ตำนานหลอน ม.ทักษิณ



รวมความเชื่อ มหาวิทยาลัยทักษิณ

1. มหาวิทยาลัยทักษิณ มีสิ่งศักดิ์ที่เหล่านิสิตเคารพกัน ก็คือ ‘ปู่เลียบ พระพุทธรูปองค์ดำ’

2. การแก้บนของ ปู่เลียบ คือต้องแก้บนด้วย ‘ยาคูลท์’

3. เจ้าที่มหาวิทยาลัยทักษิณ นิสิตมักจะเรียกกันว่า ‘ปู่เลียบ’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับสถาบันแห่งนี้มาอย่างช้านาน โดยเชื่อกันว่า หากใครต้องการเจริญก้าวหน้าในการเรียนหรือการงานด้านต่างๆ ให้บูชาท่านด้วยยาคูลท์ เท่านั้น

4. ตำนานชุดนอนสีแดงหอพักใน เป็นเรื่องเล่าในหมู่นิสิตของมหาวิทยาลัยทักษิณว่า ห้ามใส่ชุดนอนสีแดง เพราะหากใส่ชุดนอนสีแดงจะถูกผีดึงลงมาจากเตียงนอน

5. ตำนานเต่าปริศนา ณ สระน้ำหน้าหอพักริมบึง เด็กที่ ม.ทักษิณ เชื่อกันว่าหากใครมานั่งเล่นในยามค่ำคืน แล้วเห็นเต่าในสระน้ำหน้าหอพักริมบึงแล้วจะทำให้เรียนไม่จบ

6. ห้ามร้องเพลง ‘แต่ปางก่อน’ ในหอพักและมหาวิทยาลัย ไม่งั้นจะเรียนไม่จบและอาจเจอดีในหอพักได้ ซึ่งหากร้องเพลง ‘แต่ปางก่อน’ ภายในหอพักจะมีเสียงร้องคลอตามมา…บรื๋อ!!!

7. หน้าตึกเรียนอาคาร 13 ภายในมหาวิทยาลัยทักษิณ เชื่อกันว่ามีความเฮี้ยนระดับสูงมากๆ เเละที่หน้าตึกเรียนอาคาร 13 ก็มีฮวงซุ้ยขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าตึก (น่าจะเป็นตึกเรียนตึกเดียวในประเทศไทยที่มีฮวงซุ้ยตั้งอยู่ด้านหน้า) เล่าลือกันว่าบางครั้งดึกๆ จะมีคนเดินไปเดินมาที่หน้าฮวงซุ้ย มองนานๆ เเล้วท่านก็จะหายไป

8. ใคร!! ที่ไม่เคยไปสถาบันทักษิณคดีศึกษา ของมหาวิทยาลัยทักษิณ จะทำให้เรียนไม่จบ.. โดยสถาบันทักษิณคดีศึกษา จะตั้งอยู่บนภูเขา ติดกับสะพานเปรม

เรื่องเล่า ตำนานเฮี้ยน มหาวิทยาลัยทักษิณ
มาต่อกันที่… เรื่องเล่าสุดหลอน ชวนขนหัวลุก

1. โดนรับน้องหอ

เข้าหอคืนแรก เจอเลยค่ะ เราเป็นคนมีเซ้นส์แล้วก็กลัวผีมาก เลยพกมาเพียบ ทั้งพระพุทธชินราชแบบมีครอบแก้ว ที่คอห้อย หลวงปู่ทวดเม็ดแตง หลงพ่อดำ ตะกรุดทองอาจารย์นอง เจ้าแม่กวนอิม เรียกมาเตรียมมาพร้อม ตอนเข้าหอ ด้วยความที่ขึ้นห้องไปช้า เลยเหลือเตียงว่างแค่เตียงเดียว คือเตียงชั้น 2 ติดผนังฝั่งห้องน้ำรวม (ในห้องมีเตียง 2 ชั้น 3 เตียงค่ะ) ก็ไม่มีอะไรนั่งคุยกันมั่ง ออกไปทำธุระกับเมททั้งถ่ายรูปนักศึกษา บลาๆ จนค่ำ เข้าหอ อาบน้ำ ปิดไฟนอน ออ ด้านบนผนังฝั่งประตูห้องจะเป็นช่องติดมุ้งลวดค่ะ ไผทางเดินสว่าง ห้องไม่มืด แต่…. หลังล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน เพื่อนๆก็หลับหมด เราก็สวดมนต์กราบหมอนนอน พักเดียว ยังไม่ทันเคลิ้ม รู้สึกว่ามีเล็บยาวๆ มาลากผ่านหลังตามแนวนอน เราสะดุ้งเฮือก หันไปตามสัญชาติญาณ มีแต่กำแพง… เราก็นึกในใจ เออ เริ่มแล้วสินะ ก็พยายามข่มตาหลับต่อ อีกซักพัก ยังไม่ทันจะหลับ (เราเป็นคนนอนยาก ผิดที่แล้วจะนอนไม่ค่อยหลับ) เตียงเขย่าค่ะ ก็นึกว่าเมทที่เตียงล่างนอนดิ้น พอลืมตา รู้สึกว่ามีอะไรที่ปลายเท้า (บันไดลิงขึ้นเตียงอยู่ปลายเท้าค่ะ)

ไอ๊ย๊ะ!! เหมือนในหนังผีเลยค่ะ ‘ผีผู้ชาย’ ผมกระเซิง หน้างี้เขียวอี๋ กำลังปีนขึ้นเตียงเรามา เรารีบวักผ้าห่มคลุมโปง สวดมนต์ ท่องอะไรไปมั่งไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้อะไรที่กำลังปีนขึ้นมาหายไปได้ (ขนาดพระพุทธชินราชอยู่หัวเตียงนะเนี่ย T T) นอนไปได้อีกพักกำลังจะหลัง โดนข่วนหลังอีก จะปลุกเพื่อนก็สงสาร สรุปคืนนั้น หลับไปได้ตอนไหนก็ไม่รู้ เช้ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอก โม้…. (ดีแล้วที่พวกแกคิดอย่างนั้น)

2. มากันเพียบ

เราเข้าเรียณคณะที่เปิดใหม่ในปีนั้นค่ะ ที่ตึกอยู่ด้านหลังสุดของ ม. ต้องขึ้นเนินไป ตอนนี้ไม่รู้เปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว ค่ำแล้วยังไม่ได้กลับหอ หลังจากที่ซ่อมดนตรีเสร็จ ก็นั่งคุยกับพวกเด็กภาคค่ำที่หน้าตึก ซักพักเราเริ่มเห็นเงาดำๆ เดินไปเดินมาชัดมาก ไม่มีหน้าตา มีแต่เงาดำๆ ทีแรกมาคนเดียว ซักพักชักเยอะมาเป็นสิบ เราเลยบอก เฮ้ย!!! เรากลับก่อนนะ แต่ไม่ได้บอกเพื่อนว่าเห็นอะไร เพื่อนก็บอก เออว่ะ กลับกันเหอะ มันวังเวงยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

3. อาบน้ำเป็นเพื่อน

จากที่บอกไปแล้วว่าห้องเราอยู่ติดห้องน้ำรวม มีคืนนึง เรากลับหอดึกเพราะซ้อมเชียร์ลีดเดอร์กลับมา เมทหลับหมดแล้ว เราก็เออ… จะปลุกก็เกรงใจ หิ้วตะกร้าอาบน้ำเดินเข้าห้องน้ำไป ห้องน้ำมี 3 ห้อง แห้งสนิท เราเข้าห้องกลาง กำลังอาบน้ำสระผมไปก็ได้ยินเสียงห้องทางซ้ายเปิดน้ำ มีเสียงอาบน้ำ ยังคิดในใจ เออ… มีคนมาอาบเป็นเพื่อนละ พออาบเสร็จออกมา หันไปมองทั้ง 2 ฝั่ง แห้งสนิท รีบจ้ำกลับห้องเลยค่ะ

4. หิวโว๊ย หิว!!!

เราเป็นหมอดูไพ่ยิปซีค่ะ แต่เลิกไปนานละ ตอนนั้นเพิ่งจะหัวค่ำ เพื่อนห้องอื่นพอรู้ว่าเราดูไพ่ได้ก็มาให้ดูให้ เมทคนนึงชื่อซัน มันบอกหนวกหู เลยขึ้นไปนอนที่เตียงชั้น 2 ของเรา ซักพักซันก็หลับ เราก็นั่งดูไพ่ไป แล้วอยู่ๆ ซันก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง หันมาจ้องพวกเราที่นั่งอยู่กับพื้นตาแข็ง ตาแดงก่ำ “หิวโว๊ย หิว!!!” เสียงเพื่อนแหละค่ะ แต่ท่าทางไม่ใช่ เราเลยจ้องหน้าแล้วสวนกลับไปว่า “หิวก็ไปต้มมาม่ากินสิวะ โวยวายทำหอกไร” เท่านั้นซันก็หงายผลึ่ง หลับสนิทเหมือนเดิม (อันนี้ไม่รู้เพื่อนละเมอหรือผีเข้า แต่ตามันแดงง่ะ)

5. รูมเมทคนพิเศษ

เธอคนนี้น่าจะอยู่ที่หอนี้มานานแล้วค่ะ แต่มาให้เห็นหลังจากอยู่หอได้ระยะนึงแล้ว เราเห็นทีแรก เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของเรา ใส่เสื้อผ้าที่เราใส่แล้ว ลงเข่งไปแล้ว แต่ที่รู้เพราะเธอเลือนลางค่ะ เป็นเค้าร่างแค่พอมองเห็นได้ เธอยิ้มแย้ม ใจดี คอยเฝ้าห้องให้ คอยปลุกให้ไปเรียน เวลาเรานั่งอยู่ที่ซุ้มดอกเห็ดหน้าหอ ถ้ามองขึ้นมาบนห้องก็จะเห็นเธอนั่งอยู่บนเตียงเรา โบกมือให้ ยังแอบสงสัยทุกวันนี้ว่า เล็บเมื่อคืนแรก จะใช้เล็บเธอมั้ย แต่เท่าที่ใกล้ชิดกันมา เธอตัดเล็บสั้นนี่หว่า เล่าให้เพื่อนฟัง บอกเพื่อนไม่ต้องกลัว เธอคนนี้น่ารัก แล้วหลังจากได้เจอเธอคนนี้ ห้องเราก็ไม่เคยมีเหตุการณ์สยองขวัญอีกเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก FB : กระทู้ผีพันทิป – หลอน สะเทือนขวัญ

ตำนานหลอนมหา’ลัยมหิดล ศาลายา



เรื่องเล่า ตำนานหลอน ในมหา’ลัยมหิดล ศาลายา

1. ที่มาของคำว่า “ศาลายา”

ซึ่งคนแถวนี้เชื่อกันว่าชื่อ “ศาลายา” มาจากในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาด หรือโรคห่าที่ระบาดไปทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้ง ให้แร้งจิกกินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่ง ไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า “ศาลายา”

2. เพลงรักน้อง “เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม…”

นั่นคือ เนื้อเพลงรักน้อง หรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆ คนพูดจนชินปาก เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาพยาบาลคนหนึ่งถูกผู้เป็นพ่อ-แม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจและเขาไม่คิดว่ามีใครเข้าใจความรู้สึกเขาเลย นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของหอพัก และเขียนข้อความสั้นๆ ไว้ หลังจากนั้น จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรักน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษา พยาบาลคนนั้น ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง มิฉะนั้น จะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระโดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้ และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย

3. SI วันมหิดล เตียง C

อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับ วันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช (ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆ ว่า SI) ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียน หอพักในวันนี้ของทุกๆ ปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆ ของความเฮี้ยนสุดยอด ในวิทยาเขตศาลายา นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นห้องถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียง C ของนักศึกษา SI ในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็นเค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน? ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ในคืนนี้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม

4. เชือกในห้องน้ำ

เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆ มีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม แม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชายห้องดังกล่าว และได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า “ห้องน้ำเสีย” นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากประตูเจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตาไป เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า “เค้ากลับต่างจังหวัด” ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้านผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย ขอบอกเลยว่า “คุณคือผู้โชคดีแล้ว”

5. ผีถ้วยแก้ว

ขอยกเรื่องเล็กๆ ให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า… นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่า ใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสางทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า มหาวิทยาลัยเพื่อหาข้าวกินกัน เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่ เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์ และได้ยกมือชี้ร้องไล่ให้ผู้หญิงในกลุ่มออกไป แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ เมื่อมาถึงหอพัก นักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า “นี่ เมื่อกี๊เล่นผีถ้วยแก้ว มันบอกว่าเป็นผู้หญิงว่ะ อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน” เพื่อนต่างคณะก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ ชายแก่คนดังกล่าวอาจเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม “พ่อปู่จันธูป” หรือ “เจ้าขุนทุ่ง” ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า? โฮะๆ คิดเอาเอง

6. คอนโด C ห้อง xxxx

คอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษายน แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโด C ซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และแปะไว้ที่หน้าประตูอีกหนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอมเมื่อ 4-5 ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจนแทบจำไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงน้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ เพื่อนๆ ทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว พอตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำ บางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แต่นั่น…ไม่ร้ายแรงเท่ากับนักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับอยู่ และเหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้องเจ้าปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!! รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าวของต่างๆ เปิด-ปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอตสุดๆ และเฮี้ยนสุดๆ ในรั้วศาลายา

7. เรือนไทย

เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้เรือนไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่ และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือบริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆ คล้ายผมของใครบางคนปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า เส้นผมที่ว่านั่น…เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้มแสยะเห็นฟันดำขลับ นักศึกษาคนนั้นกรีดร้อง และเป็นลมทันที พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือทำการปฐมพยาบาล และนอกจากนี้รุ่นพี่ยังเล่าต่อๆ กันมาว่าเสาต้นหนึ่งในเรือนไทยเป็นเสาตกน้ำมัน ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ “ความแรง” ของที่นี่ มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอดเวลาไม่ ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังเย็นอยู่ด้วย

8. หอชาย

เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆ ไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความเป็นมาตรงนี้เลย หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ 10) มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินกันเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวนมากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก ส่วนสถานที่หลักๆ ที่จะพบได้ก็คือ ทางบันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดินทางนี้บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชน หรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง และทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่างของหอ นี่คือทางสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยวกับสาเหตุที่ย้ายมาเพราะต่อให้ตาย “…เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก”

9. ตู้ผี

ฟังชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆ ในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อน ช่วงสอบกลางภาคตรงกับวันมหิดลพอดี นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้า เพื่อเอาผ้าขนหนูไปอาบน้ำ เครียดก็เครียดอ่านก็ไม่ทัน ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน คว้าท่อนแขนนักศึกษาเอาไว้ พยายามดึงเธอเข้าไปในตู้ เท่านั้นแหละ… เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็นเจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่กับพื้นห้อง จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้าหน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัวกับเหตุการณ์นี้ว่า “สงสัยเค้าจะเครียดมากไป” เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป ยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้วขนลุกได้เลย

ที่มา http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000130587

ANNABELLE DOLL ตุ๊กตาผีอนาเบลล์อันเลื่องลือ



ในเมือง “มอลโรลล์” (Monroe) รัฐคอนเน็คติกัล (Connecticut) มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งชื่อ “วอเรน ออคคอล มิวเซียม” (Warren occult museum) ซึ่งเป็นสถานที่เก็บสิ่งของที่ต้องอาถรรพ์และสยองขวัญมากมายรวมอยู่ในที่แห่งนี้ แต่มีสิ่งเดียวที่ทรงพลังในการฆ่าที่สุดเห็นจะไม่พ้น “ตุ๊กตาผีอนาเบลล์”

ในปี ค.ศ.1970 หญิงสาวนามว่า “ดอนน่า” ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นกับเพื่อนที่ชื่อว่า “แอนจี้” ได้รับตุ๊กตาในวันครบรอบคล้ายวันเกิดปีที่ยี่สิบแปด เธอตั้งชื่อมันว่า “อนาเบลล์” ซึ่งมันจะถูกวางไว้บนเตียงอยู่ตลอดเวลา แต่กระนั้นหลายวันที่ดอนน่าสังเกตการณ์เห็นสิ่งผิดปกติเมื่อตุ๊กตาเปลี่ยนท่าทางในการนอนไปจากเดิม ทั้งมีการไขว้ขาหรือตะแคงนอน แต่จะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องขนลุกต่อมา เมื่อเธอพบข้อความต่างๆ เขียนด้วยลายมือว่า “ช่วยด้วย” หรือ “ช่วยพวกเราด้วย” ต่อมาเมื่อมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น เธอจึงเรียกให้คนทรงมาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ซึ่งคำตอบที่เธอได้รับก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าตายในห้องนี้และวิญญาณเธอก็ได้สิงเข้าไปยังตุ๊กตาตัวนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเธอจึงพยายามปฏิบัติเอาใจตุ๊กตาตัวนี้อย่างดีเรื่อยมา

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อในสิ่งที่พวกเธอชื่อ เมื่อเพื่อนชาย “ลูอิส” เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องตลกสำหรับเขา และก็หยอกล้อเล่นกับตุ๊กตาอยู่บ่อยครั้ง

จนกระทั่งในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังงีบหลับอยู่ในห้องนั้น ลูอิสก็ถูกบีบคอในขณะที่หลับ เมื่อเขาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่ามีรอยมือขนาดเล็กรอบคอของเขา

ในที่สุดดอนน่าจึงต้องยินยอมยกตุ๊กตาให้ “เอ็ด วอเรน” (Ed Warren) กับ “ลอเลน วอเรน” ( Lorraine Warren) สองสามีภรรยาที่เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์วอเรน ซึ่งแรกพบตุ๊กตาที่สองสามีภรรยามาเจอ พวกเขามีความเห็นที่แตกต่างออกไปจากคนทรงก่อนหน้านี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าตุ๊กตามีปีศาจสิงสู่อยู่ อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยินยอมที่จะรับอนาเบลล์กลับไปด้วย แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังขับรถกลับ ระหว่างทางรถของเขาได้เสียหลักจนเกือบเป็นที่มาของความหายนะ ซึ่งเอ็ดต้องรีบจอดรอดและพรมน้ำมนต์ใส่ตุ๊กตาเพื่อให้มันสงบลง

ไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่มายังพิพิธภัณฑ์วอเรน ชายผู้หนึ่งได้ท้าทายให้อนาเบลล์แสดงอำนาจต่อหน้าเขา ซึ่งเมื่อชายผู้นั้นกลับออกไปไม่ถึงสามชั่วโมง เขาก็มอเตอร์ไซด์คว่ำเสียชีวิต

สำหรับใครที่อยากเยี่ยมชมเธอ อนาเบลล์ก็ยังคงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วอเรนจนถึงทุกวันนี้เรื่อยมา

ตำนานเรื่องเล่าผีนับจาน หรือ ซารายาชิกิ หรือ โอคิคุ



เป็นเรื่องเล่าของวิญญาณที่จะออกมาจากบ่อเก็บน้ำ และเริ่มนับจานตั้งแต่ 1 ใบจนถึง 9 ใบ แล้วจะร้องไห้อย่างหัวใจสลาย ซึ่งที่มาก่อนที่โอคิคุจะกลายเป็นผีนั้นมีหลายเรื่องเล่า บางเรื่องกล่าวว่าโอคิคุทำจานของเจ้านายแตก เจ้านายโมโหมากจึงฆ่าโอคิคุทิ้งแล้วเอาศพทิ้งลงบ่อน้ำ

เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของโอคิคุมีที่มาจาก เธอเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ผู้ที่หวังจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ

บ่อน้ำของโอคิคุสันนิษฐานว่าอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือ บ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่โตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า


เสียงลึกลับ (Unexplained Sound, Taos Hum)




เรื่องราวก็มีอยู่ว่าในปี ค.ศ.1977 ประชาชนของอเมริกาเกิดได้ยินเสียงประหลาดขึ้นมา ซึ่งลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงเหมือนผึ้งบินหรือแมลงที่กำลังบินอยู่ หึ่ง หึ่ง หึ่ง อะไรประมาณนี้ซึ่งว่ากันว่าถ้าไม่ใช่สถานที่ที่เงียบสงบแล้วก็จะไม่ได้ยินเสียงนี้ 

โดยเจ้าเสียงที่ว่านี้ดังติดต่อกันตลอดเวลาแต่บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบ สม่ำเสมอกัน เสียงปริศนานี้เกิดขึ้นอยู่นานครับ โดยที่ยังหาต้นตอของเสียงไม่เจอแต่อย่างใด กระทั่งได้มีการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาออกมาเรียบร้อย ก็ราว 30-80 Hz โดยประมาณครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ยินเสียงนี้ คนที่ไม่ได้ยินก็มี ที่ได้ยินก็เยอะ แต่ก็หาสาเหตุไม่พบว่าเสียงปริศนานี้เกิดจากอะไร ในช่วงเวลาขณะนั้น คนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็เสียสุขภาพจิตไปตามๆ กันครับ จะนอนก็ไม่หลับ อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เพราะทั้งสองหูได้ยินเสียงที่ว่านี้รบกวนอยู่เกือบตลอดเวลา โดนเจ้าเสียงประหลาดนี้เล่นงานเอาแทบเกือบแย่ไปตามกัน 

จนได้มีการตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุนี้เหมือนกันครับ แต่ก็คว้าน้ำเหลว เพราะหาข้อสรุปและคำอธิบายไม่ได้ว่าต้นตอของเสียงปริศนานี้นั้นมาจากไหน แต่บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ปล่อยออกมาจากโลก แต่บ้างก็ว่าเป็นเสียงจากดาวเทียมที่ส่งสัญญาณบางอย่างลงมายังโลก และข้อสันนิษฐานที่จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับพวกคอเรื่องลึกลับ ก็คือเป็นโครงการทดลองลับของรัฐบาล (อีกแล้ว) ในการสร้างเครื่องมือสื่อสารทางการทหาร 

ก็เช่นเคย ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนสำหรับเสียงปริศนานี้ ก็เลยยังเป็นเรื่องลึกลับที่หาคำอธิบายไม่ได้มาจนทุกวันนี้

รถมรณะดูดวิญญาน



เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ เจ้าชายแห่งออสเตรียเจ้าของรถคันแรกถูกยิงจนสิ้นพระชนม์พร้อมพระชายา เป็นชนวนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ว่าการรัฐยูโกสลาเวียประสบอุบัติเหตุจนเสียแขนขวาจากการเป็นเจ้าของรถมรณะต่อจากเจ้าชาย

นายแพทย์คนสนิทผู้ว่า เสียชีวิตอนาถจากอุบัติเหตุจนโดนเจ้ารถคนนี้ทับบี้อยู่ใต้ท้องรถ นักแข่งชาวสิสผู้ครอบครองคนต่อมาใช้รถมรณะเป็นรถแข่งคู่ใจ ก็สิ้นชีพดับสยองคาสนามจากอุบัติเหตุในสนาม
ถูกนำไปโชว์ในพิพิธพันฑ์แห่งชาติเกี่ยวกับความลี้ลับและน่ากลัวของรถคันนี้ ก่อนโดนถล่มด้วยระเบิดจากสรงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย

อาชีพสุดแปลกในญี่ปุ่น รับจ้างพักในห้องเช่าที่มีผี



อาชีพนี้ในญี่ปุ่นเริ่มที่จะฮอตฮิตขึ้นมาเพราะห้องพักที่ผู้รับจ้างต้องไปอยู่เป็นห้องที่เกิดคดีฆาตกรรมหรือมีคนฆ่าตัวตาย หลังตำรวจชันสูตรศพและเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย ทำความสะอาดห้องนั้นเป็นอย่างดีแล้ว ผู้รับจ้างต้องไปพักในห้องนั้นเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้จ๊ะเอ๋อะไรน่ากลัว

เจ้าของแมนชั่นหรือบริษัทนายหน้าให้เช่าบ้านจะได้เอาห้องนี้ไปปล่อยให้เช่าได้อย่างสบายใจ เนื่องจากห้องเช่าที่มีปัญหาเจ้าของเก่าตายไป ไม่ว่าจะตายปกติหรือมีอุบัติเหตุ ฆาตกรรมก็แล้วแต่ มักจะปล่อยต่อไม่ได้เพราะคนจะกลัววิญญาณ เพื่อยืนยันว่าห้องนี้ไม่เฮี้ยนและอยู่ได้ เพื่อให้เจ้าของได้พิสูจน์และสามารถปล่อยเช่าได้นั่นเอง ส่วนเรื่องรายได้ก็ล้วนแล้วแต่จะตกลงกันเองตามเหตุการณ์ความรุนแรงของห้องนั้นๆ

แต่ถ้าเจอเจ้าของห้องคนเก่ามาเยี่ยมเยือน … อันนี้เขาเรียกค่าเสียหาย ค่าทำขวัญกันอย่างไร ไม่ทราบเหมือนกัน

คดี Toi Mutsuo ฆ่าเหยื่อเสียชีวิต 30 ราย และบาดเจ็บ 3 คน



โทอิ มุทสึโอะ เด็กหนุ่มอายุ 21 ปีที่ทั้งชีวิตถูกกดดันอย่างหนักและได้รับทุกข์ทรมานจากวัณโรคที่รักษาไม่หาย เขาอาศัยในหมู่บ้านไคโอะ หมู่บ้านขนาดเล็กในหุบเขา ซึ่งส่วนหนึ่งของเมืองสึยามะในจังหวัดโอคายามะ พ่อแม่ตายตั้งแต่เด็ก ยายรับเลี้ยงดูแต่เกิดภาวะซึมเศร้าและถูกหญิงในหมู่บ้านปฏิเสธที่จะคบเป็นแฟนเพราะเขาเป็นวัณโรค

จนทำให้ความถึงขีดสุดจนก่อเหตุสังหารหมู่ขึ้น โดยในบันทึกฆ่าตัวตายของเขาบอกเป็นนัยว่าที่เขาทำเรื่องดังกล่าวเพราะความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธจากเพื่อนหญิงของเขา

ในชั่วโมงแรกของวันที่ 21 พฤษภาคม 1938 มุทสึโอะขึ้นไปในห้องใต้หลังคาแล้วเปลี่ยนชุดเตรียมออกรบ เขาใส่เสื้อคอตั้งของทหาร พันสายคาดกับหน้าแข้งทั้งสองข้าง บนหัวพันกระบอกไฟฉายขนาดเล็กสองอันไว้ราวกับเขาของปีศาจ แล้วแขวนไฟหน้าของจักรยานไว้กับตัว ที่เอวเสียบดาบญี่ปุ่นกับมีดจีนอีกสองเล่ม ในมือถือปืนบราวนิ่งขนาดยิงติดต่อกันเก้านัด เขายัดกระสุนลงในกระเป๋ากว่า 100 นัด สะพายย่ามซึ่งบรรจุดินปืนกับปลอกกระสุน และวางพินัยกรรมของตนทิ้งไว้แล้วก็พร้อมที่จะเปิดฉากการล้างแค้น

เริ่มจากใช้ขวานฆ่ายายของเขาด้วยการตัดหัวจนขาดกระเด็น จากนั้นเขาก็ตัดสายกระแสไฟหมู่บ้านให้มืดสนิท จากนั้นเขาก็เดินไปบ้านแต่ละหลัง(11หลัง)และฆ่าคนในบ้านที่เขาบุกรุกเข้าไปตายทีละคนสองคนด้วยปืนและดาบ และแล้วในที่สุด คดีฆาตกรรมซึ่งกินเวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งก็สิ้นสุดลง รวมจำนวนผู้เสียชีวิต เหยื่อเสียชีวิต 30ราย และบาดเจ็บ 3 คน 

สุดท้ายเขาก็กลับบ้านตนเองและฆ่าตัวตายด้วยการยิงตนเองด้วยปืนลูกซองที่หน้าอก

 และนี้คือคดีสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยประโยคแรกในจดหมายลาตายของเขาเขียนไว้ว่า “เมื่อคุณอ่านจดหมายฉบับนี้แสดงว่าผมคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไปนั้นทำตัดสินใจทำลงไปจริง แต่ผมก็ไม่สามารถฆ่าคนที่สมควรจะฆ่า กลับฆ่าคนที่ไม่ควรจะฆ่าเพราะเหตุการณ์พาไป”

ความเชื่อ The Living Severed Head



เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! 

เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม

เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต


หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า “ไม่ได้”(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่

ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที


แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก 


ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า ”หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”

จดหมายเรียกค่าไถ่ "The Lindbergh Baby"



“สวัสดี ! เตรียมเงินจำนวน 50,000$ ให้พร้อม เป็นใบ 20$ เป็นเงิน 1,500 ใบ ใบ 10$ เป็นเงิน 1,500 ใบ กับใบ 5$ เป็นเงิน 1,000 ใบ หลังจากนี้ 2-4 วัน เราจะบอกว่าให้ส่งเงืนที่ไหน เราขอเตือนคุณเรื่องเปิดเผยต่อสาธารณะหรือแจ้งตำรวจ เด็กได้รับการดูแลอย่างดี”

นี่คือข้อความจดหมายเรียกค่าไถ่ที่ส่งมายังชาร์ลส์ ลินด์เบิร์กนักบินเดี่ยวที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา เพื่อเรียกเงินจำนวนดังกล่าวแลกกับชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก จูเนียร์ อายุ 1 ขวบ กับอีก 8 เดือนของเขา ที่ถูกลักพาตัวไปจากเปลนอนในบ้าน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1932 


แม้ว่าลินด์เบิร์กจะเตรียมเงินเอาไว้ตามที่คนร้ายต้องการหากแต่พวกเขาก็ไม่ได้รับตัวหนูน้อยกับคืนมาแต่อย่างใด และอีก 72 วันต่อมา ก็มีการพบร่างเน่าเปื่อยของทารกในป่าบริเวณใกล้บ้านของลินด์เบิร์ก เชื่อว่าเป็นศพของเด็กชายลินด์เบิร์กที่ถูกฆาตกรรมหลังจากถูกลักพาตัว

2 ปีต่อมาก็มีการจับกุมบรูโน ริชาร์ด ฮอมป์ตแมนน์ ชาวเยอรมันที่ต้องสงสัยว่าเป็นคนลักพาตัวและทำการฆาตกรรมหนูน้อยลินด์เบิร์ก แต่กระนั้นบรูโนก็ยังให้การปฏิเสธและยืนยันว่าเขาบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามสุดท้ายด้วยกระบวนการชั้นศาล เขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิต 


เรื่องราวน่าจะจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ต่อมามีการพิสูจน์ว่าศพเด็กที่พบนั้นไม่ใช่ของเด็กชายลินด์เบิร์กตัวจริง อย่างแรกคือคำถามที่ว่าศพที่พบในป่านั้นมันเป็นของเด็กชายลินด์เบิร์กหรือเปล่า? เพราะผลจากการชันสูตรพบว่าศพของเด็กชายนั้นมีความยาวจากศีรษะถึงเท้า 33 นิ้ว แต่ตามบันทึกของครอบครัวลินด์เบิร์ก นั้นปรากฏว่ามีความยาวศีรษะถึงเท้า 29 นิ้ว ซึ่งต่างจากศพถึง 4 นิ้ว หากศพนั้นไม่ใช่ศพของเด็กชายลินด์เบิร์ก แล้วศพนั้นเป็นของใคร และตอนนี้เด็กชายลินด์เบิร์กตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?

ภาพวาดต้องคำสาป (Crying Boy)




ภาพวาด “เด็กชายร้องไห้” (Crying Boy) ของ Bruno Amadio เป็นภาพวาดยอดนิยมที่ถูกตีพิมพ์ขึ้นมาเป็นจำนวนมากในช่วงปี ค.ศ.1950 โดนเฉพาะในแถบสหราชอาณาจักร 


อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปี ค.ศ.1980 ภาพวาดนี้ก็ดึงดูดความสนใจของหนังสือพิมพ์ประเทศอังกฤษ หนังสือพิมพ์ The Sun เขียนเรื่องเกี่ยวกับนักดับเพลิงที่อ้างว่า เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่บ้านหลายหลังถูกไฟไหม้ เหลือเพียงแต่รูปภาพนี้ที่ไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย เขาถึงกับพูดด้วยว่า ไม่มีนักดับเพลิงคนไหนกล้าแขวนถาพนี้ไว้ในบ้านของตัวเอง เพราะกลัวบ้านจะถูกไฟไหม้

หนังสือพิมพ์นี้ยังจริงจังถึงขนาดไปสัมภาษณ์สมาชิกในบ้านที่ถูกไฟไหม้และมีภาพวาดนี้อยู่ในบ้านด้วย และภายในระยะเวลา 6 เดือน The Sun ก็เป็นผู้เริ่มโครงการภาพเขียนต้องคำสาปที่แนะนำให้ผู้อ่านที่มีภาพนี้อยู่ยกภาพวาดเจ้าปัญหานี้ให้คนอื่นเสีย หรือสามารถลบคำสาปได้ด้วยการแขวนภาพเด็กผู้ชายนี้ไว้ใกล้ๆ ภาพวาดเด็กผู้หญิง หรือส่งภาพมายังสำนักพิมพ์เพื่อให้เผาทำลายเสีย

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น BBC ก็ทำการตรวจสอบภาพวาดเหล่านี้และพบว่า มันถูกเคลือบเอาไว้ด้วยสารที่กันไฟต่างหาก นี่อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ภาพเขียนไม่ได้รับความเสียหายเมื่อเกิดไฟไหม้ หรือจะเป็นเพราะคำสาปมีอยู่จริงกันแน่?

ผีผู้หญิงที่ชอบโบกรถ The Vanishing Hitchhiker



เป็นหนึ่งในตำนานที่เก่าแก่ที่และฮิตที่สุดในช่วงปี 1981 ไม่เพียงแต่อเมริกาเท่านั้นยังเป็นหลายประเทศทั่วโลกด้วย? อาจจะแตกต่างไปบ้างในบางพื้นที่ แต่ส่วนหลักๆ เหมือนกัน เกี่ยวกับผีผู้หญิงที่ชอบโบกรถ 


โดยเล่ากันว่าหากคืนมีคนกำลังขับรถในถนนที่ร้างผู้คน จู่ๆ เขาจะเห็นผู้หญิงสาววัยรุ่น กำลังโบกรถอยู่ข้างทางตามลำพัง เขาจึงแวะรับเธอขึ้นรถมาด้วย และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่หญิงสาวต้องการ เมื่อเขาหันไปเพื่อบอกลาเธอ เธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับจากเบาะหลัง ด้วยความสับสน เขาเลยกดออดที่หน้าบ้านของเธอ เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว

ก็พบว่าหญิงสาวที่ว่านั้นได้รับอุบัติเหตุรถยนต์ตายก่อนหน้าแล้วที่จุดที่เขารับรพเธอในขณะที่เธอพยายามกลับบ้าน ล่ะหญิงสาวที่เขาเจอก็คือผีนั่นเอง และเรื่องเล่านี้อาจมีหลายส่วนที่เปลี่ยนไปบ้าง เช่น กลางคืนที่ว่าอาจฝนตก และตัวหญิงสาวอาจตัวเปียกปอน เขาจึงให้เธอยืมเสื้อแจ๊คเก็ตของเขาให้กับเธอและเมื่อถึงบ้านที่หมาย(บางที่ก็เป็นสุสาน) เธอกลับหายไปพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตของเขา ด้วยความข้องใจ ชายคนนั้นจึงลงจากรถไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น? ก็พบว่าเธอได้เมื่อ 10 ปีมาแล้ว 


และเมื่อวันรุ่นขึ้นเขาไปหลุมฝังศพของเธอก็พบเสื้อแจ๊คเก็ตของเขาวางพับประณีตเรียบร้อยอยู่หน้าหลุมฝังศพของเธอ

ความฝันที่กลายเป็นจริง Buried Alive




เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคนหนึ่งแต่งงานกับ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร เรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ

ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน


มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง


ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล(Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตายเธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด(Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกาย ที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก)

ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับ : ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)





เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่ เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รอง จากบอสตัน ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977 พบครั้งแรกเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977

บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่ บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่งกำลังปีนไปตาม กำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน ครั้งแรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจ เป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต


“ร่างนั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช และหยาบเหมือนกระดาษทราย ร่างนั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันเดินไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน ”


บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาที เท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อกลับที่เกิดเหตุร่างลึกลับดังกล่าวก็หายไปแล้วและเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่า เหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู แต่กระนั้น….จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ?ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกัน ในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก

ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับ ชายส้นเท้าสปริง



เรื่องราวของชายส้นเท้าสปริงเกิดขึ้นในสมัยที่อเล็กซานดรีนา วิกเตอเรีย
โดยชายส้นเท้าสปริงเริ่มออกมาอาละวาดในช่วง 1836-1986 โดยสัตว์ประหลาด (อาจเป็นคนปลอมตัว) นั้นมันมีความสามารถพิเศษคือ สามารถกระโดดสูงอย่างที่มนุษย์คนไหนสามารถกระโดดได้เหมือนกับว่าร้องเท้าของมันติดสปริงด้วย


นอกจากนั้นรูปร่างของมันก็ไม่เหมือนกับคน ซึ่งพยานคนหนึ่งได้เคยเผชิญหน้ากับมันและบรรยายอย่างน่าขนลุกว่า “รูปร่างของมันสูงและผอม หน้าของมันเหมือนภูตผีปีศาจ ที่มือของมันมีอุ้มเล็บยาว ตาเหมือนลูกบอลสีแดงที่ลุกเป็นไฟ ใส่หมวก กางเกงมีสีขาว สวมเสื้อคลุมสีดำชอบปรากฏตัวจะกางผ้าคลุมทำให้เวลาดูราวมันเป็นมนุษย์ค้างคาวยังไงอย่างงั้น”


นอกจากนั้นยังมีรายงานเวอร์ๆ ออกมาเป็นระลอกที่ส่งเสริมให้ชายส้นเท้าสปริงกลายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าไปใหญ่ เช่น ลมหายใจออกสีน้ำเงินมีฟันแหลมคล้ายแวมไพร์ หูและจมูกแหลม สามารถพ่นเปลวไฟสีขาวออกจากปากได้


มีทฤษฎี,ข้อสันนิษฐานจำนวนมากที่นำอธิบายฆาตกรเหนือธรรมชาติรายนี้ เช่นมันอาจเป็นลิงที่หลุดจากละครสัตว์ นักแสดงชายชราโรคจิต นักมายากล หรือสัตว์ลึกลับ นอกจากนี้บางคดีก็มีคนมาลอกเลียนแบบชายส้นเท้าสปริงอีก แต่สุดท้ายคดีนี้ก็เป็นปริศนาตลอดกาล และกลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา โดยชื่อของมันปรากฏอยู่ในนิทาน, นวนิยาย หนัง ชายส้นเท้าสปริงปรากฏในฐานะฮีโร่ปราบปรามผู้ร้าย

The Shock : ลิฟท์เขียว - คุณโตะ



เรื่องเล่าโดยคุณโตะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่คอนโดแห่งหนึ่งแถวลาดกระบัง ซึ่งโตะนั้นทำงานเป็นพนักงานส่งอาหาร delivery ของที่ที่นึง วันนั้นโตะก็ได้ทำงานแล้วเข้ากะกลางคืน และตอนตี 3 โตะก็ได้รับออเดอร์ไปส่งอาหารให้ลูกค้าที่คอนโดแห่งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ โตะนั้นเคยมาส่งอาหารที่นี่แล้ว 2-3 รอบ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปในตึก ลูกค้าจะลงมารับอาหารเอง แต่ว่ารอบนี้พอโตะมาถึงหน้าคอนโด ก็โทรให้ลูกค้าลงมารับอาหาร แต่ว่าลูกค้าบอกว่า ขาเจ็บลงไปไม่ได้ น้องขึ้นมาส่งได้มั๊ย โตะก็ตอบกลับไปว่า ผมเข้าคอนโดไม่ได้ ไม่มีคีย์การ์ดครับ ลูกค้าก็บอกว่า ให้บอกลุงยามที่อยู่ข้างล่างว่า มาส่งของที่ห้องนี้ๆ ชั้น 6 นะ 

โตะก็เดินไปที่หน้าประตูเดินไปหาลุงยาม แต่ว่าลุงยามไม่อยู่ตรงนั้นและประตูก็เปิดอยู่ด้วย โตะก็เลยบอกกับลูกค้าว่า ถ้ามีอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น รบกวนพี่ช่วยเป็นพยานให้ผมด้วยนะ แล้วโตะก็วางสายและเดินเข้าไปในตัวคอนโดพอเดินเข้ามาก็จะเจอลิฟท์ โตะก็กดลิฟท์เข้าไป กดที่ชั้น 6 แล้วลิฟท์ก็มาหยุดที่ชั้น 2 ก็มียายแก่ๆ เดินเข้าลิฟท์มา แล้วก็ยืนอยู่ตรงกลางลิฟท์ และตาของยายจะมองตรงไปที่ประตูลิฟท์อย่างเดียว ยายคนนี้อายุประมาณ 70-80 ใส่ผ้าถุง ใส่เสื้อลายดอก โตะก็ถามว่าไปชั้นไหนครับ แต่ยายไม่ตอบ โตะก็ไม่ได้สนใจอะไร และระหว่างที่ลิฟท์กำลังขึ้นนั้น ยายก็พูดคำๆนึงออกมาว่า กูร้อน กูร้อน โตะก็ถามว่ายายเป็นอะไร แต่ยายก็เงียบ ไม่ตอบอะไร พอถึงชั้น 6 โตะก็เดินออกจากลิฟท์

และเดินไปหาที่ห้องลูกค้า ลูกค้าก็ถามว่า ทำไมน้องขึ้นมาไวจัง โตะก็บอกว่า ผมขึ้นลิฟท์มาครับ พอลูกค้าได้ยิน ก็ทำหน้าตาเหวอหวา แต่โตะก็ไม่ได้สนใจก็เอาอาหารให้ลูกค้า และเก็บเงินตามปกติ และก่อนที่โตะจะกลับ ลูกค้าก็บอกกับโตะว่า น้องๆ ขากลับลงบันไดนะ ไม่ต้องลงลิฟท์ โตะก็ตอบครับๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และด้วยความที่กระเป๋าก็หนัก จะเดินก็เหนื่อย โตะก็เลือกที่จะลงลิฟท์เหมือนเดิม

พอโตะกดลิฟท์ ลิฟท์ก็ขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่ชั้น 1 จนมาถึงชั้น 6 พอลิฟท์เปิด โตะก็เห็นคุณยายคนเดิมยืนอยู่กลางลิฟท์ ท่าเดิมเหมือนตอนที่โตะขึ้นมา โตะก็เลยถามยายไปว่า ยายทำไมยังอยู่ในลิฟท์อีกหละครับ ยายจะไปไหน ยายบอกผมเดี๋ยวผมไปส่งให้ แต่ยายก็ไม่พูดไม่ตอบเหมือนเดิม โตะก็เข้าลิฟท์ และกดชั้น 1 ปกติ และอยู่ดีๆ ยายแกก็พูดว่า กูร้อน กูร้อนมาก โตะก็พยายามถามยายว่าจะลงชั้นไหน แต่เหมือนยายจะอารมณ์ไม่ค่อยดี  และพูดอีกว่า มีของดีหนิ ณ ตอนนั้นโตะก็เริ่มรู้สึกแปลก เลยเอาหลังติดผนังลิฟท์ไว้และก็เอากระเป๋าขั้นกลางระหว่างตัวโตะกับยาย พอลิฟท์ลงมาถึงชั้น 1 โตะก็รีบวิ่งออกมา แต่ลุงยามที่อยู่แถวๆนั้นก็ตะโกนมาทางโตะเหมือนว่าโตะนั้นเป็นขโมยและลุงยามก็เข้ามาจับแขนโตะและถามว่า


และโตะก็ชี้ไปทางลิฟท์สีเขียวตัวนั้น แต่ว่าพอหันกลับไปก็ไม่เจอลิฟท์แล้ว แต่โตะก็ยังยืนยันว่า สาบานให้ตาย หรือว่า ขับรถออกไปให้รถชนเลยก็ได้ ว่าผมขึ้นลิฟท์ไปจริงๆ ลุงยามก็บอกโตะว่าเชื่อแล้วๆ ว่ามาส่งของจริงๆโตะก็เล่าต่ออีกว่า ไปเจอยายแก่ๆ คนนึง ผมยังว่าแกบ้าอยู่เลย อยู่ในลิฟท์ขึ้นๆลงๆ และลุงยามก็ให้โตะสงบสติอารมณ์ก่อน และบอกว่า นั่งเฉยๆ แปปนึง แล้วก็ไปหยิบน้ำมาให้โตะกิน

ผ่านไปซัก 5 นาที ลุงยามก็บอกโตะว่าดูนะ แล้วยามก็เคาะผนัง ก๊อกๆๆ โตะก็ถามว่า อะไรอะลุง ลุงยามก็บอกว่า นี่ไงลิฟท์ที่บอก เขาเอาออกไป 7- 8 ปีแล้ว แล้วเขาก็เอาไม้อัดมาปิดไว้ทุกชั้นแล้วก็ทาสีขาว ให้เป็นสีเดียวกับกำแพง เหมือนว่าตรงนี้ไม่มีลิฟท์ แต่โตะก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ขึ้นลิฟท์จากตรงนี้ไปจริงๆ ลุงยามก็บอกว่า เออ พูดกูก็เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้มีลิฟท์เขียวอยู่ตรงนี้จริงๆ โตะก็เลยถามว่า


