===Not Click=== ===Not Click===

The Shock : เจอดีตอนธุดงค์ - คุณพงษ์





เรื่องราวและเหตุการณ์นี้เป็นประสบการณ์ตรงสมัยที่คุณพงษ์นั้นบวชเรียนเป็นพระ และก็ได้ติดตามพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์ สมัยนั้นเป็นปี พ.ศ.2542 ป่ายังมีอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้ พงษ์ได้เดินตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อีสาน เดินแบบไปกันเรื่อยๆ ค่อยๆ ไป ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น เดินธุดงค์กันเป็นเวลาสองเดือนเห็นจะได้

จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์ เป็นเวลาค่ำของวันหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ท่านก็ได้เลือกทำเลปักกลดที่นั่น ซึ่งที่นั่นเป็นวัดร้างวัดหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ พอตกค่ำหลังจากที่พระภิกษุทั้งสองรูปทำวัตรสวดมนต์กันเสร็จ ก็มีผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้านอีกสี่ห้าคน เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์ แล้วก็พูดขึ้นว่า ” นมัสการครับพระอาจารย์ทั้งสอง ดีเหลือเกิน แถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้ว เนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสาน วัดจะร้างกันเยอะ พระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้สักเท่าไหร่ ”

แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่า ” พระอาจารย์นั้นจะมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่สักกี่วัน ”

พระอาจารย์ก็ตอบไปว่า ” ถ้าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ก็จะอยู่สักสองสามวัน เนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้ว ก็อยากพักปฏิบัติสักที ”

ผู้ใหญ่บ้านก็โมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า ” เดี๋ยวผมกลับไปจะให้ลูกบ้านไปป่าวประกาศบอกกับชาวบ้านคนอื่นๆ ว่ามีพระมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้ จะได้มาทำบุญใส่บาตรกัน ” ว่าแล้วคนทั้งหมดก็ขอตัวลากลับไป

พระทั้งสองรูปก็ปฏิบัติกันต่อ ทั้งนั่งสมาธิ แล้วก็เดินจงกรม จนกระทั่งเวลาถึงเที่ยงคืนก็เข้ากลดจำวัดกัน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาตีสี่ก็จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตีสี่ก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์และก็ปฏิบัติกันจนเกือบหกโมงเช้า พระภิกษุทั้งสองรูปก็เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาต แต่ว่าพระอาจารย์นั้นบอกว่า

” วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก นั่งรออีกสักพัก ชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่นี่เอง ”

แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า ” ท่านจำเอาไว้นะ ตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรให้เรา ท่านจงสังเกตเอาไว้ให้ดี จะมีหญิงวัยกลางคนอยู่สองคน ที่จะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นที่ และกับข้าวที่จะนำมาถวายเรา ก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ” พระพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็บวชได้แค่เดือนเดียว ได้แต่รับฟังในสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอก และท่านก็ได้บอกต่อไปว่า ” ถ้าหญิงวัยกลางคนสองคนนี้ เขานำข้าวหรือกับข้าวเข้ามาประเคน เราก็ต้องรับนะท่าน ไม่ว่าเขาจะมาดีหรือว่ามาร้าย เราก็ต้องรับประเคนเอาไว้ก่อน ” พระพงษ์ได้ฟังแบบนั้นก็ตกปากรับคำอาจารย์ไป

เวลาผ่านไปล่วงเข้าเจ็ดโมงเช้า ก็เริ่มมีชาวบ้านทยอยกันหิ้วกระติ๊บบ้าง ปิ่นโตบ้างเข้ามาใส่บาตร สมัยนั้นทางภาคอีสานชาวบ้านส่วนใหญ่จะแต่งตัวคล้ายกันหมด และตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อสังเกตุเอาไว้ว่าจะมีหญิงสองคนที่แต่งกายไม่เหมือนชาวบ้าน และพระพงษก็ได้สังเกตเห็นผู้หญิงอยู่สองคน ซึ่งแต่งกายดูดีมาก อายุที่สังเกตได้ไม่น่าจะเกินสักห้าสิบ เธอทั้งสองใส่กางเกงผ้าคล้ายกางเกงสแล็ค เสื้อยืดคอกลมธรรมดา ผิดกับหญิงชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่นุ่งผ้าถุงกันแทบทุกคน ดูแล้วเธอทั้งคู่น่าจะเป็นคนที่ท่านพระอาจารย์ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้

พระพงษ์ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจ เนื่องจากชาวบ้านมากันพร้อมแล้วและผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มการอาราธนาศีลเพื่อที่จะรับศีลกัน พอเสร็จจากการให้ศีลให้พรชาวบ้าน กล่าวถวายภัตตาหารเสร็จ ถึงตอนเข้ามาประเคนข้าวและกับข้าว ที่ชาวบ้านนํามาใส่บาตรทําบุญกัน ส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นข้าวเหนียวและปลาตามท้องนา

พอถึงคราวของผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวไม่เหมือนคนแถวนี้ได้เข้ามาประเคนกับพระพงษ์คนหนึ่ง เข้าไปประเคนกับพระอาจารย์อีกคนหนึ่ง พระพงษ์ได้สังเกตอาหารที่เธอนํามาถวายนั้นเป็น ข้าวสวยธรรมดาที่ยังมีควันขึ้นอยู่ ความร้อนนั้นเหมือนกับว่าเพิ่งหุงมาใหม่ๆ ส่วนกับข้าวก็เป็นผัดกระเพราหมู ต้มจืดวุ้นเส้นและก็ไก่ทอดกระเทียม ซึ่งอาหารนั้นไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นเลย แล้วผู้หญิงคนที่ประเคนให้กับพระอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า ” พระอาจารย์ไม่ใช่พระพื้นที่นี้ คงจะฉันข้าวเหนียวกันไม่ค่อยชิน ดิฉันก็เลยทําอาหารภาคกลางมาถวาย ” พระอาจารย์ท่านก็ได้ตอบกลับไปว่า ” อาหารที่ญาติโยมนํามาถวายนั้น อาตมาเป็นพระเลือกฉันไม่ได้หรอกโยม ใครประเคนหรือว่าใส่บาตรอะไรมาก็ต้องฉันไปตามนั้น ” ว่าแล้วพระอาจารย์ก็เอ่ยกับชาวบ้านว่า ” อ้าวโยมทั้งหลาย เสร็จแล้วก็มารับพรกันก่อนเลยจะได้ไม่ต้องรอพระฉันเสร็จ “

หลังจากให้พรแล้วญาติโยมทั้งหลายก็ต่างลากลับไป พระอาจารย์นั้นก็เริ่มที่จะฉันข้าว แต่ก็ได้พูดขึ้นมาว่า ” ท่านอย่าได้ไปฉันกับข้าวที่สีกาสองคนนั้นถวายมาเด็ดขาด ”

พระพงษ์ก็ถามด้วยความสงสัยว่า ” ทําไมครับ ”

พระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า ” คอยดูไปแล้วกัน เราจะถ่ายกับข้าวของสีกาสองคนนั้นเอาไว้ในบาตร แล้วจะนําไปตั้งไว้ตรงลานหน้าที่ปักกลดกลางแจ้ง พอตอนค่ำๆ ทําวัตรเสร็จ ท่านก็จงไปดูที่บาตรว่ามีอะไร ” พระพงษ์ก็ตอบรับคํา พร้อมกับเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วก็นั่งฉันภัตตาหารไป เสร็จแล้วก็เห็นพระอาจารย์เทกับข้าวและข้าวของสองคนนั้นลงไปในบาตรของพระอาจารย์เอง ท่านก็นําเอาไปวางไว้กลางแจ้ง

