“หน้าผากแม่นาคพระโขนง”จากสมเด็จโต หลวงพ่อพริ้ง และเสด็จเตี่ย ก่อนที่จะลาจาก




หากกกล่าวถึงแม่นาคพระโขนง เป็นเรื่องราวตำนานรักที่ถูกเล่าขานและนำมาสร้างละครสร้างหนังกันมาหลายยุคหลายสมัย รวมถึงศาลแม่นาคที่มีคนแวะเวียนมาสักการบูชา วันนี้ได้นำเรื่องราว “หน้าผากแม่นาคพระโขนง”จากสมเด็จโต หลวงพ่อพริ้ง และเสด็จเตี่ย มาให้ทุกท่านได้อ่านและศึกษา ไปชมกันเลย

หลวงพ่อพริ้งวัดบางประกอกไปมาหาสู่ระหว่างวัดกับวังนางเลิ้งเสมอ โอรสเสด็จในกรมฯพระองค์หนึ่งคือ หม่อมเจ้าคำแดงฤทธิ์ เคยประชวรหนัก รักษาทั้งยาฝรั่ง ยาไทย เวทมนตร์คาถาก็ไม่หาย เสด็จในกรมฯเลยรับสั่งให้บนบวช ๑๐ วัน ปรากฏว่าได้ผล หายประชวรทั้งครอบครัวเลยต้องไปจำศีลอยู่ที่วัดบางประกอกเกือบเดือน


หน้าผากแม่นาคพระโขนงนั้นตกทอดเป็นลำดับจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาถึงหม่อมเจ้าพระพุทธปาธปิลันทร์และหลวงพ่อพริ้ง เล่ากันสืบมาว่า สมัยนั้นแม่นาคอาละวาดผู้คน ชาวบ้าน พระ เณรแถบย่านคุ้งน้ำพระโขนงจนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จโตจึงต้องเดินทางไปปราบด้วยพุทธคุณ แกะกะโหลกแม่นาคขนาดความกว้างประมาณ นิ้วครึ่ง – ๒ นิ้ว ยาว ๔ นิ้ว (โดยประมาณ) มาขัดมันลงอักขระ ปิดทองและติดย่ามไปไหนด้วยเสมอ แม้ว่าแม่นาคจะซาบซึ้งในรสธรรมแต่ก็ยังคงมีนิสัยชอบหยอกล้อสามเณรอยู่เหมือนเดิม

ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา เมื่อครั้นที่มาบวชเป็นสามเณรที่วัดระฆังก็โดนการหยอกล้อจนสมเด็จโตต้องล้วงกะโหลกแม่นาคออกจากย่ามแล้วบอกว่า โยมนาคอย่าไปกวนสามเณรเลย เมื่อกะโหลกแม่นาคตกทอดมาถึงพระพุทธปาธปิลันทร์ก็มีการกล่าวตักเตือนกันอีก หลังจากที่หลวงพ่อพริ้งส่งมอบกะโหลกแม่นาคให้กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านทรงเอามาเจาะรูทำเป็นปั้นเหน่งรัดบั้นพระองค์ติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อประทับอยู่ในตำหนักจะใส่พานวางไว้ที่ห้องพระ และทรงบอกเล่าให้หม่อมทุกคนได้ฟังเพื่อให้รับรู้ถึงความสำคัญ กระนั้นแม่นาคก็เคยปรากฏกลิ่นถึง ๒ ครั้งที่ตำหนักนางเลิ้ง


หม่อมแจ่มหรือหม่อมองค์น้อยนั้นเป็นคนกล้าหาญ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร นอกเหนือจากเสด็จในกรมฯเท่านั้น วันหนึ่งเพื่อน ๆ ของหม่อมได้แวะมาเยี่ยมเยือน การสนทนาวันนั้นได้วกเข้าหาเรื่องแม่นาคจนเกิดการท้ากันว่า หากหม่อมไม่กลัวก็ให้เดินเข้าห้องพระ เมื่อหม่อมแจ่มเดินเข้าห้องพระ ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปหมดจนต้องเผ่นหนีออกมาจากห้องพระ

