ตำนานหลอน : 5 อันดับผีสาวเขย่าขวัญสุดช็อก เรื่องจริงที่น่ากลัวที่สุดในโลก

เรื่องจริงชวนขนหัวลุกของ 5 ผีสาว ที่ขึ้นชื่อว่าหลอนจริงอะไรจริงจนต้องยกนิ้วให้ หากพร้อมแล้วเราไปพิสูจน์ความหลอนพร้อมๆ กันเลย





5. สุภาพสตรีชุดสีฟ้า (The Blue Lady)

ตำนานสุภาพสตรีชุดสีฟ้าเล่าว่า ช่วงปี ค.ศ.1920 หญิงสาวผู้สง่างามคนหนึ่งได้พบรักนักเปียโนหนุ่ม พวกเขาต่างตกหลุมรักอีกฝ่ายและแอบติดต่อกันอย่างลับๆ ทั้งๆ ที่หญิงสาวได้เข้าพิธีแต่งงานกับชายหนุ่มคนหนึ่งไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอจับได้ ทั้งสามจึงมีปากเสียงและเริ่มลงไม้ลงมือกัน แต่แล้วนักเปียโนหนุ่มก็เผอิญพลาดไปแทงหญิงสาวเข้า ส่งผลให้เธอเสียชีวิตทันที หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวประหลาดมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ปริศนาที่ไม่เคยมีคนพูด ประตูล็อกเอง และยังมีคนพบเห็นสตรีชุดสีฟ้าที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย



4. แม่ชีไร้หัว (The Headless Nun)

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในช่วงปี ค.ศ.1800 แม่ชีนามว่า แมรี่ ถูกฆาตกรปริศนาฆาตกรรมพรากชีวิตด้วยการตัดหัว หลังจากที่สังหารแม่ชีแล้ว ฆาตกรได้นำศีรษะของแม่ชีไปซ่อนไว้ในป่าเพื่อทำลายหลักฐาน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวลือว่าผู้คนในเมืองเห็นแม่ชีหัวขาดเดินไปทั่วเมือง เพื่อตามหาหัวที่หายไปของเธอ



3. แอ็กเนส แซมป์สัน (Agnes Sampson)

ช่วงยุค ค.ศ.1500 ที่ยังมีการตามล่าแม่มดทั่วดินแดนนั้น ทั้งชายและหญิงกว่าพันคนถูกจับด้วยข้อกล่าวหาว่า เป็นพ่อมดแม่มด ใช้อำนาจศาสตร์มืดในทางมิชอบ แล้วพวกเขาเหล่านี้ก็ลงเอยด้วยการถูกประหารในที่สุด หนึ่งในนั้นคือหญิงชรา แอ็กเนส แซมป์สัน เธอถูกจับขังเปลื้องผ้าและนำไปทรมานจนต้องยอมรับข้อกล่าวหาในที่สุด หลังจากรับสารภาพ แอ็กเนส แซมป์สัน ก็ถูกเผาทั้งเป็น ว่ากันว่าทุกวันนี้ยังมีคนเห็นวิญญาณหญิงสาวเปลื้องผ้าของ แอ็กเนส ลอยไปลอยมาอยู่เลย



2. สุภาพสตรีสีแดงแห่งวิทยาลัยฮันทิงดอน (Red Lady of Huntingdon College)

สุภาพสตรีสีแดง หรือ มาร์ธา เป็นผีสาวขี้เหงาที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าในอดีตเธอเป็นหญิงสาวที่เกิดในชนชั้นสูง พ่อของเธอเป็นคนมีฐานะ ส่วนใหญ่มาร์ธาจะเก็บตัวอยู่คนเดียวในหอพัก เพราะเธอเป็นคนขี้อาย แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเธอแบ่งแยกชนชั้น และไม่ต้องการสุงสิงกับคนฐานะด้อยกว่า เมื่อมีรูมเมทย้ายเข้ามา ลงท้ายพวกเขาจะลงเอยด้วยการย้ายออก เพราะรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับมาร์ธา ความเสียใจของมาร์ธาพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอาการซึมเศร้าในที่สุด มาร์ธาได้ปลิดชีพตนเอง ถูกพบเป็นศพในเวลาถัดมา นักเรียนหลายคนกล่าวว่า พวกเขาเห็นผีสุภาพสตรีในชุดสีแดงลอยทะลุประตูอยู่บ่อยๆ



1. ผีกรีนเบรียร์ (The Greenbrier Ghost)

ปี ค.ศ.1897 ในกรีนเบียร์ หญิงสาวรายหนึ่งเสียชีวิตกะทันหันภายใต้ปริศนา เสียงล่ำลือว่าสามีของเธอทำการฆาตกรรมเธอหรือเปล่า ว่ากันว่าหลังจากที่ทำการฆาตกรรมหญิงสาวแล้ว สามีของเธอก็ได้นำผ้าพันคอมาพันคอศพ และอ้างว่าภรรยาของเขาไม่ค่อยสบายเพื่ออำพรางการเสียชีวิต ต่อมาผีของหญิงสาวได้เข้าฝันแม่ของเธอ และเล่าให้แม่ฟังเกี่ยวกับสามีที่ชอบใช้ความรุนแรงกับเธอ ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าสามีนั่นแหละเป็นคนฆ่าเธอเอง แม่ของหญิงสาวจึงได้เรียกร้องให้มีการชันสูตรศพอีกครั้ง ตามคำบอกเล่าของผีลูกสาว ลงท้ายตำรวจก็เจอหลักฐานที่ค้นพบว่าสามีของหญิงสาวทำการฆาตกรรมเธอจริงๆ



SOURCE : wonderslist

ตำนานหลอน : โตโยล ลูกกรอกแห่งมาเลเซีย



ตำนาน “โตโยล” ลูกกรอกแห่งมาเลเซีย ที่ใครเป็นเจ้าของจะได้ทุกอย่างตามต้องการ


เรื่องราวของตุ๊กตาวิญญาณผีเด็กสุดแสนร้ายกาจและน่ากลัวจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศมาเลเซีย ซึ่งอาจฟังดูคล้ายเรื่องของ ‘กุมารทอง’หรือ ‘รักยม’ ในบ้านเรา เพราะอาจจะด้วยวัฒนธรรม ความเชื่อและความศรัทธาที่คล้ายกัน ทำให้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมักมีเรื่องเล่าตำนานของภูตผีที่คล้ายคลึงกัน และนี่คือเรื่องราวของตุ๊กตาผีเด็กตนนี้

‘โตโยล’ (Toyol)
คือชื่อของตุ๊กตาผีเด็กในตำนานของประเทศมาเลเซีย ว่ากันว่า พวกมันถูกปลุกเสกขึ้นมาจากศพทารกแรกเกิด โดยเป็นการเรียกวิญญาณเด็กให้กลับคืนสู่ร่างเดิม จากผู้มีคาถาอาคมหรือมนตร์ดำ

โดยศพเด็กทารกเหล่านี้ส่วนมากจะได้มาจากการขโมยจากโรงพยาบาล หรือไม่ก็เป็นการขุดศพเด็กขึ้นมาจากป่าช้า ผีโตโยลนั้นจะมีลักษณะเด่นคือ มีผิวหนังสีเขียวคล้ำ บางตัวเป็นสีเทาเข้ม หัวโต หูแหลมเล็ก ดวงตาเรียวเล็ก ในตาสีเพลิง ฟันแหลมคม ดูคล้ายมัมมี่เด็กหรือมนุษย์ต่างดาว

ส่วนวิธีการเก็บรักษาร่างของผีโตโยลจะต้องเก็บเอาไว้ในขวดแก้ว และต้องวางไว้ในมุมมืดที่ลับตาคน



อุปนิสัย
เจ้าผีโตโยลยังมีอุปนิสัยซุกซนเหมือนเด็ก ซึ่งใครก็ตามที่ครอบครองมันต้องคอยเอาอกเอาใจสารพัด ต้องทำให้พวกมันมีความสุขตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหาของเล่นต่างๆ มาเซ่นไหว้ การหาขนมนมเนยมาถวาย หรือแม้กระทั่งการให้เลือดสดๆ กับพวกมัน

ซึ่งวิธีอย่างหลังนี้จะทำให้ผีโตโยลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าเลือกที่จะให้เลือดแล้วต้องให้ทุกวันห้ามขาด! เพราะถ้าวันใดลืมให้เลือดพวกมันละก็ พวกมันจะแอบไปดูดเลือดของคนในครอบครัวแทน!

ครอบครอง ‘โตโยล’ เพื่ออะไร?
วัตถุประสงค์หลักของผู้ที่ครอบครองโตโยลก็เพื่อต้องการให้พวกมันขโมยของมีค่าจากพวกเศรษฐี และเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันตัวจากภัยอันตรายต่างๆ และจากตำนานความเชื่อดังกล่าวยังบอกเอาไว้อีกว่า ใครก็ตามที่ได้ครอบครองโตโยลจะต้องดูแลพวกมันไปจนวันตาย

ถ้าต้องการทิ้ง ‘โตโยล’ สามารถทำได้ไหม?
มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นที่สามารถหลุดพ้นพันธสัญญานั้นได้ คือการนำมันไปฝังไว้ที่ป่าช้า และการจับมันโยนถ่วงน้ำ เพื่อที่มันจะไม่สามารถกลับมาแก้แค้นเจ้าของเดิมที่ทิ้งมันไปนั่นเอง

เครดิตข้อมูล SpokeDark.TV

กระทู้ผีพันทิป : รู้เท่าไม่ถึงการณ์






เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อประมาณสามสิบปีที่ผ่านมา ในสมัยที่คุณสนยังเป็นวัยรุ่น คุณสนชอบไปส่องสัตว์นั่งห้างเวลากลางคืนกับลุงสวน เพราะช่วงนั้นทางการยังให้สัมปทานสัตว์ป่าอยู่ จึงไม่ผิดกฎหมาย เดือนนึงก็จะเข้าป่ากันประมาณสองถึงสามครั้ง ครั้งนึงประมาณสามถึงสี่วัน

เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ลุงสวนก็มาชวนคุณสนและบอกว่าพอดีลูกกล้วยป่ามันสุก จะชวนไปดักยิงอีเห็นกัน และไปทำห้างนั่งยิงกันด้วย แล้วเพื่อนของคุณสนที่อยู่ด้วยสองคนได้ยินเข้า จึงขอเข้าไปด้วย ปกติลุงสวนจะไม่ให้ใครไปด้วย เพราะกลัวว่าจะไปทำผิดผีกัน คุณสนเลยขอร้องว่าขอให้เพื่อนไปด้วย ลุงสวนก็เลยอนุญาต แล้วเรียกเพื่อนของคุณสนไปอบรมว่า ห้ามเอ่ยชื่อกัน ห้ามทำอะไรก่อนที่ลุงสวนจะบอก เพื่อนของคุณสนก็รับปาก

พอเตรียมข้าวของเสร็จแล้วก็เดินเข้าป่ากัน ไปประมาณเจ็ดกิโลเมตรถึงตีนเขา ลุงสวนจึงทำวิธีเปิดป่า เพราะลุงสวนเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่พอสมควร จุดธูปบอกเจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้ต้อนพวกสัตว์ที่หมดอายุไขแล้วมาให้พวกเราหน่อย พอเสร็จพิธีก็เดินขึ้นเขากัน

ขึ้นไปได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ลุงสวนเจอค่างตัวนึง ก็เลยยิงค่างได้ ตัวใหญ่พอสมควร จากนั้นก็ตัดกิ่งไม้หามกันขึ้นไป กะว่าจะไปทำกินกันตอนเย็น

เดินกันต่อไปอีกประมาณสี่กิโลเมตร เวลาประมาณบ่ายสามโมง ก็เลยนั่งแล่ค่างเอาเนื้อออก เอากระดูกกับหนังกองไว้ ลุงสวนใช้ให้เพื่อนของคุณสนสองคนไปตักน้ำ แล้วทางเดินที่จะไปตักน้ำนั้นมันจะต้องผ่านโป่งดินใหญ่ ตรงจุดนั้นช้างจะลงมากินดินโป่งทุกคืน ลุงสวนก็กำชับว่าให้เดินผ่านไปเฉยๆ อย่าไปทำอะไร แล้วก็ฝากเอากระดูกกับหนังค่างไปทิ้งด้วย เพื่อนสองคนก็รับปาก

ประมาณสักครึ่งชั่วโมง เพื่อนของคุณสนสองคนก็เดินกลับมา แล้วก็มาทำอาหารกินกันปกติ ประมาณห้าโมงเย็นใกล้จะมืด ก็เตรียมฟืนกับไฟฉายให้พร้อม นั่งรอเวลาให้ท้องฟ้ามืด จะได้ไปนั่งดักยิงสัตว์ สักพักได้ยินเสียงช้างวิ่งแตกฝูงกันและร้องลั่นป่า ลุงสวนลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “ช้างมันตื่นอะไรวะ!” คุณสนก็ลุกขึ้นตามแล้วบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันลุง” แล้วคุณสนก็สังเกตเห็นเพื่อนของตนเองนั่งหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน

ลุงสวนก็เลยถามว่า “เฮ้ย! เมื่อกี้ตอนที่เอ็งไปตักน้ำ เอ็งทำอะไรหรือป่าววะ” เพื่อนก็ตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลยลุง…” จนลุงสวนเค้นหนักขึ้นและพูดว่า “เอ็งบอกมาเร็วๆ ถ้าเอ็งไม่บอกข้านะ เอ็งออกไปไม่ได้แน่ ถ้าเอ็งไม่อยากตายคาป่านะ รีบบอกมา” สักพักเพื่อนของคุณสนเลยยอมบอก

เค้าบอกว่าหนังค่างที่ลุงสวนให้เอาไปทิ้ง เค้าได้เอาเถาวัลย์ไปมัดแขนสองข้างและขาสองข้าง ขึงมันไว้ตรงโป่งที่ช้างลงไปกิน เลยทำให้ช้างมันตกใจ

ลุงสวนคิดว่าแย่แน่ เลยสั่งให้เอาลูกกระสุนปืนออกให้หมดทั้งสี่กระบอก แล้วลุงสวนก็ล้วงมือเข้าไปหยิบของในย่ามออกมา เป็นกระสุนตะกั่วสีดำๆ แล้วแจกให้คนละสี่ลูก แล้วรีบบรรจุลงไปในปืนทันที พอบรรจุกระสุนกันเสร็จ ก็สั่งให้รีบวิ่งไปหาที่โล่ง

ทุกคนถือของแล้วรีบวิ่งออกไปทันที จนไปเจอที่ชาวบ้านเค้าถางป่าไว้เตรียมจะทำไร่ ลุงสวนก็พาคุณสนและเพื่อนๆ ไปนั่งตรงกลางลานโล่ง แล้วก็จุดธูปทำพิธี แล้วใช้พานท้ายปืนขีดล้อมเป็นวงกลมใหญ่ๆ แล้วเข้าไปนั่งข้างในกันทั้งสี่คน แกสั่งขึ้นมาอีกว่า ให้ถือปืนไว้นะ ถ้าไม่ได้สั่งอะไรห้ามทำ ห้ามวิ่งออกจากเส้นวงกลม จะกำชับอยู่แบบนี้ตลอด

เวลาผ่านไปประมาณสองทุ่ม ทั้งหมดก็นั่งกันอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ป่าใหญ่ทั้งป่าเงียบสงัด ไม่มีเสียงนกร้องหรือแม้แต่เสียงแมลง เงียบจนบางครั้งเหมือนกับอาการหูอื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของป่ามาก คุณสนนั่งเหงื่อแตกพลั่ก คิดในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วลุงสวนก็สั่งขึ้นมาว่า

“จำไว้นะ ถ้าเห็นอะไรให้ฉายไฟส่องทันที เอาให้มันสว่างเลย”

เวลาล่วงเลยไปประมาณสี่ทุ่ม คุณสนสังเกตเห็นเหมือนเงาคนยืนอยู่ข้างต้นไม้แถวๆ ตีนป่า คุณสนก็เลยฉายไฟไปทางนั้น แสงไฟกระทบกับดวงตาของเงาที่ยืนอยู่เห็นเป็นสีแดงๆ สองข้าง คุณสนเลยยกปืนขึ้นประทับบ่า แล้วเสียงของลุงสวนบอกว่า ยิงเลย! คุณสนเลยเหนี่ยวไกปืนทันที ปัง! ตามมาด้วยเสียงล้มตึง! ของร่างนั้นลงไปดิ้นอยู่กับพื้น แล้วเสียงก็เงียบไป

สักพักนึงมีเงาตาแดงๆ โผล่ออกมาอีก ทุกคนเลยช่วยกันยิง แต่สิ่งนั้นมันก็ยังมากันเรื่อยๆ กระโดดขึ้นกระโดดลงจากต้นไม้อยู่ตรงตีนป่า จนเวลาเกือบจะตีสอง เงานั้นก็เริ่มซาลงไปเรื่อยๆ จนฟ้าสว่าง พอได้ยินเสียงไก่ขัน ทุกคนก็โล่งใจ

ลุงสวนบอกให้เก็บของกลับ แต่คุณสนอยากรู้ว่ามันคืออะไร เพราะเวลายิงไปแล้วได้ยินเสียงมันล้มลง แล้วดิ้นอยู่กับพื้น ทุกคนจึงพากันเดินเข้าไปดู ปรากฏว่ามีแต่ซากลิงนอนตายเกลื่อนกลาด เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะว่าลิงเป็นสัตว์ที่จะไม่ออกหากินตอนกลางคืน

ลุงสวนบอกว่าให้รีบเก็บของกันเร็วๆ จะได้รีบกลับ จากนั้นทุกคนก็ลงจากเขาไปเข้าหมู่บ้านกัน และก่อนที่คุณสนและเพื่อนๆ จะเข้าบ้าน ลุงสวนตะโกนมาว่า

“เฮ้ยๆ อย่าพึ่งเข้าบ้าน ไปวัดก่อนเลย!” คุณสนก็งงว่าไปทำไมที่วัด แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร
เมื่อไปถึงวัด ทุกคนต่างพากันไปยืนอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อ ลุงสวนร้องเรียก พอหลวงพ่อเดินออกมาเห็น ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า

“โอ้โห! โยม… มากันเต็มลานเลยนะ”

คุณสนก็งงว่าคืออะไร ลุงสวนก็เลยเข้าไปคุยกับหลวงพ่อและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง หลวงพ่อท่านบอกว่างั้นรอซักครู่นะ แล้วท่านก็เดินไปเอากระป๋องมาให้สี่ใบ แจกให้คนละใบ ข้างในประป๋องจะมีน้ำมนต์ แล้วท่านก็จุดเทียนไข แล้วหยอดลงไปในกระป๋องทีละใบ แล้วให้เอาไปอาบตัว

จากนั้นท่านก็บอกให้กลับบ้านกันได้แล้ว ส่วนสิ่งที่ตามมาเดี๋ยวหลวงพ่อจะหาที่อยู่ให้พวกเขาเอง คุณสนก็งงว่าหาที่อยู่ให้ใคร เพราะมองไปก็ไม่เห็นอะไร พอเดินพ้นออกมาจากวัด คุณสนเลยถามลุงสวนว่า ตอนแรกลุงสวนคุยอะไรกับหลวงพ่อ ลุงสวนก็ตอบกลับมาว่า

“เอ็งรู้ไหม เมื่อคืนที่เรายิงกัน ตอนนี้พวกมันตามเรามาหมดทุกตัวเลย” คุณสนได้ยินดังนั้นก็ขนลุกขึ้นมาทันที แล้วถามลุงสวนต่อว่า ตกลงแล้วสิ่งที่ตามมานั้น มันคืออะไร?

ลุงสวนตอบกลับมาว่ามันคือ วิญญาณลิง! เป็นวิญญาณสัมภเวสีที่สิงสู่อยู่ตามป่าเขา ลุงสวนก็เลยยังไม่ให้เข้าบ้าน เพราะกลัวว่ามันจะเข้าไปอยู่ในบ้านด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ให้มาที่วัด เพื่อมารดน้ำมันต์ก่อน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

กระทู้ผีพันทิป : บ้านบนโขดหิน






ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นที่บังกะโลแห่งหนึ่ง อยู่ในเกาะทางภาคตะวันออก เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา เดิมทีเพื่อนๆ ของคุณบาสได้นัดกันว่าจะไปเที่ยวที่เกาะแห่งนี้หลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ด้วยความที่ว่านัดกันแล้วก็มากันไม่ครบบ้าง ติดธุระส่วนตัวกันบ้าง จึงไม่มีโอกาสได้มากันสักที

จึงนัดกันอีกครั้งว่าจะไปกันวันสิ้นปี คือวันที่สามสิบถึงวันที่หนึ่ง นัดกันไว้สามสิบกว่าคน คุณบาสจึงได้โทรจองห้องพักไว้ก่อน พอถึงวันนัดตอนเที่ยงก็รอเพื่อนกันจนถึงบ่ายสาม แต่มากันแค่แปดคน จนรอกันไม่ไหว ก็เลยคิดว่าไปกันเท่านี้ก็ได้ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปกันอีก จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฟากมายังเกาะแห่งนี้
ถึงเกาะเวลาห้าโมงเย็น คุณบาสไปติดต่อบังกะโลที่โทรจองไว้ก่อนหน้านี้ แต่บังกะโลกลับเต็ม เพราะเค้าเอาลูกค้าเข้ามาก่อน ก็เลยมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดี ไม่มีที่พักแน่วันนี้ คุณบาสเลยติดต่อเพื่อนที่รู้จักในระแวกนั้น ว่าแถวนี้ยังมีห้องพักว่างไหม เพื่อนตอบมาว่าไม่มีเลย คุณบาสและเพื่อนๆ เลยตัดสินใจเช่ารถมอเตอร์ไซค์สองคัน เพื่อที่จะขี่หาห้องพักกัน

ขี่รถหากันจนถึงเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ก็ไปได้ที่พักอยู่ที่หาดแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นหาดแฝด แบ่งเป็นฝั่งเอและฝั่งบี และตรงกลางจะมีโขดหินกั้นไว้ บังกะโลอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้นจะหันหน้าไปทางชาดหาด แต่บังกะโลที่คุณบาสได้นั้นกลับหันหน้าไปทางโขดหินที่อยู่ทางท้ายหาด

ลักษณะที่ตั้งบังกะโลที่คุณบาสเช่าอยู่ เหมือนจะตั้งอยู่บนโขดหิน เป็นบ้านหลังใหญ่มาก ประตูเป็นกระจกบานเลื่อนใหญ่ๆ มีเตียงเดียวแต่ใหญ่พอสมควร สามารถนอนบนเตียงได้ห้าคน อีกสามคนเลยต้องนอนพื้นด้านล่าง พอคุณบาสกับเพื่อนๆ เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยก็ล็อกบ้าน จากนั้นก็ลงหาดเล่นน้ำกันเลย เพื่อนของคุณบาสก็ได้ไปเช่าอุปกรณ์ดำน้ำมาเล่นกัน

แต่มีเพื่อนคุณบาสอยู่คนหนึ่งชื่อ แว่น ในขณะที่คุณแว่นดำน้ำอยู่แล้วโผล่ขึ้นมาจากน้ำ คุณแว่นสังเกตเห็นผ้าม่านที่อยู่หลังประตูกระจกห้องพักขยับเปิดออก แล้วก็ปิดเหมือนเดิม เหมือนมีคนแอบดูอยู่หลังผ้าม่าน เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง คุณแว่นจึงหันไปถามเพื่อนว่า ยังมีใครอยู่ในห้องพักอีกหรือเปล่า ก็ได้คำตอบมาว่า ไม่มี จึงคิดว่าน่าจะเป็นพัดลม คงไม่มีใครเข้าไปในห้องได้เพราะล็อกไว้แล้ว

ทุกคนเลยว่ายน้ำเข้ามาจับกลุ่มกัน แล้วมองเข้าไปที่บ้านพัก ปรากฏว่าผ้าม่านมันสะบัดจริงๆ ลักษณะเหมือนมีคนดึงแล้วก็ปล่อย คุณบาสเห็นแบบนั้นก็ขนลุกขึ้นมาทันที เพื่อนในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นพัดลมก็ได้มั้ง ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ ก็เลยขึ้นจากน้ำกัน แล้วก็ไปหาห้องอาบน้ำแบบเช่า เพราะว่าไม่อยากเข้าบ้านพักแบบตัวเปียกเดี๋ยวทรายมันจะเลอะ

คุณบาสและคุณแว่นอาบน้ำเสร็จก่อนจึงเดินเข้าบ้านพัก ก็พบว่าได้เปิดพัดลมทิ้งไว้จริงๆ ด้วย จากนั้นก็ได้เข้าไปอาบน้ำที่บ้านพักกันอีกรอบ คุณบาสอาบเสร็จแล้วก็เลยออกมานั่งอยู่ที่หน้าบังกะโล เหลือคุณแว่นอาบน้ำคนเดียว สักพักเพื่อนที่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำเช่าก็ทยอยกันกลับมา ก็เลยมาตั้งวงกันที่หน้าบ้านพัก แล้วคุณแว่นก็ตามออกมา

จนถึงราวๆ สามทุ่ม ทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นว่า บรรยากาศรอบข้างไม่มีใครเลย มันดูเงียบผิดปกติ เพื่อนในกลุ่มก็บอกว่า เราอาจจะอยู่ท้ายหาด เลยไม่ค่อยมีใครเข้ามา

สักพักคุณแว่นเกิดปวดฉี่ ก็เลยลุกขึ้นไปฉี่ข้างบันไดทางขึ้นบ้านพัก แล้วอยู่ๆ คุณแว่นก็ล้มลงนั่ง คุณบาสก็ถามว่า “เป็นอะไรวะไอ้แว่น!” คุณแว่นหายใจหอบแล้วตอบว่า “กูรู้สึกไม่สบายว่ะ ขอไปนอนก่อนนะ” พูดจบคุณแว่นก็เข้าบ้านพักไปทันที คุณบาสก็มาคุยกันในวงเพื่อนว่า “ไอ้แว่นมันเป็นอะไรของมันวะ? นี่พึ่งจะสามทุ่มเอง” เพื่อนก็บอกว่า “สงสัยมันจะไม่สบาย ปล่อยให้มันนอนไปเถอะ”

จนเวลาประมาณห้าทุ่ม คุณบาสและเพื่อนๆ ก็เข้าไปนอนกัน คุณบาสนอนด้านล่างติดห้องน้ำ ซักพักได้ยินเสียงเหมือนคนหอบเหนื่อยเร็วมาก ก็เลยลุกขึ้นมาดูคุณแว่นที่นอนอยู่บนเตียง แต่ปรากฏว่าคุณแว่นนอนนิ่งปกติ ไม่ได้มีการหายใจหอบอย่างที่ได้ยิน แต่เสียงหายใจหอบก็ยังดังอยู่ในขณะนั้น คุณบาสจึงหันไปมองรอบๆ และสังเกตเพื่อนทุกคน แต่ทุกคนก็นอนปกติ ไม่ได้มีใครนอนหายใจหอบอย่างที่ได้ยินเลย

คุณบาสเลยคิดว่าสงสัยตัวเองจะมึนๆ ก็เลยกลับไปนอนต่อ จนถึงแปดโมงเช้า คุณบาสก็ตื่นขึ้นพบว่าคุณแว่นไม่อยู่ หายไปจากห้อง คุณบาสก็เลยปลุกเพื่อนๆ แล้วถามว่าคุณแว่นหายไปไหน แต่ก็ไม่มีใครรู้ พอไปตรวจดูสัมภาระก็ปรากฏว่า สัมภาระของคุณแว่นก็หายไปด้วย คุณบาสก็เลยโทรไปถามคุณแว่น

“ไอ้แว่น มึงอยู่ที่ไหน?”
“กูอยู่ที่ บขส. แล้ว”
“อ้าวเฮ้ย! มึงข้ามไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว”
“มึงเป็นอะไรมากไหมเนี่ย”
“แม่กูเรียกกลับบ้านด่วนว่ะ”
“เฮ้ย! ก่อนที่จะมามึงยังขอแม่อยู่เลย แล้วนี่มาเรียกกลับได้ไง”

แล้วเพื่อนของคุณบาสก็บอกว่าปล่อยให้คุณแว่นกลับไปเถอะ สงสัยจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ จากนั้นเพื่อนของคุณบาสที่ชื่อ ต้อง เดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ อยู่ๆ ก็ร้องตะโกนออกมาทันที ทุกคนจึงวิ่งเข้าไปดูในห้องน้ำ เห็นเส้นผมเป็นกระจุกๆ ร่วงอยู่เต็มพื้นห้องน้ำ จึงคิดว่าแม่บ้านน่าจะยังไม่ได้เข้ามาทำความสะอาดมั้ง แต่คุณบาสก็แน่ใจว่าตอนที่อาบน้ำเมื่อวานก็ไม่เห็นมี ก็เลยเอาน้ำฉีดลงท่อไป

ด้วยความไม่อยากคิดอะไรมาก ทุกคนก็เลยอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปทานข้าวข้างนอกกัน พอทานเสร็จก็เดินกลับกันมา ระหว่างที่เดินกลับ คุณบาสสังเกตเห็นแม่บ้านคนหนึ่ง แกเดินถือดอกไม้ธูปเทียนตรงไปทางบ้านพักที่คุณบาสพักกันอยู่ จนถึงหน้าบ้านพัก แม่บ้านก็ยกมือไหว้พร้อมกับจุดธูปจุดเทียน

คุณบาสและเพื่อนๆ ตกใจมาก แม่บ้านหันมาเห็นคุณบาสและเพื่อนๆ ก็ตกใจ แล้วก็บอกว่า “ตรงนี้เข้าไม่ได้นะคะ มันเป็นเขตห้ามเข้า” คุณบาสก็บอกว่า “ทำไมจะเข้าไม่ได้ครับป้า ผมกับเพื่อนเช่าอยู่ที่บ้านพักหลังนี้” แม่บ้านได้ยินแบบนั้นก็ตกใจแล้วบอกว่า “อ้าวเหรอหนุ่ม ขอโทษๆ ป้าไม่รู้…” แล้วแกก็รีบดับธูปดับเทียน แล้วก็เดินหนีออกไปเลย

ทุกคนก็งงว่าแม่บ้านมาไหว้อะไร หรือจะเป็นศาล เลยลองเดินดูจนทั่วก็ไม่มี ทุกคนก็คิดว่ามันเริ่มจะแปลกๆ แล้ว

จากนั้นก็เข้าไปบ้านพักตามปกติ จนถึงราวๆ หกโมงเย็น ก็ได้ออกไปเที่ยวผับกัน จนถึงเวลาประมาณตีหนึ่งก็ได้ขี่รถกลับกันออกมา คุณบาสเป็นคนขี่แล้วมีเพื่อนซ้อนหลังอีกสองคน อีกคันนึงคุณต้องเป็นคนขี่แล้วมีเพื่อนซ้อนหลังอีกสามคน คุณต้องขี่นำหน้าไปก่อน คุณบาสอยู่คันหลัง

ซักพักนึงคุณบาสรู้สึกว่าเหมือนมีมือมาโอบที่เอวทั้งสองข้าง คุณบาสคิดว่าเป็นมือของเพื่อนที่ซ้อนท้าย แต่พอสังเกตดูดีๆ แล้ว มันไม่ใช่มือของเพื่อน จึงหันหลังกลับไปดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มือของเพื่อนจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่ามือนั้นมันโผล่มาจากตรงไหน คุณบาสตกใจมากเกือบจะควบคุมรถไม่อยู่ จึงรีบขี่กลับมาที่พัก

พอมาถึงก็เจอเพื่อนอีกสี่คนเข้านอนกันแล้ว คุณบาสฝังใจกับเรื่องที่พึ่งเจอมา ก็เลยชวนคุณต้องนั่งดื่มด้วยกันต่อ จนราวๆ ตีสองก็เข้านอนกัน คุณบาสรู้สึกว่ากำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงคนกระโดดลงจากเตียงดัง ตึง! คุณบาสตกใจแล้วหันไปมอง เป็นว่าเพื่อนคนนึงเล่นพิเรนทร์ คุณบาสเลยไม่สนใจแล้วนอนต่อ
แต่ขณะนั้นตาของคุณบาสเหลือบออกไปนอกประตูบ้านพัก มองไปทางชายหาด เพราะไม่ได้ปิดผ้าม่านไว้ คุณบาสเห็นผู้ชายคนหนึ่งเล่นน้ำอยู่ พอคุณบาสยิ่งมองก็เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นยิ่งไกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นร่างของผู้ชายคนนี้ก็พยายามจะปีนขึ้นมาบนบันไดบ้านพัก พยายามจะกระโดดแต่ก็กระโดดไม่ถึง

คุณบาสก็พยายามมอง และสักพักเค้าก็ปีนขึ้นมาได้ แล้วมายืนอยู่ที่ประตูกระจกบ้านพัก ลักษณะคือเป็นผู้ชายวัยรุ่น ผิวขาว อายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปด ตัวเปียกโชก คุณบาสนอนมองต่ออีกประมาณสามถึงสี่นาที แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆ เดินผ่านกระจกเข้ามา คุณบาสตกใจมาก คิดว่ามันชักจะไม่ดีแล้ว แล้วคุณบาสก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

จนมารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้จะเช้า ได้ยินเสียงหายใจหอบแรงมาก คุณบาสเลยหันไปมอง ปรากฏว่าผู้ชายร่างเปียกคนนั้นนอนหายใจหอบอยู่ข้างๆ คุณบาส คุณบาสรู้สึกถึงความเย็นจากร่างของผู้ชายคนที่นอนข้างๆ เหมือนเนื้อหมูที่พึ่งออกมาจากตู้แช่แข็งยังไงยังงั้น

คุณบาสลุกขึ้นแล้วพยายามมอง พอแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เพื่อน ก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากบ้านพัก แล้วไปนั่งตั้งสติอยู่ข้างล่าง คิดว่าสิ่งนั้นที่อยู่ในบ้านมันคืออะไรกันแน่ สักพักนึงเพื่อนของคุณบาสก็เดินออกมาจากบ้านพักทีละคนๆ จนครบเจ็ดคน คุณบาสก็เลยถามว่าเป็นอะไร เพื่อนตอบว่านอนไม่ได้เลย คุณบาสก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะรู้แล้วว่าสาเหตุมันคืออะไร

จนรุ่งเช้าคุณบาสและเพื่อนๆ ก็รีบเข้าไปเก็บของแล้วเช็คเอาท์ออกทันที พอกลับไปถึงฝั่งคุณบาสได้โทรไปหาคุณแว่น แต่คุณแว่นก็ไม่รับสาย

จนผ่านไปสามวัน ก็ยังติดต่อคุณแว่นไม่ได้ คุณบาสคิดว่าท่าไม่ดีแล้ว ก็เลยคุยกับเพื่อนๆ ว่าจะไปหาคุณแว่นที่บ้าน พอไปถึงที่บ้านคุณแว่นก็ไม่มีใครอยู่บ้านเลย คุณบาสเลยโทรไปหาคุณแว่นอีกครั้งนึง แต่ก็ยังไม่มีคนรับ สักพักนึงคุณพ่อของคุณแว่นขับรถเข้ามาในบ้าน พอคุณพ่อเห็นหน้าคุณบาสและเพื่อนๆ ก็ลดกระจกลงแล้วด่ากราดแบบเสียๆ หายๆ ทันที คุณบาสจับใจความได้ประมาณว่า พาคุณแว่นไปเที่ยวที่ไหนมา ถึงได้ป่วยหนักแบบนี้ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล!

คุณบาสและเพื่อนๆ ก็ได้ไปเยี่ยมกัน พอไปถึงก็เห็นสภาพของคุณแว่นคือ นอนจับไข้ บนหัวไม่มีเส้นผมเลย

จนผ่านมาประมาณสี่เดือน คุณแว่นก็เล่าให้คุณบาสฟังว่า คืนนั้นตอนที่คุณแว่นยืนปัสสาวะอยู่ที่ข้างบันได คุณแว่นเห็นขาคนห้อยลงมาจากหลังคาบ้าน คุณแว่นเลยหันไปมอง ก็เห็นคนนั่งบนหลังคาแล้วมองลงมาหาคุณแว่น คุณแว่นตกใจแล้วล้มลง แล้วปรากฏว่า ผู้ชายคนที่อยู่บนหลังคาก็หายไป แล้วไปโผล่นั่งรวมกันอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ

คุณแว่นเห็นแบบนั้นก็เลยไม่กล้าเข้าไปนั่งในวงด้วย เลยขอตัวเข้าไปนอน พอรุ่งเช้าคุณแว่นก็หนีกลับบ้านทันที

หลังจากนั้น คุณบาสก็ได้กลับไปสืบเรื่องนี้ โดยกลับไปที่บ้านพักต้นเรื่อง แล้วคุณบาสก็สังเกตที่บันได เหมือนมีฝุ่นแป้งสีขาวๆ จับอยู่แล้วก็มีทองคําเปลวแปะอยู่ด้วย แล้วด้านข้างบันไดที่เป็นโขดหินมีแต่ดอกดาวเรือง ดอกมะลิเต็มไปหมด

จนคุณบาสต้องไปถามเรื่องนี้จากเพื่อนที่อยู่ระแวกนั้น เพื่อนบอกว่ามีนักท่องเที่ยวมาพักที่บ้านหลังนี้แล้วจมน้ำตาย ศพลอยขึ้นมาติดโขดหินข้างบันไดที่พัก กู้ภัยจึงเอาศพขึ้นมาจากตรงนั้นเลย เค้าถือกันว่าถ้าตรงไหนเอาศพขึ้น ที่ตรงนั้นจะแรง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

กระทู้ผีพันทิป : ป่ายูคาลิปตัส






เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดอุดรธานี วันที่เกิดเรื่อง คุณเสกได้เอาของไปลงที่เวียงจันทร์ และช่วงเย็นก็ได้ข้ามกลับมาที่ฝั่งไทย ช่วงเวลานั้นประมาณเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านกำลังตัดอ้อยและเก็บเกี่ยวผลผลิตกัน

ทางบริษัทสั่งให้ไปขึ้นน้ำตาลที่อำเภอหนึ่งในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ คุณเสกขับรถสิบล้อไปกับภรรยาสองคน และไปถึงที่หมายก่อนเวลากำหนด จึงได้ไปนอนรอขึ้นน้ำตาล กว่าจะเสร็จก็ประมาณตีหนึ่ง ภรรยาถามว่าจะนอนต่อไหม ค่อยวิ่งรถตอนเช้าหรือว่าจะออกตอนนี้เลย คุณเสกตอบไปว่า ยังไงก็ได้นอนแล้ว เดี๋ยววิ่งออกไปเลยก็แล้วกัน

คุณเสกขับรถออกมา พอหลุดออกมาจากหมู่บ้านนั้น จะเข้ามาในเขตจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ระยะทางประมาณหกถึงเจ็ดกิโลเมตร ตามข้างทางจะมีป่าอ้อยและดงมันสำปะหลังเต็มไปหมด

พอเข้าเขตดงป่าอ้อย คุณเสกกลับรู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ง่วงชนิดที่ว่าจะหลับให้ได้ สักพักหนึ่งคุณเสกสังเกตเห็นทางแยกข้างหน้า เหมือนเป็นทางแยกลงไปที่ไหนสักแห่ง แล้วมีเวิ้งช่องว่างพอที่จะให้รถจอดได้ คุณเสกจึงเลี้ยวรถเข้าไป แล้วจอดรถชิดไหล่ทาง โดยพยายามแอบรถหลบให้ออกห่างจากถนนเส้นหลัก

ภรรยาได้ถามคุณเสกว่า จะนอนตรงนี้เลยเหรอ คุณเสกตอบว่า ไม่ไหวแล้ว ขอสักงีบก่อน ปกติเวลานอนคุณเสกจะยกผ้าม่านมาปิดหน้ารถและหน้าต่างข้างรถหมด แต่วันนั้นคุณเสกง่วงมาก จอดรถได้ ดับเครื่องยนต์ ปิดไฟ เอนเบาะนอน แล้วก็หลับไปเลย

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนภรรยาปลุก ภรรยาตะโกนร้องลั่น แล้วบอกว่าตอนที่คุณเสกหลับ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แต่ภรรยาไม่หลับ ได้ยินเสียงหญ้าข้างทางแหวกออกเหมือนมีคนเดินมา ภรรยาจึงชะโงกหน้าออกไปดูนอกรถ แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะข้างนอกนั้นมืดมาก และก็มีเสียงเดินรอบรถ เดินวนไปวนมา
สักพักหนึ่ง ภรรยาของคุณเสกก็เริ่มจะมองเห็นลางๆ เธอเห็นเป็นผู้ชายสองคน เธอตกใจและรีบปลุกคุณเสก และบอกว่ามีคนมาปีนรถเราอยู่ คุณเสกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา มองไปข้างหน้าต่าง เห็นขาคนปีนบันไดข้างรถขึ้นไปด้านบนหัวรถ (รถสิบล้อจะมีบันไดติดอยู่ข้างรถใกล้ๆ ประตูด้านคนขับ)

คุณเสกเห็นอย่างนั้นก็ตกใจคิดว่าเป็นโจร จึงรีบสตาร์ตเครื่องรถทันที แล้วคลำดูที่ประตูรถก็ยังล็อกอยู่ เปิดไฟหน้ารถแล้วรีบขับออกมาเลย เพราะตอนนั้นอยู่กลางป่า ไม่สามารถเปิดประตูออกไปดูได้แน่ๆ เพราะอันตรายมาก ภรรยาก็บอกว่า มันยังอยู่บนหลังคารถทั้งสองคนเลย คุณเสกจึงรีบขับรถออกมาจากจุดนั้น

ขับไปสักพักจนเข้าเขตตัวอำเภอวังสามหมอ พอเจอป้อมตำรวจ คุณเสกเลยจอดรถทันที แต่ไม่กล้าเปิดประตู เลยแง้มกระจกแล้วส่องขึ้นไปดู แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย คุณเสกสังเกตเห็นตำรวจอยู่ในป้อม จึงเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง แล้วหันกลับมามอง ก็ไม่เจอใครอยู่ข้างบนหลังคารถ คุณเสกลองเดินสำรวจรอบรถแต่ก็ไม่เจออะไร สักพักคุณเสกก็กลับเข้ามาในรถ แล้วขับออกไปนอนที่ปั้มน้ำมัน คิดว่าตอนเช้าค่อยเดินทางต่อ

หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ คุณเสกต้องเอาของไปลงในตัวเมืองจังหวัดของแก่น แต่ครั้งนี้ต้องเดินทางคนเดียว พอลงของเสร็จ บริษัทก็โทรมาบอกว่า ให้ไปขึ้นไม้ยูคาที่อำเภอหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอสีชมพูจังหวัดขอนแก่น กับอำเภอศรีบุญเรืองของหนองบัวลําภู

คุณเสกบอกกับทางบริษัทว่า นี่มันก็บ่ายแล้วนะ น่าจะไปถึงประมาณสี่โมงเย็น เขาจะขึ้นให้เหรอ ทางบริษัทก็บอกว่าคุยไว้แล้วเดี๋ยวเขาจะขึ้นให้ คุณเสกก็เลยขับออกไป

มาขับรถมาจนถึง ลักษณะบริเวณจะเป็นป่าไม้ยูคาทั้งสองข้างทาง ตัวไร่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณสองกิโลเมตร คุณเสกขับรถวิ่งเข้าไปในไร่ ทางเข้าไร่จะเป็นทางเกวียน ถึงที่หมายประมาณสี่โมงเย็น เขาก็นำไม้ขึ้นรถให้

จนเวลาล่วงเลยไปประมาณหกโมงเย็น บรรยากาศโพล้เพล้ แต่ก็ยังขึ้นของไม่เสร็จ แล้วไม้ไม่พอ ต้องรอขึ้นพรุ่งนี้อีกที คุณเสกเลยบอกว่า “มีที่นอนให้ผมไหม” ชาวบ้านเลยบอกว่า เดี๋ยวเข้าไปนอนในหมู่บ้านกับพวกเขาก็ได้ คุณเสกก็ถามต่ออีกว่า “แล้วรถของผมล่ะ” เขาบอกว่า “รถน่ะจอดไว้นี่ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกพี่” แต่ด้วยความที่คุณเสกห่วงรถ เลยถามออกไปว่า “พี่มานอนเป็นเพื่อนผมที่นี่สักคนไม่ได้เหรอ” แต่ก็ไม่มีใครอาสามานอนด้วยเลย

สุดท้ายแล้วคุณเสกเลยตัดสินใจนอนเฝ้ารถคนเดียว เวลาประมาณทุ่มหนึ่ง ท้องฟ้ามืดสนิท คุณเสกลงไปปัสสาวะแล้วรีบขึ้นรถมานอน ปิดผ้าม่านรอบรถ เปิดพัดลม แล้วก็หลับไป

วันนั้นร้อนมาก คุณเสกสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที เพราะรู้สึกเหมือนมีคนมาขย่มรถ ลักษณะเหมือนมีคนเดินขึ้นเดินลงรถ และเสียงดัง ตุ๊บ! เหมือนมีคนกระโดดลงจากรถ ทั้งซ้ายทั้งขวา คุณเสกตาสว่างขึ้นมาทันที เลยเอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วปิดพัดลมเพื่อไม่ให้มีเสียง มันเงียบมาก จะมีก็แต่เสียงแมลงกลางคืนที่กรีดปีกร้องระงมไปทั่วบริเวณ

เวลาผ่านไป คุณเสกเปิดโทรศัพท์ดูนาฬิกา เวลาตอนนั้นประมาณตีสามกว่าๆ แล้วก็เหมือนมีคนเดินในลักษณะเดิม เสียงเดินรอบรถ สักพักมาหยุดเดินอยู่ที่หน้ารถ แล้วก็มีเสียงเมือนผู้ชายคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ คุณเสกเริ่มนึกไปถึงเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ไปเจอมาที่ไร่อ้อย ตอนนั้นคุณเสกทำอะไรไม่ได้เลยเพราะอยู่ในป่าคนเดียว ได้แต่ฝืนข่มตานอน แต่ก็นอนไม่หลับ เสียงคุยกันก็ยังดังต่อเนื่องแต่ก็จับใจความไม่ได้

จนกระทั่งคุณเสกได้ยินเสียงนกกระพือปีกดัง พรึ่บ! คุณเสกก็เริ่มจับใจความเสียงที่คุยกันอยู่นอกรถได้ความว่า

“กินไหม…ไม่ได้กินนานแล้ว…”

พอได้ยินแบบนั้น คุณเสกคิดในใจว่า ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่ๆ ได้แต่นอนตัวสั่นคลุมโปงน้ำตาไหลพรากอยู่ในรถ แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงคนเดินอยู่รอบรถ เสียงลมพัดยอดไม้ไหวไปมา แต่ในรถอากาศกลับร้อนมากบ้า จนสุดท้ายคุณเสกก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตื่นมาอีกทีตอนเจ็ดโมง คนขึ้นไม้มาเรียก คุณเสกกะจะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่เล่าให้ใครฟัง แต่มันก็อดใจไม่ได้เลยเล่าให้คนขึ้นไม้ฟัง เขาก็บอกกลับมาว่า ทีแรกพวกเขาก็มาตั้งแคมป์ตรงนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ มารับจ้างตัดไม้เฉยๆ ก็เจอแบบที่คุณเสกเจอเหมือนกัน

เขาบอกว่า พวกเขามากันสิบคน มาตั้งแคมป์ทำงานตัดไม้ กลางดึกปวดปัสสาวะ ก็เดินออกมาปลดทุกข์ เขาก็เจอในลักษณะเงาคนเดินไปเดินมาในป่า โดยเฉพาะเวลาคืนเดือนหงาย ที่มันยังพอจะมีแสงให้มองเห็นได้บ้าง

หลังจากขึ้นไม้เรียบร้อยก็เวลาบ่ายคล้อย คุณเสกขับรถผ่านออกมาทางหมู่บ้าน เห็นร้านชำเลยถือโอกาสจอดแวะกินกาแฟเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน คุณเสกก็เล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อคืนให้พ่อใหญ่เจ้าของร้านของชำฟัง แกก็บอกว่าพื้นที่แถบนั้น สมัยก่อนเป็นที่ซ่องสุมกบดานของพวกนายฮ้อยโจรปล้นควาย และโดนตำรวจยิงตายไปก็เยอะ วิญญาณที่เห็นคงจะเป็นพวกนี้ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด เพราะไม่มีใครทำบุญให้ เลยวนเวียนชดใช้กรรมที่เคยก่อมา และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

ประสบการณ์ขนหัวลุก : ย่าแก่






ย้อนไปปี 2537 ตอนนั้นเรากำลังจะขึ้น ม.1 ย่าทวดหรือที่บ้านเราเรียกว่า ย่าแก่ กำลังอยู่ในช่วง ตรอมใจ เพราะอาเสียด้วย อุบัติเหตุรถประสานงา สภาพศพแทบจำไม่ได้ และอีกสาเหตุคือ อาคนเล็กที่ย่าทวดเลี้ยงมา หนีออกจากบ้าน

หลังจัดงานศพอาที่ตาย จากเดิมที่ย่าแก่มักจะอารมณ์ดี มีเรื่องราวสนุกๆ ในอดีตมาเล่าให้หลานๆ ได้ฟังอยู่เสมอ เสากลางบ้านจะเป็นที่นั่งประจำของย่าแก่ จะมีชุดเชี่ยนหมากวางไว้ รวมกับของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น เครื่องแต่งกายแปลกตา นุ่งจูงกระเบนตามแบบคนสมัยเก่า เข็มขัดนากคาดเอว สวมเสื้อเชิ้ตคอบัวแขนสั้น ทำผมมวยมีปิ่นปักเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นปุ๊ปเป็นจำได้

ย่าแก่เริ่มไม่พูดกับใคร ไม่กินข้าว และหมดแรงลงในที่สุด คืนสุดท้ายที่เราได้นอนกับย่าแก่ เราช่วยกันกับน้องสาวกางมุ้งพาย่าแก่เข้านอน พยายามพูดคุยซักถาม หวังว่าย่าแก่จะโต้ตอบเราบ้าง แต่ก็ไม่มีการโต้ตอบใดๆ ย่าแก่ได้แต่นอนลืมตานิ่งๆ เราทำได้แค่นอนกอดย่าแก่แล้วหลับไป จนเช้ามาร่างกายของย่าแก่ก็เย็นและแข็งแล้ว เมื่อทุกคนทราบแล้ว ใช้เวลาเศร้าโศกกันพอสมควร จึงช่วยกันตระเตรียมพิธี

เราจัดพิธีศพที่บ้าน ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ กว่าข่าวจะไปถึงอาคนเล็กที่หนีไป ต่อไปเราจะเรียกเขาว่าพี่สาว เพราะถูกให้เรียกพี่ตั้งแต่เด็ก ก็เป็นการสวดคืนที่ 3 แล้ว ด้วยงานศพ ที่ต้องช่วยกันจัด ต้องทำ ต้องเก็บล้างจนดึกดื่น เมื่อถึงเวลานอนทุกคนก็หลับสนิทไม่รู้สึกตัว พากันนอนกองรวมอยู่หน้าโลงที่ตั้ง ศw จัดพิธี เลยทำให้ลืมกลัว อยู่กันได้จนถึงวันเผา

หลังจากเผาศพเสร็จสิ้น ที่นอนเดิมของย่าแก่อยู่ชั้น 2 ของบ้าน เพราะบ้านมีลักษณะเป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ ปกติเรากับน้องสาวจะนอนมุ้งเดียวกับย่าแก่ พี่สาวจะนอนกลางมุ้งอีกฝั่งบนบ้านชั้น 2 เช่นกัน แต่ในตอนนั้นไม่มีใครกล้าขึ้นไปนอนชั้น 2 เราจึงมากางมุ้งนอนบริเวณชั้นล่างข้างๆ เสากลางบ้าน ซึ่งเป็นที่นั่งประจำของย่าแก่นั่นเอง ในตอนนั้นเรายังไม่ได้นึกกลัวอะไรมาก เพราะระหว่างงานศพ ก็ดูปกติดี

จนกระทั่งประมาณตี 2 พี่สาวเรา เดิมที่นอนริมติดกับเสา อยู่ๆ ก็กระโดดมาเบียดแทรกกลาง พลางเอามือมาตีเรากับน้อง แถมเอานิ้วมายัดรูจมูกให้เราลุกขึ้นให้ได้ ทั้งเราและน้องสาวจึงตื่นลุกขึ้นนั่ง ถามพี่เล็กว่าเป็นอะไร พี่เล็กไม่ตอบ หากแต่เสียงที่ตอบเรากับน้องดันเป็นเสียงทุบประตูบ้านและเสียงเคาะหน้าต่างที่เป็นกระจก พลางมีเสียงเรียกนั้นดังว่า หนูเล็กๆๆๆเปิดประตูให้ย่าที

เรากับน้องสาวเห็นพร้อมกัน คือหน้าของย่าแก่ที่เกาะหน้าต่างและทุบกระจกขอเข้ามาในบ้าน เรากับน้องจึงพร้อมใจกันกระโดดซุกไปในผ้าห่มที่พี่เล็กนอนคว่ำคลุมโปงอยู่ ตัวสั่น ร้องไห้ กอดกันฟังเสียงเรียกพลางทุบประตู นานเท่าใดไม่รู้ได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากจริง ๆ สำหรับพวกเรา

จนเช้าเรา 3 คนแย่งกันเล่าให้ย่าฟัง แต่ย่าไม่เชื่อ และบอกว่าพวกเราฝัน ถือว่าคืนนั้นเป็นคืนเดียวที่หนักสุด ต่อมาเมื่อย่าชวนเราตื่นเช้าช่วยกันทำกับข้าวใส่บาตรกรวดน้ำให้ย่าแก่ ทุกอย่างก็ค่อยๆ เงียบลง จนกระทั่งไม่ได้ยิน และเห็นย่าแก่อีกเลย

ขอบคุณที่มา : คุณ ผึ้ง ชนทิชา

The Ghost Radio : ผิดเพราะรัก - คุณน้ำตาล





ย้อนกลับไปเมื่อราว 25 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นคุณซีอายุประมาณ 17 ปี ได้เข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต ลักษณะบ้านเช่าเป็นห้องแถวปลูกติดๆ กัน ข้างๆ ห้องเป็นพี่สาวคนหนึ่ง พี่คนนี้ชื่อ บี ทำงานกลางคืน มักกลับบ้านดึกดื่น แต่ก็สนิทสนมกันดีกับคุณซี

“พี่บีกลับมืดๆ แบบนี้ทุกคืนเลย ไม่มีแฟนเหรอ ไม่เห็นมีใครมาส่ง” คุณซีเอ่ยปากแซว

“จริงๆ พี่มีแฟนนะ ” หน้าตาพี่บีดูเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “แต่พี่เพิ่งรู้ แฟนพี่คบกันมาเกือบ 2ปี เค้ามีลูกมีเมียแล้ว”

“อ้าว แล้วทำไงล่ะพี่”

“พี่เสียใจมากนะ พี่ทำงานหนัก เก็บเงินหวังจะสร้างอนาคต สร้างครอบครัวกับเค้า”

“แล้วพี่เลิกมั้ย เค้ามีครอบครัวแล้ว”

“พี่เลิกไม่ได้ ตอนนี้พี่ท้องอยู่ แต่พอเค้ารู้ เค้าก็ปัดความรับผิดชอบ พี่ไม่รู้จะทำยังไง”

คุณซีสงสารพี่บีมาก ด้วยความที่ยังเด็กไม่คิดหน้าคิดหลัง แค่อยากช่วยให้พี่บีสบายใจขึ้นจึงพูดไปว่า

“ พี่บี พ่อเพื่อนหนูเค้าเป็นหมอผี ชื่อดังด้วยนะ พี่อยากให้ช่วยอะไรมั้ย บอกได้นะพี่ ”

“พี่ขอคิดดูก่อนนะ พี่กลัว เรื่องแบบนี้”

ตอนนั้นคุณซีเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องผี เรื่องคุณไสย แต่พูดเพราะอยากช่วยพี่บีเท่านั้น
ผ่านไปราวๆ 1 อาทิตย์ พี่เอ แฟนหนุ่มพี่บีไม่เคยติดต่อมา พี่บีเครียดมากจนแท้งลูก

“ซี พี่ตัดสินใจแล้ว พี่อยากทำ พี่จะเอาเค้ามาอยู่กับพี่ให้ได้”

คุณซีจึงไปหาหมอผีซึ่งเป็นพ่อของเพื่อน เมื่อไปถึงก็เล่าเรื่องราวและสิ่งที่ต้องการให้หมอฟัง

“ของแบบนี้ ใครๆ ก็ทำได้ แต่ต้องรับผลที่จะเกิดตามมาให้ได้ด้วยนะ ขึ้นชื่อว่าของไม่ดี ถ้าคนรับไม่มีศีลมีธรรม มันก็อาจย้อนกลับมาได้”

พี่บีตกลงใจที่จะทำของใส่พี่เอ หมอจึงให้พี่บีหุงข้าวขึ้นมาหนึ่งหม้อและยืนคร่อมไว้ ให้ไอร้อนจากหม้อกระทบร่างกายและน้ำจากร่างหยดลงหม้อ (วิธีนี้ต้องทำตอนเป็นประจำเดือนเท่านั้น) และเอาหม้อข้าวไปหุงตามปกติ รวมทั้งยังมีคาถาให้ท่องก่อนนอน เป็นเวลา 3 คืนติด

ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ คุณซีก็เห็นพี่เอย้ายข้าวของเข้ามาอยู่กินกับพี่บี คุณซีแปลกใจมากคิดอยู่ในใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงๆ เหรอ จน 6เดือนผ่านไป ทางเมียหลวงของพี่เอที่ชื่อคุณเอฟก็ออกตามหา จนรู้ว่าพี่เอหนีมาอยู่กับพี่บีที่นี่ จึงตามมา แต่ทำยังไงพี่เอก็ไม่กลับ ซ้ำพี่บียังตั้งท้องอยู่ด้วย เมื่อเจอแบบนี้คุณเอฟก็ได้แต่กลับไปบ้าน ตรอมใจจนไม่เป็นอันทำอะไร แม่ของคุณเอฟจึงนิมนต์พระอาจารย์มาเทศน์เรียกสติ จนคุณเอฟตัดใจได้ หันกลับมาทำงานเลี้ยงลูกด้วยตัวเองคนเดียว

หลังจากนั้น 2ปี ลูกของพี่บีและพี่เออายุได้เกือบสองขวบก็มีเรื่องแปลกๆ พี่บีสังเกตว่าพี่เอหน้าตาหมอง ดำคล้ำ ไม่ค่อยพูดจา เป็นแบบนี้มาเกือบสองอาทิตย์ พี่บีทนไม่ไหวจึงถามพี่เอ “พี่ ทำไมพี่ดูเลื่อนลอย เฉยชา ไม่สบายเหรอ” พูดจบพี่เอยังไม่ทันตอบอะไรก็ล้มฟุบไปเฉยๆ จนพี่บีต้องเรียกรถพยาบาลมารับให้ไปส่งที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเองก็เอาลูกไปฝากแม่ไว้ แล้วตามไปทีหลัง

เมื่อพี่เอถึงโรงพยาบาล หมอที่รับเคสพยายามเจาะเลือดพี่เอ แต่ทำกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จ เพราะเจาะเข้าไปมีเพียงแต่ลมออกมาเท่านั้น จึงต้องส่งตัวพี่เอเข้าไปเอกซเรย์ด่วน เมื่อผลออกมากลับยิ่งน่าตกใจ เพราะตับไตไส้พุงพี่เอนั้นหายไปเกินกว่าครึ่ง หมอจึงต้องเรียกประชุมเคสด่วนและส่งพี่เอเข้าห้องไอซียู

เมื่อพี่บีตามมาที่โรงพยาบาลก็ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่เอทุกอย่างจากหมอ พี่บีรีบเข้าไปดูพี่เอที่ไอซียู หมอบอกว่าพี่เออยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ พี่บีช็อคมาก ได้แต่นั่งข้างพี่เอและโวยวาย จนพี่เอลืมตามามองพี่บี แล้วพยายามยกมือขึ้นเหมือนอยากบอกอะไร แต่ก็ทำได้เท่านั้น เพราะพี่เอสิ้นลมหายใจไปในตอนนั้นเลย จากนั้นพี่บีก็โทรมาหาคุณซีเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง คุณซีตกใจมากรีบไปหาหมอผีเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดให้หมอฟัง

“หมอ แบบนี้แล้วจะทำยังไง”

“เคยเตือนไปแล้วนะตอนที่มากัน ผีที่มันอยู่กับเอ ต่อไปมันจะกลับมาหาบี เพราะบีเป็นคนส่งมันไป”

พอคุณซีได้ฟัง ก็รู้สึกกลัว เพราะตัวเองที่เป็นคนแนะนำคุณบีให้ทำเรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่กลับไปอยู่เป็นเพื่อนพี่บี ส่วนพี่บีเองก็ไม่รู้จักญาติพี่น้องของพี่เอเลย จึงโทรหาคุณเอฟเพื่อแจ้งข่าว เมื่อคุณเอฟทราบเรื่องเธอก็นำ ศ w ไปจัดการบำเพ็ญกุศลและทำพิธีเอง โดยที่ไม่ให้พี่บีเข้าไปในงานและไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับงาน ศพพี่เอเลย พี่บีเสียใจมากเอาแต่โทษตัวเองและนอนร้องไห้อยู่ในห้อง คุณซีจึงไปหาเพราะเป็นห่วง

“พี่อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วซี พี่ทนเห็นที่นี่ไม่ได้ พี่จะย้ายออก”

พี่บีไม่อยากทนอยู่ในที่ๆ เคยอยู่ ที่ๆ เคยมีพี่เอ เธอจึงย้ายออกไปและไม่ได้ติดต่อคุณซีอีกเลย ส่วนคุณซีเองก็ยุ่งๆ กับงาน จนเกือบจะลืมเรื่องนี้แล้ว แต่จู่ๆ พี่บีก็โทรมา

“พี่ พี่หายไปไหนอยู่ไหน หายไปเกือบครึ่งปี หนูเป็นห่วง” คุณซีดีใจมากที่พี่บีติดต่อมา แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ตอบกลับมาก็ต้องแปลกใจ เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงพี่บีแต่มันช่างเย็นชาและดูห่างเหิน
“ซี ถ้าว่าง ซีมาหาพี่หน่อยนะ”

แม้จะรู้สึกแปลกๆ และผิดปกติกับน้ำเสียงของพี่บี แต่ด้วยความที่คุณซียังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงรับปากว่าจะไปหา หลังจากที่พี่บีบอกที่อยู่ให้เรียบร้อย ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “มาให้ได้นะ พี่รอ รอมานานแล้ว”
เย็นวันนั้น เมื่อเลิกงานคุณซีก็ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้ ที่นั่นเป็นบ้านห้องแถวไม่ต่างกันกับที่ๆ พี่บีเคยอยู่ เมื่อเดินเข้าไปเคาะประตู กลิ่นเหม็นเน่าก็โชยมากระทบจมูก ตอนนั้นคุณซีรู้สึกไม่ดีมากๆ

“พี่บี พี่บี หนูมาแล้ว”

“เข้ามาสิ ไม่ได้ล็อค”

เมื่อได้ยินเสียงพี่บีตอบมาก็โล่งใจ เออ นี่พี่บียังอยู่นินา แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่น เ ห ม็ u เ u่ า ตลบอบอวลก็พุ่งมาประทะใบหน้า คุณซีทนไม่ไหวต้องวิ่งออกไปอาเจียนนอกบ้าน ก่อนจะกลั้นใจเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง

คุณซีเดินเข้าไปในห้องโถงก็พบแต่ความว่างเปล่า จึงตัดสินใจเดินไปเปิดประตูห้องนอน สิ่งที่เห็นทำคุณซีเกือบเสีย ส ๓ิ พี่บีนอนอยู่บนเตียงที่เลอะไปด้วย เ ลื o ด และหนอง ตัวพี่บีเองเอาเล็บมือจิกคว้านลงไปที่อวัยวะเพศ ของตัวเองที่ตอนนี้เป็นแผลลึก และเต็มไปด้วย เลือด และหนอง ยังไม่พอ เมื่อล้วงควักหนองออกมาได้ แกก็เอาหนองเข้าปากทำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ

“พี่บี พี่ พี่เป็นอะไร”

“ซี ซีช่วยพี่ด้วย”

ในขณะที่มือแกควัก เ ลื o ด ควักหนองมากิน แกกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวและน้ำตาไหลตลอดเวลา

“โอยพี่ เดี๋ยวหนูเรียกหมอก่อน”

“ไม่มีประโยชน์ ซีช่วยพี่นะ ตามพี่เอฟมาหาพี่หน่อย พี่ ต ๅ ย ไม่ได้ ถ้าเค้าไม่อโหสิกรรมให้พี่”

เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณซีรีบไปหาคุณเอฟที่บ้าน

“พี่ไม่ไป ทำไมพี่ต้องไป”

“พี่ พี่เชื่อหนูนะ พี่ไปกับหนู ช่วยหน่อยนะพี่”

ไม่ว่าจะขอร้องยังไง คุณเอฟซึ่งยังโกรธ ก็ไม่รับฟัง คุณซีจึงกลับมาบอกพี่บี

“ซี ช่วยพี่เถอะ พี่อยากไปก็ไปไม่ได้ ท ร ม ๅ น เหลือเกิน ช่วยไปบอกเค้าอีกครั้ง”

“เค้าไม่มา ทำไมพี่ต้องให้เค้ามา พี่รู้ได้ยังไงว่าเค้าต้องมาปลดปล่อยพี่”

“ตอนที่พี่เริ่มเป็นแบบนี้ พี่ฝัน พี่เห็นแสงสีทองมีพระเดินมาบอกพี่ว่า ถ้าโยมอยากสงบ อยากหลุดพ้น โยมต้องให้เจ้ากรรมนายเวรมาอโหสิกรรมให้ นะ ซี ช่วยพี่นะ”

คุณซีไม่มีทางเลือกจึงกลับมาที่บ้านคุณเอฟและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“เอาจริงๆ พี่ไม่เชื่อเธอนะ”

“โธ่พี่ พี่ไปพร้อมกันกับหนู หนูขอร้อง หนูกราบพี่นะ” ไม่พูดเปล่าคุณซีก้มลงกราบคุณเอฟ คุณเอฟเริ่มใจอ่อนและตามคุณซีไป ก่อนเข้าบ้านทั้ง 2คน ก็ได้กลิ่น เ ห ม็ u เ u่ า โชยมา เมื่อเปิดห้องไปคุณเอฟก็ได้เห็นภาพแบบเดียวกับที่คุณซีเห็น

“ทำไม เป็นอะไรขนาดนี้”

แต่น่าแปลกใจ เมื่อคุณเอฟเดินเข้ามาในห้อง พี่บีก็หยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วยกมือขึ้นประนม
“สิ่งใดที่บีทำลงไป บีขออโหสิกรรมจากพี่ได้มั้ย ขอร้อง ช่วยปลดปล่อยบีด้วยเถอะ”

คุณเอฟยอมเดินเข้าไปหาพี่บีเอามือวางลงที่หน้าผากและพูดว่า “สิ่งใดที่เธอเคยทำกับชั้นและสามี ชั้นขออโหสิกรรมให้ และขอให้จบกันเพียงแต่ในชาตินี้ ขอให้เธอไปสู่สุคติ” เมื่อคุณเอฟพูดจบพี่บีก็ยิ้ม และหมดลมหายใจ

ทางคุณซีจึงโทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้ามา เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงต่างก็แปลกใจกับสภาพ ศพและกลิ่นเหม็นเน่า

“นี่ตายมากี่วันแล้ว”

“เพิ่งเสียค่ะ”

“ใช่เหรอน้อง สภาพแบบ แล้วตัวอะไรมากัดกิน ศพจนเป็นแบบนั้น”

คุณซีคิดว่า ถ้าเล่าไปก็คงไม่มีใครเชื่อและไม่อยากให้ใครมาขุดค้นเรื่องราวของพี่บีแล้ว จึงเลือกที่จะตอบไปว่าไม่รู้ เพราะอยากให้เรื่องจบแค่ตรงนี้

หลังจากเหตุการณ์นั้นคุณซีก็ไปบวชชีอุทิศส่วนกุศลให้พี่บีและพี่เออยู่สามเดือน แต่ความรู้สึกผิดก็ยังคงไม่เลือนหายไป ทุกวันนี้คุณซีหมั่นทำบุญทำกุศล ทำความดีอยู่เสมอ เพื่อหวังให้บุญกุศลเหล่านั้นไปถึงผู้ล่วงลับทั้งสองคน

ถอดบทความจาก The Ghost Radio ตอน ผิดเพราะรัก เล่าโดย คุณน้ำตาล

The Shock : เลี้ยงผี โดยคุณวัฒน์






เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณสามสิบแปดปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดพิจิตร ในสมัยนั้นถ้าจะทำคลอด ต้องให้หมอตำแยทำให้ และก่อนที่จะทำคลอด ต้องเอาพวกใบหนาดหรือหนามพุทรา มาวางไว้ตามบันได ตามใต้ถุนบ้าน

ในหมู่บ้านจะมียายแก่ๆ อยู่คงนึง ทุกคนในหมู่บ้านสงสัยกันว่ายายได้เลี้ยงผีปอบไว้ที่บ้าน หรือไม่ตัวยายเองก็คือผีปอบ เพราะว่าเวลาที่ใครใกล้จะคลอด ยายจะรู้ขึ้นมาเองทันที

ถ้าบ้านหลังไหนกำลังทำการคลอดตอนกลางวัน ยายจะมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆบ้าน ส่วนบ้านไหนที่คลอดตอนกลางคืน จะเห็นเป็นลักษณะหมาดำ เดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้าน จนชาวบ้านบอกต่อๆกันว่า ถ้าบ้านไหนจะคลอด ก็ให้รู้กันแค่เฉพาะคนในบ้านเท่านั้น ห้ามพูดต่อ เพราะกลัวยายจะมาหา

แม่ของคุณวัฒน์เล่าให้ฟังว่า มีบ้านอยู่หลังนึง ทำคลอดเด็กตอนกลางวัน แล้วจะเอาผ้าที่เปื้อนเลือด ไปซักในคลอง แต่อยู่ๆยายก็วิ่งเข้ามาแย้งผ้าที่เปื้อนเลือดไปจากมือ แล้วพูดว่า เดี๋ยวข้าจะไปซักให้เอง

คนที่สงสัยจึงเดินตามหลังยายไปที่คลอง ปรากฏว่าเห็นยายใช้ลิ้นเลียเลือด ที่ติดอยู่กับผ้า หลังๆมา ยายก็ได้ไปเข้าสิงชาวบ้าน แล้วเดินขึ้นบ้านที่กำลังคลอดเด็ก พยายามจะแย่งเด็กมากิน

แต่คุณตาของคุณวัฒน์พอจะมีวิชาอยู่บ้าง จึงรีบเอาหม้อดินไปคลุมหัวคนที่โดนสิง แล้วใช้ใบมีดโกนขูดที่ก้นหม้อ คนที่โดนสิงจึงล้มฟุบลง พอรุ่งเช้า เส้นผมบนหัวยายไม่เหลือแม้แต่เส้นเดียว ชาวบ้านในละแวกนั้นรู้ขึ้นมาทันที จึงแกล้งถามยายว่าหัวไปโดนอะไรมา ยายตอบว่า เหากินหัว เลยโกนหัว

ยายคนนี้ในเวลากลางคืน จะแข็งแรง เดินยกของ หาบน้ำได้เป็นถัง แต่ถ้าเป็นช่วงเวลากลางวัน จะนอนป่วยอยู่ตลอดเวลา ต้องให้ญาติพี่น้องหรือสามีคอยดูแล ระยะหลังสามีของยายเริ่มจะรู้ว่ายายเลี้ยงผี
จึงได้ไปเตะพวกกระทงใส่อาหาร ที่ยายวางไว้บนโต๊ะบูชาในบ้าน หลังจากนั้นแค่สองวัน สามีของยายก็เสียชีวิตลงในบ้าน คุณแม่ของคุณวัฒน์และชาวบ้านพยายามจะเข้าไปดูศพในบ้าน แต่ก็เข้าไปไม่ได้ เพราะทนกลิ่นไม่ไหว เหมือนศพ ที่เสียชีวิตมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ชาวบ้านจึงคิดว่ายายน่าจะกินสามีของตัวเองไปนานแล้ว

หลังจากนั้น เวลาที่บ้านไหนจะทำคลอด จะต้องมีคนคอยยืนคุมอยู่หน้าบ้าน ถ้าเจอสุนัขดำเดินเข้าใกล้บ้าน ก็จะช่วยกันไล่ตี จนสุนัขวิ่งหนีหายเข้าไปในบ้านของยาย

เคยมีชาวบ้านขุดหลุมดักเอาไว้ พอตกกลางคืน เห็นสุนัขดำเดินเข้าใกล้บ้าน จึงได้ช่วยกันต้อนจนไปตกหลุมที่ขุดดักเอาไว้ จากนั้นก็ช่วยกันเอาไม้สากตำลงไปในหลุม แล้วกลบดินทับลงไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงคนพูดดังออกมาจากในหลุมดินว่า อยาก อยาก หิว อยาก

วันหนึ่ง คุณพ่อของคุณวัฒน์ได้ไปหาจับปลาแถวๆกลางทุ่งหน้า ในเวลากลางคืน โดยถือตะเกียงไปแค่อันเดียว ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างเดินตามหลังมาไกลๆ หันไปดูก็มีแต่ความมืด พอคุณพ่อเดินต่อ เสียงที่เดินตามมาจากด้านหลังก็ดังขึ้น แต่พอคุณพ่อหยุดเดิน เสียงก็เงียบลง

คุณพ่อไม่สนใจ เดินหาปลาต่อไปเรื่อยๆ จนเสียงด้านหลังใกล้เข้ามาทุกที จึงรีบหันกลับไปดู เห็นเป็นสุนัขดำ ยืนจ้องหน้า น้ำลายไหลยืดออกจากปาก แต่คุณพ่อไม่กลัว จึงถือตะเกียงวิ่งไล่

ปัจจุบัน ลูกสาวของยายก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ชาวบ้านคิดว่าน่าจะรับขันต่อมาจากยาย แต่เดิมครอบครัวของยายไม่ใช่คนจังหวัดพิจิตร แต่ย้ายมาจากจังหวัดลพบุรี

คุณแม่เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่ยายอาศัยอยู่ ก่อนที่จะย้ายมาจังหวัดพิจิตร ชาวบ้านจะเลี้ยงผีกันเยอะ วีธีการเซ้นผี จะใช้ควายที่หูยาวเท่ากับเขา แล้วจุดธูปปักลงกลางดิน ธูปไหม้หมดดอกเมื่อไหร่ ควายจะล้ม ตายลงคาที่

และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

บทความจาก The Shock เรื่อง เลี้ยงผี เล่าโดยคุณวัฒน์

The Ghost Radio : ศาลอาถรรพ์แคมป์ผวา โดย คุณปาง






เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณสวนที่เล่าให้คุณฟางฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยของมอญและเขมร คุณปางเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ภายในแคมป์คนงานก่อสร้างแถวจังหวัดปทุมธานี คุณสวนเพื่อนของคุณปางเป็นชาวกัมพูชา และเป็นหัวหน้าคนงานกัมพูชาอีกที คุณสวนมีลูกน้องประมาณ 30 คน นอกจากกลุ่มคนงานชาวกัมพูชาแล้ว ในแคมป์ยังมีคนงานอีกหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น คนลาว คนมอญ ต่างก็มีหัวหน้าดูแลอยู่

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหัวหน้าคนงานชาวมอญเอาลูกสาวมาทำงานและอาศัยอยู่ในแคมป์ ด้วยความที่เด็กสาวเป็นคนสวย รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณดี ทำให้มีหนุ่มๆ คนงานมาติดพันหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือ หนุ่มชาวกัมพูชา ที่เป็นลูกน้องของคุณสวน

ลูกน้องคุณสวนตามจีบเด็กคนนั้นอยู่นาน แต่เธอก็ไม่สนใจ แถมยังให้ความสนิทสนมเทียบเท่ากับทุกคน จนทุกคนคิดว่าไอ้หนุ่มน่าจะถอดใจไปแล้ว แต่เหตุการณ์มันกลับตาลปัตร เมื่อลูกน้องคุณสวนขอลากลับบ้านที่กัมพูชา และกลับมาทำงานที่แคมป์อีกครั้ง

เมื่อลูกน้องคุณสวนกลับมา ทุกคนก็ต้องแปลกใจกับท่าทีของเด็กสาวที่เปลี่ยนไป เพราะเธอให้ความสนิทสนมกับหนุ่ม จนถึงขั้นยอมไปดูหนังด้วยกันสองต่อสอง และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ เด็กสาวคนนี้ไม่ยอมไปทำงาน แต่มาขลุกอยู่ที่ห้องของหนุ่ม ไม่ว่าพ่อของเด็กจะบอกและเตือนยังไงก็ไม่รับฟัง จนพ่อของเด็กรู้สึกผิดสังเกตในพฤติกรรมของลูก เพราะโดยปกติแล้ว ลูกสาวจะเป็นเด็กขยันและว่านอนสอนง่าย

พ่อของเด็กรู้สึกร้อนใจมาก จึงโทรศัพท์ไปหาเมียและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผ่านไป 3 วัน แม่ของเด็กก็เดินทางมาถึงแคมป์คนงาน แต่พอมาถึง คนเป็นแม่ก็ไม่พูดจากับใคร เดินตรงไปยังต้นตาลและต้นโพธิ์ที่อยู่กลางแคมป์คนงานทันที

เมื่อเดินไปถึงตรงนั้น เธอก็สั่งให้คนงานชาวมอญไปหาสังกะสีและไม้มาให้ น่าแปลกที่บริเวณนั้นมีเศษไม้อยู่มากมาย แต่เธอต้องการให้ออกไปซื้อไม้จากของนอก และต้องเป็นไม้เก่าเท่านั้น

สักพักคนงานชาวมอญก็กลับมาพร้อมกับไม้สีดำเลื่อม 1 ท่อน เธอสั่งให้คนงานประกอบไม้เป็นบ้านหลังเล็กๆ คล้ายศาลเพียงตา และนำสังกะสีมาปิดเป็นผนัง ตั้งเป็นศาลอยู่หน้าต้นตาลโดยวางชิดกับต้นตาล พอตั้งศาลเรียบร้อย เธอก็นำดินบริเวณต้นตาลขึ้นมาปั้นเป็นหุ่นตัวเล็กๆ เป็นหุ่นผู้ชายถักเปีย แล้วเธอก็วางหุ่นและถุงผ้าขนาดย่อมๆ ที่นำติดตัวมาไว้ในศาลนั้น และเริ่มทำพิธี วางขันธ์แปด พร้อมกับบริกรรมคาถา ไม่นานเด็กสาวก็วิ่งออกมาเหมือนคนเสียสติ มาหยุดนั่งคุกเข่าตรงหน้าศาล ทางแม่ก็นำหมากส่งให้เด็กสาวเคี้ยว แต่ในขณะนั้นก็ไม่ได้หยุดท่องคาถา สักพักเด็กสาวก็อาเจียนออกมา แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากนั้น ไม่ใช่ของปกติทั่วไป มันเป็นกอง เ ลื อ ด สีคล้ำๆ ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างความตกใจให้กับทุกคนรวมถึงคุณสวนด้วย

เมื่อเด็กสาวอาเจียนออกมาจนหมด แม่ของเธอก็สั่งให้คนงานนำตัวลูกสาวไปพักผ่อนในห้องพัก ส่วนตัวเองก็ยังทำพิธีต่อ โดยให้พ่อของเด็กเป็นคนอาบน้ำ แต่น้ำที่เอามาใช้อาบนั้น กลับเป็นเพียงน้ำซาวข้าวขันเดียว โดยให้ลูกสาวยืนคร่อมกะละมังไว้และให้เทน้ำซาวข้าวรดตัว ส่วนน้ำที่ตกลงมาจากตัวพ่อ ให้นำมาให้เด็กสาวอาบต่ออีกครั้ง

แต่พอแม่ของเด็กทำพิธีจนเสร็จ ไอ้หนุ่มก็วิ่งโวยวายมาที่แคมป์คนงานมอญ

"พวกมึงมายุ่งอะไรกับเมียกู เอาเมียกูคืนมา จะเอาอะไรกูจะหาให้"

พ่อของเด็กยังใจเย็น แล้วบอกว่า "กูไม่เอาอะไรทั้งนั้น มึงมาทำของใส่ลูกกูทำไม"

"กูไม่ได้ทำ เค้ารักกู เอาเมียกูคืนมา"  ไอ้หนุ่มโวยวายไม่หยุด และวิ่งไปเอาผ้าถุงมาคลุมศาล แล้วมันก็ถีบไปที่ศาล และท้าทายว่า "มึงแน่มากเหรอ แน่จริง มึงมาเจอกู"

ตอนนั้นคุณสวนเองกลัวเรื่องราวจะบานปลาย จึงให้คนงานไปแยกไอ้หนุ่มกลับไปที่แคมป์ของตัวเองก่อน

ผ่านไปหลายวัน เด็กสาวก็หายเป็นปกติ และกลับมาขยัน เชื่อฟังคนเป็นพ่อเหมือน แต่กลายเป็นไอ้หนุ่มลูกน้องของคุณสวน นอนซมไม่ไปทำงาน พอคุณสวนไปตามที่ห้องพักก็ไม่เจอ แต่กลับไปเจอมันนั่งอยู่ที่ศาลเพียงตา คุณสวนเห็นไอ้หนุ่มกำลังก้มกราบศาล แล้วสักพักมันก็เอาหัวของตัวเองกระแทกเข้าไปที่ศาล จนหัวของมันทะลุก็ไปชนกับต้นต้นตาลที่อยู่ด้านหลังของศาล

พอคุณสวนตั้งสติได้ ก็วิ่งไปดึงตัวไอ้หนุ่มออกมา แต่ก็สู้แรงมันไม่ไหว ส่วนไอ้หนุ่มก็ยังนั่งเอาหัวตัวเองกระแทกไปที่ต้นตาลจน เ ลื อ ด ไหลเต็มไปหมด คุณสวนจึงไปตามคนงานให้มาช่วย แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปดึงตัวไอ้หนุ่ม จนไอ้หนุ่มค่อยๆ หันกลับมาเก็บเศษสังกะสีที่หลุดออกมาจากตัวศาล แล้วก็เอามา ก รี ด ตามร่างกายของมัน ตอนนั้นคุณสวนก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจให้มาช่วยเอาตัวมันไปส่งที่โรงพยาบาล

วันรุ่งขึ้น คุณสวนก็ไปรับไอ้หนุ่มกลับจากโรงพยาบาล และติดต่อให้ญาติของมันมารับตัวกลับกัมพูชา แต่ระหว่างที่รอญาติไอ้หนุ่มมาถึง คุณสวนก็ไปนอนเฝ้ามันด้วยตัวเอง กลางคืนนั้น ระหว่างกำลังเคลิ้มๆ หางตาคุณสวนก็เหลือบไปเห็นไอ้หนุ่มลุกขึ้น แล้วเดินไปทางประตู ใจก็คิดว่า มันคงไปห้องน้ำ สักพักคุณสวนก็ฉุกคิดได้ว่าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู คุณสวนจึงลุกขึ้น แต่สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้าก็คือ ร่างของไอ้หนุ่มยังนอนอยู่ที่เดิม คุณสวนจึงตัดสินใจเปิดประตู มองไปทางศาล แต่สิ่งที่เห็นทำให้คุณสวนสติเกือบหลุด เพราะไอ้หนุ่มที่นอนอยู่ในแคมป์ แต่ที่เห็นอยู่หน้าศาลก็เป็นไอ้หนุ่มเช่นกัน คุณสวนเห็นมันกำลังนั่งกราบไปที่ศาล และมีผู้ชายร่างใหญ่ตัวดำถักเปียยืนอยู่ข้างๆ พอคุณสวนเห็นแบบนั้น ก็รีบปิดประตูและลงมานอนเหมือนเดิม

เช้ามา ไอ้หนุ่มก็ยังนอนซมเหมือนเดิม จนคุณสวนต้องรีบโทรไปเร่งญาติ เพราะคิดว่าเค้าน่าจะเอาถึง ตายแน่ๆ ต้องรีบแยกมันออกไปก่อน แต่หลังจากที่ญาติของไอ้หนุ่มมารับตัวกลับไป คุณสวนก็ได้ข่าวว่ามันไปเสียชีวิตที่กัมพูชา พ่อของไอ้หนุ่มเล่าให้ฟังว่า มันเอาหัวจุ่มโอ่ง ต า e ซึ่งก่อนที่มันจะ ต า e ทางบ้านก็เอาหมอมาทำพิธีให้ แต่หมอบอกว่า ไอ้หนุ่มไปทำของแรงใส่ผู้หญิง พวกหุ่นพยนต์ ฝังรูปฝังรอย อีกทั้งแคมป์คนงานก็ขุดพบตะกรุดเครื่องรางของขลังที่ติดตัวไอ้หนุ่มไหลปนมากับสิ่งปฏิกูล โสโครกต่างๆ

คุณปางและคุณสวนเลยมองว่า ของที่ทำน่าจะเข้าตัว เพราะไม่เช่นนั้น ไอ้หนุ่มคงไม่มีทางถอดของที่เคารพนับถือที่ได้มาจากบรรพบุรุษทิ้งแน่นอน

ทุกวันนี้ศาลเพียงตาไม้ดำสังกะสี ได้เปลี่ยนเป็นศาลหินอ่อนสวยงามและสิ่งที่อยู่ในศาลนั้นก็ยังเป็นรูปปั้นชายถักผมเปีย และห่อผ้าเก่าๆ ซึ่งภายในห่อผ้านั้น คุณสวนได้ไปสอบถามกับหัวหน้าคนงานชาวมอญที่เป็นพ่อของเด็กสาว เขาจึงเปิดให้ดู คุณสวนก็เห็นข้างในห่อเป็นซากมือดำๆ เหี่ยวๆ เคลือบด้วยขี้ผึ้ง
พ่อเด็กสาวก็บอกว่า นี่เป็นร่างกายของบรรพบุรุษที่นำมาเก็บรักษา และทำพิธี เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับคนในครอบครัว ยายของเด็กสาวจึงให้นำสิ่งนี้มาเพื่อช่วยเหลือลูกหลาน

เรื่องทั้งหมดก็มีประมาณนี้
บทความจาก The Ghost Radio เรื่อง ศาลอาถรรพ์แคมป์ผวา เล่าโดย คุณปาง
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .