เรื่องนี้เจ้าของกระทู้ได้ทำสัญญามีลิขสิทธิ์ตามกฏหมายแล้วนะคะ หากมีผู้ใดนำไปแก้ไขดัดแปลงหรือ กระทำเพื่อผลประโยชน์ใด โดยไม่ได้รับอนุญาติจะถือว่าผิดกฏหมายคะ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ ชื่อเบลนะคะ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง ที่เพื่อนชื่ออั้มเจอมากับตัว ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึก แต่ก็ต้องขอให้ผู้อ่านใช้วิจรณญาณในการอ่านค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยืดเยื้อมากว่า 3 ปี จนเพิ่งจะมีจุดจบไปเมื่อไม่นานมานี้ เบลเลยคิดว่าน่าจะเอามาเขียนดีกว่า เบลจะพยายามลำดับเหตุการณ์ ให้รู้เรื่องที่สุดค่ะ จะอ่านซ้ำๆหลายๆรอบก่อนค่อยนำมาลง เรื่องนี้ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อนนะคะ ถ้าใครไม่เชื่อก็อ่านเป็นบันเทิงไปก็แล้วกันนะคะ
เรื่องนี้มันเริ่มต้นเมื่อ 3ปีที่แล้ว...
เบล จิ๊บ อั้ม เตย เป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่สมัยม.ปลายค่ะ เราจบมาก็เรียนมหาลัยต่างกัน เบลมาเรียนที่เชียงใหม่ จิ๊บ อั้ม เตยก็เรียนมหาลัยในกรุงเทพค่ะ แต่คนละที่กันหมดเลย เราก็ติดต่ออัพเดทเรื่องราวกันเป็นประจำ มิทติ้งกันบ่อยค่ะ
อั้มกับเบล จะสนิทกันมากๆ กว่าคนอื่นๆ เวลามีอะไรเราจะพูดกัน2คนก่อน แต่จริงๆทุกๆคนมีอะไรก็มาเล่าให้เบลฟังนะ เพราะเหมือนกับว่าเรา รับฟังได้ เป็นผู้ฟังที่ดีค่ะ ตอนนั้นอยู่ปี3 จิ๊บคบอยู่กับผู้ชายคนนึง เราเองก็เคยเจอเค้า2ครั้งตอนไปกรุงเทพหลังๆได้ข่าวมาว่า สองคนนี้ทะเลาะกันตลอด มีปัญหากันประจำเลย แต่ก็ยังคบกันอยู่
ครอบครัวจิ๊บเป็นคนจีนหัวเก่า คาดหวังกดดันจิ๊บมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แบบออกไปไหน ไม่ค่อยได้ เรียนก็ต้องได้เกรดดีๆ จำได้ว่าตอนม.6 จิ๊บยังถูกที่บ้านตี ขึ้นแนวที่น่องอยู่เลยอ่ะ จิ๊บเลยเป็นคนจริงจังกับทุกๆเรื่อง เรื่องเรียนนี่ปรึกษานางได้ นางเก่งฉลาด ส่วนอั้มเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ เข้ามาอยู่หอในกรุงเทพตั้งแต่ม.ปลาย ค่อนข้างห่างๆกับที่บ้าน แล้วก็คบกับแฟนมาตั้งมอต้นแหน่ะ!! ยาวนานมากๆ อั้มเป็นคนที่สวยนะ สวยที่สุดในกลุ่มเลย
แต่นางก็มีแฟนที่คบกันมานาน ผู้ชายที่ไหนก็เลยหมดสิทธิ์
ส่วนเตยนี่ไม่ค่อยอัพเดทค่ะ ติดเพื่อนใหม่ตอนเข้ามหาลัย จริงๆตัดไปก็ได้นะ แต่ก็อยากเล่าจะได้ครบๆ
วันนึงจิ๊บโทรหาเรา ตอนดึกๆร้องไห้ใหญ่โต บอกว่าเลิกกับแฟนแล้ว เสียใจมากแล้วก็เล่าว่า จิ๊บเอาเงินลงทะเบียนที่ ที่บ้านให้มาไปให้แฟน เพื่อช่วยเหลือเค้าเกี่ยวกับเรื่องเมาแล้วขับ แต่พอได้เงินประกันคืนมา แฟนจิ๊บก็ไม่ยอมคืนสักทีค่ะ แล้วก็มีปัญหาเรื่องผู้หญิงคนใหม่ด้วย
สุดท้ายไปจับได้แบบค่าหนังคาเขา จิ๊บเครียดมากๆ เราก็ถามว่าอยู่ไหน จิ๊บบอกว่าอยู่บ้านอยู่บนห้อง ไม่รู้จะหาเงินจากไหนลงทะเบียนด้วย เสียใจเรื่องแฟนด้วย
เราก็ได้แต่ปลอบๆ ตอนนั้นก็เครียดแทนเพื่อน เราก็ไม่มีเงินเยอะๆให้ยืมหรอก คุยกันปลอบจนนางสงบลง ก็วางสายไป คืออีกวันนึงเรา ต้องขึ้นดอยไปค่ายอาสา โทรศัพเราจะติดต่อไม่ได้ด้วย แต่เราก็ส่งข้อความบอกให้ใจเย็นๆ ค่อยคิดนะ แต่ก็ไม่นึกว่าเหตุการณ์ที่เราต้องไปค่ายอาสา จะเป็นจุดเปลี่ยน
เมื่ออั้ม มีปัญหากับแฟนที่คบกันมายาวนาน ด้วยเรื่องที่ยืดเยื้อ ทั้งเรื่องที่อั้มเข้ากับครอบครัวแฟนไม่ได้เลยมานานแล้ว แล้วก็แฟนอั้มก็มีคนใหม่เข้ามา อั้มเองก็เสียใจ เพราะตัวเองเกิดมาก็มีแฟนมาคนเดียว แฟนคนแรก เลยยิ่งเสียใจมาก อั้มพยายามโทรหาเราในวันนั้น แต่ไม่ติด พอติดต่อเราไมได้ อั้มเลยโทรหาจิ๊บ จิ๊บเองก็เศร้าอยู่ก็เลยบอกว่าให้มาหา อยู่ด้วยกันก่อน อั้มก็ไปหาจิ๊บที่บ้าน คนสองคนคุยกัน เล่าเรื่องราวที่เจ็บปวดของกันและกัน ร้องไห้ด้วยกัน มันยิ่งหดหู่ คิดกันไปต่างๆนานาๆ ไม่มีสติกันเลย เหตุการณ์ยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก เมื่อน้องก้อง น้องชายของจิ๊บได้ยินเรื่องเงินลงทะเบียนก็เลยเอาไปฟ้องป๊า ป๊ากับม๊าก็ขึ้นมาตะโกนด่าๆๆๆๆ เสียหาย ว่าเลี้ยงเสียข้าวสุกบ้าง ใจแตกบ้าง เอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายบ้าง ไล่ออกจากบ้านไปทั้งมุงกะเพื่อนมุงบ้าง บลาๆๆๆๆ
จิ๊บกับอั้มกอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง จิ๊บ บอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยู่แล้ว ทนไม่ไหวแล้ว
อั้มเองก็รู้สึกน้อยใจคล้อยตามกันตอนนั้น บอกว่าอั้มเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน ตอนนั้นต่างคนต่างอยากตาย เหมือนกับหาทางออกไม่ได้
จิ๊บบอกอั้มว่า “ดีใจนะที่เกิดมาเป็นเพื่อนแก อย่างน้อยตอนตายก็ยังมีแกตายเป็นเพื่อนสัญญาว่าชาติหน้าจะเป็นเพื่อนแกอีก เราคงเกิดมาโชคดีกว่านี้ ”
ส่วนอั้มก็บอกไปว่า “ชั้นก็ต้องขอบใจแก เราตายไปคงจะดี เราคงจะไม่รู้สึกเสียใจอีก” ตอนนั้นอั้มถามจิ๊บว่าเราต้องเขียนจดหมายถึงใครไว้ก่อนมั้ย จิ๊บก็บอกว่าไม่ แล้วก็เอาผ้าปูที่นอน ดึงออกมาตัดเป็น2ผืนยาวๆ แล้วใช้เก้าอี้ปีน ขึ้นไปมัดกับ คานห้อง เป็น2 อัน ของจิ๊บกับของอั้ม
แต่ตอนนั้น ที่จิ๊บกับลังเตรียมๆ อั้มเองก็รู้สึกหวิวใจขึ้นมาว่า คิดถึงพ่อแม่ แล้วก็รู้สึกกลัวๆ ที่จะต้องตาย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร สถานการณ์ตอนนั้นดูตึงเครียดไปหมด ในห้องมีเก้าอี้ตัวเดียว จิ๊บออกไปเอาเก้าอี้ มาอีกตัวข้างนอก ตอนนั้น อั้มมองผ้าปูที่นอนที่แขวนอยู่ แล้วก็ยิ่งกลัว
จนจิ๊บเข้ามา ล็อคห้อง บอกว่าพร้อมแล้ว จิ๊บกอดอั้ม แล้วจิ๊บก็ขึ้นไปบนเก้าอี้ อั้มก็ขึ้นไปด้วย ต่างคนต่างร้องไห้ฟูมฟาย อั้มพูดไม่ออกเหมือนอะไรจุกอยู่ที่คอ จิ๊บบอกว่า ลาก่อนแก ลาก่อนในชาตินี้
อั้มก็เอาแต่ร้องไห้ จิ๊บเลยบอกว่า ไม่ต้องกลัว มันเจ็บไม่นาน แต่ถ้าเราอยู่ต่อ เราคงเจ็บ ไปอีกไม่รู้จบ
อั้มบอกจิ๊บว่า “ชั้นกลัวอ่ะแก” จิ๊บบอกว่า”อย่ากลัวเลย ชั้นไม่ทิ้งแก ตายไปแล้วเราก็อยู่ด้วยกัน ”
หลังจากนั้น จิ๊บก็บอกว่า พร้อมนะ ตอนนั้น ต่างคนต่างเอาคอตัวเอง ไปที่ห่วงผ้า อั้มเองก็คิดว่าเอาวะ ตายดีกว่าอยู่ ตอนนั้นก่อนที่จะปล่อย มือแล้วดันเก้าอี้
จิ๊บหันมาบอกว่า”แกอย่าให้ชั้นตายคนเดียวนะ สัญญานะ” อั้มยืนมือไปเกี่ยวก้อยสัญญา แล้วจิ๊บก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในห่วงผ้านั้นแล้วถีบเก้าอี้ออก
อั้มเองก็ทำเหมือนกัน แต่ด้วยความที่กลัวเลยเอาคางพาดผ้าแบบหมิ่นๆ มือก็เกร็งไม่กล้าปล่อยผ้า คอก็ถูกรัดตามน้ำหนังแต่ก็ยังมีมือช่วยยึดแรงไว้ อั้มเห็นจิ๊บดิ้นพลาดๆ ตาเหลือกขาถีบไปถีมมาโดนอั้มด้วย อั้มร้องไห้ไม่กล้าปล่อยมือที่สั่นๆ จะหมดแรง อั้มพยายามยึดผ้าแล้วพูดว่าจิ๊บ ไม่ไหวแล้วแกชั้นไม่ไหว ชั้นกลัว จิ๊บเกร็งๆไปทั้งตัวแล้วละตอนนั้น สุดท้ายอั้มเอาผ้าออกจากคอแล้วปล่อยตัวตกลงมาดังตุ๊บ!!
แล้วก็พยายามไปช่วยจิ๊บที่นิ่งไปแล้ว คนข้างล่างของบ้านจิ๊บได้ยินเสียง เลยขึ้นมาเคาะ อั้มรีบเปิดประตู ป๊าม๊าของจิ๊บตกใจเสียงดัง ช่วยกันเอาตัวจิ๊บลงมา อั้มยืนตรงนั้นตัวแข็ง แว๊บที่หน้าจิ๊บนั้นน่ากลัวมากๆ จนไม่กล้ามอง
ป๊าม๊าพาจิ๊บออกไป รพ. ม๊าหันมาบอกว่าเดี๋ยว กูค่อยมาคุยกับเมิง แล้วพากันรีบไป อั้มร้องไห้ มองห้องนั้นกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วออกไป ตอนนั้นอั้มพยายามโทรหาเรา ก็ติดต่อไม่ได้ อั้มไม่กล้าตามไปที่ รพ. แล้วก็นั่งรถกลับไปที่หอตัวเอง
ตอนนั้นอั้มเครียด และกลัวมากๆ สุดท้ายเลยเลือกที่จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไม่มีใครโทรมาบอกข่าวเรื่องจิ๊บเลยในวันนั้น พออั้มถึงบ้านก็ร้องไห้แต่ก็ไม่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ที่บ้านฟัง แม่ก็ได้แต่ปลอบๆ แบบไม่รู้เรื่องราว
เช้าของอีกวัน ตอนนั้นเราลงมาจากดอย พอรถออกจากเขา
สัญญาณมือถือเพิ่งจะมาได้ข้อความสายที่ไม่ได้รับเต็มเลย ของอั้มเยอะสุด เราก็รีบโทรหาอั้ม
อั้มรับสายแล้วร้องไห้เสียงหลงเลย ตอนนั้นเราตกใจมากๆ มันเป็นเสียงร้องไห้ที่ เราไม่เคยได้ยินอั้มเป็นแบบนี้มาก่อน พอตั้งสติได้ ก็เล่าทุกอย่างให้เราฟัง เราช็อคไปเลยตอนนั้น แบบมือชาตัวชา เพื่อนๆในรถตู้เงียบกันหมด
อั้มบอกว่า ให้เรามากรุงเทพได้มั้ย อั้มเครียดมากๆ จะนั่งรถไปกรุงเทพนะเพื่อมาเจอเรา เราก็โอเค พอเข้าตัวเมือง เราลงที่ขนส่งเลย ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไมได้พัก ฝากกะเป๋าเสื้อผ้าที่ไปค่ายไปไว้กับเพื่อนที่มาด้วยกัน แล้วก็นั่งรถไปกรุงเทพ ระหว่างทางอั้มก็โทรมาตลอด อั้มบอกให้เราโทไปหาจิ๊บให้หน่อย อยากรู้ว่า เป็นยังไงบ้าง ไม่มีใครโทรมาที่อั้มเลย
เราก็กล้าๆกลัวๆ แต่ก็ลองโทรไปที่เบอร์จิ๊บ สายแรก สายที่สอง ไม่มีคนรับ โทรไปครั้งที่สาม มีคนรับ เป็นเสียงม๊าจิ๊บ เราเลยถามว่า แม่คะจิ๊บเป็นไงบ้างคะ อั้มเล่าให้ฟังแล้วคะ ม๊าร้องไห้บอกว่าก็พวกมันพากันตายไม่ใช่หรอ จิ๊บมันไปแล้ว อยากตายกันนักหนิ ได้ตายสมใจ ถ้าจะมางานก็มาได้นะ แต่อีอั้มไม่ต้องให้มันมาไม่อยากเห็นหน้ามัน ฮือๆๆ
ตอนนั้นเราก็ร้องไห้ น้ำตาไหลที่เพื่อนเราเสียไป ทั้งๆที่เพิ่งจะโทรคุยกันเอง เราก็บอกไปว่าคุณแม่ เบลเสียใจด้วยด้วยจริงๆค่ะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะคะ พูดไม่ทันจบม๊าก็วางสาย เราปิดหน้าร้องไห้บนรถทัวร์ ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้
ตอนนี้นั้นไม่กล้าโทรไปบอกอั้ม อั้มโทรเข้ามา เรายังไม่พร้อมจะรับ เลยส่งข้อความไปบอกว่าเจอกันที่หอ แบทจะหมด แล้วเราก็นั่งรถจนถึงกรุงเทพ
พอมาถึงห้องอั้ม ก็เงียบๆ ไม่มีใครร้องไห้ ก่อน เราเลยบอกว่า จิ๊บเสียแล้วแก เดี๋ยวชั้นคงไปงานอ่ะ
แกละแม่จิ๊บดูเหมือนโกรธแกมาก อั้มน้ำตาซึมๆ แล้วบอกว่า ชั้นไม่กล้าไป ทำไงดี ชั้นไม่น่าคิดตายกับจิ๊บเลย
เราเลยบอกว่าเรื่องมันเกิดแล้วก็ต้องพยายามเดินไปข้างหน้า ทำบุญให้จิ๊บกันเยอะๆ ทุกคนเสียใจกันหมดแหละ
แล้วอั้มก็ไม่ไปงาน จนวันเผาที่วัดอั้มก็ไปกับเรา แต่หลีกเลี่ยงการเจอญาติของจิ๊บ เพื่อนๆทุกคนที่รู้เรื่องก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครรู้เรื่อง อั้มกับจิ๊บ มีแค่เรากับครอบครัวจิ๊บที่รู้
เหตุการณ์คราวนั้นผ่านไปประมาณ 4เดือน อั้มก็ใช้ชีวิตปกติ เราก็ใช้ชีวิตปกติ แล้วอั้มก็ฝันร้ายเกือบทุกคืน นอนไม่หลับ เวลาต้องมาเรียนตอนเช้า อั้มจะอิดโรยมากๆ หลายครั้งที่มีคนอื่นทักอั้มแปลกๆ เช่นเวลาไปไหนคนเดียว ชอบมีคนพูดมาว่า2คนบ้าง บ้างครั้งนั่งแทกซี่ก็โดนแทกซี่แซวตอนจ่ายเงินลงรถว่า นั่งเงียบกันมาตลอดทางบ้าง อั้มก็ไม่ได้เอ่ะใจมาก
แล้วอั้มก็มีแฟนใหม่ ชื่อยู ยูกับอั้มก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่อพาทเม้น คืนแรกที่นอนที่นั่น อั้มอึดอัดหายใจไม่ออก ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็เห็นเหมือนมีใครอยู่ในห้อง อั้มก็กลัวมากพอเปิดไฟก็ไม่มีอะไร ยูเองก็บอกว่ารุ้สึกแปลกๆ ยังแอบพูดเล่นๆว่าสงสัยเจ้าที่แรง วันต่อมาเลยเอา ดอกไม้ไปไหว้ศาลที่หน้าอพาทเม้น แต่แล้วก็เหมือนมีความไม่ปกติในห้องตลอด เสื้อผ้าถูกรื้อ ผ้าปูที่นอนขาด บ้าง จนต้องไปขอดูวงจรปิดว่ามีใครงัดห้องรึเปล่าแต่ก็ไม่มี ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
วันนึง อั้มไม่อยู่ห้อง ยูชวนเพื่อนมาเล่นเกมที่ห้อง พอเพื่อนเปิดประตูเข้ามาก็พูดว่า อ้าวไหนว่าเมียเมิงไม่อยู่ไง ยูก็บอก ก็ไม่อยู่ไง ? เพื่อนก็บอกว่าอ้าวเห็น ผญ ที่ระเบียง พอเดินไปดูก็ไม่มี วันนึง อั้มกับยูนอนอยู่ในคืนนึง มีแสงจากข้างนอกรอดเข้ามาในห้องนิดๆ
อั้มตื่นมาเพราะนอนไม่หลับ ความรู้สึกเหมือนเห็นอะไรอยู่ที่หางตา ทำให้ขนลุกจนไม่กล้าหันไป แล้วก็ปลุกยูให้เปิดไฟนอน อั้มกับอยู่อยู่กับความนอนไม่หลับ จนตาเป็นแพนด้าทั้งคู่ ทั้ง2คนว่าจะย้ายออกสิ้นเดือน เพราะคิดว่า ห้องนี้คงมีประวัติไม่ดีแน่ๆ จนร้ายแรงที่สุดในวันที่อั้มออกไปเที่ยวปาร์ตี้กับเพื่อนผญ
ยูโทรมาหาแล้วพูดแบบไม่เป็นภาษาว่าไม่อยู่แล้ว ย้ายเหอะ นี่ยูอยู่ข้างนอก เมื่อกี้เห็นผู้หญิงนั่งอยู่ บนตู้เสื้อผ้า น่ากลัวไม่ไหวแล้ว อั้มกลับมาหายู ทั้งสองย้ายห้องกันในตอนเช้า แต่ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอ แต่เรื่องตลอด อั้มก็แทบไม่ได้นอนเหมือนเดิม จากผญ สวยๆก็โทรม ผอม ไม่สบายบ่อย จนเพื่อนๆแปลกใจ อั้มก็โทรมาเล่าให้เราฟังตลอด เราก็ได้แต่บอกให้ทำบุญมากๆ เดี๋ยวปิดเทอมเจอกัน
จนอั้มถามยูถึงลักษาณะของ ผญ ที่ยูเห็น เพราะ ยูยืนยันว่า เห็นคนๆเดียวกันตลอด พอยูอธิบายลักษณะ หน้าตา เสื้อผ้า อั้มก็ยิ่งช็อคเพราะเป็นแบบที่คิดไว้ลึกๆอยู่แล้วว่านั่นคือจิ๊บ....
จากนั้นไม่นาน ยูก็เลิกกับอั้ม เพราะพอรู้เรื่องก็รับไม่ไหว อั้มถูกจิ๊บตามไปทุกที่ อั้มพยายามไปทำบุญ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ หลายต่อหลายที่ ก็ยังเหมือนเดิม ยังคงไม่สามารถนอนหลับได้ ไม่ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน ก็เจอเหตุการณแปลกๆ มีแฟน แฟนก็จะโดนหลอกจนเลิกกันไป เหตุการณ์เป็นแบบนั้นอยู่นานพอดู อั้มกลายเป็นผญโทรม ไม่มีราศีเลย เรามาเจออั้ม ตอนช่วงปิดเทอม ของปี4เทอมแรก ก็ยิ่งสงสาร ตอนนั้นจำได้ว่า วัดไหนดังๆ เรื่องการทำบุญ เรื่องวิญญาณก็ไปหมด
เรากับแฟนเราพาไปทุกที่ เท่าที่ทำได้ หลายๆที่ก็ทายแม่นนะ เรื่องคำสัญญา ที่ให้เอาไว้ คือจิ๊บจะให้อั้มไปอยู่ ให้อั้มตายไปด้วยกันอย่างที่คิดไว้ สุดท้ายมีหลวงพ่อท่านนึง แนะนำให้อั้มบวช ชีอุทิศบุญให้เค้าไปเกิด พยายามทำให้เค้าเลิกยึดติดคิดแค้น แต่อั้มก็กำลังจะจบ ตอนนั้นเลยยังไม่ยอมบวช เพราะหลวงพ่อท่าบอกให้บวชเต็มตัวคือโกนผมเลย แต่ไม่ถึง3วันอั้มกลับมาที่วัด ยอมบวช โกนหัว เพราะผ้าปูที่นอนขาดเป็น2ชิ้นอีกแล้ว ตอนนั้นเราก็อยู่ด้วย ตอนแม่ชีบวช
แม่ชีอั้มบวชอยู่เดือนแรก เรามาเยี่ยม ท่านก็บอกว่า สุขใจดีขึ้นมาก ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย สวดมนต์ถือศีล อุทิศให้จิ๊บทุกวัน แล้วก็เหมือนว่าจะบวชต่อไปอีกสักระยะ เราเองก็ดีใจด้วย ตอนนั้นก็โทรไปบอกแม่อั้ม เรื่องอั้มบวช แม่แกก็ งง เพราะอั้มไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังเลย แม่อั้มก็มาเยี่ยมที่วัด และก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด จากเราและแม่ชีอั้ม
แม่ก็เป็นห่วง แต่ก็เห็นด้วยที่จะให้บวชต่อ เพราะวิบากกรรมที่เจอมานั้น หนักเหลือเกิน แม่ชีอั้มบอกว่ามันน่ากลัวว่าในหนังที่ดู เรื่องวิญญาณเรื่องผีสาง เพราะ เหตุการณ์จริงความรู้สึกที่มันไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่มันแย่มาก สิ่งที่ต้องกลัว หวาดระแวงแฟนก็อยู่ไม่ได้ มันยิ่งทรมาณ ฝันร้าย อึดอัด นอนร้องไห้ คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นไปมา ภาพหลอกหลอนเหมือนคนเป็นโรคจิต บางครั้งเคยอยากระบาย เล่าให้คนอื่นๆฟัง เขียนลงในเว็บบ้าง บ้างก็ว่าคิดไปเอง กลัวไปเอง คิดมากเอง บางคนก็ยังว่า ว่าคิดโง่ๆกันตั้งแต่แรก คิดสั้นได้ไง
ชีวิตมีทางแก้ปัญหาอีกเยอะแยะ ทำตัวทุเรศไร้สาระ ยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แต่ตอนนี้ รู้สึกสงบแล้ว หลังจากบวช รู้สึกว่าจิ๊บคงได้รับผลบุญนี้
อั้มดรอปเรียนเทอมสุดท้ายเอาไว้ เพื่อบวชชี อั้มบวชอยู่นานพอดู ประมาน8 เดือนค่ะ ตอนนั้นเราก็มาอยู่กรุงเทพ รอรับปริญญาแล้ว แล้วอั้มก็ออกมาใช้ชีวิตปกติ เราก็เจออั้มบ้าง ช่วงนั้นเราก็หางานทำไปด้วย คุยกันบ้าง อั้มก้ดูโอเคขึ้น อั้มชอบเล่าเรื่องราวธรรมะ ในช่วงที่บวชให้เราฟังตลอด แต่หลังจากเราได้งาน เราก็ห่างๆกับอั้ม เพราะรู้ว่าอั้มกลับไปเรียนต่อ ส่วนเราก็ทำงานเป็นกะ เวลาเลยไม่ค่อยตรงด้วย
ห่างหายกันไปหลายเดือน จนเข้าใจว่าเรื่องราวเลวร้ายทั้งหลายของอั้มจะจบลงด้วยดีแล้วค่ะ อยู่ๆเราก็คิดถึงอั้มขึ้นมาเลยกดโทรหาแต่ก็ไม่รับสาย อั้มไม่ได้เล่นเฟชเราก็ไม่รู้จะติดต่อทางไหน หลังจากที่โทรไปไม่รับ แล้วก็ไม่เห็นว่าอั้มจะโทรกลับ หลายวันแล้ว เราเลยโทรไปที่แม่ของอั้ม
เราเลยได้รู้ว่า อั้มกลับไปอยู่บ้านหลายเดือนแล้ว ไม่ได้เรียนต่อ แม่ของอั้มบอกว่าอาการอั้มไม่ค่อยดีเลย
แย่มากมาตลอด แม่อั้มร้องไห้บอกว่าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว อยากให้เราไปหา พอถึงวันหยุดเราก็ชวนแฟนเราขับรถไปหาอั้มที่บ้านต่างจังหวัด ไปถึงบ้านเงียบมากๆ แม่บอกว่า อั้มอยู่ในห้อง คนอื่นๆไปสวนกันหมด เราก็เข้าไปหาอั้มคนเดียวแฟนเราไปเดินเล่นข้างนอก
เราเห็นในห้องไม่มีผ้าปูที่นอนไม่มีเก้าอี้ ไม่มีเฟออะไรเลย มีแต่ห้องโล่งๆ อั้มเหมือนคนบ้าไปแล้ว พออั้มเห็นเราก็กอดเรา พูดจาก็ยังรู้เรื่องอยู่ เอาแต่ร้องไห้บอกว่าจิ๊บไม่ยอมหยุด อั้มไม่ได้อาบน้ำแน่ๆ กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราร้องไห้ไปด้วยบอกว่า ทำไมแกไม่โทรหาชั้น ทำไมทำตัวแบบนี้ แม่เค้าทุกข์ใจมาก อั้มบอกว่า ชั้นใช้ชีวิตไม่ได้เลย อยู่ไม่ได้ ไม่กล้านอน นอนไม่หลับ
เราพยายามพูดว่า บวชมั้ยอั้ม บวชตลอดชีวิตไปเลยถ้ามันจะแย่ขนาดนั้น อั้มบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ไหวแล้ว แล้วก็พูด วนๆๆๆไปๆมาๆ จนเรากลัว เราบอกว่าอั้มว่าเดี๋ยวมานะ ขอคุยกับแม่ก่อน พอเรามาคุยกับแม่ แม่ก็บอกว่า อั้มกลับมาจากกรุงเทพก็บอกว่าเรื่องมันไม่จบ กลัวจิ๊บ บอกว่าจิ๊บตาม จิ๊บจะฆ่าอั้ม แล้วก็เอาแต่อยู่ในห้อง ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็กลัวกันไปหมด ว่าว่าลูกสาวบ้านนี้เพี้ยนไปแล้ว
แม่พาอั้มไปอาบน้ำมนต์ก็แล้ว ก็ไม่หาย บางทีก็คิดว่าอั้มคิดไปเองรึเปล่า ไปปรึกษาหมอ หมอเค้าก็ให้ยาครายเครียดมากิน อั้มบอกให้แม่เอาเตียงเอาที่นอน เอาเก้าอี้ออกจาห้องให้หมด เพราะจิ๊บยืนบนเก้าอี้ จิ๊บเรียกให้แขวนคอบ้าง
จนทุกวันนี้พอร้องไห้จนเหนื่อยอั้มก็นอนบนพื้นปูนเย็นๆแข็งๆทุกวัน แม่นอนเป็นเพื่อนอั้มทุกคืน แต่อั้มไม่เคยนอนหลับได้ ตื่นมาร้องโวยวายตลอด พาทุกคนในบ้านเครียดไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง
เราฟังแล้วเศร้านะไม่คิดว่าจะบานปลายขนาดนี้ เราเองทุกวันนี้ก็ยังทำบุญให้จิ๊บนะ เราไม่เคยฝันไม่เคยเจออะไรแปลกๆ เกี่ยวกับจิ๊บ มีแต่อั้มที่เจอมาตลอด เราเชื่อเพื่อนเรา เรารู้ว่าเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำไง
เราชวนอั้มไปบวช เป็นทางออกที่ดีที่สุด ตอนนั้นอั้มบอกว่า ขอบใจมากแก แกกลับไปเถอะ เราบอกอั้มว่าเราอยู่ข้างๆเสมอนะ ยังไงโทรหาเราได้ตลอด พยายามตั้งสตินะ อั้มนั่งกอดเข่าพิงกำแพงก้มหน้าร้องไห้ไม่พูดกับเราเลย วันนั้นขากลับ เราร้องไห้กับแฟนเรา
นึกย้อนไปเมื่อเหตุการณ์นั้น
วันนั้น ถ้าเราไม่ได้ไปค่าย ถ้าเราติดต่อได้ อั้มก็จะโทรหาเรา เล่าเรื่องราวให้เราฟัง เราก็จะปลอบโยนอั้ม อั้มก็จะไม่ไปหาจิ๊บ ผู้หญิงที่จิตใจแตกร้าวเจ็บปวดสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่คิดไม่ทำเรื่องบ้าๆ เหตุการณ์คงไม่เป็นแบบนี้ เรารู้สึกแย่มาก เรารักเพื่อนมากไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ชีวิตมันมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ เรายังคิดว่า บอกให้อั้มไปใช้ชีวิตต่างประเทศดูมั้ย ลองเปลี่ยนสักคม อยุ่ในที่ครึกๆครื้นๆดูมั้ย อะไรทำนองนี้ บางทีอาจเป็นที่จิตใจ ของอั้มเองที่หลอกหลอน เราพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหา เท่าที่พอคิดได้ก็โทรไปบอกแม่อั้มแม่แกก็ได้แต่ฟัง แล้วถอนหายใจเฮือกๆ
สุดท้ายบทสรุปก็มาถึงจริงๆ มันเป็นจุดจบที่ทั้งตัวเราเองคิดเอาไว้ในลึกที่สุดของใจ ใครๆก็คงคิดเอาไว้ว่าตอนจบต้องเป็นแบบไหน แต่มันคือสิ่งที่ เรา และใครที่รู้จักอั้มไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย สุดท้ายอั้มก็จากเราไปจริงๆ แม่โทรมาบอกข่าวร้ายเราหลังจากแม่ที่เตรียมงานกัน อยู่ เสียงแม่ดูไม่ได้ฟูมฟาย พูดกับเราว่า อั้มไปแล้วนะลูก เค้าไปสบายแล้วละ มันเป็นกรรมของเค้า เค้าก็ได้ชดใช้มันจะได้จบสิ้นความทรมานกันสักที เรานะหรอ ร้องโฮเลย
ไม่คิดว่าจะเป็นจริง สิ่งที่คิดว่า ว่าเลวร้ายที่สุดต้องเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย รู้สึกรับไม่ได้อ่ะ หดหู เสียใจสุดๆ เพื่อนเรานะ อยากให้มันเป็นเรื่องไม่จริง อยากให้เราใช้ชีวิตกับเพื่อนเราปกติ อยากให้เรื่องราวคิดสั้นผ่านไปด้วยดี ทุกคนยังอยู่แล้วย้อนกลับไปเล่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องขำขัน แต่มันไม่เป็นแบบนั้น เราไปงานอั้มกับแฟนแล้วก็เพื่อนๆที่รู้จักติดรถกันไป หลายคน เตยก็ด้วย เตยมารับรู้เรื่องต่างๆทีเดียวก็ช็อคด้วยกันหมด พอไปถึงเราก็ไปนั่งเป็นเพื่อนแม่
เราไม่กล้าถามเหตุการ์โดยละเอียดกับแม่อั้ม เพราะเรารู้ว่าเค้าคงไม่อยากพูดถึง เราก็อยู่ช่วยงานแล้วก็ไปค้างที่โรงแรมในตัวเมืองกับเพื่อนๆ ว่าจะอยู่กัน จนวันเผาเลยเพราะแม่ให้พระสวดแค่3คืน เพื่อนบางคนก็กลับไปก่อน พอตอนเช้า เราตื่นแต่เช้ามาบ้านอั้มกับเตย มาทำบุญเช้าให้อั้ม ตอนสายๆนั่นแหละ แม่อั้มถึงได้นั่งพักคุยกับเรา เล่าให้เราฟังว่า
ก่อนที่อั้มจะจากไป แม่จะพาอั้มไปบวชชีที่วัดในตอนเช้า เพราะไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีก แม่ก็เตรียมชุดขาว เสื้อกางเกง ผ้าสไบไว้ให้อั้ม ในห้องนอน คืนนั้นแม่ก็นอนเป็นเพื่อนอั้มปกติ พอตี4 แม่ก็ลุกไปเตรียมของ ที่จะไปวัดทำบุญทำพิธีบวช แล้วนั่นแหละ พอทำอะไรเสร็จจะปลุกอั้มอาบน้ำ เข้ามาก็ช้าไปแล้ว
อั้มเอาชุดแม่ชีทั้งหมดผูกๆกันเป็นเชือก แล้วแขวนคอตัวเองในห้องนั้น ตอนแม่เข้าไปอั้มยังมีลมอยู่
แม่ร้องเรียกให้คนอื่นๆเข้ามา แม่บอกว่า พยายามพยุงตัวอั้มไว้แล้วแต่มันสูง แล้วแม่ก็เอาตัวอั้มลงมาไม่ได้ด้วย
แต่อั้มก็ตัวซีดเย็นก่อนถึง รพ. เราเองอยากอุดหู ไม่อยากฟังเลย แต่ก็มีคำถามว่า แล้วอั้มแขวนได้ยังไง เอาเก้าอี้เข้าไปเองหรอ เพราะเท่าที่เราเห็นห้องอั้ม ขื่อมันไม่สูงมากก็จริง แต่ก็ต้องใช้เก้าอี้แหละ
แม่บอกว่าแม่สาบาน ยืนยัน ถามพ่อก็ได้ว่าในห้องนั้นไม่มีเก้าอี้ ไม่มีใครเห็นเก้าอี้ในห้อง ไม่รู้ว่าอั้มทำได้ยังไง
มันเป็นเครื่องหมายคำถาม ที่ไม่มีใครอยากหาคำตอบ แม่ได้แต่บอกว่า มันก็คงจบสิ้นกันเท่านี้แหละ
จะยังไงก็แล้วแต่ เค้าทำดีที่สุดแล้ว อั้มมีบุญมาเท่านี้
โดย. bobbywatster แห่งพันทิป.คอม