เสด็จในกรมฯ ตรัสว่า คนที่แม่นาคไม่พอใจจะเห็นร่างของแม่นาคในแบบที่น่ากลัวมีกลิ่นเหม็น ดังนั้นจึงไม่ควรไปท้าเขากลัวหรือไม่กลัวก็เฉย ๆ ซะ ส่วนคนที่แม่นาคพอใจจะมาหยอกล้อด้วยแบบที่สวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจ

อีกคราวหนึ่งขณะกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาหม่อมทั้งหลายว่า ใครอยากจะคุยกับแม่นาคก็ได้ หม่อมแจ่มอีกนั่นแหละที่ขอทดสอบ เสด็จในกรมฯจึงส่งหน้าผากแม่นาคให้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน หม่อมแจ่มได้อธิษฐานขอให้แม่นาคมาอย่างงดงาม สักครู่ใหญ่ๆจึงได้กลิ่นเหม็นไหม้ ยิ่งนานก็ยิ่งอบอวลหนักขึ้น หม่อมแจ่มจึงรีบนำเอากะโหลกหน้าผากแม่นาคไปคืนเสด็จฯทันที พร้อมกับทูลถึงเรื่องที่เจอมา พระองค์ทรงพระสรวลและตรัสว่า รออีกสักประเดี๋ยวก็เห็นแล้ว หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าลองของอีก


กระทั่งวันหนึ่งระหว่างอยู่ที่โต๊ะเสวย เสด็จเตี่ยได้ตรัสว่า แม่นาคเขาลาไปเกิดแล้ว เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ สมบัติชิ้นนี้ได้ตกทอดอยู่ในการดูแลของนายเทียบ อุทัยเวช น้องชายของหม่อมแจ่มซึ่งเป็นมหาดเล็กคู่พระทัย ในตำแหน่งพลทหารเรือฝ่ายเสนารักษ์ หลังออกจากราชการได้ทำหน้าที่ดูแลศาลเสด็จเตี่ยเชิงสะพานเทวกรรมนางเลิ้ง ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก ปั้นเหน่งแม่นากเคยเก็บไว้ที่ศาลแห่งนี้ จนเมื่อมีการตัดถนนจึงได้โยกย้ายศาลดังกล่าวไปที่วัดโพธิ์

ปรากฏต่อมาว่าของชิ้นนี้สูญหายไป เนื่องจากเสด็จในกรมฯมีพระอาจารย์หลายท่าน ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า วิชาของท่านที่ร่ำเรียนมานั้นน่าจะมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางไสยเวทของกรมหลวงชุมพรฯ ที่มีการบันทึกไว้เป็นเกร็ด โดยหม่อมเจ้าเริงจิตรแจรง พระธิดาของเสด็จในกรมฯ เท่านั้น

และนี่คือบางส่วนของตำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค หรือที่หลายคนเรียกกันว่า กะโหลกหน้าผากแม่นาคพระโขนง ที่ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกๆท่าน สาธุ สาธุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

The Ghost Radio : วันหยุด โดย คุณมังกร




เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคุณมังกรและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่โดยไม่ได้ตั้งตัว เพราะคุณมังกรบังเอิญได้หยุดงานแบบไม่ได้คิดมาก่อน หลังจากเดินทางออกจากกรุงเทพก็ตั้งจีพีเอสที่ถนนคนเดินและขับไปเรื่อยๆ

อีกสองร้อยเมตรจะถึงจุดหมาย เสียงจีพีเอสแจ้งเตือนขึ้น แต่เส้นทางรอบๆ ก็มีแต่ความมืดมิดและบ้านคนที่อยู่ห่างๆ

อีกหนึ่งร้อยเมตรจะถึงจุดหมาย ด้วยความที่คุณมังกรเคยเดินทางมาที่ถนนคนเดินหลายครั้งแล้ว ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะเส้นทางดูไม่คุ้นตาเลย แต่เมื่อจีพีเอสแจ้งว่าถึงปลายทาง คุณมังกรและครอบครัวมองไปตามแสงไฟจากหน้ารถ ก็เห็นเป็นซุ้มทางเข้าวัดเก่าๆ แห่งหนึ่ง

"พ่อ นี่ไม่ใช่มั้ง อย่าลงไปนะ แฟนทักขึ้น"

คุณมังกรมองเห็นแค่เป็นวัดเก่าที่ขวามือมีศาลาตั้งอยู่ ก็คิดในใจว่าจีพีเอสคงรวน จึงพยายามตั้งใหม่ แต่มันก็ยืนยันว่าที่นี่คือจุดหมายที่ตั้งไว้ พอคุณมังกรไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเพื่อจะให้สอบถาม จึงขับรถออกมาตามเส้นทางเดิม แต่ก็หลงวนอยู่เกือบชั่วโมง จึงคิดได้ว่าที่ที่จะไปอยู่ใกล้ๆ เซ็นทรัล จึงตั้งจีพีเอสให้ไปที่เซ็นทรัลแทน จีพีเอสกลับแจ้งว่าตนอยู่ห่างจากจุดหมายถึง 15 กิโลเมตร

เมื่อคุณมังกรขับรถมาถึงถนนคนเดินก็ต้องพบกับความว่างเปล่า พอสอบถามเด็กวัยรุ่นที่อยู่แถวนั้นจึงได้ความว่า ถนนคนเดินมีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ คุณมังกรจึงเล่าเรื่องที่เจอเมื่อสักครู่ให้เด็กฟัง
พี่ มีคนมาเล่าแบบนี้สองคนแล้วนะ เด็กคนนั้นตอบ

"นี่น้อง มันจะมีคนไปปักหมุดไว้เพื่อแกล้งนักท่องเที่ยวรึเปล่า"

"ไม่รู้นะพี่ รู้แค่ว่า พี่เป็นคนที่สามละที่บอกแบบนี้"

ด้วยความที่พลาดจากถนนคนเดิน คุณมังกรจึงกลัวว่าแฟนจะโกรธ ไหนๆ ก็ไม่ได้จองที่พักในเมืองอยู่แล้ว และจากที่คุณมังกรหาข้อมูลมาก็เห็นว่ามีลานกางเต็นท์ มีกินเนื้อย่างบนเขา และตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ได้ จึงชวนแฟนขึ้นไปบนอุทยานนั้น แต่กว่าจะไปถึงก็มืดค่ำมากแล้ว เมื่อผ่านเขตอุทยานที่ 1 กลับไม่มีเจ้าหน้าที่เดินมาเก็บค่าธรรมเนียม คุณมังกรจึงขับรถขึ้นไปบนเขตอุทยานที่ 2 แต่ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เหมือนเดิม เห็นแต่ไฟในป้อมพักเปิดอยู่ คุณมังกรจึงพูดว่า เค้าคงไม่เก็บค่าเข้าแล้วมั้ง

"พ่อ ขับรถดีๆ นะหมอกลงหนามากเลย"  แฟนคุณมังกรพูดขึ้น เพราะทางมืดและมีหมอกเริ่มหนา

พอขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ทางก็เริ่มชันขึ้น หมอกก็ลงหนามาก จนแทบมองไม่เห็นทาง ต้องเปิดสปอร์ตไลท์ช่วยส่องทาง จนคุณมังกรและครอบครัวขึ้นมาถึงจุดกลางเต็นท์ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่มีเต็นท์สักหลังและไม่มีรถคันอื่นอยู่ในบริเวณนั้นเลย มองไปที่เสาแจ้งอุณหภูมิเห็นเป็น 16 องศา ด้วยความที่ดึกมากแล้ว หมอกก็ลงจัด จึงตัดสินใจนอนค้างกันในรถ โดยขับไปจอดที่ลานจอด เปิดกระจกลงนิดนึง

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมานอนจะอี้"

คุณมังกรตกใจตื่นเห็นเป็นเวลาตีสาม มองไปข้างรถก็เห็นเป็นผู้ชายผิวขาวไม่สวมเสื้อ มีผ้าพาดบ่า รัดสังวาลมีผ้าโพกหัวปักปิ่น

"ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมานอนจะอี้"

คุณมังกรก็พยายามอธิบายว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ตรงนี้

จนลูกชายตื่นและพูดขึ้นมาว่า "พ่อ เสียงใครน่ะ"

"อ่อ คงเป็นชาวบ้านแถวนี้แหละ เค้าคงสงสัยว่าทำไมเรามานอนที่นี่" แต่พอหันไปอีกที ผู้ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว

"พ่อ ช่วยส่องไฟมาทางนี้หน่อย"  แฟนคุณมังกรกล่าว

พอคุณมังกรส่องไฟไปตามที่แฟนบอก ก็เห็นเป็นหญิงแก่ สวมเสื้อม่อฮ่อมสีดำขลิบแดง ยืนอยู่ข้างๆ รถฝั่งแฟน

"ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมาอยู่จะอี้"

คุณมังกรก็พยายามอธิบาย สักพักลูกชายคุณมังกรที่นอนอยู่ด้านหลังก็พูดว่า "พ่อครับ ไม่รู้ใครมายืนอยู่หลังรถ"

คุณมังกรจึงใช้ไฟจากมือถือส่องออกไป

"พ่อ เค้าแต่งตัวเหมือนกุมารทองเลย"  เมื่อลูกพูดจบ คุณมังกรและแฟนก็สังเกตว่าหญิงแก่ที่อยู่ด้านหน้าหายไปแล้ว เมื่อได้ยินลูกชายพูดมาแบบนั้น คุณมังกรก็ใส่เกียร์อาร์และเหยียบเบรคให้กล้องหลังทำงาน แต่สิ่งที่เห็นในกล้องกลับเป็นช่วงล่างของเด็กคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีแดง

นาทีนั้นคุณมังกรคิดแค่ต้องออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า  "อย่าเพิ่งถามอะไร อย่าพึ่งพูดอะไรนะ"  คุณมังกรพยายามสตาร์ทรถ สี่ถึงห้าครั้งรถก็ไม่ติด จึงพนมมือและพูดขึ้นมาว่า "อะไรที่ลูกช้างทำให้ไม่พอใจด้วยกายวาจาที่ลูกช้างไม่ตั้งใจ ลูกช้างขออภัย ลูกช้างขอไปจากตรงนี้" พูดจบรถก็สตาร์ทติดทันที แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นหมอกลงหนักมาก คุณมังกรจึงค่อยๆ วนรถออกจากลานจอด และพยายามมองไปตรงจุดที่เห็นเด็ก แต่ตอนนี้มีแค่หมอกและความว่างเปล่า

พอขับรถออกมาได้ราว 200 เมตร อยู่ๆ รถก็เกิดไปชนเข้ากับอะไรบางอย่าง คุณมังกรจึงถอยหลังออก แต่ก็ไม่เห็นว่าชนอะไร มองตามแสงไฟที่สาดไปยังด้านหน้าก็ไม่มีอะไรขวาง จึงค่อยๆ ขับรถลงมาจากข้างบน แต่พอลงมาถึงจุดอุทยานที่ 2 ก็เจอกับเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง คุณมังกรจึงเปิดกระจกถามไปว่า  "พี่ครับโรงแรมที่ใกล้ที่สุด"

"อ๋อ ราวยี่สิบกิโล"

แต่น่าแปลก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สอบถามเลยว่ามายังไงมาจากไหน ตัวคุณมังกรพยายามจะเล่าให้ฟังว่าเจอกับอะไรมา แต่เจ้าหน้าที่ก็ดูไม่สนใจ พูดเพียงว่า ขับไปเรื่อยๆ ราวยี่สิบกิโลก็ถึงแล้ว

คุณมังกรจึงลองตั้งจีพีเอส จีพีเอสกลับบอกว่าอีกแค่ 15 กิโลเท่านั้นจะถึงที่หมาย คุณมังกรจึงตกลงใจ และพาครอบครัวเข้าไปพักโรงแรมนั้น ตามที่จีพีเอสบอก แต่ระหว่างทางที่จะขับรถมาถึงโรงแรม ล้อหน้าก็เกิดตกลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง ตู้มมม ตอนนั้นใจคุณมังกรอยากลงไปดูรถมาก แต่แฟนห้ามไว้ไม่ให้ลง เมื่อขับรถมาถึงโรงแรม ก็มีน้องพนักงานคนนึงเดินเข้ามาต้อนรับและพูดว่า "โหพี่ มาจากไหนเนี่ย ทำไมมาดึกจัง"

"พี่มาแบบไม่ได้เตรียมตัวน่ะ ขึ้นไปนอนข้างบนมา"
"พี่ ปกติไม่มีใครค้างข้างบนกันหรอกนะ"
"น้อง ตอนที่พี่ขึ้นไปข้างบน พี่เจออะไรแปลกๆ ด้วยนะ"
"ยังไม่ต้องเล่านะพี่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"

จนเช้า คุณมังกรกำลังจะเดินออกไปดูรถ ก็เจอกับน้องพนักงานคนเดิม จึงเล่าเรื่องที่เจอทั้งหมดให้ฟัง น้องพนักงานก็บอกว่า  "พี่เนี่ยน่าจะเป็นรายที่สามที่สี่แล้วมั้งที่เจอแบบนี้ คนที่เจอก็มาแบบพี่นี่แหละ มาแบบไม่เตรียมอะไร ไม่ได้หาข้อมูล"

"อ้าวแล้วมันคืออะไรล่ะ"

"เอางี้พี่ สายๆ พี่ลองขับรถขึ้นไปใหม่ เดี๋ยวพี่ก็รู้เองแหละว่าเจออะไร"

เมื่อน้องพนักงานไม่บอกอะไร คุณมังกรจึงเดินไปดูรถ แต่แปลกมากที่ล้อหน้าและด้านหน้าของรถไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่แน่ใจว่าเมื่อคืนต้องชนบางอย่างและตกหลุมมาแน่ๆ แต่กลับเป็นล้อหลังที่ร้าว ทางโรงแรมจึงช่วยถอดล้อและส่งไปซ่อมในตัวเมืองให้ กว่าจะเสร็จก็คงค่ำๆ คุณมังกรและครอบครัวจึงต้องค้างกันที่นี่อีกคืน

"ต้องนอนอีกคืนเหรอ"  แฟนถามขึ้น

"อือ กว่าล้อจะมาส่งก็มืดแล้ว ไม่อยากขับกลับค่ำๆ"

แล้วแฟนคุณมังกรก็พูดเสียงอ่อยๆ ขึ้นมาว่า "เราเปลี่ยนห้องได้มั้ย"

แต่เมื่อไปสอบถามทางโรงแรม ก็ยังไม่มีห้องไหนว่าง คุณมังกรจึงหันไปคุยกับแฟน ก็เห็นแฟนกำลังหน้าเสีย เลยถามขึ้นมาว่า "มีอะไรเหรอ ทำไมต้องเปลี่ยนห้อง" แต่แฟนก็ตอบว่า "ไม่มีอะไรหรอก เบื่อ แค่อยากไปเที่ยว"  เมื่อได้ยินแบบนั้น เช้ามืดคุณมังกรจึงตัดสินใจที่จะขึ้นดอยอีกครั้ง เพื่อพาครอบครัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

หลังจากที่ออกมาจากโรงแรมราวๆ ตีห้า หมอกยังคงลงจัดเหมือนเดิม และเมื่อขึ้นไปถึงบนลานจอดก็เงียบ ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว คราวนี้คุณมังกรขับมาจอดใกล้ๆ เสาไฟสปอร์ตไลท์ จนเกือบๆ เจ็ดโมงเช้าจึงเริ่มมีรถขึ้นมา คุณมังกรจึงเลื่อนรถเข้าลานจอด และเห็นว่าใกล้ๆ ตรงลานจอดเป็นหน้าผาที่มีไม้กั้นแค่เตี้ยๆ

"เธอดูสิ ถ้าคืนนั้นเราขับรถไม่ดีนะ"  คุณมังกรชี้ให้แฟนดู

จากนั้นก็ลงรถ และเริ่มเดินดูวิวไปเรื่อยๆ จนคุณมังกรและครอบครัวไปสะดุดตากับเจดีย์เล็กๆ และเห็นว่ามีประวัติจารึกไว้ พอเดินเข้าไปอ่านก็พบว่าเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองเก่า อ่านไปเรื่อยๆ ก็รู้แล้วว่าพวกตนเองเจอกับอะไร และนึกขอบคุณว่าท่านคงมาเตือน พอเดินไปอีกก็มองเห็นเป็นตุ๊กตากุมาทองทองและตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปผู้หญิง

"เธอ ดูนั่นสิ"  คุณมังกรชี้ให้แฟนดู

"อุ้ย เหมือนที่เราเจอเลยพ่อ"

"พ่อครับ กุมารทองเหมือนที่เราเจอเลย"

คุณมังกรรู้สึกผิดที่วันนั้นเข้ามานอนในที่ของท่านโดยไม่ได้ขออนุญาต จึงพยายามหาธูปเทียนมาจุดขอขมาก็ไม่มี ได้แต่กาแฟแก้วมาวางเพื่อเป็นการขอขมาและขอบคุณแทน

เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ แฟนก็เล่าให้ฟังว่าทำไมถึงอยากย้ายห้อง เห็นคนเดินเข้าห้องน้ำ ทีแรกคิดว่าเป็นพ่อ แต่พอเดินออกมากลับเป็นผู้หญิง คิดว่าเอ๊ะมาได้ยังไง พยายามเรียกพ่อ พ่อก็ไม่ตื่น พยายามมองก็มองเข้าไปไม่เห็น พอรู้ว่าคืนที่ 2 ต้องนอนห้องเดิมอีก ก็กลัวพ่อกับลูกจะกลัวเลยไม่เล่า
คืนที่สองเธอก็เจอเหรอ

"เจอสิ เหมือนเดิมเลย ผู้หญิงวัยรุ่น แต่งตัววัยแบบวัยรุ่นใส่กัน แปลกที่เค้าเดินเหมือนคนปกติและเค้าเหมือนไม่รู้เลยว่าเราอยู่ตรงนั้น"

"แล้วเธอปลุกเรารึเปล่า"

"ปลุกสิ แต่เธอก็ไม่ตื่น เหมือนคืนแรกเลย"

คุณมังกรจึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องไม่ใช่คนแน่ๆ เพียงแต่เธอคือใครเท่านั้น และยังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้

The Ghost Radio : โศกนาฏกรรม โดย คุณปู




ย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว คุณปูและเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน ต่างก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่น แต่ก็ยังติดต่อกันเรื่อยๆ และคนที่อยู่ไกลสุดเห็นจะเป็นพร ที่แต่งงานและย้ายไปอยู่หาดใหญ่บ้านของสามี บ้านของคุณพรไกลออกไปจากตัวเมืองมาก ด้านหน้าเป็นสวนยาง ด้านหลังเป็นสวนลองกอง บ้านและสวนนี้พ่อแม่สามียกให้ไว้ทำมาหากิน

แต่ช่วงนั้นข่าวความรุนllรงในสามจังหวัดชายแดน ก็มีมาให้ได้ยินประจำ จนเพื่อนทุกคนต่างเป็นห่วงคุณพร อยากให้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพ เพราะบ้านก็ซื้อไว้แล้วและยังอยู่ไม่ไกลกับเพื่อนๆ นัก คุณพรท้องแก่ใกล้คลอด บอกกับเพื่อนๆ ว่า ช่วงนี้ใกล้เก็บลองกองอยากอยู่ช่วยสามีก่อน หมดหน้าลองกองแล้วค่อยว่ากัน แล้วคุณพรก็เงียบหายไป

วันหนึ่งคุณปูและเพื่อนนัดกินก๋วยเตี๋ยวกันที่ร้านเก่าใกล้ๆ บ้าน นิดหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ขับผ่านก็ตะโกนขึ้น

"พร..พร.. เฮ้ยพร!!!"

ทุกคนมองตามไปก็เห็นเป็นพรท้องโตนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์สามีและมีลูกเล็กๆ อายุราวๆ สองขวบนั่งอยู่ด้วย พรหันมาโบกมือให้ แต่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้จอด ขี่เลยเข้าไปในซอย

"อ้าว! สงสัยรีบมั้ง"

"เออ มันร้อนน่ะ แล้วมันท้องอยู่ด้วย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหามันที่บ้านก็ได้"

เมื่อกินเสร็จจึงพากันเข้าไปหาพรที่บ้านในซอยนั้น แต่เมื่อไปถึงบ้านกลับปิด ก็คิดกันว่าพรคงไปธุระต่อหรือไม่ก็ไปบ้านแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เลยตกลงกันว่าอีกสองวันค่อยนัดกันมาใหม่

คืนนั้นดึกมากแล้วมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านคุณปู เมื่อคุณปูไปรับสาย ซ่า ซ่า ซ่า เสียงเหมือนสัญญาณไม่ดี พยายามฟังก็ไม่ได้ยินว่ามีใครพูดอะไรจึงวางสาย พอกลับไปนอนได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงทัก

"ปู...ปู" 

คุณปูตกใจตื่นเปิดหน้าต่างมองออกไปเห็นเป็นพรมายืนเรียกอยู่หน้าบ้าน

"เฮ้ย! ดึกป่านนี้ เดินมายังไงวะ! ทำไมแฟนมันปล่อยให้เดินมาวะ..." คุณปูคิดอยู่ในใจ แล้วร้องตะโกนลงไปว่า

"พร รอแป๊ปนึง เดี๋ยวเปิดประตูให้ "

ขาดคำก็รีบวิ่งไปหน้าบ้าน แต่เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบแต่ความว่างเปล่า ไม่เห็นใคร

"เอ้า เล่นอะไรวะเนี่ย"  ตอนนั้นคุณปูไม่คิดติดใจอะไรก็กลับขึ้นมานอนต่อ

ผ่านไปจนถึงวันนัดเพื่อนๆ คุณปูก็เจอนกกับแยม แยมก็ถามว่า "ปูเจอพรบ้างมั้ย เราว่ามันแปลกๆ เมื่อคืนมีโทรศัพท์มา แม่เรารับ แล้วมาตามเรา บอกมีผู้หญิงโทรมาหา พอเรามารับสาย มันมีแต่เสียงสะอื้น ถามอะไรก็ไม่พูด จนเราวางสาย"

"โอ้ยยังดี นกว่า เมื่อคืนตอนเรานอน เหมือนมีคนมานอนร้องไห้อยู่ข้างๆ เรากลัวมากไม่กล้าหันไปดู สักพักเสียงนั้นก็เงียบหายไป"

หลังจากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้เจอมาต่างก็อยากไปหาพรทันที แต่ติดที่นิดยังไม่มา รอเกือบ 2 ชั่วโมง จึงตัดสินใจไปหานิดที่บ้านเพราะบ้านนิดอยู่ไม่ไกลบ้านพร

"หวัดดีค่ะแม่ นิดมันไม่อยู่เหรอคะ"

"ไปดูเอาเถอะหนู ลุกไม่ขึ้นแต่เมื่อคืนแล้ว ผมเผ้าร่วงหมด แม่ฝากหน่อยแล้วกัน นี่จะไปตามหลวงพ่อที่วัด"

เมื่อเข้าไปพบนิด นิดยังอยู่ในอาการช็อคไม่ยอมพูดอะไรกับใคร จนหลวงพ่อมาถึงท่านรดน้ำมนต์ให้นิดจึงดีขึ้น

"เมื่อคืน พรมันมาเรียกเราหน้าบ้าน เราก็ออกไปหา เพราะเห็นว่าดึกแล้ว ถามว่ามายังไง มันก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ เราเลยชวนมันเข้ามาในบ้าน เราเอาน้ำมาให้ แล้วก็ถามอีกว่าทะเลาะกับแฟนมาเหรอ มันก็เอาแต่ร้องสะอึกสะอื้น เราไม่รู้ทำไงเลยปล่อยให้ร้องไปแล้วก็นั่งอยู่ข้างๆ จู่ๆ มันก็ร้องไห้จนตัวโยน แล้วเอามือบีบที่ท้องตัวเอง เราตกใจเลยขยับเข้าไปใกล้ ถามไปว่าเป็นอะไร มันเงยหน้ามาอาเจียนเป็นเลือด เลือดทั้งนั้นเลยแก เราตกใจทำไรไม่ถูก กรี๊ดลั่นบ้าน วิ่งไปเรียกพ่อแม่ พี่ทุกคนเลย แต่พอทุกคนตามเราออกมา กลับไม่เจอมัน มันหายไป นิดยืนยันว่าเจอพรจริงๆ เพราะน้ำที่รินให้ยังวางอยู่ที่โต๊ะ"

หลังจากที่นิดอาการดีขึ้นแล้ว ทั้งสี่คนจึงชวนกันไปที่บ้านพร แต่พอไปถึงบ้านก็ยังคงปิดอยู่ เลยลองเอามือไปขยับกลอนประตูดู ปรากฏว่ากลอนเป็นสนิมร่วงกราว ราวกับว่าไม่เคยมีใครมาเปิดบ้านหลังนี้เลย

"งั้นไปบ้านแม่พรกันเถอะ"

จากบ้านพรไม่นานก็มาถึงบ้านของแม่พร

"แม่ได้คุยกับพรบ้างมั้ย"

"ไม่ได้คุยกันเป็นอาทิตย์แล้ว เค้าว่างานยุ่ง กำลังจะตัดลองกอง ตัดเสร็จก็จะพากันลงมากรุงเทพ แม่เลยไม่ได้โทรไปอีก ก็รออยู่นี่แหละ"

ทั้งสี่คนจึงเล่าเรื่องที่เจอให้แม่ฟัง เมื่อลองโทรไปหาพรกลับติดต่อไม่ได้ แม่จึงโทรไปหาพ่อแม่ของสามีพร ซึ่งท่านอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ทางนั้นเองก็ไม่สามารถติดต่อบ้านพรได้เช่นกัน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกตินัก จึงขอให้ทหารสองนายช่วยเข้าไปดูในสวนให้

ทหาร 2 นายออกเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เช้า จนบ่ายคล้อยก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ทางการจึงส่งทหารตามไปอีก 4 นาย

เมื่อไปถึงทางเข้าสวนมองเห็นทหารนายหนึ่งโดนยิงนอนตายอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อเข้าไปเกือบถึงบ้านก็เห็นศพทหารอีกหนึ่งนายโดนปาดคอ บ้านคุณพรหลังนั้นยังเปิดหน้าต่างประตูดูปกติทุกอย่าง แต่กลับไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย จึงเดินเข้าไปตามหาในสวนลองกอง ก็ต้องพบกับภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง คุณพรซึ่งท้องแก่ สามี และลูกสาววัยสองขวบ ถูกพบเป็นศพโดนมัดมือมัดเท้า ยิงและทิ้งศพไว้ในร่องสวนนั่นเอง ทางการจึงช่วยกันเคลื่อนย้ายศพทั้งหมดออกมาให้ญาตินำไปทำพิธี

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พ่อแม่สามีก็จ้างคนไปเฝ้าสวน แต่ไม่เคยมีใครอยู่ได้ ต่างก็บอกตรงกันว่า มักจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ หนักเข้าเห็นเป็นผู้หญิงท้องเดินอยู่ในสวน และที่ทำให้สวนนี้กลายเป็นสวนร้างรวมถึงคนที่อยู่แถวๆ นั้นก็ย้ายออกกันหมด คือคนเฝ้าสวนรายสุดท้าย ถูกยิJขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ กำลังจะออกไปถนนใหญ่

ทุกวันนี้สวนยางสวนลองกองถูกปล่อยให้รกร้าง คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเล่าว่า พวกเขายังคงเห็นพ่อ แม่ ลูกมายืนโบกรถตรงทางเข้าสวนเป็นประจำ เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .