หลอนทั้งหมู่บ้าน
เล่าโดย : คุณผอม
เป็นเรื่องราวที่คนในหมู่บ้านเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิจิตร ผ่านมาประมาณสิบสองถึงสิบสามปี ในหมู่บ้านแห่งนั้น มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ชื่อคุณหญิง เป็นลูกของกำนันหมู่บ้าน อายุประมาณสามสิบปี
คุณหญิงเป็นคนที่สวยมาก แต่ก็ได้ครองตัวเป็นโสด ยังไม่เคยมีสามี ด้วยความที่เป็นคนสวย ก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แวะเวียนกันมาจีบ แต่คุณหญิงก็ไม่เคยสนใจใคร
คราวนี้ทางเกษตรอําเภอได้ส่งข้าราชการมาดูทำเล เพื่อจะทำฝาย ทำคลองส่งน้ำเข้านา ก็ต้องมาสำรวจพื้นที่ แล้วก็ได้นอนค้างที่บ้านกำนัน จึงได้รู้จักกับคุณหญิง และก็ได้ชอบพอกัน ก็เลยตกลงว่าจะแต่งงานกัน
ก่อนจะถึงงานแต่งประมาณหนึ่งเดือน เวลาประมาณช่วงเย็น มีคนพบเห็นว่ามีผู้ชายขี่จักรยานมาที่หน้าบ้านของกำนัน แล้วเรียกคุณหญิงออกไปพูดคุยที่รั้วหน้าบ้าน จากนั้นเวลาประมาณสองทุ่ม คุณหญิงก็คว้าจักรยานขี่ออกไป
คุณแม่ก็ได้ถามว่าจะไปไหน ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุณหญิงบอกว่าจะไปหาเพื่อนที่ท่าข้าม ท่าข้ามจะอยู่เลยจากบ้านคุณหญิงไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นที่สำหรับซักเสื้อผ้า ติดคลองชลประทาน
จากนั้นคุณหญิงก็หายตัวไป และในคืนนั้น กำนันก็ได้นำสมัครพักพวกออกตามหา แต่หายังไงก็หาไม่เจอ จากบ้านไปถึงท่าข้าม ขวามือจะเป็นทุ่งนาโล่งๆ ซ้ายมือจะเป็นป่าไผ่รก มืดทึบ ทุกคนก็ได้เข้าไปค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่เจอ
จนรุ่งเช้าอีกวัน ตำรวจก็ได้เข้ามาร่วมด้วย แต่ก็จนปัญญา หลายคนคิดว่าคงจะถูกคนฉุดไป มีชาวบ้านแนะนำให้ไปถามร่างทรงที่น่าเชื่อถือในตำบล ร่างทรงบอกว่าให้กลับไปหาที่ป่าไผ่อีกรอบหนึ่ง แล้วจะเจอเอง
คุณแม่ของคุณหญิงเป็นลมทันที เพราะคิดว่าคงจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับคุณหญิงแล้วแน่ ทุกคนจึงกลับไปที่ป่าไผ่กับอีกรอบ แต่คราวนี้เดินลึกเข้าไปอีก สุดเขตของป่าไผ่จะเป็นคลอง มีผักตบชวารกๆ
ปรากฏว่าไปเจอศพคุณหญิงอยู่แถวๆนั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า แต่ท่อนล่างใส่ผ้าถุงอยู่ ตั้งแต่ใต้ลำคอมาจนถึงท้องน้อย ถูกผ่าเอาเครื่องในออก อวัยวต่างๆถูกเอาไปแขวนไว้บนต้นไผ่แบบกระจัดกระจาย มีนกกาคอยบินจิกกินอยู่หลายตัว
ชาวบ้านจึงนำเอากระสอบมาห่อศพ แล้วหามกันออกมา หลังจากที่ตำรวจชันสูตรดูแล้ว ไม่พบล่องลอยการถูกข่มขืน ที่หน้าผากมีลอยมีดกรีดเป็นกากบาท ลึกจนไปถึงกระดูก
หลังจากนั้น ตาซ้อน ซึ่งเป็นคนหาจับกบจับเขียดขายเป็นอาชีพปกติ ขี่จักรยานผ่านดงไผ่ หูก็แว่วได้ยินเสียงคนเรียก "น้า..น้าซ้อน..น้าซ้อนเอ้ย" ตาซ้อนหยุกจักรยานแล้วหันไปมองตามเสียง
ดวงจันทร์ยังพอฉายแสงส่องลงมาลางๆ เห็นผู้หญิงเดินโซซัดโซเซออกมาจากดงไผ่ที่มืดทึบ แต่น่าแปลกที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใส่เสื้อผ้า ตัวขาวซีด ตั้งแต่คอหอยลงมาถึงท้องน้อยแหวะออกเป็นโพรง ปากก็พูกว่า "น้าซ้อน ช่วยดูคนที่ฆ่าชั้นหน่อย"
ลุงซ้อนไม่รอช้า ทิ้งจักรยาน วิ่งเตลิดกลับบ้านทันที รุ่งเช้าหลายคนก็ได้เข้ามาสอบถาม แต่ก็ไม่ค่อยจะมีคนเชื่อ เนื่องจากลุงซ้อนเป็นคนขี้เมา เรื่องไปถึงหูคุณแม่ของคุณหญิง พอรู้ว่าลูกสาวตนเองเป็นผีมาหลอกคน ก็เป็นลมล้มพับลงไปอีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกผู้ใหญ่ได้ไปงานประชุมที่อำเภอ และก็ได้มีการดื่มเหล้ากันบ้าง ขากลับก็นั่งมอเตอร์ไซค์ซ้อนสองกันมาสองคัน จนเกือบจะถึงเขตป่าไผ่ อีกประมาณสามถึงสี่วา อยู่ๆไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ก็ขาดทั้งสองคัน
จึงได้จอดรถลงดู ในระหว่างนั้น ลุงคนหนึ่งก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ห่างตาเห็นลักษณะคล้ายๆขาคน ห้อยอยู่ประมาณระดับคอในป่าไผ่ พอหันไปดูก็เจอแต่ความมืด หลังจากงมซ่อมกันอยู่นาน จึงตัดสินใจขี่กลับบ้านทั้งอย่างนี้
พอควบมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่อง ก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำ หรืออะไรสักอย่างตกอยู่ด้านหลัง "แผละ!!" ซึ่งทั้งสี่คนก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว จึงรู้ดีว่าไม่ควรทัก แต่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดลงมาจากที่สูงว่า "เก็บให้ข้าหน่อยยย"
ทุกคนจึงหันไปมองตามเสียง ก็ไม่พบอะไรบนต้นไผ่ แต่เป็นอะไรสักอย่างดำๆ กองอยู่บนพื้น พอเพ่งมองดูสักพัก ปรากฏว่ามันคือพวกเครื่องใน ลำไส้ ตับไต ทุกคนสร่างเมากันทันที
อึดใจต่อมา ได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดลงไปในทุ่งนาที่มีน้ำขังอยู่ดัง "ตู้มม" แล้วก็เสียงวิ่งข้ามไปอีกฝั่งจนน้ำกระจาย ทุกคนหันไปมองตามเสียง แต่ก็ไม่พบกับอะไรทั้งนั้น นอกจากความมืด ทั้งสี่คนทิ้งมอเตอร์ไซค์วิ่งหน้าตั้งกลับบ้าน จนเป็นเรื่องโจษขานกันทั่วหมู่บ้าน
มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันพระใหญ่ ในหมู่บ้านแห่งนั้น จะมีลุงสติไม่ดีอยู่คนหนึ่ง กินนอนอยู่ที่ศาลารอรถ ช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็น อยู่ๆลุงก็วิ่งไปตามถนนในหมู่บ้าน ร้องตะโกนว่า "คืนนี้ไอ้หญิงจะกลับมานะๆๆ"
แล้วก็วิ่งไปเขย่าประตูรั้วบ้านกำนัน ตะโกนว่า "หญิงมันจะกลับมานะๆๆ หญิงมันคิดถึงบ้าน" แล้วลุงก็วิ่งหายไป ชาวบ้านที่ได้ยินต่างตกใจกลัว คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน ปิดบ้านกันตั้งแต่หกโมงเย็น
ปรากฏว่าคืนนั้นเวลาประมาณห้าทุ่ม เสียงสุนัขหอนมาตั้งแต่ท้ายหมู่บ้าน ขานรับกันมาเป็นช่วงๆ พร้อมกับเสียงคนลากอะไรบางอย่าง ได้ยินชัดเจนมาก "ครืดด..ครืดด.ครืดด"
ลากมาเรื่อยๆตามถนน ชาวบ้านที่สงสัยก็ลองแง้มหน้าต่างดู ดวงจันทร์เดือนหงายยังพอส่องแสงลงมาบ้าง เห็นเป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุง เปลือยท่อนบน เดินเท้าเปล่า ลากกระสอบมาตามถนน แล้วหยุดเดิน ล้วงมือเข้าไปในกระสอบ แล้วดึงเอาร่างของผู้หญิงคนนึงออกมา แต่ไม่มีหัว มายืนอยู่ข้างๆกัน แล้วยืนร้องไห้โหยหวน ส่วนร่างที่ไม่มีหัวก็ควานมือไปมาในอากาศ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
เสียงร้องโหยหวนมันแทรกลึกเข้าไปในหัวใจ แม้แต่เด็กที่ได้ยินยังต้องหยุดร้องไห้ ชาวบ้านต่างผากันผวา คิดว่าเมื่อไหร่ภาพเหล่านี้มันถึงจะหายไปเสียที สองร่างนั้นพากันเดินต่อไปจนถึงบ้านกำนัน
เวลาประมาณตีสอง บ้านกำนันก็เปิดไฟจนสว่างโร่ทั้งบ้าน กำนันรีบวิ่งลงจากบ้าน แล้วตะโกนเสียงดังว่า "ทำไมมาหลอกชาวบ้าน ทำไมไม่ไปหลอกไอ้คนที่ฆ่า ไม่หามันมาสิ ข้าจะบ้าแล้วนะ" แล้วเอาลูกซองยาวมายิงขึ้นฟ้า
คืนนั้นชาวบ้านก็ยังได้ยินเสียงคล้ายๆลูกมะพร้าว กลิ่งไปตามถนนทั้งคืน หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ชาวบ้านจึงต้องหาทางยุติเรื่องนี้ จึงได้ไปถามเกจิอีกอำเภอหนึ่ง เพื่อที่จะได้หาทางช่วยปลดปล่อยวิญญาณ
หลวงปู่ท้านบอกมาประโยคเดียวว่า "ยังไม่ไป ยังไม่ถึงกาลเวลา ถ้าป่าไผ่ยังไม่ลุกเป็นไฟ เพราะที่ตายของเค้าคือที่นี่ แต่เค้าดิ้นรนพยายามจะไม่อยู่ที่นี่" ชาวบ้านจึงตัดสินใจเผาป่าไผ่ทั้งหมด
ก็มีเรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่ง เวลามีชาวบ้านผ่านซากป่าไผ่ที่มีแต่ขี้เถ้า จะเห็นผู้หญิงนั่งพิงจอมปลวกอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านดำมืด คุณแม่ของคุณหญิงเคยฝันว่า คุณหญิงมาหาที่หน้าบ้าน แต่ขึ้นบ้านไม่ได้ เพราะว่าเท้าขาดสองข้าง ได้แต่ตะโกนอยู่ตรงตีนบันไดว่า "ข้อเท้าหนูไม่มี หนูขึ้นบ้านไม่ได้ แม่ไปหามาให้หนูหน่อย หาคนฆ่าหนูมา"
จนผ่านมาหลายปี เรื่องราวก็ซาลงไปบ้าง ส่วนป่าไผ่ที่ถูกเผาไปแล้ว น่าแปลกเพราะต้นไผ่ก็ยังผุดแทรกขึ้นมาโต จนเป็นดงไผ่ตามเดิม และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
0 Comments:
Post a Comment