ตกเย็นถึงเวลาทําวัตรสวดมนต์เสร็จ เวลาประมาณสักเกือบๆ ทุ่มได้ พระพงษ์ก็ได้เดินไปดูพร้อมกับไฟฉายส่องไปที่บาตร แล้วพระพงษก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบาตรของพระอาจารย์ที่เมื่อเช้าเทกับข้าวของหญิงทั้งสองคนนั้นทิ้งไว้ โดยที่ตลอดทั้งวันก็ไม่ได้มีใครเดินเข้าไปใกล้ที่บาตรเลย ในเวลานี้เต็มไปด้วยเม็ดทรายและตะปูตัวเล็กๆ เต็มไปหมด

พระพงษ์นั้นถึงกับอึ้งรีบเดินกลับไปหาพระอาจารย์ที่ตอนนี้กําลังนั่งสมาธิอยู่ในกลด พระพงษ์ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร พระอาจารย์ก็กล่าวออกมาก่อนว่า ” เขาไม่ชอบเรานะท่าน เขากลัวว่าเราจะมาทําร้ายหรือมาทําลายการทํามาหากินของเค้า เข้ากลดได้แล้วท่าน คืนนี้ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ตาม ท่านห้ามออกมานอกกลดเด็ดขาด ” พระพงษ์ได้ฟังคําที่พระอาจารยพูดก็รีบตอบรับคํา แล้วเดินเข้ากลดของตัวเองไป ซึ่งกลดของพระพงษ์นั้น อยู่ห่างจากกลดพระอาจารย์ประมาณสักยี่สิบเมตรได้

พอเข้ามานั่งในกลดแล้วพระพงษ์ก็เห็นพระอาจารย์เดินออกมาจากกลดของท่าน ถือด้ามกลดของท่านออกมาด้วย (กลดจะมีแบบถอดด้ามได้ด้วยนะครับ ที่ปลายด้ามของกลดนั้นจะหมุนเกลียวออกได้ เพื่อที่การพกพาจะได้สะดวก) พระอาจารย์ถือด้ามกลดออกมา แล้วเดินมาทางพระพงษ์ พร้อมกับยืนนิ่งๆ พนมมือ โดยมีด้ามกลดนั้นอยู่ระหว่างมือ สักครู่เดียวเท่านั้น ท่านก็ก้มลง แล้วใช้ด้ามกลดจรดไปกับพื้นดินเรื่อยๆ เป็นวงกลมรอบกลดของพระพงษ์ พอท่านขีดเส้นจบแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับไป ท่านก็ได้กําชับว่า

 ” อย่าลืมนะท่าน คืนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าได้ยินเสียงอะไร ก็ห้ามออกมานอกกลดเด็ดขาด ” 

พระพงษ์ได้ยินคํากําชับแบบนั้น ก็ตอบรับคําของพระอาจารย์ แล้วท่านก็เดินกลับไปที่กลดของท่านเอง
พระพงษ์ได้นั่งสมาธิต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จู่ๆ ก็มีลมพัดแรงมาก ลมนั้นพัดแรงขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ตอนค่ำก็ไม่มีลมเลย ลมพัดอยู่ได้พักใหญ่ๆ แล้วพระพงษก็ได้ยินเสียงเหมือนสุนัขกําลังขู่ ก็เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้นออกจากสมาธิเพื่อหันไปดู แต่พอหันไปดูเท่านั้นพระพงษ์ก็ต้องตกใจ กลัวจนขนลุกซู่ เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นเป็นหมาดําตัวใหญ่มาก หมาดําตัวนี้กะขนาดได้ตัวประมาณควาย กําลังยืนขู่อยู่ ดวงตานั้นเป็นสีแดงก่ำ มันก็กําลังทําท่าจะเข้ามาในกลดของพระพงษ์ แต่พอมันเดินมาถึงรอยที่พระอาจารย์ขีดไว้ ก็ต้องถอยห่างออกไปด้วยความกลัว มันจึงได้แต่ส่งเสียงขู่ต่อไปแบบเดิม พลางเดินวนเวียนรอบกลด เหมือนกับพยายามที่จะหาทางเข้ามาให้ได้

หมาดําใหญ่ยักษ์ตัวนั้นเดินเวียนรอบกลดประมาณสองสามรอบได้ สิ่งที่พระพงษ์เห็นก็คือพระอาจารย์ได้เดินมาที่กลดของพระพงษ์ แล้วใช้ด้ามกลดตีไปที่หมาดําตัวนั้นหนึ่งที่ จนมันส่งเสียงร้องโหยหวน แต่สิ่งที่ทําให้พระพงษนั้นแปลกใจมากก็คือ เสียงร้องโหยหวนจากหมาดํากลับกลายเป็นเสียง ผู้หญิง แล้วจู่ๆ พระพงษก็ต้องอึ้งตกใจกลัวแบบสุดๆ เนื่องจากหมาดําตัวนั้นหลังจากโดนตีไปแล้ว ได้หมอบนอนลงแล้วกลายร่างเป็นผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าได้นํากับข้าวมาถวายนั่นเอง

แล้วพระอาจารย์ท่านก็พูดขึ้นว่า ” ต่างคนก็ต่างอยู่ อาตมามาธุดงค์กันสองรูปเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาทําร้ายใคร ขอให้โยมจงกลับไปเถิด แล้วอย่าได้มากวนอาตมาอีกเลย ” พอสิ้นสุดคําของพระอาจารย์ หมาดําตัวใหญ่ที่ขณะนี้กลายร่างเป็นผู้หญิง และกําลังร้องอย่างโหยหวนอยู่นั้น ก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของพระพงษ์ที่ได้แต่อึ้งต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นพระอาจารย์ก็บอกว่า ” ท่านจงอยู่แต่ในกลด ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าฟ้าจะสว่าง ” พระพงษ์ก็ตอบรับด้วยควาามกลัว จากนั้นก็นั่งสมาธิจนสว่าง

พอรุ่งเช้าพระอาจารย์ก็เดินมาที่กลดพระพงษ์ แล้วบอกกับพระพงษ์ว่า ให้รีบเก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางธุดงค์ต่อเลย เพราะเมื่อคืนเป็นแค่น้องสาวของเค้าที่มา อาตมาก็สั่งสอนไปแล้ว คืนนี้พี่สาวคงน่าจะมาหาเราเพื่อแก้แค้นให้น้องสาวแน่นอน แล้วพระอาจารย์บอกว่า ไม่อยากทําร้ายใคร เพราะว่าปอบพวกนี้เป็นปอบที่มีวิชาอาคมเก่ง เล่นอาคมจนมีลิ้นดํา ของเข้าตัวเองเพราะผิดครู และจะเลี้ยงหมาดําเอาไว้ออกล่าเหยื่อเวลาหากิน เมื่อใดหมาดําที่เลี้ยงไว้อิ่ม คนเลี้ยงก็จะอิ่มไปด้วย เมื่อไหร่ที่หมาดำเจ็บ โดนคนที่มีวิชาอาคมทําร้าย เจ้าของคนเลี้ยงก็จะเจ็บไปด้วย

พระพงษ์ได้ยินเรื่องราวแบบนั้นก็ถึงกับอึ้ง ไม่นึกว่าในยุคสมัยนี้ยังจะมีเรื่องพวกนี้อยู่อีก แต่ว่าก็ต้องเชื่อ เพราะเมื่อคืนได้เห็นมากับตาของตัวเอง และได้ยินเสียงโหยหวนด้วยหูของตัวเองเช่นกัน หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จพระทั้ง 2 รูปก็ได้รีบออกเดินทางจากพื้นที่นั้นทันที

และเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้


ขอขอบคุณ : คุณพงษ์