่บอลแกซื้อทุเรียนหมอนทองที่วชิรามาลูกนึง 200 กว่าบาท แกก็ว่า อยากกินทุเรียน แต่ขี้คร้านเอากลับไปเหม็นที่ห้อง แกเลยชวนน้องไปนั่งกินทุเรียนริมทะเล น้องกินไป 3 พู ที่เหลือพี่บอลกินเรียบ แล้วก็นั่งหยอกนั่งเรอกลิ่นทุเรียนใส่กันนิ”

“อื้อหือ คู่รักโรแมนติก นั่งดวดหมอนทอง เชื่อมรักที่ริมเล มันจะมีละครไทยเรื่องไหน สนใจเอาไปใส่ในเรื่องมั่งนะซีนนี้ พระเอกนางเอกแดรกทุเรียน แล้วนั่งเรอจีบกัน แค่กูนั่งนึกภาพ ณเดชน์นั่งจีบญาญ่าที่ริมทะเลสงขลา แล้วดินเนอร์ด้วยทุเรียนหมอนทอง พูต่อพูแล้ว อ่าส์สสสสส”

“มึงก็เล่นอยู่นั่นเป๋อ ต่อเลยหนูแนน พี่รอฟังอยู่”


อ่านต่อ ตอนที่สอง (จบ)

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 4 โดย ธีร์ วรรณกร





และห้วงเวลาของสิ่งที่เขาให้คำนิยามกับมันว่าเป็นวันแห่งความน่าสะพรึงนั้นก็เคลื่อนคล้อยลอยละลิ่วเข้ามาอีกราวกับว่านาฬิกาจะเร่งรีบให้ถึงแค่วันนี้วันเดียวฉะนั้น ใช่แล้ว….วันศุกร์…วันที่เขาต้องเข้าเวรนอนและตรวจตราโรงเรียนประจำนั่นเอง…

ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงอยู่รอมร่อ ครูหนุ่มเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวของตนเองแล้วนั้นก็รีบบึ่งรถจักรยานยนต์คู่ใจเข้าสู่ประตูรั้วใหญ่ด้านหน้าโรงเรียนทันที เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ใต้ชายคาของที่จอดรถข้างป้อมยาม พร้อมกับนำสัมภาระที่เตรียมมาและอาหารเครื่องดื่มที่จำเป็นต่อมื้อเย็นมาวางไว้ที่ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใกล้ๆกับประตูป้อมยามอีกด้วย

และทันทีที่เขานั่งลงบนม้าหินอ่อนอีกตัวข้างๆกันอย่างสบายอารมณ์นั้นเอง ยามอาวุโสก็เดินออกมาจากประตูป้อมพร้อมกับกล่าวทักทายต้อนรับอย่างเป็นกันเอง วีระนั้นก็พูดจาพาทีตามผู้ที่มีอัธยาศัยดีอยู่เสียเพลินปาก จนกระทั่งทั้งสองก็ชวนกันรับประทานอาหารด้วยกันที่ต่างก็เตรียมกันมาอย่างออกรส ทานไปก็คุยเรื่องนาๆจิปาถะไปพลางอย่างคุ้นเคย

เวลายามราตรีก็คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วน่าแปลกในคืนวันนี้ อากาศหนาวๆเย็นๆพิลึก โรงเรียนทั้งโรงเรียนก็เงียบสงัดราวกับเป่าสาก มีเพียงพวกเสียงจิ้งหรีดที่ส่งเสียงร้องยามกลางคืนบอกอาณาเขตของมันอยู่เป็นระยะๆ

ตัววีระเองนั้นก็รู้สึกได้ว่าคืนนี้มีอะไรที่แปลกๆเช่นกัน เพราะตั้งแต่ที่เขาเจอเรื่องผีๆสางๆที่ห้องในวันนั้นมาจนถึงหนที่สองที่ต้องเข้าเวรในครั้งนี้นั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะเฉียดเข้าไปนอนในห้องหมวดใกล้ห้องดนตรีอีกเลย และยิ่งคิดถึงเมื่อตอนเจอในฝันกลางวันแสกๆอีกก็ยิ่งทำให้เขาต้องปอดเข้าไปใหญ่ จนได้มาอาศัยนอนเวรกับลุงยามที่ป้อมนี่แหละ และบรรยากาศในค่ำคืนนี้ก็น่ากลัวกว่าคืนแรกที่เขาได้มาทำหน้าที่เข้าเวรอีกเสียด้วยสิ

ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่จะต้องทำการออกตรวจตราบริเวณโรงเรียนของทั้งสองคนซึ่งก็หมายถึงลุงยามและเขา ดังนั้นแล้วทั้งครูหนุ่มและคนยามอาวุโสก็พยักหน้าชวนกันออกทำหน้าที่อย่างไม่อาจละเลยได้ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับเดินฝ่าดงหมอกและความหนาวสะท้านของยามกลางคืน ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกเพราะทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆแต่เหตุใดอากาศถึงได้เย็นเฉียบถึงเพียงนี้ได้
ดวงเดือนบนฟ้าสว่างแจ้งเต็มดวงสวยงามส่องให้เห็นอะไรๆได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมทั้งบวกกับแสงหลอดไฟจากเสาตามทางเดินของโรงเรียนแล้วนั้นก็ยิ่งทำให้สว่างชัดเจนในทุกสิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งสองพากันเดินตรวจตราไปตามห้องและอาคารต่างๆอย่างช้าๆเหมือนที่เคยทำ จนกระทั่งผ่านมาถึงจุดที่ครูวีระไม่กล้าเข้าใกล้ในตอนค่ำคืนเป็นที่สุดซึ่งนั่นก็คือโซนของด้านห้องดนตรีนั่นเอง และในขณะที่เขาและลุงยามกำลังเดินไปตามทางเพื่อมุ่งเข้าสู่ด้านหน้าของตัวอาคารนั้นเอง ทั้งคู่ก็ต้องหยุดเดินชะงักกึกหันมามองหน้ากันอย่างเสียไม่ได้ เพราะเมื่อเดินมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทางที่จะเข้าสู่ที่หมาย พวกสุนัขจรจัดที่อยู่ตามมุมที่มืดและทั่วบริเวณโรงเรียนประมาณหก-เจ็ดตัวก็พากันส่งเสียงหอนต้อนรับเป็นทอดๆฟังดูเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเป็นที่สุด

ครูหนุ่มผู้อยู่รั้งท้ายมีอาการตัวสั่นเล็กน้อย พร้อมกับโพล่งอยู่ในใจอย่างหวาดๆว่า “เอาอีกแล้วหรือนี่..? อะไรจะเฮี้ยนหนักหนาขนาดนี้..?”

ลุงยามเองก็มีอาการเลิ่กลั่กเหลียวหน้าเหลียวหลังและเหมือนระแวงๆเช่นกัน พลางกวาดลำไฟฉายในมือไปรอบๆและในมุมที่มืดๆอย่างไม่ไว้ใจอยู่ในที

และแล้วในขณะที่คนทั้งสองกำลังเดินใกล้จะถึงหน้าห้องของอาคารนั้นเอง ก็มีอันต้องสะดุ้งโหยงและหยุดกึก..อยู่กับที่อีกครั้งด้วยลักษณะอาการที่บอกไม่ถูก เมื่อโสตประสาทรับเสียงของทั้งเขาและลุงยามดันไปรับได้กับเสียงๆหนึ่งที่ดังมาจากในห้องดนตรีนั้น ใช่แล้ว….

มันคือเสียงซอ…เสียงซอที่สำเนียงมันคุ้นหูดีสำหรับครูวีระ มันยังคงบรรเลงท่วงทำนองที่เศร้าสร้อยโหยหวนเยือกเย็นน่าขนลุกอยู่เหมือนเคย และยิ่งประกอบกับเสียงหมาหอนด้วยแล้วมันก็ยิ่งเพิ่มความน่าสยองขวัญสั่นประสาทเข้าไปอีกเป็นร้อยๆเท่า มิหนำซ้ำละอองหมอกที่ค่อนข้างหนาๆนั้นก็กลับลอยผุดขึ้นมาแต่ยามใดมิอาจทราบได้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะอากาศแห่งความเป็นจริงเลย เสียงซอที่ครวญบรรเลงด้วยอารมณ์ที่หม่นหมองก็ยังดังอยู่ ลุงยามเหมือนจะแข็งใจฉุดมือของวีระให้เดินไปต่อ ครูหนุ่มเองก็ทำใจดีสู้ผีและเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

“เอาวะ..!! เอากับลุงแกสิ…นี่ขนาดเจอเข้าแบบนี้ยังจะมีกะจิตกะใจจะตรวจต่ออีก…เอาเข้าไป!!”
เขาบ่นอยู่ในใจอย่างหมดหนทางที่จะปลีกเลี่ยงได้

“นี่…เดี๋ยวก่อนครับลุง..!!!” เขาร้องเตือนมาเบาๆขณะที่ลุงยามกำลังฉุดมือเขาเดินต่อไปยังที่มาของเสียงซออาถรรพ์อย่างช้าๆ

คนยามอาวุโสหันมามองหน้าพร้อมกับหยุดเดินและถามขึ้นว่า

“เดี๋ยวอะไรกันครับครู…นี่ครูจะไม่ไปตรวจห้องดนตรีเรอะ?”

“คือ…ผมจะบอกว่า…ไอ้เสียงซอที่ผมได้ยินน่ะ มันดังแบบนี้ในทำนองแบบนี้และเวลาไล่ๆกันนี้ด้วยนี่แหละครับลุง..!!!” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ผมเข้าใจแล้ว….แต่ครูไม่อยากรู้เหรอครับว่าเสียงซอน่ะสาเหตุและที่มามันเป็นอย่างไร?”

“อยากสิครับลุง….แต่ผมยอมรับนะว่าผมกลัว…ว่าแต่ลุงเหอะ…ไม่กลัวบ้างรึไงล่ะ?”

“กลัวสิครับครู…”

“อ้าว!!!แล้วกันสิ…แล้วจะไปดูทำไมกันอีก…?”

“ก็เพราะอยากให้ครูรู้น่ะสิครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น..!!!”

“อ่ะ..!!หา!!!…ว่ายังไงนะครับ…!!เอ่อ..เดี๋ยว…!!!”

ยังไม่ทันที่วีระจะเอ่ยถามคำใดต่อไปอีกลุงยามก็รีบฉุดมือเขาให้วิ่งไปที่ห้องดนตรีนั้นทันที
เมื่อมาถึงที่หมายลุงยามก็พาเขามาหยุดยืนให้ห่างจากประตูห้องประมาณสี่เมตรได้ และแน่นอน…เสียงซอนั้นก็ยังคงถูกบรรเลงอยู่

“ครู…อยากรู้ใช่มั้ยครับว่าใคร…หรืออะไรกำลังสีซออยู่ในห้องนั้นกันแน่?” ลุงยามเอ่ยถามขึ้นเบาๆน้ำเสียงก็สั่นไม่แพ้กัน ใจของวีระตอนนี้เต้นระทึกแรงแทบจะทะลุออกมานอกอก ได้แต่พยักหน้าเนิบๆด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง และในทันทีนั้นเองลุงยามก็ยกลำไฟฉายส่องพุ่งเข้าไปข้างในห้องอย่างรวดเร็วมือที่กำกระบอกไฟฉายแน่นสั่นระริก….

และแล้วเมื่อแสงของไฟฉายสาดส่องผ่านประตูกระจกโปร่งใสนั้นเข้าไปยังบริเวณในห้อง ก็พลันส่องให้เห็นอะไรได้ถนัดชัดเจนเป็นที่สุด จนภาพที่เห็นแทบจะทำให้วีระหมดลมหายใจนอนสลบไปเสียตรงนั้นให้ได้

เพราะสายตาทั้งสองได้รับรู้ว่าภายในห้องนั้น มีร่างของชายผู้หนึ่งสวมชุดสีกากีในเครื่องแบบข้าราชการครูซึ่งเป็นร่างของชายคนเดียวกันที่เขาพบเจอในฝันเมื่อตอนกลางวันของวันเสาร์ที่ผ่านมา ผิดแต่บัดนี้ชายผู้นั้นกำลังนั่งขัดสมาธิหันหลังให้ มือทั้งสองก็บรรเลงซอด้วยทำนองที่แสนรันทดอาลัยโหยหวนคร่ำครวญราวกับเสียงคนร้องไห้อยู่เช่นนั้น ท่วงทำนองของมันช่างเนิบๆเชื่องช้าฟังแล้วน่ากลัวเสียนี่กะไร
และแล้วหัวใจของครูหนุ่มก็ต้องตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง เมื่ออยู่ดีๆกิริยาของผู้ที่กำลังนั่งสีซออยู่นั้นค่อยๆเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมาทำเอาจิตใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ เพราะเขาผู้นั้นค่อยๆหันใบหน้ากลับมาด้านหลังมองทั้งสองคนที่ยืนตะลึงนิ่งตัวแข็งราวกับถูกสะกดอย่างช้าๆคล้ายหุ่นยนต์ถูกบังคับ ลำคอค่อยๆหมุนกลับมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนกระทั่งศีรษะหันบิดผิดรูปราวกับจะหมุนรอบได้ 360 องศามาบรรจบรอบอยู่ที่ด้านหลัง พร้อมกับจ้องมองครูหนุ่มและคนยามอาวุโสด้วยสีหน้าที่สลดเศร้าหมอง
ดวงตาที่มีแต่นัยน์ตาสีขาวเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ใบหน้าเขียวอื๋อไม่ใช่ผู้ใช่คน ชิ้นเนื้อหลุดร่อนบางส่วนและมีผิวหนังที่เน่าๆห้อยร่องแร่งติดอยู่ด้วย น้ำตาที่หลั่งรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างมันคือเลือดสดๆที่แลเห็นแดงคล้ำอาบนองแก้มอยู่อย่างชัดเจนน่าสยดสยอง พร้อมกันนั้นมือทั้งสองก็ยังคงบรรเลงซอเรื่อยไปโดยไม่ขาดช่วง หมาก็ยังหอนกันเกรียวกราวแสนที่จะหวั่นสะพรึงขนลุกขนชันเป็นที่สุด

“…..เห็นแล้วใช่มั้ยครับครู….?” เสียงแหบพร่าสั่นเครือของลุงยามถามฝ่าความนิ่งงันขึ้นจนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

“ครับ….ครับลุง…จ….จะๆเลยล่ะทีนี้….” ครูวีระตอบกลับด้วยอาการที่ไม่ต่างกัน

“เผ่นกันเถอะครู!!!!”

จบประโยคลุงยามอาวุโสก็คว้าหมับเข้าที่แขนของครูหนุ่มแล้วเปิดแน่บออกจากที่แห่งนั้นไปในทันที ทั้งสองวิ่งไปหอบแฮกๆไปด้วยอาการขวัญหาย จนในที่สุดเมื่อมาถึงถนนเส้นที่มีสามแยกเป็นรูปตัวทีอยู่ต่อหน้า พวกเขาก็ต้องเบรกฝีเท้าหยุดไปอีกครั้ง เพราะเมื่อมองไปยังอาคารห้องนาฏศิลป์ที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งครูวีระและคนยามก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเข้าให้อีกแล้ว!!!

เสียงซอสำเนียงที่คุ้นหูดังครวญครางอยู่บนชานระเบียงของอาคาร พร้อมกันนั้นก็ปรากฏร่างอันเป็นเงาดำตะคุ่มๆรางๆอยู่ที่นั่น เงานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่บนระเบียงนั้นมิใช่วิญญาณดวงเก่าที่เขาทั้งคู่ได้เห็นมาเมื่อตะกี้นี้อย่างแน่นอน แต่ทว่ามันกลับเป็นเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งที่กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงามดั่งเป็นท่าที่ประกอบกับเสียงซอผีสิงนั่นอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ย!!!!นี่…..นี่มันอะไรกันอีกวะเนี่ย!!??” วีระอ้าปากค้างโพล่งออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสายตาตนเอง ลุงยามอาวุโสก็กระเดือกน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงคออย่างยากเย็นเป็นที่สุด

“ใคร….?….ใครกันน่ะ..?” ลุงยามเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่หลุดลอดออกมาจากลำคอ
และแล้วแกก็ตัดสินใจวาดลำแสงไฟฉายขึ้นส่องไปยังร่างนั้นอีกครั้งดั่งที่เคยทำอยู่ห้องดนตรีเมื่อครู่ และภาพที่แกเห็นก็ถึงกับทำให้ต้องร้องว้าก!!ขึ้นสุดเสียงผงะถอยหลังชนกับครูวีระที่ยืนอยู่ด้านนั้นก่อนแล้วจนล้มลงไปก้นจ้ำเบ้ากันทั้งคู่ ไฟฉายที่กำแน่นสาดแสงค้างอยู่ในมือของลุงยามซึ่งระยะคนทั้งสองห่างจากอาคารไม่เกินสามเมตรนั้น ส่องให้เห็นว่าบนระเบียงอาคารของห้องนาฏศิลป์ที่พบเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร่ายรำนั้น บัดนี้….มันชัดเจนขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า

เพราะสภาพของหญิงสาวที่เห็นกำลังร่ายรำอยู่นั้นหาใช่มนุษย์ไม่ แต่จะเรียกได้ว่าผี….เต็มปากเต็มคำได้เลยทีเดียว เพราะร่างของเธอทั่วทั้งร่างซีดเผือดไร้เลือดลม ขาวโพลนปานกระดาษ ตามทั่วกายนั้นก็กลับมีเส้นเลือดผุดขึ้นมาไปจนถ้วนทั่วแลเห็นดำคล้ำจนไปถึงใบหน้า ดวงตาถลนออกมานอกเบ้าข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็มีแต่เลือดที่ทะลักพรั่งพรูไหลย้อยลงมาจนถึงคางราวกับเปิดก๊อก เล็บยาวสีดำน่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับแม่มด ปากอ้าค้างพลางสะอื้นร่ำไห้อย่างโหยหวนน่าเวทนาเป็นที่สุด เธอสวมชุดไหมสีฟ้าที่ดูงามตาแต่เปรอะเปื้อนน้ำเลือด มีผ้าแพรเป็นสไบเฉียงพาดลงมาจากไหล่ซ้าย เกล้าผมเป็นมวยพร้อมมีปิ่นปัก มีดอกลำดวนแนบแซมทัดอยู่ที่ข้างหูด้านขวา นุ่งซิ่นลายโบราณที่ดูๆแล้วเป็นเครื่องแต่งกายของสาวชาวอีสานเราดีๆนี่เอง

และที่ซ้ำร้ายชวนหลอนไปกว่านั้นก็คือบทเพลงที่เธอกำลังร่ายรำอยู่นั้นคือท่วงทำนองของเสียงซออาถรรพ์ที่ได้ยินจากห้องดนตรีเมื่อหยกๆนี้เป็นบทเพลงสำเนียงเดียวกันไม่มีผิด!!!

ลุงยามตะลึงดูภาพๆนั้นอยู่ราวกับต้องมนตร์สะกด ส่วนครูวีระเองอ้าปากค้างตาเบิกโพลงหายใจหอบๆด้วยอาการที่อกสั่นขวัญแขวนไม่แพ้กัน และแล้วคนยามอายุรุ่นพี่พ่อก็เหมือนจะตั้งสติได้ก่อนครูหนุ่ม แกชันกายลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางรีบเข้าไปพยุงร่างของครูวีระขึ้นจากอาการที่เหมือนคนเป็นอัมพาตอยู่นั้นพร้อมกับละทิ้งทุกอย่างพาเขาจ้ำอ้าวๆกลับไปยังป้อมยามทันทีโดยไม่เหลียวหลังหันไปสนใจกับอะไรอีกเลย

เมื่อมาถึงทั้งสองคนได้แต่นั่งมองตากันไปมาอย่างเงียบๆภายใต้ความรู้สึกที่เกินจะบรรยายถูกได้ แต่เมื่อเขาสังเกตดูลุงยาม ณ ตอนนี้เห็นแกนั่งตาแดงน้ำตาคลอทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาเองในตอนนี้ก็ใบ้กินไปเช่นกัน ได้แต่นั่งผ่อนลมหายใจปาดเหงื่อที่ผุดซึมไหลอาบไปทั่วใบหน้าจาการวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตอยู่อย่างนั้น

“โธ่….ไม่น่าเลย….ไม่คิดว่าจะยังอยู่กันอีก…” เสียงของลุงยามเอ่ยฝ่าความเงียบขึ้นอย่างระล่ำระลักแผ่วเบา

“นี่…นี่ลุงหมายความว่าอย่างไรกันน่ะครับ?” วีระหันไปถามด้วยความสงสัย

“ครูครับ….ผม….ผมต้องขอโทษด้วยที่ปิดบังและทำเป็นไม่เชื่อครูเรื่องผีที่ครูเจอเมื่อวันนั้น..”

“เอ๊ะ!!อะไรกันครับนี่..?ผม…ผมงงไปหมดแล้วนะครับลุง!!?”

“ครูครับ….วิญญาณที่เราๆเห็นกันมาเมื่อครู่นี้น่ะ เขาทั้งคู่น่าสงสารมากๆเลยนะครับ..”

“ลุงครับ….ผมไม่เข้าใจ…..แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องอธิบายลุงก็พูดมาเถอะครับ ผมเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันนะ นิ่งอมพะนำไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ครับลุง..”

สีหน้าของลุงยามในตอนนี้เปลี่ยนไป จากอาการที่ตกตะลึงในความกลัวนั้นก็กลับกลายมาเป็นอาการสลดสังเวชใจแทน แกเริ่มต้นเรื่องราวที่แกจะเล่าอย่างเศร้าๆในน้ำเสียงว่า…..


อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 5 (จบ)

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 3 โดย ธีร์ วรรณกร





“แล้วสรุปนี่ครูจะกลับไปนอนที่บ้านพักหรือครับ หรือว่าอย่างไร?”

“ไม่หรอกครับยังไงซะ คืนนี้มันก็ยังเป็นเวรตรวจโรงเรียนของผมอยู่ คือ…ผมว่าจะขนเอาพวกผ้าห่มพวกหมอนไปนอนกับลุงที่ป้อมนั่นแหละ เห็นมีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆอยู่ติดกันตั้งสองตัวไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าเวลานอนก็พอจะเบียดกันได้”

“โห….เอางั้นเลยเหรอครับครู? พับผ่าสิซื่อดีแท้ครูใหม่นี่ เอ้า!!ถ้าจะนอนที่ป้อมกับผมก็ไม่เป็นการขัดข้องครับเชิญตามสบาย แต่ตอนนี้ผมว่าครูรีบเก็บข้าวเก็บของปิดไฟแล้วล็อคห้องหมวดไว้ให้ดีก่อนเถอะครับ ไอ้เรื่องนอนที่ป้อมน่ะไม่มีปัญหาเลยสักนิดเดียว”

วีระรีบรับคำแล้วเร่งจัดแจงทำตามประสงค์ในทันที โดยไม่รีรอช้า ชั่วอึดใจเขาก็ย้ายที่นอนมาอยู่ที่ป้อมยามกับคนยามผู้อาวุโสได้ดั่งใจโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนลุงยามนั้นก็ทำหน้าที่ของแกไปอย่างเช่นเคยโดยปล่อยให้ครูวีระนอนหลับพักผ่อนอย่างตามสบายเข้านิทราไปแบบไม่ต้องกังวลอันใดจนตลอดคืน…..

ในช่วงเวลาของวันหยุดอันเป็นวันเสาร์-อาทิตย์นั้น วีระเขาก็ยังได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนดังเดิมไม่ได้หยุดหย่อน เหตุเพราะเขาได้มีนัดหมายให้นักเรียนชมรมวงโปงลางนั้นมาทำการฝึกซ้อมกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์รวมถึงช่วงเย็นนับตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป เพื่อที่จะนำขึ้นแสดงในงานสำคัญของโรงเรียนอันเป็นงานใหญ่พอสมควรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ดังนั้นผู้ควบคุมดูแลวงก็จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากเขา ถ้าไม่นับรวมครูนาฏศิลป์อีกสามท่านที่มาช่วยดูและปรับท่ารำให้นางรำเพื่อให้เข้ากับนักดนตรีซึ่งก็จะไม่ค่อยได้มาที่ห้องดนตรีบ่อยเท่ากับเขามากนักในฐานะครูผู้ควบคุม

ครั้นเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนั้นเอง ในขณะที่นักเรียนทุกคนออกจากห้องไปรับประทานอาหารในสถานที่รับรองกันหมด ห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบงันเข้ามาปกคลุมแทน ครูวีระซึ่งไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกห้องเช่นครูคนอื่นๆนั้น ด้วยความเหนื่อยล้าสมองต้องการผ่อนคลายจิตใจบ้างเขาจึงเดินไปหยิบพิณโปร่งตัวหนึ่งขึ้นมาจากแท่นวางข้างๆโต๊ะที่ทำงาน แล้วนำมานั่งบรรเลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายอารมณ์ ภายในท่วงทำนองสำเนียงอีสานที่ระรื่นหูไม่มีขัดโน้ต จากการสลับไล่เรียงนิ้วในช่องคอร์ดที่ชำนิชำนาญ

แต่ในขณะที่เขากำลังบรรเลงเล่นลายเพลงไปเพลินๆอยู่นั้น สายตาของเขาที่กวาดมองไปมาโดยไร้จุดหมายนั้นก็พลันมาสะดุดเพ่งเล็งอยู่กับสิ่งๆหนึ่งบนโต๊ะทำงานของตนเอง โดยโต๊ะตัวนี้นั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบโต๊ะทำงานของพนักงานหรือของพวกเจ้านายทั่วๆไป แต่มีกระจกบานใหญ่วางซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งไว้ด้วย

และใต้กระจกบานนั้นเขามองเห็นปลายๆมุมของกระดาษหรือคาดว่าน่าจะเป็นแผ่นภาพถ่ายอะไรสักอย่างซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยกองสมุดงานนักเรียนอีกทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น คงด้วยความไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย เขาจึงนึกฉงนใจขึ้นในบัดนั้นนั่นเอง หยุดการเล่นพิณพร้อมกับนำไปวางไว้ที่เดิม แล้วจัดการย้ายกองสมุดนักเรียนเหล่านั้นมาไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม และเมื่อเขาได้พบว่ากระดาษที่เห็นแค่มุมน้อยๆเมื่อครู่แผ่นนั้นมันคือภาพถ่ายของใครคนหนึ่ง ครูหนุ่มก็ยิ่งเริ่มมีความสนใจกับมันมากขึ้น

เขาจ้องมองมันอย่างพิจารณาก็พบว่า ในภาพถ่ายใบนั้นปรากฏเป็นภาพของชายผู้หนึ่งใส่ชุดนักดนตรีวงพื้นบ้านซึ่งน่าจะเป็นวงโปงลาง เป็นชุดไหมสีเหลืองทองงามตา มีสร้อยดอกรักคล้องไว้ที่คอ นุ่งผ้าโสร่งที่หลากสีสันดูสะอาดสะอ้าน ที่เอวก็ผูกมัดไว้ด้วยผ้าข้าวม้าอย่างเรียบร้อย

ชายในภาพถ่ายนั้นอยู่ในกิริยาอาการนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง ซึ่งมือทั้งสองของเขากำลังแสดงการบรรเลงซออีสานคันหนึ่งอย่างองอาจในมาดศิลปินและพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ชายผู้นี้ตัดผมรองทรง สีผิวน้ำตาลแดงใบหน้าคมสันแลดูเข้มและบวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์อย่างไรพิลึกเมื่อได้คู่กับหน้าที่ที่เขาได้ทำ แก้มทั้งสองข้างถูกปาดเอาไว้ด้วยแป้งสีขาวอันเป็นรอยนิ้วมือปาดเป็นขีดไว้พองาม ซึ่งสิ่งแวดล้อมและฉากหลังของภาพนั้นก็คือเหล่านักดนตรีวงโปงลางทั้งหลายที่กิริยาในภาพก็กำลังทำการบรรเลงดนตรีอยู่

วีระมองภาพถ่ายที่อยู่ภายใต้บานกระจกบนโต๊ะใบนั้นด้วยอาการที่บอกไม่ถูก ทำไมกันหนอ..? ทั้งๆที่บุคคลในภาพถ่ายนั้นดูมีความสุขอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดเล่าเขากลับสัมผัสได้ว่ามันยังมีความรู้สึกที่โศกเศร้าและรันทดในจิตใจแฝงไว้ลึกๆด้วย

และในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับภาพถ่ายไปอย่างเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเองพลัน!!! เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วๆแหบเครือมาจากที่ใดที่หนึ่งของห้องอย่างน่าพิศวง สุ้มเสียงนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าของเสียงคนกำลังตกอยู่ในห้วงอาการเพ้อรำพันอย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด มันเป็นเสียงแหบเครือปนสะอื้นของผู้ชายซึ่งคาดว่าดังมาจากทางด้านซ้ายมือของเขา เสียงรำพันนั้นพร่ำว่า…

“จินดา……จินดา……..จินดา……จินดา…….” อยู่เช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา อย่างอาลัยอาวรณ์และเศร้าโศกและแฝงด้วยความน่าขนลุกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเป็นที่สุด

วีระตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกไปในบัดนั้นเขาชะงักงันด้วยความฉงนเป็นเหลือคณา พยายามนิ่งเงี่ยหูฟังอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าเสียงรำพันที่เขากำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้นั้นมันเป็นอุปาทานหรืออะไรกันแน่ และเมื่อยิ่งฟังนานเท่าใด เสียงรำพันอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยิ่งดังและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ครูหนุ่มเริ่มมีอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปเสียแล้ว เขาหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง สายตาทั้งคู่กวาดไปมารอบๆบริเวณในห้องอย่างประหวั่นใจเป็นที่สุด

“อะไรกันวะเนี่ย…? เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมาอีก กลางวันแสกๆแท้ๆ…? เขาโพล่งอยู่ในใจอย่างแสนที่จะอดความพิศวงไม่ได้

จนกระทั่งในขณะที่เขากำลังสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียงอยู่รอบๆห้องนั้นเอง หางตาของเขาก็พลันไปประสบกับภาพเลือนรางของอะไรชนิดหนึ่งเข้า ในเสี้ยววินาทีแห่งการมองเห็นนั้น เขาพบกับร่างอันปรุโปร่งเบาบางเหมือนอากาศจนสามารถแทรกทะลุได้ของชายคนหนึ่ง ลักษณะนั้นเขาใส่ชุดข้าราชการครูแบบสีกากีแต่ตามเสื้อผ้านั้นมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว

ครูหนุ่มชะงักนิ่งไปอีกครั้ง ตาค้างเบิกโพลงเพราะความคาดไม่ถึง เขาตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วค่อยๆหันไปมองภาพอันเลือนรางที่เห็นจากหางตาเมื่อครู่ทางด้ายซ้ายมืออย่างช้าๆ ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัวเหลือล้น และในที่สุดเมื่อทุกอย่างประจักษ์ต่อกันอย่างถนัดถนี่ที่สุด ครูวีระก็ต้องเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นในบัดดล เพราะภาพที่เห็นนั้นก็คือ

ชายในชุดครูสีกากีนั้นกำลังยืนก้มหน้าก้มตาร้องไห้อยู่ น้ำตาที่หลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างนั้นหาใช่น้ำตาที่ใสสดบริสุทธิ์ไม่ แต่กลับเป็นเลือดสีแดงฉานที่ไหลรินออกมาเป็นทาง พลางก็หยดติ๋งๆลงบนพื้นแลเห็นเปื้อนที่ ณ ตรงนั้นเป็นจุดๆหย่อมๆ

ร่างกายของชายผู้นั้นเขียวคล้ำคล้ายศพกำลังจะเน่า พร้อมกันนั้นก็โชยกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องจนวีระแทบจะอาเจียน วิญญาณของบุคคลปริศนานั้นยืนก้มหน้าร้องไห้รำพันพลางสะอื้นดั่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์เป็นที่สุด ปากก็พร่ำบ่นเพ้อครวญถึงแต่คำว่า “จินดา…จินดา….จินดา……” อยู่เช่นนั้น

และที่ซ้ำร้ายไปอีกก็คือ…วีระเพิ่งจะสังเกตเอาได้เดี๋ยวนี้เองว่าลักษณะของสิ่งที่เขาแน่ใจว่าเป็นผีที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้นั้น มันตรงกับชายผู้ที่นั่งสีซออยู่ในภาพที่เขากำลังนั่งดูมันอยู่เมื่อครู่นี้ไม่มีผิด!!!

ครูหนุ่มแทบจะบ้าคลั่งอยากร้องด้วยความตกใจเหลือล้นให้สุดเสียง แต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างเท่านั้นมิได้มีสิ่งใดจะสามารถเล็ดลอดผ่านลำคอของเขาออกมาเพื่อที่จะส่งสำเนียงได้ทั้งสิ้น เหงื่อแตกพลั่กๆราวกับอากาศในครานั้นจะร้อนอบอ้าวซึ่งขัดกับความรู้สึกภายในที่เย็นเฉียบเลือดแทบไม่เดินประดุจแช่แข็งอยู่แล้ว

เขาเผชิญอยู่กับภาพอันน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้อยู่ประมาณสามนาทีได้ หลังจากนั้นภาพของชายในชุดข้าราชการครูผู้น่าสะพรึงคนนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไป พร้อมกับเลือดที่แดงฉานไปทั่วพื้นซึ่งเป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า เหลือเพียงบริเวณที่เป็นปกติของมันอย่างกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย

วีระสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ แต่เมื่อปรับอารมณ์ความรู้สึกได้เขาก็ค่อยๆมองไปรอบๆห้องและบริเวณที่เขาคิดว่าเจอกับสิ่งเร้นลับไปอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ไม่พบอะไร และเมื่อเห็นว่าพิณและกองสมุดยังอยู่ที่เดิม อันเป็นที่ประจำของมันโดยมิได้มีการโยกย้ายหรือเปลี่ยนแปลงอะไรนั้น เขาก็ได้แต่รำพึงกับตนเองและครุ่นคิดอย่างแคลงใจขนาดหนักเป็นที่สุด

“หือ…..อะไรกันเนี่ย? นี่เมื่อกี้นี้เราฝันไปอย่างนั้นเหรอ? แต่….แต่ทำไมมันถึงได้เหมือนเหตุการณ์จริงเอาซะขนาดนั้นล่ะ?โอ้ย..!!เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย!!?? ” ครูหนุ่มพูดอะไรไม่ออกได้แต่นิ่งงันคิดหาสาเหตุและรำพึงอยู่ในใจคนเดียวเช่นนั้น พลันสายตาก็ดันไปสะดุดกับมุมแผ่นภาพถ่ายใต้กองสมุดเข้า เขาถึงกับหนาวลึกๆขนลุกซู่ขึ้นมาในบัดนั้นเมื่อคิดไปได้ว่าภาพถ่ายใบนั้นในขณะที่กำลังจ้องมองมันอยู่เคยเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในฝัน ด้วยเหตุกลัวความฝันจะเป็นจริงขึ้นมาเขาจึงเกิดขยาดเสือกกายลุกขึ้นถอยกรูดออกมาจากที่แห่งนั้นไปยืนทำตาปริบๆอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้ๆกับประตูของห้องทันที

“นี่….วีระ..” ครูหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจ และเมื่อหันกลับไปพบต้นเสียงเข้าก็พลันโล่งอกเพราะ เจ้าของเสียงทักเมื่อตะกี้นี้คือ “ครูมะนาว” ครูนาฏศิลป์สาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาซึ่งเป็นครูมาช่วยควบคุมในเรื่องของนางรำให้กับวง กำลังยืนเกาะขอบประตูห้องชะโงกหน้ามายิ้มให้กับเขาอยู่

“เอ่อ….มีอะไรเหรอครับครูมะนาว..?” วีระระล่ำระลักยิ้มแหยๆตอบกลับไป

“ก็….ฉันเห็นวีระไม่ออกไปทานข้าวกับพวกครูคนอื่นๆข้างนอกก็เลยมาตามน่ะจ้ะ..”

“อ๋อ..คือ…ผมไม่หิวเท่าไหร่น่ะครับพอดีเหนื่อยๆเลยเผลอหลับไปนิดหน่อย นี่ก็ว่ารู้สึกตัวตื่นแล้วก็จะเดินออกไปดูพวกนักดนตรีสักหน่อย”

“อ๋อ…อย่างนี้เองหรือจ๊ะ? นี่..ถ้าหิวก็อย่าฝืนนะมาทานด้วยกันบ้าง”

“เอ่อ…ครับ..ครู…”

“งั้น…ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ตามไปละกันนะ ฉันไปก่อนล่ะเดี๋ยวพวกครูท่านอื่นๆเขาจะรอ เธอเองก็รีบๆมานะกับข้าวยังเหลืออื้อเลย..” ครูสาวยิ้มพลางหัวเราะน้อยๆแล้วก็เดินผละจากเขาไป

วีระแอบยิ้มเล็กน้อยตามหลังไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แต่เมื่อหันกลับมามองที่โต๊ะก็แทบหุบยิ้มโดยไม่ต้องบอกกล่าว กระเดือกน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ขนทั่วกายตั้งเป็นใบหญ้าคา เกิดอาการปอดแหกขึ้นมาอีกครั้ง ในใจบอกกับตัวเองว่าไม่ขออยู่คนเดียวในห้องนี้อีกแล้วควรรีบออกไปเสียตอนนี้ดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เผ่นพรวดไปจากที่ตรงนั้นราวกับติดเกียร์หมาทันที

เมื่อวันเวลาของการซักซ้อมผ่านไปโดยไม่มีอะไรขัดข้องเกี่ยวกับวง ทุกอย่างสำหรับครูวีระก็เหมือนจะเป็นปกติ แต่ที่ไหนได้ในใจเขากลับต้องมาหมกมุ่นคิดแต่เรื่องที่เขาเจอมาอยู่คนเดียวไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกกับใครได้ เพราะเขากลัวว่าผู้คนที่ได้ฟังเรื่องเหล่านี้กับเขานั้นจะหาว่าเขาบ้าหรือคิดไปเอง ซ้ำไม่เชื่อถือเหมือนกับลุงยามอีก


อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 4

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 2 โดย ธีร์ วรรณกร






“เฮ้ย!!!!บ….บ้าแล้ว!!! กลิ่นนี่..มัน…มันมาได้ยังไงกันเนี่ย!!!” วีระตะโกนลั่นอยู่ในห้วงแห่งความคิด
และก่อนที่เขาจะสามารถตั้งสติรับอะไรได้ทันนั้นเอง มันก็เหมือนกับถูกผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีก เพราะทันใดนั้นหูเจ้ากรรมของเขาดันไปได้ยินเสียงๆหนึ่งเข้า มันดังเรื่อยๆเอื่อยๆฟังโหยหวนพิลึก เมื่ออดทนเงี่ยสดับอยู่ชั่วครู่มันก็ต้องทำให้ครูเวรคนใหม่ถึงกับขนลุกซู่ตั้งชันไปทั่วทั้งร่างกายแม้กระทั่งทรงขนบนหัว เพราะเสียงที่ดังมาจากที่ลึกลับแห่งใดมิอาจทราบได้นั้นมันก็คือ

ท่วงทำนองเสียงซอสำเนียงอีสานที่โอดครวญน่ารันทดหดหู่ใจเป็นที่สุด แต่ก็แฝงไปด้วยความลึกลับน่าสะพรึงพรั่นจนทำให้เย็นวาบไปทั้งกระแสเลือด มันค่อยๆสอดประสานกับเสียงหมาจรจัดที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่งพร้อมใจกันหอนระงมกันซะเหมือนกับว่ามันเป็นเสียงบทเพลงที่บรรเลงจากฝีมือของภูติผี

ในตอนนี้เขาแทบคลั่งหัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะเสียงซอที่จะว่าไพเราะหรือน่ากลัวดีนั้นก็ยังคงดังมาเรื่อยๆอยู่ไม่ขาด แต่เขานี่สิคือผู้ที่จะขาดใจอยู่รอมร่อ เพราะเสียงซออันน่าขวัญบินที่โหยหวนครวญรำพันอยู่นั้น มันทำให้เขาต้องเอามืออุดหูไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงของโน้ตเพลงแม้แต่ตัวเดียว
เหงื่อกาฬไหลพรากๆราวกับออกกำลังกายมาหมาดๆ สองขาสั่นระริกอ่อนระทวยแทบล้ม

“นี่….นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นนี่ ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย!!!!” ครูวีระแผดตะโกนลั่นจ้ำอ้าวๆเปิดประตูหนีออกมาแทบไม่ทัน และเมื่อออกมาข้างนอกเสียงซอที่แสนรันทดในท่วงทำนองนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ใช่….ใช่แล้ว….เจ้าเสียงซอจากโลกอมนุษย์นั้นมันต้องมาจากที่ใดสักที่ๆสามารถมีเครื่องดนตรีเป็นแน่….!!!!! คิดได้ดังนั้นเขาก็ต้องถึงกับตาเบิกโพลงอ้าปากค้างเพราะที่ๆมีเครื่องดนตรีทุกประเภทก็คือ..ห้องดนตรีซึ่งอยู่ติดๆกับห้องหมวดที่เขาเข้ามาพักนอนเข้าประจำเวรอยู่นั่นเอง

เสียงซอที่เอื้อนเอ่ยร่ำสำเนียงลายซอเศร้าอีสานอันกำลังถูกบรรเลงอยู่ในยามนี้ก็ยังทำหน้าที่สร้างความเขย่าขวัญของมันให้กับเขาอย่างไม่ขาดช่วง วีระตัวสั่นเพราะความกลัวเหลือเกินบรรยาย

และในช่วงวินาทีแห่งการเผชิญเหตุการณ์อันน่าพิศวงอยู่นั้นเอง ครูหนุ่มตัดสินใจกลั้นลมหายใจแล้วหลับตาลงนับหนึ่งถึงสาม จากนั้นเขาก็หันกลับหลังขวับในทันทีนั้น ซึ่งสถานที่เบื้องหลังก็คือห้องดนตรีที่เป็นที่มาของเสียงซออันน่าขนลุกนั้น และในที่สุดเมื่อลืมตาขึ้นเขาก็แทบจะต้องเป็นลมสิ้นสติไปในบัดนั้น เพราะภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ณ ตอนนี้ก็คือ… ภายในห้องดนตรีอันเป็นประตูกระจกใสสามารถมองทะลุไปถึงด้านในได้นั้น ร่างหนึ่งอันดำเป็นเงาทะมึนเด่นชัดซึ่งถูกแสงไฟที่สาดส่องจากด้านนอกเข้าไปเล็กน้อยนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้พร้อมกับสีบรรเลงซออันสุดที่จะขนพองสยองเกล้าอยู่ตรงนั้น

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมื่อตอนเลิกเรียนครูวีระจำได้ว่าเขานั่นแหละที่เป็นคนล็อคประตูห้องดนตรีเองกับมือ แล้วชายคนนั้นเป็นใครกัน? มาจากที่ไหน? และเข้าไปในห้องได้อย่างไรในเมื่อประตูถูกล็อคอยู่แท้ๆ!!!??

วีระอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันพลันก็ร้องว้าก…..!!!!ลั่นขึ้นแทบจะหมดลม หันหน้ากลับมาดังเดิมวิ่งหน้าตั้งฝ่าเสียงซอปีศาจและเสียงหมาหอนหนีออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองสิ่งใดๆอีกทั้งสิ้น ปล่อยให้ประตูห้องหมวดเปิดอ้าซ่า พร้อมกับแสงไฟที่สว่างโร่อยู่อย่างนั้น ในความคิดของเขาตอนนี้จุดหมายก็คือป้อมยามของลุงยามที่ตรวจตราด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง และเขาก็หวังว่าเมื่อไปถึงเขาก็จะพบตัวลุงแกเพื่อเป็นที่พึ่งหนีผีให้ได้เช่นกัน สองเท้าจ้ำอ้าวๆอย่างกับแข่งวิ่งสี่คูณร้อยก็ไม่ปาน ปากก็แหกตะโกนลั่นเกือบจะไม่เป็นภาษา

“ลุง…!!!ลุงยามครับ…!!!ช่วยผมด้วย!!!ผม…ผมโดนผีหลอก…!!!ลุง!!!”

วีระทั้งเหนื่อยทั้งหอบกินอยู่แทบขาดใจ เมื่อถึงหน้าป้อมยามก็ทรุดลงพาร่างแผ่หลาไม่เป็นท่า ทันใดนั้นเองร่างของคนยามวัยกลางคนซึ่งเข้าเวรประจำที่ป้อมอยู่แล้วก็ถลันออกมาจากประตูอย่างร้อนรนและงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“อ้าว!!!คุณครูนี่เอง….อะไรกันครับเนี่ย…ร้องซะลั่นเชียวผีเผออะไรที่ไหนมาหลอกเล่า….?เอ๊อ…มาๆครับมาๆเข้ามาข้างในนี่มานั่งพักคุยกันให้หายเหนื่อยหายตกใจก่อน”

พูดพลางคนยามก็เดินเข้าไปพยุงกายของวีระให้ลุกขึ้นพร้อมกับประคองไปถามอาการไป แล้วก็เชิญให้เขาเข้าไปนั่งพักที่ภายในป้อม

ครูหนุ่มผู้ขวัญกระเจิงไปเมื่อหมาดๆนี้ทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ของคนยามที่นำมาจัดไว้ให้อย่างแรงแทบจะทะลุเพราะความเหนื่อยหอบ เขาพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติอยู่ครู่พร้อมกับการตั้งสตินั้นเองพลันก็ค่อยๆเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“เอ่อ….ลุงครับ…ที่…ที่ผมแหกปากลั่นเมื่อกี้ว่าผีหลอกน่ะครับ คือ…ผมโดนผีหลอกมาจริงๆจังๆประจันหน้าเลยนะครับลุง… ผมไม่ได้ล้อเล่นนา…”

“ครูคงจะเจออะไรก๊อกๆแก๊กๆธรรมดาตามประสากลางค่ำกลางคืนที่อาจจะมีหมาแมวที่ไหนมันมาเดินชนโน่นชนนี่ กัดกันขู่กันไปปกติละมั้งครับผมว่า แล้วครูอาจจะคิดมากไปเองก็ได้…” คนยามวัยห้าสิบต้นๆเอ่ยกับเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ

“โถ่…..ลุงครับก๊อกๆแก๊กๆธรรมดาอะไรที่ไหนกันล่ะครับ ทั้งเสียงทั้งภาพทั้งกลิ่นทั้งหมาก็หอน มาครบจัดเต็มเลยนะครับลุง!!!” ครูวีระยืนยันเสียงแข็ง

“อืม….งั้นไหนครูลองเล่ามาให้ผมฟังหน่อยซิครับ ว่าครูไปเจอเหตุการณ์อีท่าไหนมาบ้าง ถึงได้เตลิดเปิดเปิงแทบอยู่ไม่ได้จนต้องวิ่งมาหาผมซะขนาดนี้น่ะ…”

“เอ่อ….คืองี้นะครับลุง ตอนแรกๆผมก็ได้กลิ่นคาวๆของเลือดมาก่อน หาต้นตอที่ไหนก็ไม่เจอ ต่อมาจากนั้นก็มีเสียงสีซอดังมาอีก ผมนี่ขนลุกขนชันสติสตังค์แทบบ้า ผมเลยตัดสินใจวิ่งออกมาจากห้องเสียก่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงซอมันดังชัดเจนขึ้น ลุงครับสาบานให้ฟ้าผ่าผมเถอะ ทั้งเสียงหมาหอนทั้งเสียงซอมันสอดประสานกันจนน่ากลัวจับใจเลยครับลุง จากนั้นผมก็กลั้นใจหันหลังกลับไปทางต้นเสียงเพื่อดูให้รู้แน่ว่าอะไรเป็นอะไร พอลืมตาเท่านั้นแหละครับลุง โอ้ย!!!หัวใจจะวาย คือไอ้ที่ผมเห็นนะ คือตรงประตูห้องดนตรีมันเป็นกระจกลุงก็รู้ซึ่งมันมองเห็นอะไรค่อนข้างชัดเจนมาก แม้ในเวลากลางคืนก็ตามเถอะ ลุงรู้มั้ยผมเห็นอะไร?” วีระหยุดสาธยายไปเหมือนเป็นจังหวะเปิดถามให้ตอบ

“ว่าต่อไปครับครูผมฟังอยู่…” ลุงยามพูดขึ้นอย่างให้ความสนใจแต่น้ำเสียงราบเรียบ

“คือ….ผมเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งสีซออยู่ในห้องดนตรีครับทั้งๆที่ผมก็ล็อคห้องแล้วตั้งแต่ช่วงหลังเลิกเรียน เห็นเป็นเงานะแต่สีซอ เสียงนี่ฟังชัดเจนมาก จะว่าเพราะก็เพราะจะว่าน่ากลัวก็เข้าที เนี่ย….อย่างเนี้ยแล้วลุงคิดว่าไม่ใช่ผีจะเป็นอะไรอีกล่ะครับ…?!!!”

เมื่อฟังคำพูดของครูวีระจบลุงยามนั้นก็มีสีหน้าอาการตกใจเล็กน้อยพลางแอบลูบแขนอยู่ไปมาเบาๆ ทำท่าทางตาโตเหมือนกับว่าจะสะกิดสะดุ้งใจขึ้นมาได้ในทันที แต่แล้วก็ส่ายหน้าเปลี่ยนอาการโดยเร็วกลับมาปั้นหน้าขรึมดังเดิมแล้วพูดออกมาในเชิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า

“เอ่อ….นี่ครูครับ…. ครูแน่ใจนะครับว่าครูไม่ได้คิดมากหรือหลอนจิตที่ปรุงแต่งไปเองน่ะ?”
“โอ้ยยย!!!ลุงครับเชื่อผมเถอะ ต่อให้ไปสาบานศาลไหนทั่วประเทศผมก็ไม่ตายครับ ผมยืนยันนอนยันเลยครับนี่เอ้า!!!….เนี่ยวิ่งมาก็มาหลบผีหวังมีที่พึ่งกับลุงนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมห่มผ้านอนหลับปิดไฟนอนกรนคร่อกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่วิ่งหน้าตั้งมาหาลุงถึงป้อมหรอกครับ…” วีระยังคงยืนยันแข็งขันสาธยายจนหมดไส้

“อ่า….เอางี้ดีมั้ยครับ? เพื่อเป็นการยืนยันและพิสูจน์ในความเป็นจริง ผมจะให้ครูพาไปดูถึงจุดเกิดเหตุหน่อยจะได้มั้ยล่ะครับ?” ลุงยามเสนอขึ้นทำเอาครูหนุ่มหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มในบัดดล

“ฮะ!!!?? อะไรนะครับลุง? นี่จะให้ผมพาไปดูอีกเรอะ? บ้าแล้วครับไม่เอาด้วยหรอก ถ้าจะไปก็เชิญลุงนำหน้าเลยครับ ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ปอดแหกปอดฉีกไปเรียบร้อยแล้วครับ ไอ้เรื่องพาไปเห็นทีจะเป็นหน้าที่ลุงแล้วล่ะ…” วีระโพล่งลั่นด้วยอาการหวาดผวาที่สุด

“เอ้า…จะเอางั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นความต้องการของครูผมก็จะนำครูไปดูเอง ว่าผีที่มาหลอกน่ะ ความจริงเป็นอะไรกันแน่ หรือมีจริงหรือไม่… ไป…ไปกันเดี๋ยวนี้เลยครับครูแล้วครูเองก็จะได้เห็นกับตาว่ามันไม่มีอะไรอย่างที่ครูคิดหรือเชื่อว่าเห็นมา..”

วีระนั่งทำใจและสงบสติอารมณ์ให้ดีขึ้นอีกหน่อยอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจ พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าพร้อมแล้วกับการไปตรวจจุดที่เขาโดนผีหลอกเมื่อครู่กับลุงยาม โดยมีเงื่อนไขที่ทำให้อุ่นใจขึ้นนิดหน่อยว่าต้องให้ลุงยามนั่นแหละเป็นคนนำไป ซึ่งการเจรจานั้นมันก็ง่ายดายกว่าที่เขาคาดคิดไว้แต่ต้นเสียอีก
จากนั้นทั้งสองคนจึงได้ออกจากป้อมพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังห้องดนตรีอันเป็นแห่งที่ครูวีระได้บอกไว้ว่าพบเจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ที่นั่น โดยมีลุงยามเป็นผู้เดินนำหน้าก้าวอาดๆไปอย่างไม่สะทกสะท้านในมือก็ถือไฟฉายกราดไปตามทาง ส่วนตัวครูวีระเองนั้นก็เดินไปด้วยอาการที่หวาดหวั่นอยู่ไม่คลาย พลางมองหน้าสะดุ้งหลังอย่างไม่แคล้วระแวง

เสียงหมาหอนที่เคยระงมอื้ออึงอยู่ชั่วอึดใจก่อนก็ซาลงบ้างแล้ว ยังแต่เพียงส่งเสียงเห่ามาเป็นระยะๆอยู่เช่นนั้นตามประสา และในทันทีที่ร่างของลุงยามและครูหนุ่มก้าวมาถึงลานโล่งหน้าห้องซึ่งห่างจากประตูของห้องดนตรีไม่เกินห้าเมตร ลุงยามก็พยายามเงียบเหมือนจะนิ่งฟังอะไรอยู่สักพักพลันก็ถามขึ้นว่า

“อ่ะ..ไหนล่ะครับเสียงซอผีที่ครูว่าผมไม่เห็นได้ยินเลย?”

“โถ่ลุง!!ก็เมื่อหยกๆนี้มันยังมีอยู่นา…หรือไม่ว่าผีตนนั้นจะหายตัวไปแล้วก็ได้นะลุง” วีระยังคงหนักแน่นในคำพูดเช่นเดิม

“ยังหนุ่มยังแน่น….คนรุ่นใหม่แท้ๆไหงเชื่ออะไรง่ายๆแบบนี้ล่ะครับครู?” ยามอาวุโสพูดกลั้วหัวเราะพร้อมส่ายศีรษะไปมาช้าๆ

“ก็ไอ้เหตุการณ์ที่ได้เห็นกับตานี่แหละครับที่ทำให้เชื่อ..”

“เอ้า!!!แล้วไหนล่ะ..คนนั่งสีซอเป็นเงาที่ครูว่า….นั่น….มองไปผมก็ไม่เห็นมีอะไรเลย..?”

“ผมบอกแล้วว่าผีมันก็อาจจะไปแล้วก็ได้นะครับลุง แบบในหนังอ่ะอีกคนหนึ่งเห็นแล้วอีกคนมาดูก็ไม่พบอะไร”

“แหม….ถ้าครูเชื่อว่าเห็นจริงผมก็จะไม่แย้งอะไรต่อไปอีกแล้วล่ะครับ ว่าแต่…ครูเหอะจะนอนไหนล่ะครับเนี่ยหรือว่าในห้องหมวดที่เดิม?” ลุงยามโยนคำถามตัดบท

“โห….ใครมันจะไปนอนได้ล่ะครับเจอเข้าจังๆใกล้ตัวอีแบบนี้ ขืนนอนๆไปผีมาอีกผมนี่จะไม่ช็อคตายเสียเรอะครับคราวนี้?” ครูหนุ่มพูดพลางลูบแขนด้วยอาการขนลุก


อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 3

นิยายสยองขวัญ : ซอครวญ ตอนที่ 1 โดย ธีร์ วรรณกร





“วีระ แสนวิจิตร”ครูหนุ่มเพิ่งบรรจุตำแหน่งหน้าที่ได้หมาดๆ ได้เข้ามารับราชการในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เขาจบมาด้วยสาขาวิชาเอกดนตรีพื้นบ้านโดยตรงจากมหาวิทยาลัยชื่อดังทางด้านนี้ และนับว่าเป็นบุญโชคช่วยที่เมื่อจบ ป.บัณฑิตแล้ว เขาสามารถสอบบรรจุลงที่โรงเรียนนี้ได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก

วีระเข้ามาทำการสอนในโรงเรียนแห่งนี้ได้เป็นเวลาถึงสามอาทิตย์แล้ว และมีบ้านพักอยู่ใกล้ๆที่ทำงานจึงทำให้สะดวกต่อการเดินทางไป-กลับ เขามีหน้าที่สอนวิชาดนตรีพื้นบ้านทุกประเภทให้กับนักเรียนชมรมวงโปงลางของที่นี่ และเขาก็เป็นผู้ควบคุมวงเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะครูดนตรีท่านอื่นๆจบมาคนละสายวิชาเอก ถึงแม้ก่อนหน้าจะได้ควบคุมก็ตาม แต่เมื่อมีครูผู้ชำนาญการโดยตรงอย่างเขามาบรรจุแล้วนั้นคุณครูท่านอื่นๆจึงมอบหน้าที่ให้เขาไปโดยปริยาย

ในช่วงบ่ายของวันจันทร์เขาได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้ากลุ่มสาระให้เข้าไปพบ พร้อมกับชี้แจงเรื่องสำคัญบางอย่างให้เขาได้ทราบ

“วีระ…คือ….ครูที่นี่เขาจะมีเวรนอนโรงเรียนกันเกือบทุกคนนะ… และทางผู้ใหญ่เขาก็มอบหมายให้พี่มาชี้แจงกับเธอซึ่งเป็นน้องใหม่ให้ทราบว่าจะได้นอนตรวจตราโรงเรียนวันไหน” เสียงของครูหัวหน้ากลุ่มสาระเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ

“ครับ…ผมเข้าใจครับพี่… ว่าแต่เวรนอนของผมนี่วันไหนบ้างเหรอครับ?” เขาถาม

หัวหน้ากลุ่มสาระมีอาการเหมือนอึดอัดใจเล็กน้อยพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ทุกคืนวันศุกร์น่ะ…มาตรวจตราเล็กๆน้อยๆแล้วก็นอนในห้องหมวดนั่นแหละ”

ครูหนุ่มรับคำก่อนจะสนทนาอะไรอีกเล็กน้อยแล้วก็กลับออกจากห้องของหัวหน้ากลุ่มสาระไป
แม้ว่าทางโรงเรียนนั้นจะมีคนยามคอยเข้าเวรตรวจตราอยู่เป็นประจำทุกวันคืนอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยหน้าที่และเปรียบเสมือนอีกแรงหนึ่งที่จะช่วยสอดส่องดูแลสถานศึกษา จึงจำเป็นที่จะต้องมีครูเวรไว้เช่นกัน ซึ่งทางตัวของวีระเองก็เข้าใจดีและยินดีที่จะปฏิบัติโดยมิกังขาใดๆทั้งสิ้น

หลังเลิกเรียนของวันนี้วีระรู้สึกอ่อนเพลียแปลกๆอย่างไรชอบกล ตาจะหลับง่วงๆซึมๆอยู่เรื่อย หลังจากที่ควบเจ้าจักรยานยนต์คู่ใจมาจอดถึงบ้านพักเรียบร้อยแล้ว ก็สาวเท้าไปจนถึงหน้าประตูห้อง จัดการไขกุญแจห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนอะไรนัก ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับล็อคกลอนประตูข้างในเรียบร้อยแล้วนั้น ครูหนุ่มก็ทิ้งตัวลงเอนกายแผ่หลาบนเตียงนอนสปริงอันนุ่มนิ่มของเขาด้วยอาการเหนื่อยอ่อน ลมหายใจแผ่วๆเรื่อยๆได้ระดับ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท และแล้วทุกอย่างก็ดับมืดไปจมลึกเข้าสู่ภวังค์ของห้วงนิทรารมย์

ในขณะที่กำลังนอนหลับใหลอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นเอง จิตใต้สำนึกของเขาก็ได้ดึงเข้ามาในห้วงของความฝัน มันเป็นฝันที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยจำได้หรือฝันมา

ในภาพฝันนั้น ครูวีระเห็นตัวเองกำลังดุ่มเดินไปอย่างแช่มช้า ภายใต้แสงจันทร์ยามราตรีที่สาดส่องทอเรื่อเรืองลงมายังพื้นเบื้องล่าง เขาพบลานโล่งกว้างแห่งหนึ่งซึ่งฉาบทาด้วยซีเมนต์ และทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็พลันไปประสบกับร่างของใครคนหนึ่งเข้าให้ ซึ่งเขาเองก็มั่นใจว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเป็นแน่แท้

ร่างนั้นยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขาห่างกันไม่เกินเมตรครึ่ง แลดูน่าขนลุก มันเป็นร่างของชายผู้หนึ่งยืนหันหลังให้เขานิ่งเฉยราวกับหุ่นปั้น ชายผู้นั้นแต่งกายในเครื่องแบบของข้าราชการครูสีกากีทั้งชุด และยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยขึ้นหรือทักทายเช่นไร ร่างของบุรุษปริศนานั้นก็ค่อยๆย่อยสลายกลับกลายเป็นเศษฝุ่นผงร่วงลงมากองอยู่ตรงนั้น วีระตะลึงอ้าปากค้างแทบพูดอะไรไม่ออกเหงื่อแตกพลั่กราวกับอาบน้ำ ตัวสั่นเย็นชืดไปทั้งแผ่นหลัง ขนทั่วกายก็พร้อมใจกันลุกตั้งขึ้นโดยมิได้นัดหมาย และทันใดนั้นเองก็พลันมีกระแสลมโชยพัดมาอ่อนๆจากที่ใดมิทราบได้ พัดหอบเอากองฝุ่นผงร่างของชายผู้นั้นลอยลับเลือนหายไปจากสถานที่แห่งนั้นอย่างลึกลับ

ครูหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกใจ หายใจหอบแฮกๆราวกับวิ่งมาราธอน “นี่มันฝันบ้าฝันบออะไรกันวะเนี่ย?” เขาโพล่งอยู่ในใจอย่างขวัญหนี พลางกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เหงื่อโทรมกายไปหมด ขนก็ยังลุกไปทั่วทั้งร่าง ในใจนั้นก็คิดสับสนไปหมดว่านี่คือความฝันจริงๆน่ะหรือ? เหตุใดช่างเหมือนจริงปานสัมผัสได้ถึงเพียงนี้?

เมื่อตั้งสติได้แล้วก็ยืนขึ้นสะบัดหน้าแรงๆไล่ความสะพรึงพรั่นเมื่อครู่ออกไปจนหมด จากนั้นก็มิได้คิดอะไรอีกต่อไปได้แต่ทำกิจส่วนตัวประจำวันของตนเองให้แล้วเสร็จและเข้านอนเมื่อเวลาเฉียดๆสามทุ่มตามเคย

สามวันผ่านไปหลังจากวันจันทร์นั้นเองจนกระทั่งมาถึงวันศุกร์อันเป็นวันแรกที่ครูวีระต้องเข้าเวรนอนตรวจตราโรงเรียนในตอนกลางคืน ช่วงคาบที่มีการเรียนการสอนนั้นเขาก็มีอาการปกติอย่างเช่นเคย ราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆตลอดวัน

ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยลงต่ำเรื่อยๆฟ้าเล่าก็เริ่มหมดแสงลงเป็นลำดับๆ สีของท้องฟ้ายามนี้
วีระมองดูแล้วรู้สึกว่าจะว่าสวยงามก็ว่าได้จะว่ามันแดงฉานปนอึมครึมดังสีเลือดของปีศาจก็ว่าได้อีกเช่นกัน จะเป็นอย่างไรหนอ….?การนอนเวรตรวจตราโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต..เขาครุ่นคิดอยู่ในอาการนิ่งเงียบส่งสายตาที่เหม่อลอยมองดูท้องฟ้ายามเย็นอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งมินานเท่าใดก็ควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับที่พักเพื่อเตรียมของมานอนที่ห้องหมวดดนตรีตามหน้าที่

เวลาประมาณหกโมงเย็นย่างหนึ่งทุ่มรถจักรยานยนต์ของครูหนุ่มก็ค่อยๆแล่นมาจอดที่หน้าห้องหมวดดนตรีด้วยอาการปกติ เหลือบสายตามองผ่านประตูกระจกเข้าไปยังห้องดนตรีทางด้านซ้ายมือซึ่งติดกับห้องหมวดนั้น พินิจอยู่ครู่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ เห็นเพียงเงาของกลุ่มเครื่องดนตรีชิ้นน้อยใหญ่ที่ถูกวางไว้ในที่ของมันอย่างเป็นระเบียบดูตะคุ่มๆล้อแสงไฟจากเบื้องนอกเช่นเดิมเหมือนก่อนตอนขากลับ
เขาจัดการไขกุญแจเปิดประตูของห้องหมวดฯเข้าไปพร้อมกับนำสัมภาระที่จำเป็นเข้าไปจัดแจงวางไว้ที่มุมห้องด้านหลังของโต๊ะทำงาน ไฟในห้องหมวดสว่างจ้าเผยให้เห็นสิ่งของทุกชิ้นอันได้กระจ่างตายิ่งขึ้น ครูหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มสิบแปดนาที เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยปราศจากความหมาย จากนั้นจึงหยิบไฟฉายขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้

หนึ่งกระบอก พร้อมกันนั้นก็ก้าวออกจากห้องหมวดแล้วปิดประตูไว้โดยไม่ได้ล็อค จากนั้นก็เริ่มทำการออกเดินตรวจตราโรงเรียนตามหน้าที่ของครูเวรด้วยอาการที่เป็นปกติ

บรรยากาศในโรงเรียนยามนี้เงียบสงัดและดูวังเวงราวกับป่าช้า นานๆทีจะมีเสียงหมาจรจัดเห่ามาเป็นระยะๆ วีระเดินไปตามถนนคอนกรีตเล็กๆซึ่งด้านข้างจะรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ประดับพันธุ์ต่างๆ จากนั้นก็ลัดตัดทางเลี้ยวซ้ายผ่านห้องประชาสัมพันธ์ไปสู่ยังอาคารหนึ่งอันเป็นที่แห่งแรกที่ต้องตรวจตรา เขาสาดส่องลำแสงของไฟฉายไปมาพร้อมกับเดินกวาดสายตาลัดเลาะผ่านหน้าอาคารไปอย่างช้าๆ สายลมยามราตรีพัดมาแผ่วๆทำให้รู้สึกเย็นๆหวิวๆยังไงพิกล

หลังจากผ่านอาคารที่หนึ่งไปเรียบร้อยโดยไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ครูหนุ่มก็เร่งฝีเท้าเดินฝ่าความมืดที่คลุมสลัวไปทั่วบริเวณนั้นไปยังอาคารที่สองทันที

เมื่อไปถึงอาคารที่สองซึ่งเป็นที่ประจำของหมวดกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศนั้นเอง บนระเบียงอาคารก็เกิดเสียงดังตึกตัก เป็นจังหวะลงเท้าอย่างช้าๆราวกับมีคนกำลังเดินอยู่ ณ ที่นั้น

เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงประหลาดนั้น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆหันไปพร้อมกับส่องไฟฉายไปยังที่มาของเสียงซึ่งอยู่บนระเบียงอาคารดังกล่าวอย่างช้าๆ

และทันทีที่ลำแสงของไฟฉายส่องเข้าไปกระทบกับสิ่งที่อยู่บนอาคารนั้นเองครูวีระแทบจะสะดุ้งด้วยความตกใจ ซึ่งเจ้าของเสียงฝีเท้าหันมาพบเข้าก็มีอาการเช่นเดียวกัน

“อุ้ย!!! โถ่…..ลุงยามเองหรือครับ? นึกว่าอะไร….ตกใจหมด” เขาส่งเสียงทักขึ้นไปด้วยอาการสั่นนิดๆ
“อะอ้าว!!..นั่น..นั่นครูใหม่เองหรอกหรือครับ…? แหม..ไอ้ผมก็ไม่ทันได้สังเกตมัวแต่ตรวจดูห้องเรียน” ชายในชุดยามของโรงเรียนสีน้ำเงินดำทั้งชุดเอ่ยตอบมาด้วยน้ำเสียงกังวานปนขันๆเล็กน้อย
จากนั้นชายในฐานะคนยามก็เดินลงบันไดมาพูดคุยกับเขาอย่างรีบเร่ง

“ขยันจริงนะครับครู….เดินตรวจโรงเรียนคนเดียวแบบนี้” ยามในวัยกลางคนเอ่ยขึ้น
“ก็…มันเป็นหน้าที่น่ะครับเขาให้มาทำตรงนี้ก็ต้องทำ” วีระตอบกลับอย่างสุภาพ
“ครูมานอนทุกวันศุกร์หรือครับเนี่ย?”
“ใช่ครับ…ทางหัวหน้าหมวดเขาสั่งมาแบบนั้น”
“โห….กล้านะครับเนี่ยปกติวันศุกร์เนี่ย จะไม่ค่อยมีครูเวรมาตรวจหรอกครับแต่ก่อนน่ะ”
“เอ๋….!!หมายความว่ายังไงกันครับลุง?” ครูหนุ่มพูดพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
มาถึงตรงนี้ลุงยามนั้นก็มีท่าทีอึกอักเล็กน้อยแล้วดันอ้อมแอ้มตอบมาคนละเรื่องว่า
“เอ่อ…อ๋อ… เปล่าครับคือ…เอางี้ดีกว่าครับผมว่า….เอ่อ.. ไหนๆเราก็เจอกันแล้วยังไงก็มาเดินตรวจโรงเรียนเป็นเพื่อนกันดีกว่านะครับจะได้เป็นหูเป็นตาช่วยกันอีกแรง..”
ว่าพลางก็ตีหน้ายิ้มกลบเกลื่อนแล้วเอ่ยชวนให้เขาออกเดินตรวจโรงเรียนต่อ

วีระฉงนใจอยู่ไม่น้อยกับคำพูดของลุงยามคนนี้แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อไปอีก คิดเสียว่าไม่ควรใส่ใจกับเรื่องแบบนี้นัก จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินตรวจบริเวณโรงเรียนกันไปอย่างปกติที่สุด

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น วีระก็ได้กลับเข้ามาที่ห้องหมวดดนตรีอันเป็นที่นอนชั่วข้ามคืนของเขาดังเดิม วีระล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางเปิดหน้าจอเขี่ยดูโน่นนี่ในโลกโซเชียลไปมาด้วยอาการปกติ แต่แล้ว…เขาก็ต้องชะงักงันหยุดอาการกิริยาที่เขากำลังทำอยู่ลงไปในบัดดล เมื่อจมูกของเขาได้สัมผัสเข้ากับกลิ่นๆหนึ่งที่โชยคาวอบอวลเข้ามาในห้องอย่างเป็นปริศนา ครูหนุ่มแทบสำลักจากผลข้างเคียงของกลิ่นไม่พึงประสงค์นั่น คิ้วทั้งสองขมวดเคร่งสีหน้ามีทีท่าครุ่นคิดอยู่ในที

“เอ….อะไรกันนี่ กลิ่นประหลาดนี่โชยเข้ามาได้ยังไงกันนะประตูก็ปิดอยู่แท้ๆ”
เขารำพึงอยู่ในใจด้วยความฉงน พยายามลุกขึ้นไปค้นหาต้นตอจนทั่วก็ไม่พบ ด้วยเหตุที่ห้องนี้เป็นห้องแอร์ ติดประตูกระจกพร้อมกับปิดซ้อนทับด้วยประตูเหล็กดัดอีกชั้นหนึ่ง จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่กลิ่นอันน่าพิศวงนั้นจะเกิดลอยตามลมจากข้างนอกเข้ามาได้

และในที่สุดเมื่อกลิ่นเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือกลิ่นคาวของเลือด!!!


อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 2

The Shock : เจอดีตอนธุดงค์ - คุณพงษ์





เรื่องราวและเหตุการณ์นี้เป็นประสบการณ์ตรงสมัยที่คุณพงษ์นั้นบวชเรียนเป็นพระ และก็ได้ติดตามพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์ สมัยนั้นเป็นปี พ.ศ.2542 ป่ายังมีอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้ พงษ์ได้เดินตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อีสาน เดินแบบไปกันเรื่อยๆ ค่อยๆ ไป ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น เดินธุดงค์กันเป็นเวลาสองเดือนเห็นจะได้

จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์ เป็นเวลาค่ำของวันหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ท่านก็ได้เลือกทำเลปักกลดที่นั่น ซึ่งที่นั่นเป็นวัดร้างวัดหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ พอตกค่ำหลังจากที่พระภิกษุทั้งสองรูปทำวัตรสวดมนต์กันเสร็จ ก็มีผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้านอีกสี่ห้าคน เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์ แล้วก็พูดขึ้นว่า ” นมัสการครับพระอาจารย์ทั้งสอง ดีเหลือเกิน แถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้ว เนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสาน วัดจะร้างกันเยอะ พระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้สักเท่าไหร่ ”

แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่า ” พระอาจารย์นั้นจะมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่สักกี่วัน ”

พระอาจารย์ก็ตอบไปว่า ” ถ้าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ก็จะอยู่สักสองสามวัน เนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้ว ก็อยากพักปฏิบัติสักที ”

ผู้ใหญ่บ้านก็โมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า ” เดี๋ยวผมกลับไปจะให้ลูกบ้านไปป่าวประกาศบอกกับชาวบ้านคนอื่นๆ ว่ามีพระมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้ จะได้มาทำบุญใส่บาตรกัน ” ว่าแล้วคนทั้งหมดก็ขอตัวลากลับไป

พระทั้งสองรูปก็ปฏิบัติกันต่อ ทั้งนั่งสมาธิ แล้วก็เดินจงกรม จนกระทั่งเวลาถึงเที่ยงคืนก็เข้ากลดจำวัดกัน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาตีสี่ก็จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตีสี่ก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์และก็ปฏิบัติกันจนเกือบหกโมงเช้า พระภิกษุทั้งสองรูปก็เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาต แต่ว่าพระอาจารย์นั้นบอกว่า

” วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก นั่งรออีกสักพัก ชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่นี่เอง ”

แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า ” ท่านจำเอาไว้นะ ตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรให้เรา ท่านจงสังเกตเอาไว้ให้ดี จะมีหญิงวัยกลางคนอยู่สองคน ที่จะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นที่ และกับข้าวที่จะนำมาถวายเรา ก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ” พระพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็บวชได้แค่เดือนเดียว ได้แต่รับฟังในสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอก และท่านก็ได้บอกต่อไปว่า ” ถ้าหญิงวัยกลางคนสองคนนี้ เขานำข้าวหรือกับข้าวเข้ามาประเคน เราก็ต้องรับนะท่าน ไม่ว่าเขาจะมาดีหรือว่ามาร้าย เราก็ต้องรับประเคนเอาไว้ก่อน ” พระพงษ์ได้ฟังแบบนั้นก็ตกปากรับคำอาจารย์ไป

เวลาผ่านไปล่วงเข้าเจ็ดโมงเช้า ก็เริ่มมีชาวบ้านทยอยกันหิ้วกระติ๊บบ้าง ปิ่นโตบ้างเข้ามาใส่บาตร สมัยนั้นทางภาคอีสานชาวบ้านส่วนใหญ่จะแต่งตัวคล้ายกันหมด และตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อสังเกตุเอาไว้ว่าจะมีหญิงสองคนที่แต่งกายไม่เหมือนชาวบ้าน และพระพงษก็ได้สังเกตเห็นผู้หญิงอยู่สองคน ซึ่งแต่งกายดูดีมาก อายุที่สังเกตได้ไม่น่าจะเกินสักห้าสิบ เธอทั้งสองใส่กางเกงผ้าคล้ายกางเกงสแล็ค เสื้อยืดคอกลมธรรมดา ผิดกับหญิงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่นุ่งผ้าถุงกันแทบทุกคน ดูแล้วเธอทั้งคู่น่าจะเป็นคนที่ท่านพระอาจารย์ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้

พระพงษ์ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจ เนื่องจากชาวบ้านมากันพร้อมแล้วและผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มการอาราธนาศีลเพื่อที่จะรับศีลกัน พอเสร็จจากการให้ศีลให้พรชาวบ้าน กล่าวถวายภัตตาหารเสร็จ ถึงตอนเข้ามาประเคนข้าวและกับข้าว ที่ชาวบ้านนํามาใส่บาตรทําบุญกัน ส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นข้าวเหนียวและปลาตามท้องนา

พอถึงคราวของผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวไม่เหมือนคนแถวนี้ได้เข้ามาประเคนกับพระพงษ์คนหนึ่ง เข้าไปประเคนกับพระอาจารย์อีกคนหนึ่ง พระพงษ์ได้สังเกตอาหารที่เธอนํามาถวายนั้นเป็น ข้าวสวยธรรมดาที่ยังมีควันขึ้นอยู่ ความร้อนนั้นเหมือนกับว่าเพิ่งหุงมาใหม่ๆ ส่วนกับข้าวก็เป็นผัดกระเพราหมู ต้มจืดวุ้นเส้นและก็ไก่ทอดกระเทียม ซึ่งอาหารนั้นไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นเลย แล้วผู้หญิงคนที่ประเคนให้กับพระอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า ” พระอาจารย์ไม่ใช่พระพื้นที่นี้ คงจะฉันข้าวเหนียวกันไม่ค่อยชิน ดิฉันก็เลยทําอาหารภาคกลางมาถวาย ” พระอาจารย์ท่านก็ได้ตอบกลับไปว่า ” อาหารที่ญาติโยมนํามาถวายนั้น อาตมาเป็นพระเลือกฉันไม่ได้หรอกโยม ใครประเคนหรือว่าใส่บาตรอะไรมาก็ต้องฉันไปตามนั้น ” ว่าแล้วพระอาจารย์ก็เอ่ยกับชาวบ้านว่า ” อ้าวโยมทั้งหลาย เสร็จแล้วก็มารับพรกันก่อนเลยจะได้ไม่ต้องรอพระฉันเสร็จ “

หลังจากให้พรแล้วญาติโยมทั้งหลายก็ต่างลากลับไป พระอาจารย์นั้นก็เริ่มที่จะฉันข้าว แต่ก็ได้พูดขึ้นมาว่า ” ท่านอย่าได้ไปฉันกับข้าวที่สีกาสองคนนั้นถวายมาเด็ดขาด ”

พระพงษ์ก็ถามด้วยความสงสัยว่า ” ทําไมครับ ”

พระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า ” คอยดูไปแล้วกัน เราจะถ่ายกับข้าวของสีกาสองคนนั้นเอาไว้ในบาตร แล้วจะนําไปตั้งไว้ตรงลานหน้าที่ปักกลดกลางแจ้ง พอตอนค่ำๆ ทําวัตรเสร็จ ท่านก็จงไปดูที่บาตรว่ามีอะไร ” พระพงษ์ก็ตอบรับคํา พร้อมกับเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วก็นั่งฉันภัตตาหารไป เสร็จแล้วก็เห็นพระอาจารย์เทกับข้าวและข้าวของสองคนนั้นลงไปในบาตรของพระอาจารย์เอง ท่านก็นําเอาไปวางไว้กลางแจ้ง

ตกเย็นถึงเวลาทําวัตรสวดมนต์เสร็จ เวลาประมาณสักเกือบๆ ทุ่มได้ พระพงษ์ก็ได้เดินไปดูพร้อมกับไฟฉายส่องไปที่บาตร แล้วพระพงษก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบาตรของพระอาจารย์ที่เมื่อเช้าเทกับข้าวของหญิงทั้งสองคนนั้นทิ้งไว้ โดยที่ตลอดทั้งวันก็ไม่ได้มีใครเดินเข้าไปใกล้ที่บาตรเลย ในเวลานี้เต็มไปด้วยเม็ดทรายและตะปูตัวเล็กๆ เต็มไปหมด

พระพงษ์นั้นถึงกับอึ้งรีบเดินกลับไปหาพระอาจารย์ที่ตอนนี้กําลังนั่งสมาธิอยู่ในกลด พระพงษ์ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร พระอาจารย์ก็กล่าวออกมาก่อนว่า ” เขาไม่ชอบเรานะท่าน เขากลัวว่าเราจะมาทําร้ายหรือมาทําลายการทํามาหากินของเค้า เข้ากลดได้แล้วท่าน คืนนี้ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ตาม ท่านห้ามออกมานอกกลดเด็ดขาด ” พระพงษ์ได้ฟังคําที่พระอาจารยพูดก็รีบตอบรับคํา แล้วเดินเข้ากลดของตัวเองไป ซึ่งกลดของพระพงษ์นั้น อยู่ห่างจากกลดพระอาจารย์ประมาณสักยี่สิบเมตรได้

พอเข้ามานั่งในกลดแล้วพระพงษ์ก็เห็นพระอาจารย์เดินออกมาจากกลดของท่าน ถือด้ามกลดของท่านออกมาด้วย (กลดจะมีแบบถอดด้ามได้ด้วยนะครับ ที่ปลายด้ามของกลดนั้นจะหมุนเกลียวออกได้ เพื่อที่การพกพาจะได้สะดวก) พระอาจารย์ถือด้ามกลดออกมา แล้วเดินมาทางพระพงษ์ พร้อมกับยืนนิ่งๆ พนมมือ โดยมีด้ามกลดนั้นอยู่ระหว่างมือ สักครู่เดียวเท่านั้น ท่านก็ก้มลง แล้วใช้ด้ามกลดจรดไปกับพื้นดินเรื่อยๆ เป็นวงกลมรอบกลดของพระพงษ์ พอท่านขีดเส้นจบแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับไป ท่านก็ได้กําชับว่า

 ” อย่าลืมนะท่าน คืนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าได้ยินเสียงอะไร ก็ห้ามออกมานอกกลดเด็ดขาด ” 

พระพงษ์ได้ยินคํากําชับแบบนั้น ก็ตอบรับคําของพระอาจารย์ แล้วท่านก็เดินกลับไปที่กลดของท่านเอง
พระพงษ์ได้นั่งสมาธิต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จู่ๆ ก็มีลมพัดแรงมาก ลมนั้นพัดแรงขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ตอนค่ำก็ไม่มีลมเลย ลมพัดอยู่ได้พักใหญ่ๆ แล้วพระพงษก็ได้ยินเสียงเหมือนสุนัขกําลังขู่ ก็เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้นออกจากสมาธิเพื่อหันไปดู แต่พอหันไปดูเท่านั้นพระพงษ์ก็ต้องตกใจ กลัวจนขนลุกซู่ เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นเป็นหมาดําตัวใหญ่มาก หมาดําตัวนี้กะขนาดได้ตัวประมาณควาย กําลังยืนขู่อยู่ ดวงตานั้นเป็นสีแดงก่ำ มันก็กําลังทําท่าจะเข้ามาในกลดของพระพงษ์ แต่พอมันเดินมาถึงรอยที่พระอาจารย์ขีดไว้ ก็ต้องถอยห่างออกไปด้วยความกลัว มันจึงได้แต่ส่งเสียงขู่ต่อไปแบบเดิม พลางเดินวนเวียนรอบกลด เหมือนกับพยายามที่จะหาทางเข้ามาให้ได้

หมาดําใหญ่ยักษ์ตัวนั้นเดินเวียนรอบกลดประมาณสองสามรอบได้ สิ่งที่พระพงษ์เห็นก็คือพระอาจารย์ได้เดินมาที่กลดของพระพงษ์ แล้วใช้ด้ามกลดตีไปที่หมาดําตัวนั้นหนึ่งที่ จนมันส่งเสียงร้องโหยหวน แต่สิ่งที่ทําให้พระพงษนั้นแปลกใจมากก็คือ เสียงร้องโหยหวนจากหมาดํากลับกลายเป็นเสียง ผู้หญิง แล้วจู่ๆ พระพงษก็ต้องอึ้งตกใจกลัวแบบสุดๆ เนื่องจากหมาดําตัวนั้นหลังจากโดนตีไปแล้ว ได้หมอบนอนลงแล้วกลายร่างเป็นผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าได้นํากับข้าวมาถวายนั่นเอง

แล้วพระอาจารย์ท่านก็พูดขึ้นว่า ” ต่างคนก็ต่างอยู่ อาตมามาธุดงค์กันสองรูปเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาทําร้ายใคร ขอให้โยมจงกลับไปเถิด แล้วอย่าได้มากวนอาตมาอีกเลย ” พอสิ้นสุดคําของพระอาจารย์ หมาดําตัวใหญ่ที่ขณะนี้กลายร่างเป็นผู้หญิง และกําลังร้องอย่างโหยหวนอยู่นั้น ก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของพระพงษ์ที่ได้แต่อึ้งต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นพระอาจารย์ก็บอกว่า ” ท่านจงอยู่แต่ในกลด ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าฟ้าจะสว่าง ” พระพงษ์ก็ตอบรับด้วยควาามกลัว จากนั้นก็นั่งสมาธิจนสว่าง

พอรุ่งเช้าพระอาจารย์ก็เดินมาที่กลดพระพงษ์ แล้วบอกกับพระพงษ์ว่า ให้รีบเก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางธุดงค์ต่อเลย เพราะเมื่อคืนเป็นแค่น้องสาวของเค้าที่มา อาตมาก็สั่งสอนไปแล้ว คืนนี้พี่สาวคงน่าจะมาหาเราเพื่อแก้แค้นให้น้องสาวแน่นอน แล้วพระอาจารย์บอกว่า ไม่อยากทําร้ายใคร เพราะว่าปอบพวกนี้เป็นปอบที่มีวิชาอาคมเก่ง เล่นอาคมจนมีลิ้นดํา ของเข้าตัวเองเพราะผิดครู และจะเลี้ยงหมาดําเอาไว้ออกล่าเหยื่อเวลาหากิน เมื่อใดหมาดําที่เลี้ยงไว้อิ่ม คนเลี้ยงก็จะอิ่มไปด้วย เมื่อไหร่ที่หมาดำเจ็บ โดนคนที่มีวิชาอาคมทําร้าย เจ้าของคนเลี้ยงก็จะเจ็บไปด้วย

พระพงษ์ได้ยินเรื่องราวแบบนั้นก็ถึงกับอึ้ง ไม่นึกว่าในยุคสมัยนี้ยังจะมีเรื่องพวกนี้อยู่อีก แต่ว่าก็ต้องเชื่อ เพราะเมื่อคืนได้เห็นมากับตาของตัวเอง และได้ยินเสียงโหยหวนด้วยหูของตัวเองเช่นกัน หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จพระทั้ง 2 รูปก็ได้รีบออกเดินทางจากพื้นที่นั้นทันที

และเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้


ขอขอบคุณ : คุณพงษ์

The Shock : ไม่น่าหยิบมา - คุณหมี





เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณหมี เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณหมีเอง และเพื่อนอีกคนที่ชื่อเต๋อ โดยคุณหมีเล่าว่า.. ย้อนกลับไปเมื่อสมัยผมอยู่ ม.1 โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนวัดครับ สมัยนั้นร้านเกมอะไรก็ไม่ค่อยจะมี เด็กๆ ก็จะเล่นกันอยู่แถวโรงเรียน ผมก็จะชอบเตะฟุตบอลครับ และสนามฟุตบอลของโรงเรียน ก็จะอยู่ติดกับเมรุของวัดเลย แต่ด้วยความคุ้นชิน ก็เลยไม่ได้กลัวอะไร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นช่วงหน้าหนาวครับ ผมกับเพื่อนๆ หลังจากเตะบอลกันเสร็จ ก็เล่นซ่อนหากันต่อ พอโอน้อยออกกัน ผมเป็นคนซ่อนครับ ผมก็วิ่งหาที่ซ่อน และไอ้เต๋อเพื่อนผม ก็วิ่งตามผมมาจะไปซ่อนกับผม ผมก็รีบวิ่งหนี ข้ามรั้วสุสานเข้าไปในวัด ไปซ่อนในเมรุเผาศพเลยครับ ขณะที่ผมกำลังจะปิดประตู ไอ้เต๋อก็วิ่งตามมา และก็ขอเข้ามาด้วย ผมเลยต้องให้เข้ามา และก็ปิดประตูเมรุ ความรู้สึกในนั้นคือยังอุ่นๆ อยู่เลย

ในระหว่างที่ซ่อนอยู่ ผ่านไปสัก 5 นาที ผมรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก เหมือนข้างในนี้ ไม่ได้มีเพียงผม กับไอ้เต๋อแค่ 2 คน เป็นครั้งแรกเลย ที่ผมเสียวสันหลังวาบ ผมหันไปมองไอ้เต๋อ ผมเห็นมันกำลังเอามือไปคุ้ยเขี่ยพื้น ขี้เถ้า ขี้ผง เหมือนหาอะไรสักอย่าง และมันก็ไปคุ้ยเจอลูกกลมๆ เงาๆ คืออะไรก็ไม่รู้ มันเห็นว่าแปลกดี เลยเก็บใส่กระเป๋าไป.. จากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เหมือนมีคนนั่งเบียดอยู่ และก็ยินเสียงร้อง ‘แฮ่..’ เป็นเสียงแหบๆ มาจากด้านหลัง เหมือนมีคนมาพูดข้างๆ หู เท่านั้นแหละ ทั้งผม และไอ้เต๋อ เปิดประตูวิ่งหนีกันออกมา ตัวเลอะเถ้าถ่านเต็มไปหมดเลยครับ.. พอออกมา เพื่อนๆ ก็ไม่อยู่กันแล้ว สงสัยว่าจะหาพวกผมไม่เจอ เลยเลิกเล่นกันไปหมดแล้ว ผมเลยกลับบ้าน

วันนั้น ไอ้เต๋อก็ตามมานอนที่บ้านผม (ปกติไอ้เต๋อจะชอบมานอนบ้านผมอยู่บ่อยๆ) คืนนั้น ไอ้เต๋อมันดูแปลกๆ ครับ แทบไม่ได้นอนเลย มันนั่งกอดเข่า มองผมอยู่ทั้งคืน ไม่พูดไม่จา.. พอเช้ามา แม่ไอ้เต๋อก็มารับกลับบ้านไป ผ่านไปวัน สองวัน ผมก็ไม่ได้เจอไอ้เต๋อมันเลย

จนวันไปโรงเรียน แม่ไอ้เต๋อมาส่งที่โรงเรียน ผมก็สังเกตุว่ามันไม่พูดไม่จา ตาลอยๆ เวลาเดินเข้าโรงเรียน มือมันละรั้วกำแพง ที่รั้วจะปลูกพืชผักสวนครัวอยู่ ผมเห็นมันหยิบพริก หยิบแตงได้ มันหยิบใส่ปากหมด เคี้ยวหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกอะไร.. ตอนเรียน มันก็ไม่พูดไม่จากับใคร มองหน้าเหมือนเป็นคนไม่รู้จักกัน ตอนเย็นชวนเตะบอล มันก็ไม่ไป ซึ่งดูผิดปกติมากๆ ทั้งที่ปกติ ไอ้เต๋อจะเป็นคนเฮฮาที่สุดในห้องก็ว่าได้.. ผมก็คิดแค่ว่า มันคงมีปัญหากับที่บ้าน

จนเช้าวันรุ่งขึ้นครับ ผมมาโรงเรียน ก็มีลุงเจ้าของร้านขายของแถวนั้น ที่สนิทกัน มาถามผมว่า ‘เมื่อคืน เจ้าเต๋อมันไปค้างบ้านเองรึเปล่า?’ ผมก็ตอบว่าไม่ได้มาครับ ลุงแกก็เล่าให้ผมฟังว่า ‘เมื่อคืน ประมาณ 4-5 ทุ่ม เห็นเจ้าเต๋อมันมาเดินอยู่แถวๆ โรงเรียน เดินไปรำไป ไม่รู้มันเป็นอะไร?’ ซึ่ง 4-5 ทุ่มในสมัยนั้น คือดึกมากๆ ครับ.. ผมจึงตัดสินใจเล่าให้คุณครูประจำชั้นฟัง ทุกคนก็เริ่มสังเกตุอาการของไอ้เต๋อ บ้างก็บอกว่า ไอ้เต๋อมันแปลกไปมากจริงๆ ชอบออกจากบ้านตอนดึกๆ และก็มีพฤติกรรมรุนแรงขึ้น บ้างก็เห็นว่ามีคนแก่ กำลังจูงไอ้เต๋อเดินอยู่แถวโรงเรียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นญาติ หรือว่าใครกัน

จนมีอยู่วันนึง ไอ้เต๋อมันไม่ได้ไปโรงเรียน พอช่วงเย็น แม่ของไอ้เต๋อก็มาหาผมที่บ้านผม ร้องไห้มาเลย บอกว่า เต๋อออกจากบ้านไปไหนไม่รู้ วันนึงแล้ว และก่อนออกมา ก็ฆ่าแมวที่บ้านตายหมดเลย โดยจับแมวแขวนคอกับราวตากผ้า

พออีกวัน ผมเตะบอลกับเพื่อนๆ อยู่ที่สนามฟุตบอล อยู่ๆ ไอ้เต๋อก็เดินผ่านมา ตัวสกปรกมอมแมม ผมก็วิ่งไปหาถามว่า แม่ตามหา ทำไมไม่กลับบ้าน ไอ้เต๋อก็ตอบมาว่า ‘บ้านกูไม่ได้อยู่ที่นั่น บ้านกูอยู่ที่นี่..’ แล้วมันก็เดินเข้าวัดไป และเข้าไปนอนในเมรุ ผมกับเพื่อน รีบช่วยก็ลากมันออกมา จะพาไปหาพระ แต่มันกลับสะบัดมือวิ่งหนีไปอย่างเร็ว ไม่มีใครตามทันเลย สุดท้ายผมก็กลับบ้านไป

คืนนั้น ผมนอนอยู่ที่บ้าน อยู่ๆ ไอ้เต๋อก็มาหาที่บ้านผม ผมเลยให้เข้ามา ให้ข้าวปลากิน และมันก็นอนกับผมด้วย.. คืนนั้น ผมนอนหันหลังให้ไอ้เต๋อ อยู่ๆ ก็ต้องตื่น เพราะได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในห้อง ลงเท้าหนักมากครับ ‘ตึงๆๆ’ ผมรีบหันมามอง แต่ก็ไม่มีใคร ส่วนไอ้เต๋อก็นอนหลับอยู่ข้างๆ ผมก็รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ สักพักยังไม่ทันหลับต่อ ก็มีเสียงเดินกลับมาอีกครั้ง ผมเลยแอบหันไปมองช้าๆ สิ่งที่เห็นคือ เป็นชายแก่ เดินเข้ามา ‘ตึงๆๆ’ แล้วมานั่งคล่อมไอ้เต๋อ เอามือจับหน้ามันไว้ แล้วก็มีเสียงร้อง ‘แฮ่..’ เป็นเสียงเดียวกัน กับตอนที่ได้ยินในเมรุเลยครับ ผมนี่ขนลุกซู่ แบบกลัวสุดๆ แล้ว.. ผมหลับตาวิ่งออกมาๆ ไปหาคุณตาผม สุดท้ายผมก็ต้องเล่าเรื่อง ที่ไปซ่อนแอบในเมรุให้ผู้ใหญ่ฟัง จนโดนดุด่ากันไป

วันต่อมา ผมและคุณตาก็ไปที่บ้านไอ้เต๋อกัน พอเข้าไปก็เจอไอ้เต๋อนอนอยู่ และในมือกำอะไรบางอย่างไว้ ผมก็กล้าๆ กลัวๆ พยายามแงะมือมันออก ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ในมือมันคือ ฟันปลอมสีเงินๆ สมัยโบราณ ที่ทำจากตะกั่ว หรืออะไรสักอย่าง ทุกคนเห็นก็ผวากันหมด ไม่รู้จะทำยังไง เลยคิดว่าจะไปตามหลวงพ่อมาจากวัด.. และจู่ๆ ไอ้เต๋อที่นอนอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า ‘ไม่ต้องไปตามหรอก เดี๋ยวกูก็กินมันจนหมดแล้ว..’ พอคุณลุงเห็นแบบนั้น ก็รีบจับมือผม และพาผมออกมาจากห้อง เหมือนไม่อยากให้ไปยุ่งแล้ว

จากนั้นพวกเราก็ไปตามหลวงพ่อมา พอหลวงพ่อเข้าไปในห้อง หลวงพ่อก็บอกว่า ‘ไม่ทันแล้ว..’ ซึ่งพอทุกคนเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเต๋อนอนเสียชีวิตในสภาพ ตาค้าง อ้าปากค้าง คางชิดติดกับหน้าอก ลักษณะคล้ายถูกจับฉีกปาก!

ว่ากันว่า เป็นวิญญาณของชายแก่มาเข้าสิง และได้กัดกินร่างของเต๋อจนหมด

เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้

เครดิตเรื่องเล่า : คุณหมี


The Shock : เพราะทำแท้ง - คุณริน





เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านเช่าย่านจรัญสนิทวงศ์ ตอนนั้นขณะที่คุณริน กำลังตั้งท้องแก่ได้ย้ายออกจากคอนโด ออกมาอยู่บ้านเช่ากับแฟน ใกล้ที่ทำงาน อยู่ในซอยเล็กๆไม่ลึกมาก มีบ้านอยู่ในซอยนี้ทั้งหมด 3 หลัง บ้านเช่าของคุณริน ถือว่าสะดวกสบาย มีพื้นที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการอยู่เป็นครอบครัว

วันแรกที่ย้ายของเข้าบ้าน ก็มีคนที่ช่วยย้ายได้ทักว่า ทำไมไม่เอาพระเข้าบ้านก่อน คุณรินซึ่งไม่มีความรู้ด้านนี้จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็มีการจุดธูป9ดอก เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในวันที่2หลังจากย้าย คุณรินก็ฝันเห็นผู้หญิงมายืนหน้าบ้านเช่า

คืนต่อมาก็ฝันเหมือนเดิม จึงเล่าให้แฟนฟัง แฟนก็เล่าว่าฝันเหมือนกัน จึงได้พากันไปทำบุญก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่มีสิ่งที่คุณรินแปลกใจคือระหว่างที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่า ลูกในท้องคุณรินจะดิ้นแรงมาก ซึ่งผิดไปจากตอนที่อยู่คอนโดผ่านไปสักระยะ แฟนคุณรินต้องไปทำงานต่างจังหวัด จึงมอบสร้อยพร้อมพระให้คุณรินใส่ไว้ตลอดเวลา และห้ามถอด

มีวันหนึ่งที่สร้อยพระมีน้ำเข้า คุณรินจึงนำพระไปให้ลุงดู และไม่ได้นำพระมาที่บ้านด้วยเมื่อก้าวเท้าเข้าบ้าน ลูกในท้องก็ดิ้นอย่างแรงซึ่งปกติแล้วลูกจะดิ้นหลังทานข้าว แต่กลับเป็นว่าลูกดิ้นแรงเมื่อคุณรินเดินอยู่ในบ้าน และทำให้รู้สึกเหนื่อย เพลีย ใจเต้นแรง

หลังจากนั้นคุณริน ก็โทรคุยกับแม่ แม่ก็ทักมาว่าอยู่กับใคร ทำไมจึงเสียงดัง คุณรินจึงตอบว่าไม่มีอะไร แม่จึงเล่าว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี เพราะฝันไม่ดีเกี่ยวกับคุณริน ต่อมาคุณรินโทรให้วินปากซอยที่รู้จักกันมารับออกไปข้างนอก วินทักว่า แฟนไม่อยู่แต่ยังดีที่มีน้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อนทำให้คุณรินรู้สึกใจสั่น จึงบอกไปว่าอยู่คนเดียว

พอตกกลางคืน ได้เวลานอน เริ่มมีลมฝนมาคุณรินมองไปที่กำแพง เหมือนมีอะไรมาทาบบังแสงไฟอยู่ เป็นรูปเงาคน จึงพยายามข่มตานอนรู้สึกเหมือนมีคนเดินรอบเตียง ลงส้นหนักๆ ทำให้รู้สึกหวาดผวาตลอด เมื่อเหลือบมองไปที่หน้าต่างที่ปิดไว้ เห็นผ้าม่านเคลื่อนไปมา หลังจากที่นอนทนมานานจึงเกิดสติหลุด จึงลุกไปที่ประตูเพื่อจะออกไปจากจุดนี้ ก็เกิดไฟดับทันที

ทำให้คุณรินร่วงลงจากบันได หลังกระแทกขั้นบันได แต่ก็ยังพยายามคลานไปหยิบมือถือโทรขอความช่วยเหลือโทรหาแฟนและแม่ก็ไม่ติด โทรไปติดที่เพื่อน เพื่อนจึงโทรตามรถพยาบาลมาให้ ระหว่างที่คุณรินนั่งกองอยู่ข้างบันไดนั้น ก็ยังมีเสียงเดินอยู่รอบตัวตลอดเวลา “ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก” สลับกับเสียงฝนตกหนัก

เมื่อรถพยาบาลมาถึง เสียงนั้นก็หายไป เจ้าหน้าที่ก็พังประตูเข้ามา พร้อมกับน้ำคล่ำของคุณรินที่ไหลออกมาเจ้าหน้าที่เข้ามาอุ้มคุณรินและทักว่า ทำไมน้องสาวไม่เปิดประตูให้ และไม่เข้ามาช่วยประคอง ทำไมถึงปล่อยให้คุณรินนั่งกองอยู่แบบนี้ คุณรินซึ่งเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ได้ตอบอะไร

เหตุการณ์นี้ทำให้คุณรินคลอดก่อนกำหนด แต่ลูกปลอดภัยดี เมื่อแฟนกลับมา เรื่องราวต่างๆจึงกระจ่างเมื่อมีพระมาบอกว่า เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง แฟนจึงยอมรับว่าเคยพาแฟนเก่าไปทำแท้ง กรรมจึงมาตกที่ลูก


เครดิตเรื่องเล่า : คุณริน

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .