สวัสดีครับ ผมเพิ่งจะตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก หลังจากที่เห็นหลายๆคนแชร์ประสบการณ์ลึกลับกันหลายกระทู้
เลยอยากแชร์ประสบการณ์ของผมบ้าง กว่าจะผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้ผมต้องเจออะไรมาเยอะพอสมควร
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ผมอาจใช้ชื่อสมมุติ เพราะกลัวจะไปพาดพิงถึงใครเข้า ขอให้ทุกคนที่อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดนึงในภาคใต้ ตอนนั้นผมอายุ 21 ปี ผมหนีออกจากบ้าน กับความรู้แค่ ม.3 ไปทำงานเองด้วยเหตุผลส่วนตัว
เมื่อก่อนบ้านผมอยู่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ผมเลยหนีเข้ามาทำงานรับจ้างอยู่ในอำเภอเมือง
ทำทุกอย่างที่ได้เงินพอประทังชีวิตไปเรื่อยๆ ผมเก็บขวดไปขาย บวกกับทำงานเป็นเด็กปั้มแห่งหนึ่ง ทำอยู่ประมาณเกือบ 3 ปี ก็เก็บเงินได้ก้อนนึง แล้วก็คิดว่าอยากจะมีที่อยู่เป็นของตัวเองบ้าง (ผมอาศัยอยู่ที่พักคนงานของเถ้าแก่ปั้ม เขาให้ผมอยู่ฟรี) ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงด้วยความที่ความรู้น้อย
ผมเลยไปปรึกษาเถ้าแก่ ผมก็บอกเขาไปว่าผมเก็บเงินได้ 2 หมื่นแล้ว เถ้าแก่ค่อนข้างมีฐานะ เขาเอ็นดูเพราะผมซื่อๆ ขยันทำงาน
เถ้าแก่เขาเลยบอกว่า “กูมีแพเหล็กเก่าๆอยู่ลำนึง จะเอาไหม? ถ้าเอาไปแล้วก็เอาไปทำมาหากินได้เลยมาเอาน้ำมันจากกูไปขายแล้วค่อยหักเอาก็ได้" (คือแพเหล็ก หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออก มันเป็นเหมือนแท้งเก็บน้ำมันเคลื่อนที่ลักษณะเหมือนแพ ลอยอยู่ในน้ำ) เถ้าแก่ให้แพผมมาฟรีๆ ตอนนั้นดีใจมาก
แพไม่ใหญ่มากขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ผมใช้เป็นทั้งบ้านเป็นทั้งที่ทำงาน เพราะด้านหน้าแพมีหัวจ่ายน้ำมันอยู่หัวนึงไว้ใช้ขายน้ำมันให้กับเรือหางยาวกับเรือประมงในแม่น้ำ กลายเป็นว่าผมจะอาศัยอยู่ริมน้ำตลอดเวลา ก็เงินดีพอสมควร จนผมก็พอจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวได้ แล้วก็ไปเจอกับเมียผม เขาทำงานเป็นเด็กเสริฟอยู่ร้านอาหารแห่งนึงคบกันได้สักพักเลยชวนกันมาอยู่กินด้วยกันจนมีลูกชายคนนึง ตอนนั้นก็เลี้ยงลูกแล้วก็ทำงานทุกอย่างอยู่บนแพนั้นแหละ
แต่ผมยอมรับว่าผมเริ่มมีนิสัยเจ้าชู้ คือจะออกไปเที่ยวคาเฟ่เกือบทุกคืน บ่อยครั้งที่ลูกกับเมียต้องอยู่กันตามลำพัง
จนมีอยู่วันนึง ผมก็ออกไปเที่ยวตามประสาของผม
ตอนนั้นลูกชายอายุ 5 ขวบได้ เด็กมันก็เอาสวิงมาช้อนปลาเล่นตามปกติของมัน แต่พลาดตกน้ำซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มจะมีแค่ไฟจากหน้าแพแค่ดวงเดียว เมียผมได้ยินเสียงก็รีบโดดลงไปช่วย เมียผมเล่าว่าตอนลงไปช่วยมันเห็นเหมือนเส้นผมดำๆ ดึงขามันไว้ (ซึ่งมันก็อาจจะเป็นสาหร่ายอะไรสักอย่างก็ได้ เวลากลางคืนมันจะมืดจนแถบมองไม่เห็นอะไร) พยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่หลุด ต้องขึ้นมาหายใจแล้วดำลงไปดึงใหม่ จนพาขึ้นมาได้ แล้วเมียผมก็อุ้มพาดบ่าให้น้ำออก
ผมกลับมาบ้านแบบเมาๆ มาเจอเมียร้องไห้ที่ผมไม่อยู่บ้านเพราะเกือบจะเสียลูกไปแล้ว ตอนนั้นรู้สึกผิดมากๆ ทั้งกลัวทั้งโล่งใจที่อย่างน้อยลูกยังไม่เป็นอะไรไป ผมเลยคิดว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่เหมาะจะเลี้ยงลูก แต่ก็ยังไม่รวยถึงขึ้นจะไปหาซื้อที่บนบกอยู่ได้ เลยพยายามสอนลูกว่ายน้ำแทน จนมันก็พอว่ายน้ำได้ เวลาผ่านไปไม่นาน ผมก็กลับไปเที่ยวเสเพลไปวันๆ เหมือนเดิมอีก
จนกระทั่งวันนึงผมกลับบ้านประมาณเที่ยงคืน ผมไม่ได้เมามาก เป็นคนที่ไม่เคยเมาขาดสติจนต้องให้ใครพากลับบ้าน
วันนั้นขณะกำลังจะเดินไปที่แพ (ปกติผมมัดแพกับเสาไว้ริมท่า) ผมก็เห็นผ้าสีขาวคล้ายชุดผู้หญิงลอยอยู่กลางแม่น้ำ ห่างจากแพผมอยู่ไม่ไกล พยายามเพ่งมองให้แน่ว่ามันคืออะไรเพราะมันค่อนข้างมืด แต่สีขาวทำให้มันยิ่งดูชัดเจนในความมืด
ผมสาบานว่าผมเห็นมันเคลี่อนที่ช้าๆ ไปที่แพ ตอนนั้นมีแต่ความสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีความกลัวใดๆ เลยเดินไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงแพ ตาของผมจ้องมองผ้าสีขาวนั้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งผมเข้าใกล้แพเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่เข้าไปใกล้แพมากขึ้นเท่านั้น
แล้วอยู่ดีๆ ผ้าขาวๆนั้นก็ลอยเข้ามาใส่หน้าผมอย่างเร็ว แว็ปสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับตาเพราะตกใจ
สาบานว่าเห็นเป็นผู้หญิงผมดำยาวมากๆใส่ชุดสีขาว แล้วก็หายไป ผมยังจำได้แม่นไม่เคยลืมมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ลูกเมียฟังเพราะไม่อยากให้คิดมากกันเปล่าๆ แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอีก
ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ผมรู้สึกได้ว่าเมียผมเปลี่ยนไป เธอชอบมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่นชอบนั่งแต่งหน้าทาปาก รักสวยรักงามผิดปกติ ตั้งแต่อยู่กินกันมาเมียผมไม่เคยอะไรเรื่องพวกนี้เลย บางคืนก็ชอบลุกขึ้นมานั่งทำนู้นทำนี้จุกจิก นั่งหวีผม แล้วก็ดูเหมอลอยๆ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ลูกก็ไม่ค่อยสนใจ คือผมก็พยายามคิดไปว่าเธออาจจะเครียดที่ผมออกไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่ค่อยได้มาช่วยเลี้ยงลูก จนมีอยู่ครั้งนึงผมกำลังทำงานอยู่เหนื่อยๆ ลูกผมมันก็ร้องงอแงหิวข้าว ผมเลยตะโกนบอกเมียไปว่า
"เห็นไหมมันหิวข้าวเนี้ย พามันไปกินก่อนสิ" เมียผมหันมามองแบบตาขว้างมากๆ แต่ไม่พูดอะไรสักคำ
แล้วก็ไม่ยอมพาลูกไปกินข้าวด้วย ผมเลยโมโหเลยตอนนั้น เลยด่าไปเต็มๆ อยู่ดีๆเมียผมลุกขึ้นวิ่งไปตบลูกชายอย่างแรง ตบแบบหน้าหันเลยครับ ผมตกใจจนอึ้งไปเลย เมียผมไม่เคยทำแบบนี้กับลูกมาก่อน
เธอเป็นแบบนี้อยู่นานมาก คือแทบจะคุยกันไม่รู้เรื่อง พูดก็น้อยไม่ยอมสื่อสารกับผม วันๆเอาแต่นั่งเหมอลอยส่องกระจกลูปผมตัวเอง ผมลืมบอกไปว่าช่วงเวลาที่เธอเป็นแบบเนี้ย ปกติเมียผมเป็นคนรูปร่างเจ้าเนื้อนิดนึงแต่ผอมลงเยอะมาก เพราะข้าวปลาไม่ยอมกิน แล้วบางคืนผมตื่นมาเห็นเมียนั่งนิ่งๆ อยู่ริมเตียง ผมกลัวแถบจะฉี่ราด เพราะเหมือนเธอกลายไปเป็นอีกคนแล้ว
ผมเลยไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวแบบเมื่อก่อนเพราะไม่อยากทิ้งลูกเอาไว้ลำพัง ใจนึงผมคิดจริงๆว่าเธอถูกผีสิงรึเปล่า หรือเธอแค่เก็บกดที่เคยปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวแล้วผมออกไปเที่ยวเสเพล มันก็อาจจะเป็นได้ แต่มันมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้หมั่นใจว่า เธอน่าจะถูกผีสิงจริงๆ คือ วันนึงผมเครียดๆเรื่องราคาน้ำมันอยู่นาน แล้วเอาจริงๆผมก็เริ่มจะชินที่เห็นเมียเป็นแบบนี้ (เป็นอยู่เกือบปี) วันนั้นผมไม่รู้นึกยังไงที่พยายามจะทำการบ้านกับเมีย
คือผมคงเครียดๆเลยอยากจะระบาย ก็ขึ้นคร่อมแบบปกติ ทำได้สักพักเมียผมก็ร้องไห้ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไปเลยเหมือนเสียงเด็ก แบบร้องไห้แล้วก็พนมมือไหว้ ร้องว่า "อย่าทำหนูๆ" ตอนนั้นผมโคตรตกใจ หมดอารมณ์สิครับตอนนั้น แล้วเธอก็กริ้ด ดังมากกกก
ผมพยายามเอามือปิดปาก ไม่ให้เธอกริ้ดจนเธอเหนื่อยสลบไปเอง คือมันอาจจะเหมือนเรื่องตลก แต่ลองนึกว่าเกิดขึ้นจริงๆดูครับ ไม่ตลกเลยสักนิด ผมไม่รู้จะทำไงเลยไปปรึกษาเพื่อนคนนึง เขาบอกว่าเขารู้จักแม่เฒ่าที่น่าจะช่วยอะไรได้
ผมเลยพาเมียผมไป เป็นบ้านไม้เล็กๆ แม่เฒ่าเขาก็ถามว่า เมียเป็นอะไรทำไมมันตาขว้างแบบนั้น ผมก็บอกไปเลยว่าไม่รู้เหมือนกัน
อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว แม่เฒ่าแกก็ถามว่าได้ทำบุญไหว้พระบ้างรึเปล่า คือผมหนีออกจากบ้านมาตัวเปล่า
ผมเลยไม่เคยคิดถึงเรื่องทำบุญ บูชาพระอะไรอยู่ในหัวเลย แม่เฒ่าแกเอาอะไรดำๆสักอย่างที่แกบดไว้เหมือนยา มาป้ายปากผมกับเมีย แล้วก็เอาน้ำมนต์พรมใส่ ผมหันไปมองเมีย เขาก็ไม่เห็นเป็นอะไร หลังจากวันนั้นผมก็พยายามออกไปทำบุญ
ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่เมียผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่ค่อยพูดค่อยจา
แต่อยู่มาวันนึง พอดีผมพาลูกไปดูเขาแข่งนกกรงหัวจุกในตลาด เมียผมก็อยู่คนเดียวที่บ้านเพราะชวนแล้วเธอก็นั่งเงียบ กลับมาได้ประมาณ 2 ทุ่มกว่า ขณะที่กำลังจะเดินกลับแพ ผมเห็นเมียผมถือมีดอีโต้
เห็นแต่ไกล กำลังเดินมาทางผม ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ้ม ตอนนั้นผมบอกให้ลูกวิ่งไปหาเจ้ร้านขายของชำแถวนั้นก่อนเลย
แล้วเมียผมวิ่งเอาอีโต้มากะจะฟันผมแน่ๆ ผมพยายามจับแขนเอาไว้ แต่ก็พลาดฟันมาโดนต้นขาผม
ตอนนั้นตาเมียผมแทบจะถลนออกมาจากเบ้า แล้วก็พูดแค่ว่า "ไอ ยิ้มๆๆๆ" ผมก็นอนล็อคแขนขาเธอเอาไว้ แต่ไม่ไหวจริงๆ แรงเยอะมาก เลยตัดสินใจปล่อยแล้ววิ่งเลยครับ ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ แถวนั้นก็ไม่มีคนช่วย ผมหันไปดูเมียผมนอนอยู่ที่เดิมไม่ลุกขึ้นมา
ผมหันไปดูเมียผมนอนอยู่ที่เดิมไม่ลุกขึ้นมา.... เลยเดินกลับเข้าไปดูว่าเป็นอะไรรึเปล่า เธอนอนนิ่งไปเลย
ตอนนั้นตกใจมาก เพราะคิดว่าผมเผลอล็อคแรงเกินไป เลยกะจะอุ้มพาไปโรงพยาบาล แต่อุ้มได้แปปเดียว เธอก็รู้สึกตัวลงมาเดินเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยพยายามถามว่าเป็นอะไรเจ็บตรงไหนไหม ก็ไม่ตอบเหมือนเดิม
ตั้งแต่วันนั้น ผมเลยรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆแล้ว มันต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วพอดีผมก็ไม่ค่อยรู้จักพิธีกรรมอะไรเลย หรือแม้แต่พิธีในวัด จึงมีเพื่อนคนนึงเขาพาไปหาร่างทรง เขาบอกว่าเป็นพ่อปู่ฤาษีที่มีคนศรัทธากันเยอะมากๆ
ผมเลยตกลงจะพาไปเพราะไม่รู้จะให้ทำยังไงเหมือนกัน พอพาไปปุ๊บพ่อปู่เขาก็บอกเลยว่า
"เมียพาผีพรายมาด้วย" ผมขนลุกซู่เลยตอนนั้น เลยบอกให้พ่อปู่เขาช่วยที แล้วดูเหมือนพ่อปู่เขาจะรู้ทุกอย่างว่า ผมอาศัยอยู่ริมน้ำ การงานเป็นยังไงเมียผมเป็นยังไง ผมเลยเชื่อสนิทเลยว่าร่างทรงนั้นมีอยู่จริง
พ่อปู่เขาบอกว่า ต้องพาไปตรงสถานที่ที่มันอยู่ เพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้กลับไปอยู่ในภพในภมิในสถานที่ของเขา เลยพากันมาที่บ้านผม ตอนนั้นมีคนแถวๆนั้นมาดูกันเต็ม แล้วพอดีๆฝนก็ตกลงมาได้ประจวบเหมาะกับเวลาจริงๆ
พ่อปู่เขาทำพิธีเอาสายสินมาพันไว้รอบตัวเมียผม แล้วสายสินอีกด้านนึงก็โยนลงไปในน้ำ
ตอนนั้นนี่เมียผมกรีดร้องจนผมสงสารมาก พ่อปู่เขาก็ท่องบทสวดจนจบด้วยการเอาน้ำมนต์ราดตัวเพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดี
เมียผมที่กรีดร้องอยู่นานเกือบ 20 นาที พอโดนน้ำมนต์ก็เหมือนจะหวีดเฮือกสุดท้ายจนหมดสติไปเลย พอผ่านไปประมาณครึ่งชม. ก็ฟื้นขึ้นมา คือรู้สึกได้เลยว่า เขากลับมาเปิดคนเดิมแล้ว เมียผมก็เข้ามากอดแล้วก็ร้องไห้
พอถามว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นยังไง เขาก็บอกว่าเขาแทบไม่รู้สึกตัวเลย เหมือนคนไร้วิญญาณ อยู่ในภวังค์ แต่ยังไงก็ดีใจแล้วครับ ที่เขาหายสักที
ผมก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ ทุกเช้าเราก็จะไหว้พระแม่คงคาหน้าแพขอให้ช่วยคุ้มครองเรา
จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี ชีวิตดีขึ้นมากๆ แล้วเมียผมก็ท้องลูกคนที่ 2 เป็นลูกสาว ตอนนั้นเงินเก็บก็เยอะขึ้นผมเลยกะว่าจะหาซื้อ ที่อยู่ให้เป็นหลักเป็นแหล่งกว่านี้ เลยไปได้ที่ติดริมน้ำ ใช่ครับ ริมน้ำเหมือนเดิม เพราะผมไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรแล้ว เลยซื้อที่แล้วก็ย้ายไปอยู่ ทำเป็นท่าแล้วก็ขายน้ำมันให้เรือประมงเหมือนเดิมแล้วก็เพิ่มหัวจ่าย เพราะเริ่มขายน้ำมันให้กับเรือลำใหญ่ๆได้แล้ว
ทุกอย่างกำลังไปได้สวย และผมก็เลิกออกไปเที่ยวตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเมียผม ไม่นานเมียก็คลอด
(ลูกชายชื่อกร ลูกสาวชื่อเก๋) เก๋โตขึ้นมาก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆไป แต่ห้าวๆหน่อย แล้วก็ชอบทะเลาะกับพี่ชายเป็นประจำ
เมียผมต้องคอยห้ามคอยตีไม่ให้ทะเลาะกัน จนวันนึง 2 พี่น้องก็เล่นกันอยู่ตามปกติ ไอกรมันก็ชวนกันปีนขึ้นไปเล่นบนแท้งน้ำมัน ซึ่งจะมีบันไดลิงแบบเหล็กต่อขึ้นไปสูงประมาณ 3-4 เมตร แล้วกรมันก็ตกลงมา จนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ดีที่ไม่ได้กระแทกเข้ากับหัวไม่งั้นอาจตายไปเลย กรมันก็ฟ้องว่าเก๋เป็นคนถีบมันให้ตกลงมา
คือผมก็เข้าใจเด็กมันเล่นกัน แล้วเก๋มันก็ออกแนวเด็กห้าวๆ เลยแค่เก็บไว้ในใจ จนอยู่มาวันนึงที่บ้านเลี้ยงหนูตะเภาเอาไว้เป็นของลูกชาย ผมแอบเห็นเก๋ เปิดเข้าไปในกรงหนูตะเภา แล้วกำมือเหมือนค้อนแล้วก็ทุบหัวหนูอย่างแรง หนูดิ้นเลยตอนนั้น
ครั้งแรกไม่เท่าไหร่ มันยังจะทุบซ้ำอีก ผมรีบวิ่งเข้าไปห้ามแล้วก็ตีสั่งสอนครับ ไม่กี่วันต่อมาหนูตัวนั้นก็ตาย
ผมคิดในใจว่าเด็กปกติเขาไม่ทำกันแบบนี้ ตอนนั้นได้แต่โทษตัวเองว่าผมเลี้ยงลูกผิด เลี้ยงลูกไม่ดีหรือยังไง
เก๋เป็นเด็กค่อนข้างดื้อมาก สอนเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยฟัง ไม่ใช่ซึมเศร้าไม่พูดกับใคร แต่จะเถียงฉอดๆเลยหล่ะ ไปโรงเรียน ครูประจำชั้นก็มักจะมาฟ้องว่าเก๋ชอบไปเล่นกับคนอื่นแรง จนแม่นักเรียนคนอื่นต้องมาฟ้อง
พอกลับมาบ้านก็มาทะเลาะกับพี่ชายมันอีก แล้วบวกกับช่วงนั้นเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
น้ำมันก็ขายยากขึ้น ผมเครียดไปหมดทุกอย่าง จนวันนึงผมนั่งตัดบัญชีอยู่ในห้องทำงานตอนดึกๆ ประมาณเที่ยงคืนน่าจะได้ เห็นเก๋มันเดินออกมาจากห้องนอนแล้วก็เดินไปที่ห้องน้ำ (ห้องทำงานผนังเป็นกระจกบานใหญ่) ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร
สักพักเก๋มันแอบย่องออกไปนอกบ้านแต่ผมทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าทำงานต่อไป แล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าเด็ก 5 ขวบ มันทำเรื่องแบบนี้ได้แล้วหรอ เลยแอบย่องตามออกไป เห็นเก๋มันไปนั่งยองๆอยู่ที่ท่าเรือริมน้ำหน้าบ้าน
ผมแอบดูอยู่ห่างๆก็ดูไม่ออกว่ามันทำอะไรเลยเดินเข้าไปดู เห็นเหมือนหัวคนดำๆโผล่ขึ้นมาจากน้ำแค่ครึ่งเดียว แล้วก็พลุบลงไปในน้ำ
และนั้นคือสิ่งที่เก๋มันนั่งดูอยู่ ผมเสียวสั้นหลังวาบเลยตอนนั้น คือเย็นไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ผมก็ดึงแขนเก๋ให้กลับเข้าบ้านให้ไว
เก๋มันก็โวยวายไม่ยอมกลับเข้าบ้าน บอก "ไม่ไปๆๆ" คือตอนนั้นผมด่ามันค่อนข้างแรงด้วยขึ้น ขึ้น กู เลยเพราะรู้สึกโมโหจริงๆ
แล้วก็บังคับให้มันไปอยู่ในห้องล็อคบ้านไว้อย่างดี ผมกลับเข้าห้องนอนกะจะไปปรึกษาเมีย ตอนนั้นแค่มองหน้ากันก็เหมือนจะรู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เมียผมร้องไห้ต่อมน้ำแตกเลย กลายเป็นต้องมานั่งปลอบเมีย สรุปคืนนั้นนอนไม่หลับทั้งคู่
พอรุ่งเช้าส่งเด็กไปโรงเรียนเสร็จ ผมรีบบึ่งไปหาพ่อปู่ฤาษีเลย เขาก็แนะนำผมว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวลูกนั้นแหละ
พ่อปู่เขาก็รู้ว่าเก๋มีนิสัยก้าวร้าว หัวรุนแรง แต่ไม่ใช่ผีเข้า พ่อปู่ก็เตือนว่าอย่ามัวแต่ทำงาน ให้ดูลูกบ้างวันๆทำอะไร ประคบประหงมมันหน่อย
ผมเลยกลับทำตามที่พ่อปู่บอก คอยพยายามตามดูตลอด
จนวันนึงช่วงเวลาประมาณตี 2 ผมลุกจากเตียงมาเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเก๋มันคุยอะไร งึมงัมอยู่ในห้อง (ลูกชายนอนอยู่อีกห้อง) ผมเลยเอาหูไปแนบฟังดูก็ฟังไม่รู้เรื่องไม่รู้พูดอะไรอยู่คนเดียว
ผมเลยไขห้องแล้วเปิดเข้าไปเลยครับ เห็นเก๋มันยืนส่องหน้าต่างอยู่ ผมโมโหใส่เลยตอนนั้น เพราะอยากรู้ว่ามันทำอะไรอยู่ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ เลยเอาไม้เรียวฟาด ในใจสงสารลูกจนผมร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะทำไง จนมันยอมบอกว่ามันเห็นเขามานานแล้ว เขาเป็นเพื่อนมัน เขาช่วยมัน ผมก็ถามว่าใครพร้อมฟาดมันจนเลือดออก (แต่ในใจผมรู้เลยว่าคงจะเป็นผีพรายอีกแล้ว)
คืนนั้นผมเข้าใจคำว่าหัวอกพ่อเวลาที่ลูกเจ็บมันจะเจ็บขนาดไหน คือคิดว่าจะต้องทำยังไงกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะถึงผีจะเข้ามาไม่ได้ ไม่ได้สิงใคร แต่ตอนนั้นเก๋มันคงเด็กเกินไปที่จะแยกแยะอะไรเป็นอะไร หลังจากนี้ไม่นาน ผมกับเมียก็พยายามดูแลเก๋กันอย่างใกล้ชิด ไม่ห่วงแต่งานเหมือนเมื่อก่อน แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันนึงที่ท่าเรือหน้าบ้าน ผมกำลังทำงานอยู่ เรือประมงที่มาซื้อน้ำมันกำลังเข้ามาจอด
ก็โยนเชือกให้ไปคล้องกับหลักไว้ เพื่อจอดเรือ แล้วพอดีเก๋กับกรมันก็เล่นกันอยู่แถวๆนั้นพอดี เชือกของเรือนั้นยาวๆมาก ลูกน้องเรือก็จะดึงเชือกเพื่อให้เรือนั้นแนบชิดกับท่า แต่เชือกดันไปเกี่ยวกับขาของเก๋ ลากเก๋ตกลงไปในน้ำ ตอนนั้นผมตกใจมาก รีบโดดลงไปช่วยลูกก่อนเลย แล้วน้ำก็กำลังสูงอยู่ด้วย ลูกน้องเรือที่เป็นพม่า 2-3 คนก็โดดลงมาช่วย เพราะผมพยายามเท่าไหร่ก็หาลูกไม่เจอ ผ่านไปประมาน 3 นาที
ความรู้สึกผมมันเหมือน 3 ชั่วโมง ช่วยกันหาอยู่ จนประมาน 5 นาทีตอนนั้นผมคิดว่าลูกผมไม่รอดแน่ๆ น้ำตามันไหลออกมาแบบหยุดไม่ได้ จนสุดท้ายลูกน้องพม่าคนนึงที่ดำลงไปนานกว่าคนอื่นก็เจอลูกผม มันบอกว่าไม่รู้ติดอะไร ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ยอมหลุด
ผมสรุปไปในใจเรียบร้อยเลยว่าผีพรายอีกแล้วใช่ไหม พอพาเก๋ขึ้นมาได้ก็พยายามช่วยให้ฟื้นทำทุกอย่างแล้วยังไงก็ยังไม่ยอมฟื้น แต่ก็ยังหายใจอยู่ เลยรีบพาไปโรงพยาบาล พอหมอออกมาบอกว่า ลูกผมสมองขาดออกซิเจนนานเกินไป เด็กอาจจะกลายสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรา
เก๋เป็นเจ้าหญิงนิทราต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ได้ไม่นาน ก็ต้องออกมาเพราะเราสู้ค่ารักษากันไม่ไหว ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวผมมีฐานะการเงินค่อนตกต่ำที่สุด เลยต้องพามาอยู่บ้าน เมียผมคอยดูแลลูกทุกอย่าง ต้องเจาะช่องที่ท้องแล้วให้อาหารทางสาย คอยดูดเสมหะในคอ
ช่วงแรกๆกอดคอกันร้องไห้ทุกคืน ผมก็ต้องทำงานอยู่คนเดียว ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายเงินที่ได้มาต้องเอาไปรักษาลูกหมด บวกกับช่วงนั้นราคาต้นทุนน้ำมันก็สูง เลยต้องตัดสินใจเลิกขายน้ำมัน ผมกับเมียแทบคิดจะอยากจบชีวิตทั้งครอบครัวไปตั้งแต่ตอนนั้น แต่พอมาเห็นลูกชายอีกคนที่ยังสู้ ออกไปช่วยทำงานแกะกุ้งแลกเงินแถวแพปลาข้างๆบ้าน ทำให้ยังสู้ต่อไปได้
สุดท้ายผมปรึกษาเพื่อนๆ เขาก็แนะให้มาทำเรือประมง แต่ก็ต้องใช้เงินทุนเยอะมากๆ ผมรู้ตัวเองว่าทำงานนี้ได้ เพราะระหว่างที่ขายน้ำมันผมก็เก็บเกี่ยวความรู้การทำเรือประมงมาจากลูกค้า ตอนนั้นไม่รู้จะพึ่งใครเลยกลับไปหาเถ้าแก่ปั้ม เพื่อขอกู้เงิน ซึ่งแกใจดีมากๆ ชีวิตนี้ผมไม่รู้จะขอบคุณแกยังไง พอได้เงินมาก็เอาไปซื้อเรือมือสองมาบูรณะใหม่หมด ทำอยู่ประมาณ 6 เดือนก็พร้อมจะออกทะเล ช่วงแรกก็พอได้ไม่ถึงกับดีมากๆ ผมเป็นไต๋เรือขับออกไปหาปลาเอง เวลาออกเรือไปทีนึงก็ประมาน 5-6 วัน ช่วงนั้นก็เลยต้องฝากให้ลูกชายคอยดูแลแม่กับน้อง ส่วนผมต้องออกเรือแทบจะไม่ได้หยุดพัก แต่ก็คุ้มค่ากับที่ลงทุนลงแรงไป
จนวันนึงในกลางทะเลผมก็ทิ้งสมอจอดเรือไว้ ตอนประมาณ ตี 2 มีลูกน้องเรือคนนึงที่เป็นพม่า (มีทั้งหมด 4 คน คนไทย 3 พม่า 1) มันก็โวยวายมาจากห้องเครื่องใต้ท้องเรือ ลูกน้องที่เหลือเลยลงไปดู คือสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะส่วนใหญ่ใช้กันแต่แรงงานแล้วชี้บอกให้มันทำนู้นนี้ง่ายๆ แต่มันโวยวายเป็นภาษาพม่า แล้วก็ร้องไห้ไม่ยอมออกมาจากห้องเครื่อง
จนผมต้องลงไปดูเอง จะว่าเป็นอาการเมาเรือคงไม่ใช่เพราะก็เห็นมันออกเรือด้วยกันมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมีอาการแบบนี้ แล้วอยู่ดีๆมันก็เอาหัวโคกกับฝาเรือซึ่งเป็นไม้ โคกแรงมาก แบบไม่ยั้งกำลังเลย เลือดพุ่งแบบกระเด็นออกไปเต็มฝาเรือ ลูกน้องที่เหลือช่วยกันหามมันขึ้นมาด้านบน มันก็ร้องไม่ยอมไปไหน แต่ตอนนั้นผมคิดในใจอยู่แล้วว่าเป็นพวกผีวิญญาณอีกแล้ว เลยเอาพระของผมไปห้อยคอมัน มันก็ไม่ได้กรี๊ดเหมือนผีเข้าอะไร แต่ก็ค่อยๆเย็นลง
ผมก็ให้พระมันยืมใส่ไปก่อนแล้วก็ช่วยกันทำแผลเพราะเลือดไหลแทบไม่หยุด อุปกรณ์ยารักษาอะไรก็ไม่ค่อยพร้อม เลยตัดสินใจว่าคงต้องกลับเข้าฝั่ง ตอนนั้นอยู่กันกลางอ่าวไทย คงอีกคืนนึงกว่าจะถึงท่าเรือ พอคืนที่ 2 ลูกน้องพม่าอาการก็แย่ลงเพราะเสียเลือดไปเยอะ ตกกลางดึกมันก็เพ้อเป็นภาษาพม่า ซึ่งก็ไม่มีใครเข้าใจมันสักคน บางทีก็เห็นมันร้อง ลูกน้องที่เหลือรวมทั้งผมเองก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน จนสักเวลา ตี 3 ครึ่ง ผมเห็นเป็นฟองอากาศขึ้นอยู่รอบเรือ
ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไร สักพักเริ่มรู้สึกได้ว่าฟองอากาศนั้นตามมาเรื่อยๆ จนมีลูกน้องคนนึงมันตะโกน เห้ย! เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง แล้วตกลงไปในน้ำ ลูกน้องคนที่เหลือก็ไม่ลงไปช่วย คิดว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเอง เพราะพวกนี้ว่ายน้ำแข็งมากๆ หลายนาทีผ่านไปก็ไม่ขึ้นมา เลยพากันโดดลงไปช่วย ตอนผมดำลงไปเห็นมันโดนลากอยู่กับหางเสือใต้ท้องเรือ ขาถูกพันไปด้วยเส้นผมที่ยาวมากๆ ทุกคนบนเรือยืนยันได้ว่ามันคือเส้นผมไม่ใช่สาหร่าย เพราะผมเอาขึ้นมาดูให้ชัดบนเรือด้วย แต่ละคนขนลุกจนอยากจะกลับบ้านเลยเดี๋ยวนั้น
ส่วนลูกน้องที่ตกลงไปมันรอดมาแบบหวุดหวิด แล้วมันก็มาเล่าให้ทุกคนฟังว่าก่อนมันตกลงไป มันเห็นผู้หญิงอืดๆ ลอยคออยู่ข้างเรือ ตอนนั้นพอกลับไปถึงท่าเรือแล้ว แต่ละคนแยกย้ายขอลาออกแบบไม่ต้องบอกกล่าว เหลือลูกน้องไทยอีกคนที่ยังอยู่กับผม แต่พอผมกลับไปบ้านก็พบว่า ช่วงเวลาที่ผมออกเรือไปแค่ไม่กี่วัน เก๋ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยังกับโดนผีมาสูบไปจนหมด
หลังจากที่กลับมาเจอลูกแขนขาลีบ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมก็พาไปโรงพยาบาล แต่หมอก็บอกว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะสมองฟ่อ อะไรประมาณนี้แหละ ผมก็พยายามอธิบายว่าเมื่อ 5-6 วันที่แล้วลูกผมยังไม่แย่ขนาดนี้
แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครเชื่อ ผมเลยต้องจำใจกลับมาดูแลลูกเหมือนเดิม ต้องนั้นท้อจริงๆ ที่ทุกอย่างโถมเข้าใส่ขนาดนี้
ออกเรือก็ไม่ได้เพราะลูกน้องเรือก็ออกกันไปหมด เหมือนอุปทานหมู่พอคนแรกออกก็ออกตามกันไปผมเลยจอดเรือทิ้งไว้รอลูกน้องทีมใหม่ (ตอนนั้นเหลือแค่ลูกน้องคนไทยคนเดียว) ระหว่างนั้นผมก็ไปรับจ้างทำงานอยู่ในอู่ต่อเรือไปพลางๆ
ทำอยู่ได้ 2 สัปดาร์ก็มีอุบัติเกิดขึ้นกับช่างคนนึงในอู่คือช่างคนนี้
เขาขึ้นไปทาสีบนห้องบังคับเรือซึ่งสูงประมาณ 4-5 เมตรเห็นจะได้ ช่วงนี้เราก็ทำงานกันจนค่ำเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ส่วนผมกำลังขนไม้อยู่ด้านล่าง อยู่ดีๆช่างที่ทาสีข้างบนก็ตกลงมากระแทกกับพื้นบริเวณนั้นก็มีพวกถังสีอยู่จึงทำให้เกิดเสียงดังทุกคนเลยรีบวิ่งไปดูเห็นช่าง ขาหักจนเห็นกระดูกแทงออกมาอย่างชัดเจนทุกคนตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ช่างก็ร้องโวยวาย
พอตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปยกเพื่อพาไปโรงพยาบาลแต่ก็เคลื่อนตัวไม่ได้เลยเพราะช่างเจ็บร้องจนเสียงหลงเลยรีบไปเรียกรถพยาบาลมาแทนระหว่างที่รอนั้นผมก็อยู่ด้านนอกไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับช่างคือ นั่งร้านที่อยู่บริเวณนั้นอยู่ดีๆ ก็หักลงมาทับช่างอีกที ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปช่วยแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีหวัง เพราะเหมือนช่างจะเสียชีวิตไปแล้ว
ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปดูว่าจะมีอะไรตกลงมาอีกไหม ผมก็เห็นเงาคนตะคุ้มๆอยู่บนนั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นอีกหลายคนก็เห็นเหมือนกับผม หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราก็ได้มานั่งคุย แต่ละคนก็มีตวามเชื่อแตกต่างกันไป แต่สิ่งนึงที่เหมือนกันคือ เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ มีคนนึงพูดขึ้นมาว่า ข้างบนนั้นสิ่งที่มันเห็นคือผีพราย ผมได้ยินคำนี้ที่ไรก็ถึงกับสะดุ้งทุกที วันนั้นคุยกันไปคุยกันมาผมก็ได้ลูกเรือมาช่วย 3-4 คนซึ่งก็พอที่จะออกเรือกันได้
แต่ก่อนหน้านั้นผมก็ได้ไปหาพ่อปูาฤาษีให้มาช่วยปัดเป่าลูกสาว แล้วทำพีธีอะไรของแกเนี้ยแหละเพื่อคุ้มครองเอาไว้ พ่อปู่แกบอกว่าลูกสาวดวงอ่อนตั้งแต่เกิดแล้ว สิ่งไม่ดีทั้งหลายมันก็เข้ามาง่าย แกก็บอกกับผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาว "ห่วงแต่ตัวเถอะ" ผมได้ยินก็ไม่ได้เอะใจอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็กลับมาออกเรือ ช่วงไม่กี่วันแรกฝนก็ตกบ้างมีพายุเล็กน้อย แต่วันที่ 4 เรือผมบรรทุกปลามาเยอะพอสมควรทำเรือช้าลง บังคับยากขึ้น จึงพยายามไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งเข้าฝั่ง
จนมีอยู่คืนนี้ที่ผมก็จอดเรือพักอยู่ฝนก็ตก ตัวผมอยู่ในลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ฝันถึงลูกสาวที่สุขภาพแข็งแรงกลับมาวิ่งเล่นมีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆทั่วไป จนลูกน้องผมมาปลุก ให้ผมตื่นเพราะอยู่ดีๆก็มีพายุแรงมาก มากับคลื่นที่ใหญ่จนเห็นแล้วขนลุก ผมพยายามสู้กับคลื่นและพายุได้ไม่นาน เรือผมก็ล่มลงกลางอ่าวไทยและออกข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์.
ขอเท้าความไปนิดนึงก่อนเรือผมจะล่ม...
ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะลูกน้องปลุก คนอื่นๆก็กำลังวิดน้ำอยู่ในห้องใต้ท้องเรือ มันพยายามวิดอยู่นานมาก ยังไงน้ำก็ไม่น้อยลง เลยมีลูกน้องคนนึงสังเกตุเห็นรอยรั่ว เหมือนมีอะไรมากระแทกจากข้างนอก ซึ่งตอนแรกคิดกันไปว่าคลื่นซัดน้ำเข้ามาจากจากด้านบน เลยคุยกันว่าต้องมีคนนึงดำไปดูว่าเสียหายมากแค่ไหน ส่วนคนที่เหลือจะพยายามผนึกรอยรั่วไว้ ตอนนั้นแต่ละคนค่อนข้างเกี่ยงกันเพราะ พายุข้างนอกแรงมากๆ อาจถูกคลื่นกลืนหายไปเลยก็ได้ ลูกน้องคนไทยที่เคยออกเรือกับผมคราวที่แล้วอาสาโดดลงไปดู เลยเอาเชือกมามัดเอวมันไว้เพื่อความปลอดภัย แต่พอลงไปได้ประมาณ 2-3 นาทีแล้วไม่กลับขึ้นมา ผมเลยดึงเชือกกลับมาดู ก็พบว่าเขาหายไปแล้ว และเชือกก็เหมือนถูกแก้ออกไปเองทั้งๆที่ผูกเป็นเงื่อนไว้อย่างดี สุดท้ายผมเลยพยายามประคองเรือไปให้ใกล้ฝั่งมากที่สุด เพราะยังไงก็สู้พายุไม่ไหวแน่ๆ แล้วกะว่าจะสละเรือทิ้ง พอตอนน้ำเข้ามาในเรือมากๆจนเรือใกล้จะล่ม แต่ละคนก็คว้าแกลลอนน้ำมันเครื่องกันคนละ 2-3 ถังแล้วโดดลงทะเล ในช่วงเวลาที่ลอยคออยู่กลางพายุ ไม่รู้ช่วงไหนก็มีลูกน้องอีกคนนึงที่ถูกกลืนหายไปกับคลื่น แต่สุดท้ายผมกับลูกน้องอีก 2 คนรอดมาได้
หลังจากที่ลอยคออยู่กลางทะเลจนเกือบเที่ยง (พระอาทิตย์อยู่ตรงหัว) ก็มีเรือประมงลำอื่นมาเจอเข้า เราเลยรอดมาได้ เขาพาพวกผมไปส่งเข้าฝั่ง แต่ตอนนั้นผมอยู่จังหวัดที่ไกลจากบ้านมากๆ เงินก็ไม่มีสักบาท สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซื้อง่ายแบบสมัยนี้ ตอนนั้นรู้สึกจริงๆว่าไม่เหลืออะไรแล้ว มีแค่ตัวเปล่า เลยเตร็ดเตร่หางานทำ เพื่อหาเงินกลับบ้าน เลยไปเจอร้านอาหารตามสั่งแห่งนึง ผมเลยไปขอเขาล้างจาน แต่เขาไม่มีที่อยู่ให้ ก็เลยอาศัยนอนใต้ต้นไม้แถวๆนั้นไปวันๆ ลืมเล่าไปว่าลูกน้องคนอื่นๆที่รอดมาได้ แยกย้ายกันไปตั้งแต่ขึ้นฝั่ง เพราะต่างคนต่างมาจากคนละจังหวัดอยู่แล้ว
ส่วนผมต้องลำบากตรากตรำมาก เพราะเขาให้ผมแค่วันละ 16 บาท จะหางานอื่นทำเรี่ยวแรงแถบจะไม่เหลือ สภาพจิตใจตอนนั้นก็ค่อนข้างแย่ จนคืนนึงที่ผมนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเดินเหยียบกิ่งไม้อยู่แถวนั้น ปกติบริเวณนั้นจะเงียบๆไม่ค่อยมีใคร เลยลุกขึ้นมาดู เห็นผู้หญิงเดินอยู่ไกลๆใต้ต้นมะพร้าว ในใจคิดอยู่แล้วว่าอาจจะเป็นผีก็ได้เพราะ ผมเชื่อเรื่องพวกนี้แบบฝั่งใจ เลยตัดสินใจไม่ไปยุ่งกลับมานอนเหมือนเดิม สักพักก็ได้ยินเสียงเดินไปเดินมาใกล้ๆอีก
ผมรำคานใจแต่ก็ยังไม่ได้ลืมตา สักพักกลิ่นก็มา เป็นกลิ่นคาว เหมือนกลิ่นปลาไก่ (เศษปลาตายที่กองรวมๆกัน เพื่อนำไปทำเป็นอาหารไก่) ซึ่งมันจะเหม็นมากๆๆ ผมเลยลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิงนั่งหยองๆ แล้วมองมาที่ผม ผมยาวดำรุงรังจนไม่เห็นใบหน้า แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น
ผมเห็นแล้วก็รีบหยีตาหนีเพราะสัญชาตญาณ แต่กลิ่นก็ยังอยู่ จนรู้สึกเหมือนเขามาสัมผัสที่ขาผม แล้วสักพักก็หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำอยู่ ผมเลยตั้งสติอยู่สักพักแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีเลยตอนนั้น วิ่งแบบไม่คิดชีวิต พอหันกลับมองก็ไม่เจออะไรแล้ว พอเช้ามา ก็หิวมากๆ ต้องไปคุ้ยหาของกินในถังขยะคุ้ยไปทั้งน้ำตา เพราะคิดถึงลูกคิดถึงเมีย ชีวิตไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อน ตอนหนีออกจากบ้านมาตอนนั้นก็ยังพอมีเงินติดตัวมา บวกกับอยู่ในเมือง มีงาน มีโอกาสที่จะสร้างตัว
ผมก็เดินไปเรื่อยๆจนผ่านร้านขายของชำแห่งนึง เลยเห็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเรือที่อับปางในอ่าวไทย เลยพยายามอธิบายกับพ่อค้าร้านขายของชำว่า เรือในข่าวเนี้ยของผม คุยไปคุยมาเขาก็เชื่อเลยพาไปหาเพื่อนของเขา เขาจะให้ผมติดรถเข้าไปในเมือง แล้วเขาก็ให้ข้าวให้น้ำผมมา ต่อรถไปที่จังหวัดบ้านเกิด สุดท้ายผมก็กลับมาถึงบ้านจนได้ เมียผมรู้ข่าวเรือล่มแล้วคิดว่าผมจะไม่รอด เพราะหาศพไม่เจอ ก็ร้องไห้ดีใจ ผมเลยรีบเข้าดูลูกก่อนเลย ก็พบว่า ลูกสาวอาการดีขึ้นมาก ตัวไม่ลีบเหมือนคราวที่แล้วผมที่เจอ
ผมกลับมาเจอลูกสาวอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าลูกในตอนนั้น ได้กลับมาอยู่บ้าน พร้อมหน้าพร้อมตาก็ดีใจมากแล้ว ตั้งแต่นั้นผมกับเมียก็คอยสลับกันดูแลลูกอยู่ไม่ห่าง เมียผมรับผ้ามาซัก ช่วยหาเงินเข้าบ้าน ส่วนผมหลังจากที่เสียเรือไปแล้ว ตอนนั้นจิตใจค่อนข้างแย่เพราะมันท้อไปหมด เลยต้องหาที่พึ่งทางใจ ก็จะมีกลุ่มป้าๆ เพื่อนละแวกข้างเคียงชวนเข้าวัดไปทำบุญบ่อยๆ ผมก็จะตามเขาไปด้วย ตอนไปวัดก็ไม่มีแบบว่าไปหาพระแล้ว พระท่านทักว่ามีผีตามหรือต้องสะเดาะเคราะห์อะไรอย่างนั้นนะครับ เราไปทำเพราะอยากจะทำ ด้วยใจที่อยากสร้างบุณกุศลเพียงแค่นั้น ไม่เคยมีเรื่องราวแปลกประหลาดหรือเห็นอะไรตอนอยู่ที่วัดเลย
ตอนนั้นผมรับจ้างจิปาถะไปเรื่อย ไม่ได้มีกิจการเหมือนแต่ก่อน แต่ก็พออยู่กันได้ จะมีก็แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายคือที่ดิน ที่ที่ผมใช้ปลูกบ้านอยู่เนี้ยแหละ ประมาณ 7 ไร่ ซึ่งช่วงนั้นมีเทศบาลเข้ามาคุยว่าอยากจะจัดงานประจำปีของชุมชนแถวนั้นในพื้นที่บ้านผม ซึ่งมันเป็นที่โล่งกว้างๆติดแม่น้ำ ตัวบ้านผมนั้นเป็นบ้านไม้หนึ่งชั้น กินพื้นที่ไม่ถึงไร่ ผมเลยตอบตกลงไป เพราะเขาให้ค่าเช่าด้วย ถือว่าอยู่ๆก็ได้เงิน พอถึงวันงานปีใหม่ก็มีคนมากมายแห่กันมาเที่ยว มีคอนเสิร์ทวงลูกทุ่งมาเล่น มีชิงช้า ม้าหมุน สารพัด ผมเลยถือโอกาสเดินเที่ยวในงานตามสบายใจ เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆไม่ต้องเป็นห่วงลูกมาก เมียก็คอยดูให้อยู่
ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เสียงเพลงก็ดังมีผู้คนมาเที่ยวงานมากมาย ผมที่กำลังยืนดูดนตรีอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน เราก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่ท่าน้ำ มีเพื่อนคนนึงกำลังยืนฉี่ลงในแม่น้ำอยู่ มันบอกว่ามันเห็นใครยืนอยู่ตรงเสากระโดงเรือ ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยู่บนเรือ ทุกคนออกไปเที่ยวงานกันหมด แล้วเสากะโดงนั้นมันก็ไม่ได้ยืนกันได้ แต่ผมกับเพื่อนอีกคนเห็นไม่ทัน ตอนนั้นก็รู้สึกกลัวอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก
จนกลับไปที่เวทีคอนเสิร์ท มันก็ชี้ให้ผมดูข้างบนเวทีตรงมุมเวที จะมีฉากหลังที่เป็นรูอยู่ เป็นรูที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป มันก็ให้ผมและเพื่อนมองผ่านรูเข้าไป ก็เห็นเป็นหัวคนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนแล้วจ้องมองมาทางเรา ซึ่งมันบอกว่าเหมือนกับคนๆเดียวที่มันเห็นบนเสากระโดงเรือ คือเราทั้ง 3 คนมองเห็นแบบเดียวกัน เป็นหน้าคนซีดๆ น่าจะเป็นผู้หญิง เหมือนมีแต่หัว แล้วจ้องมาทางนี้ ในขณะที่เสียงเพลงก็กำลังดัง ทุกคนกำลังสนุกไปกับงาน
สิ่งที่เราเห็นทั้งสามคนเห็นก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เพื่อนผมพยายามชี้ให้คนแถวนั้นมอง เขาก็ไม่เห็นอะไร ไอเพื่อนคนนี้มันก็สงสัยเลยวิ่งไปดูหลังเวที เห็นเขากำลังแต่งหน้าอะไรกันอยู่ เลยพยายามคิดในแง่ดีว่าคงไม่ใช่หรอกมั้ง น่าจะเป็นหน้าของใครสักคนที่กำลังแต่งหน้าดูกระจกอยู่ แล้วเราก็มองเห็นผ่านรูพอดี (แต่พวกผมลองกันแล้ว ทำยังไงก็ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกัน) เลยไม่สนใจอะไร ไปหาเหล้ามากินจนเมาได้ที่ เราทั้ง 3 คนก็เดินไปฉี่ที่ริมน้ำเหมือนเดิม ด้วยความที่เมาพอสมควรเดินก็แถบจะไม่ตรง ไอเพื่อนคนที่เคยฉี่ไปครั้งแรกเผลอพลัดตกน้ำลงไป ตอนนั้นตกใจนิดหน่อยแต่ยังติดตลกกันอยู่ เพื่อนอีกคนเลยโดดตามลงไปช่วย
ส่วนผมค่อนข้างมีปมเรื่องน้ำอยู่ในใจพอสมควร เลยยืนนิ่งๆ รอดูสถาณการณ์ (เพื่อนที่เมาตกน้ำคนแรกขอเรียกมันว่า ยอด แล้วกัน ส่วนอีกคนเรียกว่า ชัย) จนไอชัยมันขึ้นมาจากน้ำแล้วตะโกนมาว่า "ไอเชี้ยกูหามันไม่เจอ ช่วยที" แล้วมันก็ดำลงไปต่อ ส่วนผมก็ยืนหงึกๆหงักๆอยู่สักพัก ก็ยอมโดดตามลงไปช่วย ด้วยไฟสีสันหลากหลายที่ติดอยู่ด้านบนบริเวณนั้น ทำให้ผมมองเห็นอะไรในน้ำค่อนข้างชัด สิ่งแรกที่เห็นคือไอยอดเหมือนกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว นอนแน่นิ่งอยู่ตรงผืนน้ำ ไม่ไกลจากตรงนั้นก็เห็นไอชัยพยายามตะเกียกตะกายสู้กับอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นอยู่
ผมเลยพยายามว่ายไปช่วยไอชัยก่อน แต่พยายามดึงมันเท่าไหร่ก็ดึงไม่ขึ้น เหมือนตัวมันหนักมาก ทั้งๆที่น้ำหนักไม่น่าจะมีผลในน้ำ ผมเลยไม่รู้ทำไง ลมก็กำลังจะหมด เลยเปลี่ยนไปช่วยไอยอดแทน ก็พามันขึ้นมาได้แต่ก็รีบกลับลงไปช่วยไอชัยต่อเลย ตอนกลับลงไปตอนนั้นเห็นมันแน่นิ่งไปแล้ว แต่ก็ช่วยมันขึ้นมาสำเร็จเหมือนกัน
พอดีตอนนั้นก็มีคนผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเลยช่วยกันปฐมพยาบาลจนรอดทั้งคู่ แต่ไอชัยคนเดียวที่เพ้อถึงหัวที่มันเห็นผ่านรูตรงเวที จำได้มันร้องแค่ว่า "อย่ามายุ่งกับกูๆ" แล้วก็สบถต่างๆนาๆ แต่ขณะนั้นเองผมยังไม่ทันหายเหนื่อย เมียก็วิ่งมาบอกว่า "ช่วยมาดูลูกที" ผมเลยรีบวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิต ไปเจอลูกอยู่ในสภาพเหมือนสำลักน้ำ มีน้ำออกมาจากปากเป็นจำนวนมากผสมกับเสมหะที่เป็นสีเหลืองๆเขียวๆ ผมไม่รู้จะทำไงเลยอุ้มลูกรีบพาไปโรงพยาบาล ระหว่างทางลูกสำลักน้ำออกมาตลอดเวลา แล้วเหมือนไม่มีทีท่าจะเบาลงเลย จนพอไปถึงหมอลูกก็เสียชีวิตแล้ว
คืนนั้นกลายเป็นคืนปีใหม่ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม หมอก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงมีน้ำออกมามากมายขนาดนั้น บอกแค่ว่าลูกติดเชื้อไวรัสในสมองเหมือนคนจมน้ำทะเล แล้วก็บอกประมาณว่าถ้ามาเร็วกว่านี้อาจจะช่วยทัน คือโรงพยาบาลก็ไม่ได้อยู่ไกลบ้านนะ ผมใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ รู้สึกอยากจะซัดหมอให้ลงไปกองกับพื้นสักหมัด ส่วนตอนนั้นเมียผมทำใจไม่ได้ร้องไห้ทุกวัน ร้องตลอดเวลาจนไม่เหลือน้ำตาออกมาแล้ว คือถ้าผมอ่อนแออีกคนชีวิตครอบครัวก็คงไม่เหลือ เพราะยังมีลูกชายอีกคนที่เราต้องดูแล เลยพยายามหางานทำเยอะๆ จะได้ไม่ฟุ่งซ่าน ส่วนเมียผมพอเริ่มดีขึ้นก็ออกไปทำงานเหมือนกัน
หลังจากนั้นเรา พ่อ แม่ ลูก จะออกไปทำบุญด้วยกันทุกเช้า อุทิศส่วนกุศลให้น้องไปสู่สุขติ แม้เรื่องราวมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว แต่เราก็ยังคงจำน้องได้เสมอ ส่วนพี่ชายตอนนี้ก็มีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังทำบุญให้น้องทุกวัน พอครบ 100 วันก็จะกลับมารวมตัวกันทุกครั้ง
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านแล้วเป็นกำลังใจให้ครับ
สมาชิกหมายเลข 1480808