สุดท้ายลุงยามก็ขอกับโตะไว้ว่า หนุ่มลุงขอได้มั๊ย ว่าอย่าไปเล่ากับคนอื่นได้มั๊ญว่าตึกนี้มีอะไร แต่โตะก็ขออนุญาตกับลุงยามว่านำเรื่องนี้ไปเล่าได้มั๊ย แต่ไม่บอกว่าเป็นคอนโดไหน ลุงยามแกก็บอกว่าได้ และก็บอกกับโตะอีกว่า คิดซะว่ายายแกมาขอส่วนบุญละกัน ก็ไปทำบุญให้เขาซะ โตะก็บอกว่า เดี๋ยวไปทำบุญให้ และที่ยายแกพูดในลิฟท์ว่า มีของดีหนิ โตะก็อธิบายว่า วันนั้นในตัวของโตะนั้นแขวน พญาครุฑ ที่คุณพ่อให้ไว้ รวมถึงหลวงปู่ทวด ที่น้าให้มา และสิ่งๆนึงที่โตะหวงมากก็คือ ตอนนั้น โตะไปเป็นทหารอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วเจอหลวงพ่อธุดงค์ โตะก็รีบวิ่งไปหา แล้วก็พูดว่า หลวงพ่อๆ ผมเป็นทหารอยากได้ของดี หลวงพ่อให้อะไรผมหน่อยได้มั๊ย ให้แคล้วคลาดหนังเหนียว หรืออะไรก็ได้ หลวงพ่อก็เลยให้ตะกรุดมาอันนึง แล้วก็ฉีกจีวรของแก พันกับตะกรุดนี้ให้แล้วก็บอกว่า เก็บสิ่งนี้ไว้กับตัวให้ดี มันจะทำให้ท่านรอดพ้นจากภัยอันตรายทุกอย่าง และโตะก็เก็บไว้จนถึงตอนนี้ สุดท้ายโตะก็ยังงงอยู่เลยว่าตัวเองนั้นขึ้นลิฟท์ไปได้ยังไง

และถ้ามีออเดอร์ให้มาส่งที่คอนโดแห่งนี้มา ยังไงโตะก็ไม่ไปส่งแล้ว

เวรหลอน : คุณฟ้า



เรื่องเล่าโดยคุณฟ้า

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ฟ้าเป็นพยายาลฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนึง แล้ววันนั้น เพื่อนฟ้าไม่สบาย ฟ้าก็เลยต้องเข้าเวรแทนเพื่อน โดยส่วนตัวฟ้านั้นจะอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน แต่วันนั้นฟ้าต้องไปอยู่ที่ แผนก อายุรกรรมชาย ซึ่งเป็นชั้น 2 ของโรงพยายาล

ในคืนนั้นเวลา 5 ทุ่มครึ่ง ฟ้าก็เข้ามารอ เพราะตอนเที่ยงคืนก็จะส่งเวรต่อให้ฟ้า แล้ววันนั้นก็มีอุบัติเหตุใหญ่ พี่ที่เป็นหัวหน้าพยายาลจะลงไปช่วยที่ฉุกเฉินข้างล่าง ณ ตรงนั้นก็จะเหลือแค่ ฟ้า แค่คนเดียว ฟ้าก็กลัวก็เลยบอกให้เพื่อนอีกคนนึงที่เข้าเวรอยู่ชั้น 3 ลงมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพี่หัวหน้าจะกลับมา แล้วก็ถึงเวลาที่ฟ้าจะต้องไปวัดความดันคนไข้ แต่พี่หัวหน้าพยาบาลก็ยังไม่ขึ้นมา ฟ้าก็ชวนเพื่อนไป โดยเริ่มต้นที่ชั้น 2 ก่อน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยจะไปต่อกันที่ชั้น 3 ในระหว่างทางที่จะไปชั้น 3 ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึงอายุประมาณ 13 นั่งอยู่มีผ้าพันศีรษะอยู่ตรงบันได ฟ้าก็ตกใจ แต่เพื่อนของฟ้าก็บอกฟ้าว่า ไม่ต้องตกใจ ฉันก็เห็น ก็เข้าใจตรงกันว่าคน ก็เลยเดินเข้าไปหาน้องคนนั้น ลักษณะของน้องผู้ชาย ก็เป็นคนปกติ



หลังจากนั้น แจงก็ขึ้นไปวัดความดัน ส่วนฟ้าอยู่ที่ เคาท์เตอร์ เพื่อที่จะเอาแฟ้มเอกสาร ไม่เกิน 20 นาที แจงก็ออกมา ก็เลยจะลงไปชั้น 2 แวะดูน้องด้วย แต่พอเดินลงมาน้องก็ไม่อยู่แล้ว และฟ้าก็ทักเพื่อนไปว่า แกยังไม่ได้วัดความดันน้องเลยนะ แจงก็บอกไม่เป็นไร เหลือแค่ห้องเดียว เดี๋ยวพอส่งเวร ค่อยขึ้นมาวัดความดันก็ได้ แล้วก็ลงมารอพี่ๆข้างล่าง

ในระหว่างที่รอ ก็เริ่มไล่ๆดูแฟ้มประวัติว่าคนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง ระหว่างนั้นฟ้าก็เห็นเสียงเหมือนรถเข็นมาจากทางบันได ฟ้าก็เลยมองไปทางเสียงนั้น และฟ้าก็ถามแจงว่า ทำไมมีการย้ายคนไข้หรอ และได้ยินเสียงรถเข็นมั๊ย แจงก็บอกว่าได้ยินๆ แปปนึง เพราะว่ากำลังหาชื่อน้องผู้ชายคนนั้นอยู่ พอเจอชื่อวันเฉลิม แจงก็สงสัยว่าทำไมวันเฉลิมถึงเป็นสัญลักษณ์สีแดง ซึ่งตอนนั้นฟ้า ไม่ได้สนใจในสิ่งที่แจงพูด เพราะมัวแต่สนใจเสียงรถเข็นที่เข็นมาอยู่ว่าเป็นใคร และฟ้าก็ชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นว่าเป็นน้องวันเฉลิม 

ลักษณะที่เขาเดินมา คือเห็นน้องเขาลงมาจากบันไดแล้วเลี้ยวมาตรงทางเดินมาที่เคาท์เตอร์แล้ว   แล้วน้องก็เรียกฟ้าว่า พี่ครับๆ ฟ้าก็ถามแจงว่าเห็นมั๊ย แจงก็บอกว่าเห็น แต่ไม่ใช่คน ซึ่งตอนนั้นแจงนั้นน้ำตาไหลแล้ว แล้วถ้าฟ้าและแจงจะลงจากตึกก็ต้องเดินผ่านน้องเพื่อไปที่บันได ซึ่ง ณ เวลานั้นมันอยู่ไม่ได้แล้ว ฟ้าก็หันหน้าไปที่ระเบียง ฟ้าก็เลยดึงแจงไปตรงระเบียง พอฟ้าไปถึงระเบียง น้องก็มาถึงตรงเคาท์เตอร์ละ และก็ก้มหน้าลงมาที่ช่อง แล้วก็พูดว่า พี่ครับเห็นแม่ผมมั๊ยครับ ฟ้าก็เลยถามแจงว่าจะอยู่หรอ แจงก็ถามว่า ไม่อยู่แล้วจะไปทางไหน ฟ้าก็เลยบอกว่า ต้องโดดระเบียง แจงก็บอกว่า ไม่ โดดไม่ได้ โดดลงไปขาแข้งหักเลยนะ ฟ้าก็บอกต่อว่า เออ งั้นก็อยู่ให้น้องมาคุยกับแกละกัน และฟ้าก็โดดลงจากชั้น 2 ลงมาเลย ซึ่งข้างล่างจะเป็นสวนหย่อม และแจงก็โดดตามลงมา ตอนนั้นฟ้าข้อเท้าหัก ส่วนแจงแขนหัก คนที่อยู่ข้างล่างก็ตกใจตะโกนกันว่าพยาบาลโดดตึก ฟ้าก็ได้แต่เงียบแล้วก็มองขึ้นไปที่ระเบียง ก็เห็นน้องอยู่ตรงระเบียงแล้วก็มองลงมา แล้วพี่ๆเขาก็พาเราไปปฐมพยาบาลที่แผนกฉุกเฉิน และด้วยวันนั้นที่แผนกฉุกเฉินคนเยอะมาก ทั้งผู้ป่วยทั้งญาติ เสียงก็ดังมาก ฟ้าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนตรงนั้นฟัง ด้วยเสียงที่มันดัง ฟ้าก็รู้ตามจรรยาบรรณว่าไม่ควรเป็นแบบนั้น แต่ ณ เวลานั้น ฟ้าคุมสติไม่ได้แล้ว หลังจากที่ปฐมพยาบาลเสร็จ ฟ้าก็ไปอยู่ที่ห้องพักเวร ก็มีสายจากท่าน ผอ.  ว่าพรุ่งนี้ 8 โมงเช้าให้เข้าพบ ฟ้าก็ทำใจแล้วแหละ ว่าอาจจะไม่จบ


พอตอนเช้า ฟ้าและแจงก็เข้าพบท่าน ผอ. ท่านก็เรียกฟ้าไปสอบถาม ซึ่งตามทางหลักวิทยาศาสตร์ เขาไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วท่านก็เอาหุ่นที่เป็นกระดูกมาชี้ และถามฟ้าว่าส่วนนี้เรียกว่าอะไร ส่วนนั้นเรียกว่าอะไร และฟ้าก็ตอบได้หมด จนมาถึงคำถามสุดท้าย เขาถามว่าแล้ววิญญาณอยู่ตรงไหน ฟ้าและเพื่อนก็ตอบไม่ได้ ท่าน ผอ.เลยให้ฟ้าและเพื่อนไปนั่งคิด โดยการให้ไปเฝ้าเวรหน้าห้องดับจิต 7 วัน เข้าเวรตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึง 8 โมงเช้า ณ เวลานั้นฟ้าและแจนไม่ได้กลัวอะไรเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าข้างไหนนั้นคือศพ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาคำตอบที่ไหนมาตอบ ว่าวิญญาณมันอยู่ตรงไหน ท่าน ผอ.ก็บอกอีกว่าเป็นพยาบาลควรมีจรรยาบรรณมากกว่านี้ ควรมีสติมากกว่านี้

พอเสร็จจากห้อง ผอ. ฟ้าก็เดินลงมาเอาของที่ชั้นที่เกิดเหตุ พอลงมาถึง ฟ้าก็เห็นว่ามีคนจับกลุ่มกันอยู่ ฟ้าก็คิดว่าต้องมีคนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแหละ พอฟ้าไปถึงหน้าเคาท์เตอร์ก็บอกว่า พี่ค่ะ หนูขอของหน่อยค่ะ ในระหว่างที่รอพี่เขาไปหยิบของมาให้ ฟ้าก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนึงยืนร้องไห้อยู่ และพยายามเรียกพยาบาลที่อยู่ตรงนั้นคุย แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครที่จะคุย เหมือนกับแค่ว่าตอบผ่านๆแล้วก็เดินไป เขาก็เลยถามว่า พยาบาลที่ชื่อฟ้าอยู่ไหน ฟ้าก็เลยเดินไปหา แล้วก็บอกว่า หนูฟ้าเองค่ะ เขาก็เลยบอกว่า เขาเป็นแม่ของวันเฉลิมนะ แล้วเขาก็ร้องไห้แล้วก็จับมือฟ้า

แม่น้องก็เล่าว่า ในคืนนั้นช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก่อนที่ฟ้าจะมาเตรียมรับเวร ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณหมอได้แจ้งกับคุณแม่ไว้แล้วว่า น้องไม่มีอาการตอบสนองต่อยา นั่นก็คือร่างกายน้องไม่ไหวแล้ว ให้คุณแม่ทำใจ ในช่วงที่หมอบอกให้ทำใจ แม่ก็อยู่กับน้องมาตลอด น้องสู้มาเกือบๆ 2 เดือน ถอดเครื่องมือออกหมด อยากให้น้องหลับให้สบาย พอประมาณ 2 ทุ่มน้องเขาได้สติ และขอน้ำดื่ม แม่ก็เอาน้ำให้ดื่ม ซึ่งก่อนหน้านี้หมอบอกว่าถ้าน้องต้องการอะไร ให้ได้ก็ได้  แม่ก็แจ้งพยาบาลว่าน้องต้องการน้ำดื่ม และพยาบาลก็ไปแจ้งหมอต่อ หมอก็เลยบอกกับคุณแม่ว่า มันจะเป็นเหมือนเฮือกสุดท้ายจะมีอาการดีขึ้น และถ้าน้องได้หลับ น้องก็จะไปอย่างสงบ

พอคุณแม่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มทำใจไม่ได้ ณ ตอนนั้นความดันน้องเริ่มต่ำละ และก็จับมือแม่ไว้ตลอด คุณแม่ก็บอกกับฟ้าอีกว่า คุณแม่เลิกกับพ่อไปนานแล้ว ตลอดเวลารักษา คุณแม่ก็อยู่ข้างๆน้องตลอด และน้องก็จะบอกกับคุณแม่ตลอดตั้งแต่ก่อนผ่าตัดแล้วว่า น้องจะเป็นอะไรไม่ได้ คุณแม่ไม่มีใคร มีแค่เค้าคนเดียว และในตอนนั้นน้องก็หันมาเห็นคุณแม่ร้องไห้ น้องก็ถามว่าแม่ร้องไห้ทำไม ไหนแม่บอกว่าพรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกันแล้วไง เนี่ยหนูดีขึ้นแล้วนะ หนูกินน้ำได้แล้ว คุณแม่ก็ยิ่งร้องเข้าไปใหญ่ ณ เวลานั้นก็มีน้า มีญาติๆมาอยู่เป็นเพื่อน น้องก็เลยบอกให้แม่ไปล้างหน้าสิ คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรลูก หลังจากนั้นอาการน้องเริ่มไม่ดี คุณแม่ก็ทำใจไม่ได้

และบอกน้องว่าเดี๋ยวแม่จะไปเข้าห้องน้ำนะ น้องก็ถามแม่ว่าแม่จะไปเข้าที่ไหน ที่นี่ก็มีห้องน้ำนะ คุณแม่ก็เลยบอกว่าห้องน้ำมันเสียลูก แม่จะลงไปเข้าห้องน้ำตรงเนี๊ย ใกล้ๆ แปปเดียวเดี๋ยวแม่มา น้องก็บอกคุณแม่ว่า เขาจะรอ และพอคุณแม่เดินพ้นประตูออกไปน้องก็หลับตาและเสียชีวิตเลย ฟ้าก็เลยเข้าใจว่าเพราะเหตุนี้นี่เอง ฟ้าก็เลยบอกเขาว่า คือเขากำลังจะรับศพกลับบ้าน ก็ให้คุณแม่บอกเขานะ ว่าคุณแม่ไม่ได้ไปไหน เพราะไม่อย่างนั้นน้องก็จะอยู่แบบนี้

และคุณแม่ก็ทำพิธีตามศาสนา ซึ่งฟ้าก็ไปงานศพของน้องทุกคืน

The Shock เรื่อง เจ้าที่แรง - คุณแชมป์



เรื่องเล่าโดยคุณแชมป์

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี แชมป์ทำงานเป็นเซลล์ที่จะต้องทำงานออกต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ จนมีอยู่งานนึงที่จะต้องไปภาคอีสานเป็นเวลา 5 วัน ใน 4 วันแรกก็จะเป็นจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน และมาปิดท้ายที่จังหวัดอุดรในวันที่ 5 และใน 4 วันแรกก็ได้เช่าหอพักอยู่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์เป็นปกติทุกอย่าง พอถึงวันสุดท้าย แชมป์ก็ไปถึงอุดรตอนค่ำๆ แชมป์ก็เริ่มหาที่พักซึ่งถ้าพักในแถวๆ ตัวเมืองราคาก็จะค่อนข้างแพง แชมป์ก็เลยแวะไปหาไรกินก่อน แล้วก็ถามป้าที่ขายข้าวว่า แถวนี้มีห้องราคาถูกๆมั๊ย ป้าก็บอกว่า มีๆ คืนละ 500 เดินเข้าไปตรงไปเลี้ยวซ๊ายแล้วก็เจอเลย แชมป์ก็ตัดสินที่ที่จะไปพักที่หอนี้

พอไปถึงที่พัก บริเวณรอบนอกก็ไม่ได้หรูหราอะไร คุณภาพประมาณ 3 ดาว แชมป์ก็ทำการจองแล้วที่ด้านล่างเคาท์เตอร์  แล้วก็เอาของขึ้นไปเก็บที่ห้อง ห้องที่ได้จะเป็นห้องพัดลม ห้องกว้าง และส่วนตัวแชมป์เป็นคนขี้ร้อนก็เลยเปิดหน้าต่างออกหมดทุกบาน พอเก็บของเสร็จแชมป์ก็กะว่าจะออกไปหาซื้อขนมมาไว้กินในตอนดึกๆ พอออกจากห้องก็ไปเจอน้องผู้หญิงคนนึงที่อยู่ห้องข้างๆกัน มาคุยกับแชมป์ว่า
"พี่คะ รบกวนห้องพี่เบาเสียงหน่อยได้มั๊ยคะ เหมือนมีคนทำอะไรอยู่ไม่รู้อ่ะ เสียงดังมากเลย"
แชมป์ก็งงแล้วก็บอกน้องกลับไปว่า "น้องครับ พี่มาคนเดียวครับ"
น้องก็ตอบกลับว่า "อ้าว หรอคะ สงสัยหนูคงฟังผิดห้อง ขอโทษด้วยค่ะ"

แชมป์ก็สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นเสียงอะไร หรือว่าจะเป็นเสียงของห้องถัดไปหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

พอกำลังจะลงบันไดไปข้างล่าง ก็เห็นมีเด็กน้อยกำลังเล่นโยนลูกบอลกันอยู่ และลูกบอลนั้นก็ตรงลงมาตรงที่พักบันได ตรงที่แชมป์ยืนอยู่ แชมป์ก็เก็บบอลให้แล้วก็ส่งบอลคืนน้องเขาไป แต่พอแชมป์เดินลงบันไดไปก็สังเกตเห็นแม่บ้านมองแชมป์แปลกๆ ในใจก็คิดว่า มองอะไรอ่ะ หรือว่าเราไปทำอะไรไม่ถูกใจแกหรือเปล่า และก่อนที่จะออกไปซื้อขนม แชมป์ก็ไปบอกพนักงานว่า พัดลมเสียขึ้นมาเปลี่ยนให้หน่อย แล้วแชมป์ก็ออกไปซื้อขนม

เมื่อกลับมา เดินไปถึงหน้าห้อง ก็เห็นพนักงานคนนี้หิ้วพัดลมลงมาแล้วบอกกับแชมป์ว่า "ผมเปลี่ยนพัดลมให้แล้วนะครับ"
"อ๋อ ขอบคุณครับ" แชมป์ตอบ แล้วพนักงานก็บอกกับแชมป์อีกว่า " พี่ครับ เมื่อกี๋มีเพื่อนพี่มารอบอยู่หน้าห้องอ่ะครับ" แชมป์ก็ถามกลับไปว่า "เพื่อนผม?"
พนักงานก็บอกว่า "ครับพี่เป็นผู้ชายตัวสูงๆ ผมถามอะไรเขา เขาก็ไม่ตอบซักคำ"
แชมป์ก็บอกกลับไปว่า "เดี๋ยวนะครับ ผมมาคนเดียวครับ"
พนักงานก็เล่าต่ออีกว่า "ก็เมื่อกี๋มีผู้ชายมารอพี่ ที่หน้าห้องอ่ะครับ ผมถามว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าของห้องนี้หรือเปล่า เขาก็ไม่ตอบอะไรซักคำ"
แต่แชมป์ก็ยังยืนยันว่า "ผมมาคนเดียวจริงๆครับ ไม่ได้มีเพื่อนมาด้วย "
พนักงานก็ตอบ " อ๋อ ครับๆๆ สงสัยเขาคงจะเข้าห้องผิดหรือเปล่า แล้วก็เดินออกไป "

แชมป์ก็เริ่มคิดแล้วว่า ทำไมต้องเจอ 2 รอบติดกันเลยวะเนี่ย ในใจลึกๆคิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ รู้สึกหวั่นๆ นิดหน่อย แล้วก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ตอนนั้นขนมที่ซื้อมาเต็มถุง แชมป์ก็ไม่เกินเลย และเข้าไปอาบน้ำทันที ในจังหวะที่แชมป์สระผมนั้น มือของแชมป์นั้นก็สระผมอยู่ที่บริเวณกลางหัว แต่ว่าเหมือนมีมือมากระตุกผมของแชมป์อยู่แถวๆหลังท้ายทอย พอโดนกระตุก แชมป์ก็หันกลับไปดู ก็ไม่เจอใคร ตอนนั้นก็คิดว่าใครมาแกล้งหรือว่าเป็นขโมยหรือเปล่า แต่พอไปดูตรงหน้าต่างปรากฏว่าตรงนั้นไม่มีระเบียง แชมป์ก็รีบกลับไปล้างหัว ล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า นอนเลย ซึ่งปกติแชมป์นั้นจะเป็นคนนอนดึก แต่วันนั้นเลือกที่จะนอน 2 ทุ่ม เพราะคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่จะไม่ต้องคิดอะไรถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นที่ห้องพักแห่งนี้ แชมป์ก็ไปล็อคห้อง ปิดไฟ แต่ว่าก็เปิดพัดลม เปิดหน้าต่าง และก็เข้านอน

แต่ด้วยความที่แชมป์นั้นเป็นคนนอนดึก แต่วันนี้นอนเร็ว ก็นอนไม่ค่อยจะหลับ พลิกตัวไปพลิกตัวมา พอกำลังเคลิ้มๆจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนดันคีย์การ์ดที่เสียบไว้เคาะกับกำแพง แก็กๆๆๆ แชมป์ก็ตื่นแล้วก็คิดในใจว่าเห้ย อะไรวะเนี่ย

พอลืมตาขึ้นมาและชะโงกหน้าไปดู ก็เห็นคีย์การ์ดเสียบอยู่ที่เดิม ก็เลยนอนต่อไป แต่พอนอนได้ซัก 2-3 ชั่วโมง ก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่ามีคนเดินอยู่ในห้อง ซึ่งแชมป์ได้ยินเสียงฝีเท้าชัดเจนมาก เดินไปเดินมาไปกลับจากหน้าประตูห้อง ไปกลับ หน้าต่างอยู่แบบนี้ ตอนนั้นแชมป์ก็คิดว่าคงโดนแล้วแหละ แล้วก็ภาวนาในใจว่า ถ้าทำอะไรผิดไป หรือทำอะไรให้ไม่ชอบก็ขออภัยด้วย และเสียงเดินนั้นก็เงียบไป ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว ก็ทิ้งตัวลงนอนต่อ

ในช่วงดึกๆ ฝนตกหนักมาก แชมป์ก็ลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง พอปิดหน้าต่างเสร็จก็ปิดผ้าม่านต่อ และสิ่งที่แชมป์เห็นตรงหน้านั้นก็คือ เป็นเงา เหมือนคนผูกคอห้อยลงมาอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ซึ่งปลายเท้านั้นลงมาอยู่ตรงหน้าแชมป์พอดีเป๊ะเลย แชมป์ก็ ผงะ แล้วก็หงายหลังลงไป พยายามคุมสติไม่ร้องโวยวาย แล้วก็นั่งไหว้และสวดมน พอเริ่มตั้งนะโมได้ 3 จบ เงาที่อยู่ข้างนอกนั้นหายไปแล้ว แต่ว่าเงามาอยู่ด้านในแทน แชมป์เห็นก็รีบวิ่งออกจากห้อง ไปที่ front ด้านล่าง

จนมีลงท่านนึงมาเห็นแล้วก็ถามว่า "ไอ้หนู เป็นไร" แต่แชมป์นั้นไม่กล้าพูดว่าเป็นอะไร แต่เหมือนว่าลุงเขาก็น่าจะรู้ว่าเจออะไรมา แล้วก็บอกกับแชมป์ว่า "เดี๋ยวลงไปซื้อพวกมาลัย ซื้อธูปมาให้ไหว้เจ้าที่ตรงนั้น" และลุงก็ถามต่อว่า "ไม่ได้ไหว้เจ้าที่ใช่มั๊ย"

แชมป์ก็ตอบกลับไปว่า "ก็ไม่รู้ครับ ว่าต้องไหว้เจ้าที่ก่อน"
ลุงก็แนะนำต่อว่า  "คราวหน้าคราวหลังถ้าจะมาพักที่นี่ต้องจุดธูปไหว้เจ้าที่ก่อน เพราะเจ้าที่ที่นี่นั้นแรงมาก"
แชมป์ก็ถามลุงว่า "ที่นี่มีเหตุการณ์ฆาตกรรมหรือผูกคอตายอะไรหรือเปล่าครับ"
ลุงแกก็ตอบกลับมาว่า "ที่นี่ไม่มีหรอกลูก แต่ว่าที่นี่เจ้าที่เขาแรงจริงๆ คนที่มาพักที่นี่แล้วไม่ได้ไหว้ เจอทุกคน แต่เขาจะมาแบบไหน อยู่ที่เราทำหนะ"
แชมป์ก็ถามว่า "ต้องมีเคสที่หนักกว่านี้หนะสิ"

ลุงก็เล่าให้แชมป์ฟังว่า เป็นลูกชายแกนั่นแหละวันนั้นลูกชายแกเมากลับมา พูดจาโวยวาย แล้วก็เข้ามาในห้องนอน พอปิดประตูปุ๊ป ไฟก็ดับ แล้วตัวลูกชายก็กระเด็นเหมือนโดนคนถีบจากด้านหลัง ลูกชายแกก็เห็นกลบไปด่าว่า อะไรวะ ใครวะ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีลมพุ่งมาหาที่ตัวลูกชายปรากฎเป็นร่างผู้ชายตัวใหญ่ๆ ตาแดงกล่ำ 

แล้วลุงก็บอกต่อว่า ถ้ามาคราวหลังก็ไหว้เจ้าที่ซะก่อน พอแชมป์ว่ายเสร็จ ก็กลับขึ้นไปนอนเป็นปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนตี 5 ครึ่งแชมป์ก็ตื่นเก็บข้าวเก็บของลงมาเลย แล้วก็ไปบังเอิญเจอแม่บ้านคนนั้นแชมป์ก็เลยถามป้าว่า ป้าครับผมถามป้าไรอย่างจะโกรธผมมั๊ย ป้าแกก็ตอบว่า หนูจะถามอะไรป้าลูก แชมป์ก็ถามว่า ถามจริงเมื่อคืนป้าสงสัยอะไรผมหรอครับ ป้าบอกว่า ที่ป้ามองแปลกๆ ป้าจะถามว่า แกทำอะไรตรงที่พักบันได แชมป์ก็บอกว่า เก็บบอลให้เด็กไงครับ ป้าก็บอกว่า ป้าไม่เห็นเด็กเลยนะ ลูกบอลก็ไม่มี แชมป์ก็บอกว่าป้าว่า ป้าอย่าล้อเล่น ป้าก็ตอบกลับมาว่า ป้าไม่ได้ล้อเล่น ไม่เชื่อถามลูกสาวป้าก็ได้ ตอนนั้นลูกสาวป้านั่งอยู่หน้าเคาท์เตอร์ มันก็ยังงงอยู่เลยว่าพี่เขาทำอะไรสุดท้ายแชมป์ก็เช็คเอาท์ออกไป ก็เลยไปเล่าให้น้องที่รู้จักฟัง น้องมันก็บอกว่า พี่ไปพักที่นั่นได้ไงพี่ เจ้าที่ที่นั้นเขาแรงจะตาย

พี่รู้มั๊ย อดีตตรงนั้นเป็นป่าช้าเก่านะ
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .