เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยคุณเบลส์เรียนอยู่ชั้น ป.5 โดยคุณเบลส์เล่าว่า
ช่วงนั้นพ่อแม่ผมทำงานที่จังหวัดพะเยา เป็นผู้จัดการร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ต์ที่นั่น พ่อแม่ผมตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่แถวหน้าวัดชื่อดังของจังหวัด สมัยนั้นยังไม่ค่อยเจริญมากนัก ไม่มีตึกสูงใหญ่ บ้านที่เช่าอยู่จะเป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ รอบๆ นั้น จะมีบ้านแบบเดียวกันอีก รวมเป็น 5 หลัง บ้านพ่อแม่ผมเป็นหลังในสุด จึงโดน 4 หลังนั้นบดบังแสงแดดและทัศนียภาพหมด
ชั้นบนที่เป็นไม้ ค่อนข้างมืดมีกลิ่นอับๆ กลิ่นไม้เก่าๆ ค่อนข้างหลอนเลยทีเดียวครับ จำได้ว่าวันแรกที่เข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น เป็นบ้านเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย พวกเราเลยไปหาซื้อของใช้กันในเมือง พ่อผมก็ไปสะดุดตาเข้ากับเตียงหลังหนึ่ง เป็นเตียงไม้มือ 2 สภาพดี ดูสวยเชียว แต่ผมกับแม่กลับรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าทำไม ประเด็นคือมันขายราคาถูกมาก แม่เลยไม่ขัดใจพ่อ
วันนั้นเองช่วงเย็น ทางร้านก็ขนเตียงมาส่งที่บ้าน ตอนที่รถมาส่งเตียง พนักงานก็ขนเตียงขึ้นมาที่ชั้น 2 แม่ก็ถามพนักงานว่า เจ๊มาด้วยเหรอ (เจ๊เจ้าของร้านเตียง) พนักงานก็ทำหน้างงๆ แล้วก็รีบขนของ ไม่พูดไม่จารีบวาง แล้วก็รีบไป นับตั้งแต่เตียงหลังนี้มาอยู่ที่บ้าน ผมมีความรู้สึกแปลกไป มันรู้สึกเย็นยะเยือก และอึดอัดกว่าเดิม
ชั้น 2 ทั้งชั้น จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ โล่งๆ เลย พ่อผมจัดการเอาเตียงไว้ติดผนัง ส่วนผมปูฟูกนอนพื้นกับน้องชาย อยู่ข้างๆ เตียงเลย
คืนนั้นเราลงมากินข้าวกันข้างล่าง ระหว่างกินข้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรครูดกับแผ่นไม้ ดัง ครืดคราด ครืดคราด ผมเลยมองขึ้นไปข้างบน พ่อก็ไม่ได้พูดอะไร แต่แม่ส่งสายตามาทางผม เหมือนเรารู้กัน เสียงนั้นดังอยู่สักพักก็หายไป
พอกินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นข้างบนกัน เปิดทีวีดูหนัง ผมนั่งข้างล่างเอาหลังพิงเตียง เพราะทีวีอยู่ปลายเตียงเลย พ่อ แม่ และน้องชายอยู่บนเตียง ดูไปสักพัก แม่ก็ลงจากเตียงมานั่งกับผม และบอกผมว่ารู้สึกอึดอัด สักพักได้ยินเสียง ครืดคราด ครืดคราด อีกแล้ว พ่อเลยปิดเสียงทีวี เพื่อจะฟังเสียงชัดๆ แต่มันก็เงียบไป
พอเริ่มดูหนังอีก เสียงนั้นก็มาอีก! ผมกับแม่เลยตั้งใจหาแหล่งที่มา เพราะรู้สึกได้ว่าเสียงมันอยู่ใกล้มาก แต่ก็หาไม่เจอ จนเราดูหนังจบ ก็ปิดไฟนอนกัน คืนนั้นน้องชายผมนอนกับพ่อบนเตียง ส่วนแม่นอนกับผม ผมนอนฝั่งติดเตียง ฟูกอยู่ห่างจากเตียงไม่เกิน 1 เมตร
ทุกอย่างเงียบกริบ ไฟจากข้างนอกส่องมาสลัวๆ ผมเคลิ้มๆ จะหลับ อยู่ๆ เสียง ครืดคราด ครืดคราด ก็ดังขึ้นอีก ขนมันเริ่มลุกตอนนี้ล่ะครับ เสียงมันดังใกล้มากๆ ผมเลยหันไปหาแม่จะกอดแม่ ก็เห็นว่าแม่ผมยังไม่หลับเหมือนกัน เลยกระซิบกับแม่
“ได้ยินไหมแม่ เสียงนี่อีกแล้ว…” ผมว่า
“อย่าทักสิลูก มันไม่ดี!” แม่ผมทำคิ้วย่น
ผมเลยข่มตานอน พอมันเคลิ้มกำลังจะหลับ ผมก็พลิกตัวไปทางเตียงโดยอัตโนมัติ เพราะผมถนัดตะแคงฝั่งนี้ จังหวะที่เปลี่ยนท่านอน ชัดเจนมากครับ เห็นเป็นตัวคนเลย เป็นผู้หญิงแก่นอนอยู่ใต้เตียง ใช้เล็บมือครูดเตียงอยู่ ตอนนั้นทำไมผมถึงขยับตัวไม่ได้ก็ไม่รู้ ช็อคและสั่นมากๆ อธิษฐานในใจว่า
‘มึงอย่าหันมานะ!’
แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลครับ มันหยุดเอาเล็บตะกุยเตียง แล้วมันหันมาทางผมแทน!
ผมอยากจะตะโกนมาก แต่เหมือนผมทำอะไรไม่ได้เลย และมันเริ่มขยับมาหาผมครับ นึกภาพมันนอนหงาย แล้วใช้ไหล่กับหลังในการเคลื่อนตัวออกมาจากใต้เตียง ตอนนั้นผมกลัวมาก ท่องอะไรในใจไม่ออกเลย พอมันใกล้ผมสุดๆ เท่านั้นล่ะ อยู่ๆ ผมก็ร้องออกมาสุดเสียงเลยครับ จนแม่กับพ่อผมตื่น
ผมร้องไห้แบบจะเป็นจะตายเลยครับ ผมเล่าให้แม่ฟัง แม่กอดผมใหญ่ ส่วนพ่อกลับบอกผมไร้สาระ ดูหนังมากไป สักพักก็นอนกันต่อ โดยผมเปลี่ยนที่นอนกับแม่ คือน่ากลัวมากจริงๆ
ผมนอนหลับไปสักพัก คราวนี้เป็นแม่ผมเองที่ร้องกรี๊ดขึ้นมา ตื่นกันของจริงทั้งบ้านเลยครับ แม่ไม่พูดอะไร รีบอุ้มน้องออกจากเตียง แล้วบอกให้ลงไปนอนชั้นล่างกัน ผมก็ตามลงไปครับ ส่วนพ่อจะนอนข้างบนต่อ และหาว่าผมกับแม่คิดมากไปเอง
พอลงมาข้างล่าง แม่เล่าว่า ตอนที่แม่นอนหันไปทางเตียง พอตามันเริ่มชินกับความมืด ก็เริ่มจะเห็นลางๆ แม่เห็น ผู้หญิงผมกระเซิงนั่งคร่อมน้องอยู่ ทำท่าเหมือนเอามือครูดตัวน้อง ทีนี้แม่เลยลองเปิดเสื้อน้องดู ก็เห็นเป็นรอยแดงๆ ที่ท้องจริงๆ ด้วย! ผมกับแม่นี่อึ้งไปเลย
ผม น้อง และแม่ นอนกันชั้นล่างถึงประมาณตี 4 ก็ต้องตื่นครับ เพราะพ่อตะโกนดังลั่นเลย ร้องให้ช่วยด้วยๆ ผมกับแม่รีบขึ้นไปข้างบน เห็นพ่อเอามือบีบคอตัวเอง แม่ไม่รู้จะทำยังไง เลยถอดสร้อยพระคล้องคอให้พ่อ แล้วพ่อก็สงบลง พวกเรารีบวิ่งลงมาชั้นล่าง โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ครับ
พอพ่อเริ่มหายหอบและตั้งสติได้ พ่อก็เล่าให้ฟังว่า นอนอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมานอนข้างๆ ทีแรกพ่อนึกว่าเป็นแม่ เลยหันมากอด ถามแม่ว่าลูกๆ นอนข้างล่างเหรอ? แต่พอกอดก็ได้กลิ่นเหม็น พอพ่อลืมตาเท่านั้นแหละ เห็นเป็นผู้หญิงแห้งๆ เบ้าตาลึกๆ พ่อตกใจเลยร้องออกมา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนแม่ขึ้นมานี่ล่ะ
คืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนต่อเลย ยกเว้นน้องชายผมที่ยังเล็ก เรารอจนถึงเช้า ก็รีบโทรไปร้านขนเตียงให้มารับเตียงคืนทันที
พอประมาณ 8 โมงเช้า พนักงานกลุ่มเดิมก็มาที่บ้าน ทำหน้าแบบแหยงๆ แล้วพูดว่า “เจอกันแล้วใช่ไหม?!” แม่ผมเลยถามความจริง ทีแรกเค้าก็ไม่ยอมบอก จนแม่ผมจะเอาเรื่องให้ได้ แถมควักเงินให้อีกคนละ 100 คาดคั้นให้บอกมา
พนักงานเลยขึ้นไปชั้น 2 พลิกเตียงให้ดู เท่านั้นแหละ ชัดเลยครับ รอยแป้งสีขาวๆ กรังๆ เป็นรูปยันต์ที่ใต้เตียง แถมมีคราบน้ำสีเหลืองๆ แห้งๆ ติดอีก นี่มันฝาโลงศพชัดๆ พนักงานบอกว่า
“จริงๆ อยากจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่กลัวเจ๊เจ้าของร้านด่าเอา ที่จริงแล้ว เตียงนี้เป็นเตียงประกอบเอง ที่เจ๊ไปซื้อไม้ที่วัดมา เพราะมันถูกกว่ามาก…”
วันนั้นแม่ผมก็ตรงไปหาอีเจ๊นั่นทันที คงไม่ต้องเล่าต่อนะครับ ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้
ขอขอบคุณ : คุณเบลส์