EP.088 : ผีฆ่าขโมย!

"นายแบน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยผีดุ



ผมเป็นคนย่านบางกรวยนี่เองครับ บ้านอยู่ในตรอกซอยที่มีทางแยกหลายเลี้ยวค่อนข้างจะคดเคี้ยวยอกย้อนเอาการ ตามบ้านช่องส่วนมากมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ตอนกลางวันมีคนเดินคึ่กๆ ก็ให้ร่มเงาดีหรอก แต่พอตกกลางคืนผู้คนชักจะบางตา บรรยากาศกลับดูเยือกเย็น น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

บอกตรงๆ ว่าน่ากลัวทั้งคนทั้งผีแหละครับ!

นับวันบ้านช่องก็ยิ่งแน่นหนา ผู้คนก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน เคยรู้จักกันทั้งย่านมาเหลือแต่ในซอย ต่อมาก็ชักจะเห็นคนแปลกหน้ามากขึ้นทุกที


ขโมยขโจรค่อนข้างชุม บางทีก็เข้าบ้านกลางวันแสกๆ ยิ่งตอนกลางคืนหายห่วงเลยครับ เพราะมีพวกตีนแมวโผล่ออกมาอาละวาด ตัดช่องย่องเบาสารพัด ไม่ว่าจะปีนรั้วหรือดอดเข้าทางหลังคา ขนาดมีหมาปากเปราะคอยเห่าหอนเตือนภัย แต่ไอ้พวกผู้ร้ายใจบาปก็เอาเนื้อคลุกยาเบื่อให้หมากินจนตาย จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการโจรกรรม

บ้านตรงข้ามผมโดนคนร้ายขึ้นบ้าน ลูกสาววัยรุ่นเกิดเปิดประตูออกมาพอดีเลยโดนปลุกปล้ำ หวังจะข่มขืนเป็นกำไรอีกต่างหาก ดีแต่ว่าเด็กสาวขัดขืน ต่อสู้ไม่คิดชีวิตเลยรอดตัวมาได้ ร้องเอะอะโวยวายให้ช่วย ไอ้โจรหื่นเห็นท่าไม่ดีก็กระโจนออกจากบ้านไป

เขาว่าในซอยผีดุนะครับ มีคนเห็นบ่อยๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทั้งผีโดนฆ่า โดนรถชน รวมทั้งฆ่าตัวตายเพราะอกหักมั่ง เจ็บไข้ได้ป่วย ทนทุกข์ทรมานเหลือหลาย เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์พ้นร้อน!

ล่าสุดก็มีสาวใช้ที่บ้านกลางซอย เคยเห็นออกมาเดินหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ แทบไม่ซ้ำหน้า เกิดผูกคอตายที่ต้นไม้ริมรั้วดื้อๆ สาเหตุเพราะท้องไม่มีพ่อ

ป้าเยื้อนกับยายจง คนข้างบ้านกับก้นซอยเคยโดนผีหลอกคล้ายๆ กัน คือเดินผ่านบ้านนั้นตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นตุ๊บ เลยหันขวับไปมองอย่างไม่รู้ตัว...

สาวใช้ที่ผูกคอตายเดือนก่อนน่ะซีครับ ทิ้งตัวลงมาจากกิ่งมะม่วง ห้อยต่องแต่งเห็นตาถลน ลิ้นจุกปาก เล่นเอาคุณป้ากับคุณยายร้องจ้า....วิ่งไปร้องไปจนหมาเห่าเกรียวกราว ผู้คนแตกตื่นกันทั้งซอย โจษขานเรื่องผีดุสาหัสชนิดน่าขนลุกขนพองสิ้นดี!

เจ้าของบ้านทำบุญเลี้ยงพระแล้วนะครับ แต่วิญญาณเธอก็ไม่ไปผุดไปเกิดเสียที...พวกหนุ่มๆ ที่เคยเดินควงกับเธอ มีทั้งพวกขับตุ๊กตุ๊กและวินมอเตอร์ไซค์ ก็ดูเหมือนจะหายหน้าหายตาไปหมดสิ้น...คงกลัวโดนผีหลอกละมั้ง?

ที่หน้าบ้านสาวผุกคอตายนั่นแหละครับ มีซุ้มกระดังงาอยู่ข้างใน เลื้อยขึ้นมาคลุมรั้วข้างๆ ประตู ใบดกหนาดูร่มครึ้ม ตอนเย็นๆ มักมีดอกสีเหลืองอร่ามโผล่ขึ้นที่นั่นที่นี่ ตอนแรกๆ ก็มีเด็กสาวในซอยวนเวียนมาเด็ดดอกกระดังงาที่ยื่นออกมานอกรั้วแบบถือวิสาสะ แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ได้ห้ามหวงอะไร

จนกระทั่งมีสาวใช้ผูกคอตายน่าสยองในรั้วเดียวกัน แถมต้นมะม่วงก็อยู่ใกล้ๆ ซุ้มกระดังงาอีกต่างหาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้โดนผีหลอกน่าขนลุก เด็กสาวๆ ก็เลยไม่กล้ามาข้องแวะแถวนั้นเท่าไหร่ ยกเว้นแต่มากันเป็นพรวนในตอนเย็นๆ ที่มีผู้คนเดินไปเดินมาพอให้อุ่นใจ

วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกโดยไม่นึกฝัน!

เย็นนั้น เด็กสาว 3-4 คนจากปากซอยเข้ามาเดินเล่น หัวเราะต่อกระซิกจนโดนวัยโจ๋ร้องแซวคึกคะนอง แต่พวกเธอไม่แยแส เดินไปที่ซุ้มกระดังงาดอกเหลืองอร่าม อยู่ค่อนข้างสูงเพราะดอกใกล้ๆ มือโดนเด็ดไปจนเกลี้ยงแล้ว

มีการกระโดดขึ้นไปคว้าเอาดื้อๆ ผิดมั่งถูกมั่ง หัวเราะคิกคักยั่วหนุ่มไปตามๆ กัน

จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดว้าย ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนอื่นๆ เพราะใบกระดังงาแหวกพรวด ใบหน้าขาววอกของผู้หญิงโผล่ออกมายิ้มแป้น...สาวใช้ที่ผูกคอตายนั่นแหละครับ!

"ว้ายๆๆ" เสียงร้องเหมือนเกิดไฟไหม้ สาววัยรุ่นกลุ่มนั้นผงะหน้าก่อนจะเผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทางพลางร้องว่า "ช่วยด้วยๆ ผีหลอกๆๆ ผีหลอกแล้วโว้ย"

คนที่เดินผ่านไปมาวิ่งมาดูแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากยอดมะม่วงไหวซ่าน่ากลัวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดแม้แต่น้อยนิด

คืนนั้นเองที่เกิดเรื่องสยองขวัญสุดขีดขึ้นมา!

ผู้คนเหน็ดเหนื่อยจากการงาน ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขารมณ์ ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็นของรัตติกาล...เสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุม พุ่มไม้ เคล้ากับเสียงหมาหอนเบาๆเหมือนจะเกิดความวังเวงใจเหลือประมาณ

ทันใดนั้น เสียงแผดร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดสุดขีดก็ดังลั่นไปทั้งซอย ผู้คนสะดุ้งตื่น...ไม่ช้าก็ทยอยกันโผล่ออกมาดูเหตุการณ์ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ พี่ส่ง-คนข้างบ้านหันมาบอกผมว่า...ลองแหงนหน้าขึ้นไปดูฝั่งโน้นหน่อย ใครขึ้นอยู่บนต้นมะม่วงน่ะ?

พวกเรา 3-4 คนหับขวับ...เสียงใครร้องเฮ้ย! ผมเองก็ม่านตาพร่าพรายไปถนัดเมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ที่กิ่งมะม่วงอันเคยมีสายใช้ผูกคอตายนั่นเอง ร่างของชายคนหนึ่งห้อยโตงเตงอยู่ที่นั่น! ปรากฏว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะสิ้นใจไปหยกๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดจึงอุตริปีนเข้าไปผูกคอตายด้วยเชือกป่านที่นั่น?

สันนิษฐานว่าคงจะเป็นหัวขโมยที่โดนอิทธิฤทธิ์ปีศาจเล่นงานหนักหน่วงจนถึง แก่ความตายแน่นอน...เจ้าของบ้านทนไม่ไหวต้องขายบ้านหนีก็แล้วกันครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.087 : ห้องผีสิง

"ปูเป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปนอนในห้องที่มีการฆาตกรรม



ห้องที่เจ้าของบ้านจัดให้ดิฉันอยู่นี้ เป็นห้องที่มีผีสิง!

ดิฉันเคยเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่มีความจำเป็นบางประการที่ทำให้ต้องลาออก แล้วกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ราชบุรี บ้านของดิฉันเอง ซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำมานานยี่สิบกว่าปี ตั้งแต่ดิฉันยังแบเบาะโน่นแน่ะค่ะ


เมื่อปีที่แล้ว ผู้มีพระคุณของครอบครัวเราเรียกใช้ให้ดิฉันไปสอนพิเศษให้หลานๆ ของท่าน คือลูกของลูกสาวท่านน่ะค่ะ ลูกสาวท่านชื่อคุณกิ่งแก้ว มีบ้านอยู่ที่พุทธมณฑล เธอมีลูกสาว 2 คนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ชื่อน้องกุ้งกับน้องกั้ง อายุ 5 ขวบ กับ 7 ขวบ งานของดิฉันคือไปสอนการบ้านและทบทวนวิชา น้องๆ จะได้เรียนเก่งๆ

ทุกๆ วันศุกร์ตอนบ่ายๆ ดิฉันจะขับรถจากราชบุรีมาที่พุทธมณฑล และค้างคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ กลับราชบุรีเย็นวันอาทิตย์ ใช้เวลาอยู่กับน้องกุ้งน้องกั้งเต็มที่ ดูๆ แล้วก็เหมือนครูกึ่งพี่เลี้ยง คือทั้งสองทั้งไปเที่ยวด้วย และคอยดูแลตลอดสุดสัปดาห์ โดยคุณกิ่งแก้วให้ดิฉันนอนในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่เรือนคนใช้

เรือนคนใช้ที่ว่านี้ ดิฉันก็เรียกให้โก้ๆ ไปยังงั้นเอง...ที่จริงมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน แต่สร้างยื่นออกมาข้างๆ ต่อจากห้องครัว ลักษณะคล้ายห้องแถวมี 3 ห้อง

ห้องหนึ่งนั้นมีป้านวลคนรับใช้และนง-คนเลี้ยงเด็กนอนอยู่ด้วยกัน ห้องตรงกลางใช้เป็นที่รีดเสื้อผ้า และห้องริมสุดปล่อยว่างไว้เฉยๆ ดิฉันนอนห้องนั้นละค่ะ มีเตียงมีตู้พร้อมสรรพ ลักษณะเหมือนเคยมีคนอยู่ที่นี่มาก่อน แต่พอถามป้านวลกับนง ทั้งคู่ก็ไม่ทราบเพราะพวกเขาเพิ่งมาทำงานกับคุณกิ่งแก้วได้แค่ 4 ปี

พอมาถึงห้องนี้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว...

คนใช้รุ่นก่อนหน้าป้านวลนั้นลาออกไปหมดแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วบอกว่าไปแต่งงานบ้าง ไปทำงานโรงงานบ้าง ดิฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ขอบอกตรงๆ ว่า ตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนดิฉันก็เริ่มรู้สึกพิกลๆ มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก!

ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ เพียงแต่หวาดๆ และไม่ชอบอยู่ในที่ที่ทำให้เราต้องคอยหวาดระแวง...ห้องนี้ก็เหมือนกันค่ะ

ทีแรกดิฉันคิดว่าเป็นรอยเปื้อนสีน้ำตาลบนผนังหัวเตียง มันเหมือนเลือดที่สาดกระเซ็นเป็นฝอย ดิฉันเอาฟองน้ำจุ่มน้ำยาล้างจานมาเช็ดๆ มันก็ไม่ออก...ช่างมัน! ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันไม่ใช่คนคิดมาก

รอยเปื้อนสีน้ำตาลยังไม่น่าสนใจเท่าอาการปวดต้นคออย่างน่ารำคาญ ซึ่งเกิดทุกครั้งที่ดิฉันใกล้จะเคลิ้มหลับ มันปวดคล้ายๆ ใครเอาอะไรมาสับ...ดิฉันถึงกับลุกขึ้นนั่งในความมืด เอามือนวดต้นคอ พอล้มตัวลงนอนก็เป็นอีก...ทีแรกนึกว่าเป็นเพราะความเครียด แต่เมื่อมันเกิดบ่อยครั้งเข้า ดิฉันก็พยายามคิดหาสาเหตุ...แน่ละค่ะ! ไม่ใช่เพราะความนุ่มความแข็งของหมอน ดิฉันนอนสบายดี แต่จะปวดต้นคอหนึบชาขึ้นมาทุกครั้งที่ใกล้จะหลับ

มันเหมือนมีใครพยายามจะมาบอกอะไรบางอย่าง...

ใครบางคนกำลังแสดงให้ดิฉันดูว่า เขาตายอย่างไร!

นั่นเป็นสิ่งที่แล่นเข้ามาในสมอง ตอนที่ดิฉันกำลังครุ่นคิดว่าอาการปวดมันเกิดจากอะไร? และมันแปลกมากที่ดิฉันเริ่มแน่ใจว่าห้องนี้มีคนตาย! ห้องนี้เคยมีการฆาตกรรม!!

ดิฉันไม่ใช่คนเก็บความสงสัยไว้กับตัวให้ปวดสมองหรอกค่ะ วันหนึ่งเมื่ออยู่ตามลำพังกับคุณกิ่งแก้ว ก็เลยมีโอกาสถามเธอ คุณกิ่งแก้วทำตาดุเชียว บอกว่ามันเป็นเรื่องไม่น่าพูดถึงและขอร้องดิฉันว่าอย่าพูดให้ป้านวลกับนงรู้ เป็นอันขาด

บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของคุณกิ่งแก้วเอง อุตส่าห์ปลูกอุตส่าห์สร้าง เก็บเงินเก็บทองกันสองคนกับสามี เป็นบ้านที่เธอรักและผูกพันมาก แต่พออยู่อาศัยมาได้ 5 เดือนก็เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น...

ตอนนั้นคุณกิ่งแก้วยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เธอมีสาวใช้ชื่อดาวเป็นสาวสวย คืนหนึ่งคุณกิ่งแก้วกับสามีไปต่างจังหวัด ดาวแอบพาแฟนเข้ามานอนในห้องนี้ ทั้งคู่เกิดทะเลาะกัน ฝ่ายชายใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะเธอเลือดกระจาย เขาตีเธอซ้ำที่ต้นคออย่างแรง ทำให้กระดูกคอหักทันที

ดาวตายในห้องนี้ แฟนเธอก็หนีไปไหนไม่รอด...เรื่องนี้เกิดมาตั้ง 8 ปีแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วนิมนต์พระมาสวดมนต์ ทำบุญบ้านใหม่เรียบร้อย แต่คนรับใช้คนอื่นๆ ก็ขอลาออกไปหมดเพราะกลัวผีของสาวดาว

คุณกิ่งแก้วบอกดิฉันว่า เธอไม่คิดว่าวิญญาณของดาวจะยังสิงสู่อยู่ห้องนี้ เธอน่าจะไปผุดไปเกิดตั้งนานแล้ว!

คิดดูก็แปลก ที่เมื่อตอนที่ป้านวลมาเป็นลูกจ้างใหม่ๆ พร้อมกับนงนั้น ทั้งคู่ไม่เลือกห้องที่เกิดเหตุ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย พวกเธอกลับขอไปนอนด้วยกันในห้องที่ห่างออกไป ป้านวลเคยนอนห้องนี้ แต่ก็บ่นเช่นเดียวกับดิฉันว่าอึดอัดและปวดเมื่อย...โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้น คอ

จริงๆ แล้ว วิญญาณของดาวไม่เคยปรากฏเป็นตัวเป็นตน ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ แต่ถ้าใครได้เดินเข้าไปในห้องนั้น จะรู้ว่ามันเศร้าและหดหู่มาก เหมือนมีใครพยายามจะบอกอะไรกับเรา แต่ทำไม่ได้เพราะอยู่คนละมิติ...

ในที่สุด คุณกิ่งแก้วก็ให้ดิฉันเข้ามานอนในบ้าน ในห้องนอนที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ ซึ่งตอนนี้เด็กทั้งสองนอนกับพ่อแม่ ห้องนั้นก็ว่างอยู่

ห้องที่ดาวตายทิ้งไว้เป็นห้องเก็บของ ป้านวลกับนงยังไม่รู้ ถึงแม้จะมาอ่านคอลัมน์ขนหัวลุกนี้ เพราะดิฉันเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและสถานที่จริงค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.086 : ผีเด็กพเนจร

"กอฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีเด็กมาเล่นด้วย



ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นมาจากไหน? ตามผมมาได้ยังไง? แถมมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมทำไม? รู้แต่แกไม่ใช่มนุษย์มนาอย่างเรา แน่นอน...แกเป็นผีครับ! บางคืนแกยังคึกนึกสนุกพาเพื่อนมาอีกเป็นฝูง...ผีล้วนๆ เลย!

ฟังดูเหมือนผมโม้ใช่มั้ย? แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ


ผมชื่อกอฟ อายุ 31 ปี อยู่มหาวิทยาลัยปี 4 จบปีนี้ละครับ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านแถวประดิพัทธ ใกล้ๆ สะพานควายนี่เอง บ้านผมไม่เคยมีผีสิงเลย เราอยู่กันแสนสบาย ผมมีน้องสาวอีกคน กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

คืนหนึ่ง ผมดูหนังสือสอบอยู่ในห้องนอน เปิดไฟกลางห้องสว่างจ้า ทันใดนั้นผมเห็นหัวเด็กโผล่แว้บๆ อยู่ปลายเตียง คือตอนนั้นผมนั่งพิงหัวเตียงไงครับ ตามองหนังสือ แต่หางตาเห็นสิ่งประหลาดสิ่งนั้น ผมเหลือบมอง หัวนั้นก็ผลุบลงไป

เอ๊ะ! มันอะไรกันเนี่ย?

ทีแรกคิดว่าตัวเองคงตาลาย หรือไม่ก็อาจเป็นหนูที่ไต่ลงมาตามท่อแอร์ ถ้าเป็นหนูล่ะก็มันจะต้องตัวใหญ่เกือบเท่าแมวเชียว ใจนึกถึงกาวดักหนูทันที แต่ตอนนี้ผมคว้านิตยสารม้วนเป็นท่อนกลมๆ ขณะคลานไปชะโงกมองตรงปลายเตียง

ไม่มีอะไรเลยครับ มันว่างเปล่า สงสัยสมองจะเล่นกลกับสายตาซะละมั้ง?

พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ถือโอกาสพักสายตาทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง เอนศีรษะพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลง

แต่แล้วก็ต้องลืมตาตื่นทันที เพราะเตียงไหวยวบเหมือนมีอะไรบางอย่างโดดขึ้นมา...แผ่นดินไหวรึเปล่าหว่า?

ปรากฏว่า ตรงปลายเตียงเป็นรอยบุ๋มลงไปจริงๆ

ท่าจะไม่ได้การละ ผมนึกถึงคำว่า "ผี" ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่งจ้องอย่างใจระทึกว่า จะมีการสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีกเป็นรายการต่อไป? ผลุนผลันจวนตัวเข้าจะเผ่นอีท่าไหน? เอ...นั่งรออยู่นานก็ไม่มี

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับผีเด็กตนนี้!

สรุปว่าคืนนั้นผมนอนหลับ แต่กว่าจะหลับได้ก็นานเชียวละ มันระแวงนี่ครับ ถึงยังไงตอนเช้าก็ไปมหาวิทยาลัยและสอบได้ไม่ติดขัด นี่คือผลของการได้เรียนวิชาที่ชอบมาก...วิชาจิตวิทยาครับ ผมได้คะแนนเต็มทุกที

คืนต่อมา ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำในตู้เย็น ตอนนั้นห้าทุ่มกว่า เจ้ากล้วยน้องผมคงหลับฝันหวานไปนานแล้ว พ่อกับแม่ยังดูทีวีอยู่ในห้องนอน ผมได้ยินเสียงลอดลงมา

ส่วน "สาวมอน" สาวใช้จอมแก่นก็คงดูรายการภาคดึกอยู่ในห้องคนรับใช้ ไอ้เจ้านี่นอนดึกครับ มันติดทีวีหนักเชียวละ แต่ทำงานบ้านได้ดีมาก...เรื่องนี้เลยต้องยอมปล่อยมันมั่ง

เอาอีกแล้ว ผมกำลังเปิดสวิตช์ไฟในห้องรับแขก จังหวะที่ไฟสว่างพรึ่บ ผมหวิดสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กผู้ชายอายุราว 5-6 ขวบ วิ่งหายแว่บไปทางประตูด้านหลัง ที่จะเปิดไปห้องของมอน

แต่ภาพที่เห็นมันผิดธรรมชาติครับ

นั่นคือ ร่างนั้นผลุบหายทะลุผ่านฝาบ้านออกไป เล่นเอาผมหน้าชาเห่อ ขนลุกเกรียวไปหมด ยืนยันเลยว่าคราวนี้ผมไม่ได้ตาฝาด ร่างนั้นแต่งชุดคล้ายๆ นักเรียนอนุบาล หัวก็กลมทุย ท่าทางซน...เอ พูดอีกทีก็เฮี้ยนน่าดู

ผมขนลุกไม่เสร็จ รีบหยิบขวดน้ำในตู้เย็นเดินกลับขึ้นห้อง ไฟก็ทิ้งให้สว่างไว้อย่างนั้น ไม่ต้องปิดแล้ว เสียวสันหลังอย่าบอกใครเชียว

รุ่งเช้า...ตามฟอร์ม พ่อบ่นเรื่องไฟชั้นล่างที่เปิดทิ้งไว้ ผมเลยได้จังหวะเล่าให้ฟังว่า เห็นเด็กลึกลับวิ่งหายวับไปทางกำแพง พ่อบอกว่าผมดูหนังสยองขวัญมากเกินไป แม่ถือแก้วน้ำส้มค้าง ส่วนเจ้ากล้วยทำท่ากระตือรือร้นเต็มที่

อ้อ! มันชอบฟังเรื่องผีครับ ฟังแล้วเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นขนหัวลุกเล่นๆ ไง!

ผีเด็กตนนี้มาให้ผมเห็นทุกวัน แกสามารถโผล่ขึ้นมาได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ตอนผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมยังเห็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆตนนี้เลยครับ

ไม่ได้เห็นเต็มตา แต่แว่บไปแว่บมาให้รู้ว่า...หนูอยู่ที่นี่นะจ๊ะ อิ อิ อิ!

ไปๆ มาๆ ผมก็ชักชินซะแล้วสิ

ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่ถึงกับกลัวจนสยดสยองอะไร แค่แปลกใจ รู้สึกประหลาดดี เดี๋ยวๆ ก็มาอีกแล้ว แกมาให้เห็น แต่ไม่ได้มาหลอกหลอน ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นนะครับ

กระทั่งคืนหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมรู้สึกถูกผีอำ เป็นผีเด็กมานั่งบนพุงผม ขณะที่เด็กอีกเป็นสิบวิ่งเล่นเอะอะเจี๊ยวจ๊าวรอบๆ เตียงผม เหมือนกลายเป็นสนามเด็กเล่นงั้นแหละเอ้า!

ไม่ไหวละครับ งานนี้...

ผมเกิดกลัวแล้วละสิ เพราะผีเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผมได้ แม่เลยพาผมไปทำสังฆทาน เออ...จริงสิ ผีอาจมาขอส่วนบุญ! แต่จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผีเด็กนี้เป็นใคร? ตามผมมาทำไม?

ตั้งแต่ทำบุญให้แกก็หายจ้อยไปเลย อาจจะสำนึกผิดหรืออิ่มบุญแล้วก็ได้ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.085 : ศาลริมคลอง

"ป้าเลื่อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางหว้า



สมัยสาวๆ ป้าอยู่คลองบางหว้า ธนบุรี พวกผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านเคยพูดกันว่า "ไกลปืนเที่ยง" เอาการ เพราะในพระนครจะมีการยิงปืนบอกเวลา 12.00 นาฬิกา หรือเที่ยงตรง แต่บอกตามตรงว่าป้ากับเพื่อนๆ น่ะไม่มีใครเคยได้ยินหรอกค่ะ

เนื่องจากเราเล่นน้ำกันตูมๆ จนตัวไม่แห้ง เหมือนชาติก่อนเป็นปลา! ถ้าไม่มีแม่มาตะโกนเรียกพร้อมกับถือไม้เรียวกำกับก็อย่าหวังเลยว่าจะยอมขึ้นกันง่ายๆ ตอนนั้นอายุ 12-13 แล้วนะคะ แต่กระโดดน้ำตูมๆ กับเด็กผู้ชายจนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

 ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง

อ้อ! พวกเพื่อนๆ ป้าน่ะ บางคนก็มีหน้าอกแล้ว แต่ยังแก้ผ้าโดดน้ำกันตูมๆ แถมไม่ค่อยชอบนุ่งผ้านุ่งผ่อนอีกต่างหาก โดนพ่อแม่เอ็ดตะโรเข้าก็คว้าผ้านุ่งมาพันกายอย่างเสียไม่ได้ ปล่อยหน้าอกหน้าใจรับแดดรับลมตามใจชอบ...สมัยนี้ต้องบอกว่า อิสรเสรีเหลืออื่นใด

ยกเว้นแต่บางคนที่ความเป็นสาวมันชักจะตู้มๆ เตะตาขึ้นทุกที พวกแม่ๆ ก็จะคว้าไม้เรียวมากระหนาบบนตลิ่ง ร้องว่า...มึงโตเป็นกาบปูเลแล้วยังไม่รู้จักนุ่งผ้าอาบน้ำ ไม่อับอายผีสางเทวดา เดี๋ยวเงือกหงอนก็มาลักเอาไปทำเมียอยู่ใต้น้ำเท่านั้นเอง!

มีการวี้ดว้ายกันพอสมควร ผู้ใหญ่ส่ายหน้า บอกว่ากระแดะมาก

การเล่นน้ำของพวกเรามีเรื่องสนุกๆ หลายอย่าง ทั้งเล่นไล่จับ เอาเถิด หมาเน่าลอยน้ำ ใช้ผ้านุ่งทำโปงแล้วลอยตะลุบตุ๊บป่องไปเรื่อยๆ พอโปงแตกทีก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาที...เพื่อนๆ ก็จะหัวเราะลั่นไปทั้งคุ้งน้ำเชียว

พวกเด็กผู้ชายเล่นอะไรกัน พวกเราก็เล่นไอ้นั่น จำได้ว่าเพื่อนป้าสองคนชื่อนังเปียกับนังแหวนแก่นแก้วที่สุดในกลุ่ม แม่ยิ่งดุมันยิ่งซุกซนเป็นลิงเป็นค่างขึ้นทุกที

เล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกันก็มีค่ะ

ข้างตลิ่งที่เลยหาดไปหน่อยมีต้นมะขามโค่นลงน้ำแต่ปีก่อน กลายเป็นสะพานให้เราไปวิ่งไปโดดน้ำมั่ง เหนื่อยขึ้นมาก็ว่ายไปเกาะกิ่งไม้ลุ่นๆ บางทีก็โหนตัวขึ้นไปนั่งแกว่งขาเล่นในน้ำ...หนักเข้าก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับวิ่งไปกระโดดน้ำเพื่อแข่งกันว่ายไปที่ฝั่งตรงข้าม ราว 20 เมตรเห็นจะได้ แต่สำหรับเด็กๆ ก็ไกลโขแล้วนะคะ

ฝั่งโน้นยังเป็นสวนเปลี่ยว มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม บ้านช่องก็อยู่ลึกเข้าไป แถมปลูกอยู่ห่างๆ กัน

ที่นั่นมีหาดแคบๆ กับพงอ้อกอหญ้าดกหนา เว้าๆ แหว่งๆ อยู่ตามชายน้ำ เหมาะจะเล่นซ่อนหาชะมัดเลย...เสียแต่มีศาลไม้เก่าๆ โดดเด่นอยู่เหนือตลิ่ง เห็นผ้าเหลืองผ้าแดงขาดๆ ห้อยพันรุ่งริ่ง...บางเย็นก็ได้กลิ่นธูปหอมกรุ่นลอยมาเข้าจมูกด้วยค่ะ

พวกผู้ใหญ่เล่ากันว่า เด็กผู้หญิงฝั่งโน้นตกน้ำตายมาสิบกว่าปีแล้ว พ่อแม่ยังรักอาลัยก็ตั้งศาลไว้ให้อยู่ แหม! ป้ากลัวผีเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ไม่กลัว แต่เราไปถึงก็เงยหน้าขึ้นยกมือไหว้ เป็นการขอขมาลาโทษไว้ก่อน

มีคนเห็นเด็กผู้หญิงที่ว่ายืนอยู่หน้าศาลตอนเย็นๆ บางทีก็ลงมาเดินเล่นที่ชายหาดเหงาๆ น่าสงสารเหลือเกิน

บางวันขึ้นจากน้ำหนาวๆ ไปนั่งพัก ป้ายังเคยเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงโผล่ออกมาจากข้างศาล มองเราอายๆ เหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าเด็กแถวนั้นอยากจะมาเล่นน้ำกับเรา แต่พอเห็นหัวจุกกับหน้าซีดๆ ตาดำขลับ เกิดรู้สึกขนลุกซ่าที่ต้นคอกับตามท่อนแขน...อ้าปากค้างยืนตัวแข็งเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน...

เข่าอ่อนจนต้องนั่งแผละ ใจเต้นตึ้กๆ เหมือนจะพังออกมานอกอกยังงั้นแหละค่ะ!

พวกเด็กผู้ชายนำโดยเจ้าเก่งกับปื๊ด ชอบชวนเพื่อนๆ มาอวดศักดาว่าว่ายน้ำเร็วกว่าพวกเรา แน่ละซีคะ! เด็กผู้หญิงจะว่ายน้ำสู้ได้ยังไง แถมขึ้นฝั่งส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรเยาะเย้ยเราจนน่าโมโห...ป้าเจ็บใจจนต้องนึกหาทางแก้เผ็ดเอาจนได้

เย็นนั้น เรากำลังเล่นน้ำกันอยู่ดีๆ ก็มีตัวป่วนมากวนอารมณ์อีกแล้ว ป้าเลยชวนเพื่อนๆ ว่ายไปฝั่งโน้น พอถึงก็รีบแอบตามหลังเนินดินกับพงอ้อกอหญ้าสูงๆ ไม่ให้พวกเจ้าเก่งเจ้าปื๊ดมาเจอตัวเอาง่ายๆ

"เฮ้ย! พวกผู้หญิงไปไหนหมดวะ? สงสัยมันจะเล่นซ่อนแอบให้พวกเราหาละมั้ง? ไปหากันโว้ย!"

ขาดเสียง ลมกลุ่มใหญ่ก็พัดฮือมาจากบนตลิ่ง เย็นยะเยือกจับใจ ก่อนจะกลายเป็นเสียงซ่า...เคล้ากับเสียงคลื่นในคลองที่ทยอยเข้ากระทบฝั่ง เกิดเสียงน่าง่วงงุนบอกไม่ถูก

"ฉันอยู่นี่..." เสียงเย็นๆ ดังวู่หวิวมาเข้าหู...เอ๊ะ! เสียงใคร? ป้านึกขณะที่เจ้าเก่งโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา ป้าหลบเข้ากับเนินดินที่มีทางคดเคี้ยว ค่อนข้างชันไปสู่บนตลิ่ง...เจ้าเก่งแหงนหน้ามองแล้วหัวเราะชอบใจ

"โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะแอบอยู่ที่ไหนซะอีก ที่แท้ก็..." เสียงนั้นขาดหาย เจ้าเก่งย่นคิ้วเอียงคอมอง ป้าก็มองตามสายตาของมันไป...อุ๊ย! เด็กผมจุกหน้าขาวๆ โผล่ออกยืนที่ข้างศาลในชุดตุ๊กตาชาววัง เสื้อผ้าแดงสด ทาปากแดงแก้มแดง มองลงมาตาแป๋วเชียว

"ขอเล่นด้วยคนได้มั้ยยย..." เสียงเย็นๆ จากปากยิ้มแป้นดูน่ารักดีหรอก แต่ทำไมรูปร่างเธอสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเลยหลังคาศาล...เจ้าเก่งร้องเฮ้ย! หงายหลังตึง กลิ้งหลุนเป็นลูกขนุนพลางร้องจ้าไม่ขาดเสียง ป้าเองก็หันขวับ กระโจนลงน้ำไม่คิดชีวิต แว่วเสียงเจ้าเก่งร้องโหวกโหวยตามหลัง...รอด้วย! รอกูด้วย...

เรื่องอะไรจะรอให้โง่! ไม่ใช่เสียงเจ้าเก่งร้องอย่างเดียวนี่คะ มีเสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังมาอีกต่างหาก...กว่าจะข้ามฝั่งมาได้ก็เหนื่อยแทบขาดใจ อย่าว่าแต่พวกเด็กผู้ชายเลยค่ะ พวกเราเองก็ไม่มีใครกล้าข้ามฟากอีกเลยตั้งแต่นั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.084 : ปีศาจหมาดำ!

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางบอน

ถ้าจะพูดถึงเรื่องโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งละครับที่ไม่ได้น้อย หน้าใคร เพราะโดนผีหลอกมาสาหัส ไม่ว่าในกรุงเทพฯ ธนบุรี ไปยันต่างจังหวัดอย่างราชบุรีหรือปราจีนบุรี...กินแดนไปถึงภาคอีสานคือจังหวัดกาฬสินธุ์โน่นแน่ะคุณ



เดี๋ยวจะว่าเพ้อเจ้อยืดยาวไม่เข้าเรื่อง ผมขอเล่าเรื่องผีที่เคยเจอะเจอมาตอนสมัยหนุ่มๆ ก่อนละกัน!

ตอนนั้นผมอยู่แถวบางบอน นับเวลาก็ 20 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นถนนหนทางยังไม่ตัดปรูดปราดให้รถราแล่นปรื๋อเหมือนอย่างตอนนี้หรอก ลึกเข้าไปมีแต่เรือกสวนไร่นา บ้านช่องก็ยังอยู่ห่างๆ กัน จะชวนเพื่อนฝูงไปเที่ยวก็ต้องนัดแนะ ร้องเน้อ...ให้มาเจอะเจอกัน เรียกว่ายังเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจเอาการ

ผู้คนยังน้อย ภูตผีก็ยังเยอะแยะเป็นธรรมดา


พวกเราจะไปไหนมาไหนต้องอาศัยเรือเป็นหลักใหญ่ จะหาปลาหรือเก็บผักไปขายที่บางแคก็ต้องพายเรือกันไป...ผมโดนผีหลอกจังๆ ทั้งทางบกทางน้ำ บอกไม่เชื่อ! ไม่ขาดใจตายไปซะตั้งแต่นั้นก็ถือว่าเป็นบุญกุศลเต็มที

สาเหตุที่โดนผีหลอกบนบกก็ตอนที่ผมริอ่านออกไปเที่ยวตอนกลางคืนน่ะซีครับ!

ทางการเพิ่งจะเริ่มต้นตัดถนน พวกเราเคยไปรับจ้างเขาเหมือนกัน...ช่วยกันขุดดินขึ้นมาถมตามคำสั่งหัวหน้า เรียกกันว่า "แทงดิน" เฮๆ จนได้บ่อใหญ่ๆ ข้างทางหลายบ่อ เราเรียกกันว่า "บ่อหลา" กลางวันก็เห็นดอกรักสวยๆ น่าเก็บไปฝากสาว แต่กลางคืนมันตะคุ่มๆ ดูเร้นลับยังไงชอบกล

มีเนินดินค่อนข้างสูงอยู่ใกล้ๆ ดงรักก็ขึ้นสะพรั่งอยู่เต็มเนินเช่นกัน

อ้อ! ตอนไปเที่ยวน่ะไปด้วยกันนะครับ มีทั้งหนังและลิเก ไหนจะการพนันขันต่อสารพัดอย่าง แต่พวกผมยังวัยรุ่นเลยชอบดูหนังกับเกี้ยวสาวมากกว่าจะสนใจไฮโลหรือน้ำเต้าปูปลาเหมือนอย่างพวกรุ่นใหญ่เขา

ขากลับน่ะต่างคนต่างกลับ ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรเห็นจะได้ ย่ำต๊อกตอนดึกดื่น มีดาบขัดหลังเล่มเดียวก็ถมเถไป วัยคะนองทำให้ฮึกเหิมน่าดู

คืนหนึ่งผมก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

คืนนั้นเดินกลับบ้านราวสองยามเห็นจะได้ ช่วงที่ออกจากหลังตลาดยังมีผู้คนให้เห็นพอสมควร แต่เดินๆ ไปก็หายไปทีละคนสองคน ความที่เคยชินก็ไม่คิดอะไรมาก เดินดุ่มๆ กลับบ้านตามทางเปลี่ยว อาศัยแสงดาวสะพรั่งฟ้าก็เหลือแหล่แล้วครับ

ไม่ช้าก็ถึงบ่อหลาที่เราแทงดินขึ้นมาหลายวัน สายลมพัดโชยมาจากทุ่งกว้างไม่ขาดสาย เสียงแมลงกลางคืนพร่ำเพรียกอยู่ตามกอหญ้า พอเราเดินใกล้เข้าไปมันก็เงียบเสียง ก่อนจะกรีดปีกขึ้นใหม่เมื่อเดินคล้อยหลัง

มีอะไรบางอย่างแตกต่างกว่าคืนก่อนๆ ตรงที่รู้สึกเหมือนมีใครเดินตามมาข้างหลังแต่เมื่อหันขวับไปมองก็ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว!

ตอนนั้นบอกตัวเองว่า ช่างมัน! ถ้าเป็นผีก็อยากรู้ว่ามันจะหลอกยังไง?

ทันใดนั้นเอง ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหน้า มองเห็นเข้าก็ต้องชะงักกึก หน้าตาชาวูบวาบทันที เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แต่ปากคอแห้งผากเหมือนจะกลายเป็นผุยผง...ตวัดมือไปแตะด้ามดาบไม่รู้ตัว

หมาดำตัวมหึมา ใหญ่โตเกือบเท่าลูกม้าเห็นจะได้ มันยืนจังก้าอยู่บนโลก...หรือเนินดินสูงๆ ข้างทางนั่น...ตัวมันใหญ่โตจนเล่นเอาตะลึงไป แถมจ้องมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าราวกับแสงไฟ คล้ายจะมีเสียงคำรามขู่ขวัญดังฮื่อๆ มาด้วย

"ผีหลอกแน่แล้ว!" ผมบอกตัวเองอย่างแน่ใจ "หมาบ้าบอที่ไหนจะตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ นอกจากหมาผี"

ไม่รู้ว่ากลัวจนกลายเป็นความบ้าบิ่นหรือเปล่า? ผมยืนจ้องมองมันแทบไม่กะพริบตา...หมาจากนรกตัวนั้นแสยะปากเห็นเขี้ยวขาววับ ยาวโง้งน่าเสียวไส้ ผมก้มลงคว้าดินแข็งโป๊กก้อนใหญ่ติดมือขึ้นมา ขว้างโครมเข้าใส่ทันที

แม่นเหมือนผีจับยัด!!

โครมเดียวเข้ากลางหลังมันพอดี แต่ไม่ยักมีเสียงร้องอะไรเลย นอกจากจะเผ่นพรวดไปที่ดงรักข้างหน้าผม...หายวับเข้าไปเงียบกริบ ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยวู่หวิว เยือกเย็นจับใจขึ้นทุกที

ดงรักเจ้ากรรมที่มันเผ่นวูบเข้าไปก็อยู่ข้างหน้าผมพอดิบพอดี!

คงจะเป็นความบ้าบิ่นนั่นเอง ทำให้ผมกระชากดาบออกมากำแน่น ก้าวช้าๆ ไปที่ดงรักนั้น แหวกหาหมาตัวบะเร่อปานหมายักษ์มาร...ยังไงๆ ก็ดีกว่าออกวิ่งไปเจอมันสวนเข้าใส่ละครับ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ...ไม่มีวี่แววของหมาผีนรกตัวนั้นแม้แต่น้อยนิด
คราวนี้เริ่มจะได้สติ ผมออกเดินขาสั่นนิดๆ ไม่รอช้า...เดี๋ยวๆ ก็หันไปมองข้างหลังด้วยความหวาดระแวงเสียที แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรติดตามมา

รุ่งขึ้น ผมไปเลียบเคียงถามยายจ่าง-คนเก่าแก่ย่านนั้นว่ามีหมาดำตัวใหญ่เกือบเท่าวัวเท่าควายอยู่แถวนี้มั่งไหม? แทนที่จะตอบ ยายจ่างกลับทำตาโต ย้อนถามว่า...เอ็งเจอมันเข้าแล้วหรือวะ? โอ๊ย! แถวนี้เขาเคยเจอะมันมาทั้งนั้นแหละ!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าผมเจอหมาปีศาจหลอกหลอนเอาเต็มเปา! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.083 : ผีสะพานลอย

"โกสินธุ์" เล่าประสบการณ์จากสะพานลอยผีสิง

คนเราบทจะโดนผีหลอกขึ้นมาน่ะ ไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วเจอผีตามถนน หรือว่าเข้านอนโรงแรมก็โดนผีดุวิญญาณเฮี้ยนเล่นงานเอาหรอกครับ ขนาดอยู่ในกรุงเทพฯ ออกจากที่ทำงานมืดค่ำหน่อย มุ่งหน้ากลับบ้านแท้ๆ ยังโดนผีหลอกนี่นา นับประสาอะไร



ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เรียนหนังสือจนจบแล้วได้งานทำเมื่อปีก่อน ก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ

บ้านเก่าแก่ที่อยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ จนป่านนี้ อยู่ในหมู่บ้านซีเมนต์ไทย ริมคลองประปานี่เอง ตอนแรกบ้านช่องก็ยังหลวมๆ แต่ไม่ช้าไม่นานไหงถึงคึ่กๆ เป็นตลาดนัดสวนจตุจักรก็ไม่ทราบ


ไม่ว่าจะออกจากซอยข้ามสะพานไปรอรถเมล์ตอนเช้า หรือออกจากที่ทำงานกลับบ้านตอนค่ำๆ ลงรถเมล์ฝั่งตรงข้ามแล้วย่ำต๊อกไปขึ้นสะพานลอยที่อยู่ใกล้ๆ ข้ามไปลงใกล้ปากซอย...ผมชอบนึกถึงเรื่องสยองขวัญที่คนร้ายชิงทรัพย์บนสะพานลอย ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อถูกเล่นงานสะบักสะบอมไปตามๆ กัน

คนที่เคราะห์ร้ายมากๆ เกิดเสียดายทรัพย์สินมากกว่าชีวิตตัวเอง โดนคนร้ายใจโหดมันฆ่าทิ้งคาสะพานลอยก็มี!
เมื่อ 2-3 ปีก่อนเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยมาก คล้ายๆ จะเป็นแฟชั่นยังงั้นแหละครับ คือคนร้ายชอบเอาอย่างกัน เหมือนกับเรื่องปาหินใส่รถจนบาดเจ็บล้มตายหลายราย พอเกิดขึ้นที่นั่น เดี๋ยวก็เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ไม่หยุดหย่อนอย่างทุกวันนี้ไง...

โชคดีอย่างที่ไม่เกิดเหตุร้ายบนสะพานลอยที่ผมต้องอาศัยข้ามถนนกลับบ้าน ได้ข่าวว่าเกิดเหตุแถวบางพลัดกับคลองเตยติดๆ กัน พอตำรวจเอาจริงด้วยการหมั่นตรวจตราบ่อยๆ ข่าวร้ายเรื่องนี้ก็ค่อยๆ ซาไปเอง

กว่าจะโหนรถเมล์มาจากสุขุมวิท รถติดสาหัสจนผมอยากจะเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ไม่ต้องปวดหัวและเสียเวลากับการเดินทางเต็มที แต่ก็ติดขัดเรื่องเป็นห่วงพ่อแม่กับน้องๆ ที่ยังเรียนหนังสืออยู่น่ะซี ทำให้ต้องทู่ซี้อยู่บ้านเดิมต่อไป

ถนนเลียบคลองประปาช่วงนั้นรถราติดขัดน่าดูครับ ยิ่งตอนเย็นๆ ยิ่งยืดยาวชนิดติดเป็นแพเชียว ใครจะข้ามถนนก็ต้องอาศัยสะพานลอยวันยังค่ำ

ถ้าผ่านไปจนถึง 4-5 ทุ่ม ถนนค่อนข้างโล่ง แต่ก็เกิดปัญหารถแล่นลิ่วเหมือนเป็นสนามแข่งรถ มอเตอร์ไซค์ก็ออกมาฉวัดเฉวียนกับเขาด้วย แถมไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขี่และคนซ้อน ราวจะเย้ยมฤตยูเล่นซะยังงั้น

เอาละ...ผมต้องข้ามสะพานลอยซะที!

คืนนั้นฟ้าครึ้มฝนชอบกล ผู้คนบางตา ผมลงจากรถเมล์ราว 5 ทุ่มเศษ เพราะเป็นวันศุกร์ต้นเดือน เพื่อนฝูงที่เป็นโสดเหมือนๆ กันก็ชักชวนกันไปซดเหล้าฟังเพลงใกล้ๆ บริษัท...กระทั่ง 4 ทุ่มกว่าถึงได้ย้ายสถานี แต่ผมขอตัวกลับบ้านก่อน...

รถราทางขวามือแล่นฉิว ผมไม่สนใจจะรอรถเพื่อเดินข้ามหรอกครับ ระยะใกล้นิดเดียวจากป้ายรถเมล์ก็ขึ้นสะพานลอยแล้ว

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้าวฉับๆ ขึ้นบันได...คืนนี้ผมมีเพื่อนข้ามสะพานลอยแล้ว ดูข้างหลังเห็นแต่งตัวทะมัดทะแมงแบบสาวออฟฟิศ หุ่นดีเชียว ค่อนข้างสูง สะโพกใหญ่แต่ท่อนขาเรียวยาวน่าดู...ท่าทางเธอไม่ได้ลังเลหรือหวั่นหวาดแม้แต่น้อยนิด!

กระทั่งก้าวขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาข้ามถนน แต่ผมมองไม่เห็นสาวหุ่นดีเสียแล้ว...แทบไม่น่าเชื่อว่าเธอลับหายจากสายตาไปยังทางลงข้างหน้า...ผมหันไปดูรถราที่แล่นลิ่วลอดสะพานไปมา...ขณะนั้นเอง เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ดังมากระทบหูจากด้านหลัง

หันขวับไปมองเหมือนถูกจับกระชาก! เฮ้อ...โล่งใจไปทีที่เป็นผู้ชายตัวผอมๆ เสื้อกางเกงสีทึบทึม กำลังเดินก้มหน้างุดๆ ตามหลังมา

ผมขยับเท้าออกเดินต่อ แต่นึกเอะใจที่ขึ้นสะพานลอยมาเดี่ยวๆ นอกจากสาวหุ่นสวยแล้วก็ไม่มีใครอีกเลย...แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้มีชายหุ่นกะหร่องเทศเดินตามหลังมาติดๆ ล่ะ? แต่เมื่อหันไปมองอีกครั้งก็รู้สึกขนลุกซ่าทันที...ไม่มีผู้ชายตัวผอมๆ เดินตามหลังมาอีกแล้ว...แถมผู้หญิงในชุดสาวออฟฟิศคนเดิมกำลังเดินตามหลังผมมาติดๆ เล่นเอาต้องรีบจ้ำอ้าวแข้งขาสั่น ใจเต้นโครมคราม รู้สึกสับสนมึนงงไปหมด...

เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าพิษเหล้าทำให้ตาฝาดไปเอง?

เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเบื้องหน้า...เล่นเอาผมสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อไล่ความมึนงงออกไป...เสียงแบบเดิมที่ผมได้ยินเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง แต่ทีเสียงผู้หญิงสวมส้นสูงกลับเงียบเชียบตั้งแต่ตอนแรก...

นรกเป็นพยาน! ไอ้หนุ่มผ่ายผอมคนนั้นเองที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าผม...แถมหันมามองพลางกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะเลี้ยวขวาลงสะพานลอย

คุณพระช่วย! นี่มันเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้นมา?

ผู้หญิงที่ขึ้นสะพานนำหน้าเห็นๆ ดันมาเดินอยู่ข้างหลัง ส่วนเจ้าผู้ชายที่เดินตามหลังมาแท้ๆ กลับออกหน้า? ผมคงเมาขาดแน่แล้ว...เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความจริง ภาพที่เห็นล้วนแต่ภาพมายา...ภาพหลอนทั้งเพ!

ผมเดินกึ่งวิ่งลงสะพานลอยแทบจะหกล้มหกลุก ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ข้างถนนแผ่ร่มเงาคระครึ้ม อะไรบางอย่างทำให้ผมหันกลับไปมองที่สะพานลอยอีกครั้ง

บนหัวบันไดนั่นเอง ผู้หญิงร่างสูงยืนเคียงคู่กับผู้ชายร่างผอมบาง กำลังก้มหน้าลงมามองเงียบเชียบ เยือกเย็น...ผมแผดร้องออกมาสุดเสียง วิ่ง เตลิดไปที่สะพานข้ามคลองประปา...ไม่รู้ว่าโดนผีหลอกหรือผมประสาท หลอนไปเอง แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ขนหัวลุกละครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.082 : ผีเพื่อน!

"สุวภีร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีผูกคอตาย

อ้อมเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านของดิฉัน เธอมีเพื่อนรักมาจากหมู่บ้านเดียวกัน แต่ได้งานทำที่โรงงานแถวสมุทรปราการโน่น อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวี่ทุกวันทางโทรศัพท์มือถือ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องโทร.คุยกันเมื่อนั้น



เพื่อนของอ้อมคนนี้ชื่อ เพชร เป็นคนสวยน่ารักน่าเอ็นดูเชียวค่ะ

เธอเคยมาที่บ้านดิฉัน 2-3 ครั้ง ตัวเล็กๆ ผมยาวตรง ดำเป็นมันเพราะไม่เคยถูกสารเคมีดัด-ย้อมใดๆ เลย ดิฉันเห็นแล้วก็เคยนึกเป็นห่วงว่าสวยๆ อย่างนี้ มาอยู่กับเพื่อนที่โรงงาน ห่างพ่อห่างแม่ ต้องเจอคนมากมาย...ที่หน้าเนื้อใจเสือก็เยอะ เธอจะรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาได้ละหรือ?


จริงอย่างที่ดิฉันสังหรณ์!


มันน่าเสียดายเหลือเกิน ที่เพชรเม็ดนี้ไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว เธอปล่อยตัวปล่อยใจหลงลมปากหนุ่มๆ ที่มาติดพันจนเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน

ครั้งล่าสุดที่เธอมาหาอ้อม ดิฉันเห็นแล้วก็ใจหาย เพชรที่เคยสดใสเปล่งปลั่ง กลับดูหม่นหมอง น้ำนวลที่เคยมีเหือดหายไปหมด เธอกลายเป็นเด็กสาวกร้านๆ เศร้าๆ ผมเผ้าแตกปลายแห้งผาก

ไม่นานอ้อมก็ได้ข่าวร้าย เพชรผูกคอตายคาห้องพักคนงาน!

อ้อมเอาแต่ร้องไห้ ว่าไม่ได้ดูแลเพื่อนให้ดี ดิฉันก็ได้แต่ปลอบใจเธอว่า เด็กสาวๆ ใสๆ ที่ห่างอกพ่อแม่ มาอยู่ท่ามกลางสังคมที่ฟอนเฟะ มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดน่ะ ประคองตัวให้อยู่รอดได้ยากมาก

ทีแรกอ้อมเคยบอกให้เพชรหางานบ้านทำ อย่าไปอยู่เลยโรงงานน่ะ แต่เพชรบอกว่าทำงานบ้านมันเหงา น่าเบื่อ ทำโรงงานได้เงินเยอะกว่า สนุกด้วย...

ร่างไร้วิญญาณของเพชรถูกส่งกลับโคราชบ้านเกิด แล้วเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน อ้อมขอลาไปเผาเพื่อนด้วย เธอไปตอนเช้าแล้วกลับมาตอนดึกๆ วันเดียวกัน พอมาถึงก็ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าไว้หลังบ้าน บอกว่าเถ้าจากกองฟอนถูกลมพัดตีฟุ้งกระจายไปทั่ว และคงเกาะเสื้อผ้ามาด้วย!

ถึงจะเป็นเพื่อนรักกันขนาดไหน เมื่อตายไปอ้อมก็กลัวผีน่าดู ยิ่งมาตายอย่างสยดสยอง อ้อมเล่าว่าเพชรเป็นผีตายทั้งกลมเสียด้วยค่ะ

เธอเพิ่งรู้ตัวว่ามีเด็กอยู่ในท้องได้แค่เดือนสองเดือน และหาทางออกไม่ได้ แถมโดนคนที่เป็นพ่อเด็กผลักไสไม่ไยดี เพชรตายเพราะเคียดแค้น อัดอั้นตันใจและเสียใจแทบจะเป็นบ้าเป็นหลัง...แบบนี้วิญญาณเฮี้ยนแน่ๆ

รุ่งเช้า อ้อมเล่าให้ดิฉันฟังอย่างน่าขนลุกว่า เพชรมาเข้าฝัน...มันเป็นฝันที่ดูเป็นจริงเป็นจังจนน่าพรั่นพรึงที่สุด!

คืนนั้น หลังจากเผาศพเพชรแล้ว อ้อมรีบอาบน้ำสระผมหลายรอบ แต่เธอก็ยังไม่สบายใจ ต้องมาขอน้ำมนต์ดิฉันไปดื่ม จากนั้นเธอก็สวดมนต์เข้านอน โดยเปิดไฟดวงเล็กๆ ที่หัวเตียงไว้ เธอไม่กล้านอนท่ามกลางความมืดสนิทหรอกค่ะ

อ้อมนอนไม่หลับ เธอต้องลืมตาอยู่บ่อยๆ ในความเงียบเชียบเกือบทุกนาที ด้วยความหวาดระแวง...

และแล้ว ความสยองก็บังเกิดขึ้น เมื่อเธอลืมตาแล้วเห็นเพชรมานั่งอยู่ข้างเตียง!

ร่างเพชรดูมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนธรรมดา มีแสงเงาจากไฟหัวเตียงด้วย อ้อมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง...ร่างเพชรนั่งชิดแขนอ้อมเลยทีเดียว เธอก้มหน้า ผมเผ้าปรกลงมาเหมือนผ้าสีดำ หลังค้อมนิดๆคล้ายกำลังสะอื้นหน่อยๆ

อ้อมจ้องมองร่างนั้นอย่างตะลึงงัน!

ร่างที่เหมือนคนปกติอย่างมาก จนความกลัวสุดขีดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงสารจับใจ เพชรไม่ได้มาหลอกหลอน แต่มาหาเพราะเธอต้องการที่พึ่ง...ช่วงสุดท้ายของชีวิต เพชรไม่ได้บอกอ้อมว่าทนไม่ไหว...ไม่ได้บอกสักนิดว่ากำลังคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย...

ความตายไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพชรทำให้พ่อแม่ พี่น้องและคนที่รักเธอเสียใจ ขณะนี้วิญญาณเธอก็เสียใจอย่างแสนสาหัส แต่ไม่มีทางแก้ไขเสียแล้ว

อ้อมรับรู้ความรู้สึกของเพชรได้ทางกระแสจิต...

เพชรเงยหน้าขึ้นช้าๆ และเริ่มเปล่งเสียงสะอื้นไห้ มันดังขึ้นๆ จนโหยหวน ดังคับห้อง ดังจนอ้อมแทบขาดใจ...

เสียงไม่เหมือนคน แต่ครางยืดยาวอย่างผี และรูปร่างหน้าตาของเพชรก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วย...จนร่างคนธรรมดาเป็นร่างศพที่อ้อมเห็นก่อนเผา คือหน้าบวม ลิ้นจุกปาก ตาปิดไม่สนิท และมีรอยเชือกรัดที่คอ!

อ้อมร้องลั่นอย่างลืมตัวว่า

"เพชร! อย่ามาหลอกฉันแบบนี้ซิ! อย่า..."

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ห้องเงียบกริบ สงบ ไม่มีร่างปีศาจ...อ้อมไม่แน่ใจว่าเพชรมาจริงหรือเธอฝันไป?

นับตั้งแต่คืนนั้น อ้อมย้ายที่นอนหมอนมุ้งไปที่ห้องป้าสุข - คนครัว จนป่านนี้ยังไม่ยอมนอนคนเดียวเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.081 : ลิฟท์โรงแรมสยอง กาญจนบุรี

กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่แปลก หากจะได้ยินเรื่องของวิญญาณลี้ลับตามสถานที่นั้น ๆ โผล่มาให้ผู้คนได้พบเห็น แต่ถ้าเป็นโรงแรมแล้ว ต้องถือได้ว่า เสียงลือเสียงเล่าแต่ละเรื่องที่ได้ยินกันมา สร้างความสยองให้ผู้ที่เข้าพักได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ขอเอ่ยนามโรงแรมเพื่อไม่ให้กระทบกับผลประโยชน์ของเจ้าของโรงแรม แต่จะเล่าถึงตำนานที่มีให้ขับขาน



เป็นโรงแรมริมแม่น้ำ ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรีพอประมาณ ว่ากันว่า พนักงานทำความสะอาด ได้ทำไม้กวาดหล่นเข้าไปในใต้ซอกลิฟท์ จึงได้ก้มตัวลงไปหยิบ ทันใดนั้น คราวเคราะห์ได้มาเยือน ลิฟต์เคลื่อนตัวและทับศรีษะของพนักงานคนนั้นจนเสียชีวิต ทีมงานสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งได้รับการปฏิเสธ


จึงได้ทำการสอบถามกับพนักงาน และเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด โดยสัญญาว่าจะไม่เอ่ยชื่อของโรงแรมให้ได้รับผลกระทบ ได้ความว่า ตอนดึก ๆ ห้องที่อยู่ติดกับลิฟท์มักจะได้ยินเสียงครางประหลาด บ้างก็เห็นเป็นเงาของศรีษะคนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ซึ่งไม่มีระเบียงและอยู่สูงกว่าจะปีนได้ สร้างความสยองแก่ผู้คนที่พบเจอ แต่ก็เป็นแค่คำกล่าวขาน ยังไม่มีผู้ใดยืนยันกับคำบอกเล่าเหล่านี้

คุณ Jamo ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ ได้เล่าประสบการณ์ถึงการเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ว่า “วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมไปเที่ยวกาญจนบุรีถึงตอนห้าโมงเย็น เก็บของเข้าห้องพัก แล้วลงมากินข้าว ได้ยินพนักงานเล่าให้พนักงานใหม่ฟัง ( ซึ่งตอนนั้นผมนั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่พวกเค้าไม่ทราบเลขที่ห้องของผม ) ว่า มีพนักงานโดนลิฟท์ทับใกล้ ๆ กับห้องหมายเลข *** ซึ่งมันเป็นเลขห้องของผม แต่ผมก็ไม่คิดอะไร คิดซะว่าเป็นข่าวลือ ตอนเข้านอน มีลมแรงมาก ๆ มาพัดหน้าต่าง ผมจึงลุกไปปิดและล็อค ลมเริ่มแรงขึ้นแรงขึ้น ผมลุกไปเข้าห้องน้ำตอนประมาณสี่ทุ่ม แต่ความรู้สึกเสียวสันหลังเกิดขึ้น เหมือนมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา เหมือนมีใครคอยจ้องอยู่ ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ ผมเลยพนมมือและแผ่ส่วนกุศลไปให้ สัญญาว่าจะกรวดน้ำไปให้ด้วยหากได้ใส่บาตรทำบุญ จู่ ๆ ความรู้สึกนั้นก็หายไป ลมจากที่แรง ๆ ก็หยุดพัด ผมจึงนอนต่อและเมื่อตื่นเช้า ก็รีบออกจากโรงแรมแห่งนี้ไปโดยเร็ว และไม่ลืมที่จะกรวดน้ำไปให้ ”

แท้จริงแล้ว อาจเป็นเสียงลือเท่านั้น แต่ก็สร้างตำนานโรงแรมลิฟต์สยองให้กระพือไปจนวัยรุ่นทั้งจังหวัดเกิดความสะพรึงกลัว และรอเวลาให้มีคนพิสูจน์เรื่องเล่าขาน

ที่มา: TeenKan.Com

EP.080 : โรงแรมผีดุ จ.สระแก้ว

เรื่องมีอยู่ว่า ไปทำบุญกันที่สระแก้วไปกับเพื่อนๆไปกัน 4 คน พอไปถึงก็ไปหาโรงแรม เราติดต่อขอ 2 ห้อง



ตอนแรกๆทางโรงแรมบอกว่ามีแค่ห้องเดียว แต่เราขอร้องให้เค้าหาห้องให้อีก ทางเจ้าหน้าที่เค้าเลยบอกเราว่ามีอีกห้องจะเอาไม ถามเราถี่ๆ ก็ตอบไปว่าเอา เราแยกกันนอนห้องละ 2 คน

(ในเรื่องนี้ขออ้างชื่อบุกคนด้วยคือลูกชายและหลานชายของท่านสำเภา ประจวบเหมาะ (อดีตรัฐมนตรี)) เรานอนกับหลานชายคุณลุงสำเภา

ตอนก่อนนอนก็ไม่มีเหตุการอะไร ก็คุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน เหตุการประหลาดเกิดขึ้นตอนเราสองคนจะเอนตัวลงนอน พอปิดไฟก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคน"โยนกระเป๋าของเราลงพื้นแรงๆ" ทีแรกนึกว่าน้องเค้าติดลมไม่ยอมนอน แต่พอลุกขึ้นเปิดไฟต่างคนต่างก็นึกว่าหยอกล้อกันเอง ก็เลยเปิดไฟอีกที ทีนี้เหมือนเดิมเหมือนมีคนโยนกระเป๋าลงมาแรงๆแรงกว่าครั้งแรกอีก น้องเค้าลีบเปิดไฟดูทีนี้สีหน้าไม่ดี เดินตรวจดูในห้องแล้วเปิดเบียร์กระป๋องดื่ม 1 กระป๋องด้วยสีหน้าซีดๆ แล้วขึ้นมานอน


ที่นี้เข้านอนเบียดๆเพื่อจะแน่ใจว่าเราไม่ได้ลุกไปแกล้งโยนกระเป๋า เราเอาพระออกมาไว้ที่หัวนอนด้วย บอกตามตรงว่ากลัวมากๆ พอครั้งที่ 3 ดับไฟ เสียงโยนกระเป๋าดังมากทีนี้เสียงอยู่ที่ข้างๆหัวนอนแล้ว ด้วยความที่ตกใจมากๆ คือไม่เคยเจอ(ผี)แบบจะๆแบบนี้ในชีวิตเลย คือแบบที่เค้าเรียกว่าผีหลอกแบบจะๆ น้องกับเรากอดกันตัวสั่นเลย น้องเค้าตัวสั่นจริงๆ ด้วยความที่ทั้งกลัวทั้งโกรธ จะเป็นคนอารมย์ร้อน มากๆ บวกกับอาการ(กลัว) แบบสุดขีดเลย(วีนแตก)

โทรศัพลงไปที่ฟรอนท์โวยวายว่าเราเจอผี เจ้าหน้าที้เค้าตกใจมากๆแล้วพูดกับเพื่อนพนักงานด้วยความกลัวและลืมปิดเสียงโทรศัพโดยพูดกันด้วยความตกใจว่า..."แขกโดนอีกแล้วๆๆๆ" แล้วเค้าบอกว่าจะให้พลักงานชายมาเฝ้าหน้าประตู

ตอนนั้นเอามือคว้าพระที่เอาออกมาวางที่หัวเตียง แต่ต้องตกใจเป็นรอบที่ 2 พระที่วางไว้หาย เราคว้ากระเป๋าออกมาดู พระกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิม

ทีนี้วิ่งอย่างเดียว วิ่งแบบไม่คิดชิวิตไปอีกห้องแบบหมดอาย เพื่อนอีกห้องตกใจมากที่เห็นสภาพเราทั้ง 2 กว่าฟ้าจะสว่างไม่ได้นอนเลย

พอตอนเช้าแม่บ้านมาบอกว่า..."คุณทำบุญอุทิศให้เค้านะ" กลับมาถึงกรุงเทพแล้วได้โทรเล่าให้ครูบาเจ้าอินสมท่านฟัง ยังเล่าไม่ทันจบท่านพูดสวนขึ้นว่า..."เป็นผีตายโหง เปิ้นแรงมาก เปิ้นมาขอส่วนบุญส่วนกุศล ฆ่ากันตายในห้องนั้น"

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าไปพักที่โรงแรมถ้าพนักงานเค้าบอกว่า(ห้องไม่มี)ก็อย่าไปเซ้าซี้ เพราะอาจจะพบเจอเหตุการแบบนี้ก็ได้

ที่มา: คุณพสภัธ Palungjit.Org

EP.079 : โรงแรมผีดุ จ.อยุธยา

ดิฉันเป็นครูของเด็กนักเรียนระดับประถม โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่ล่ะค่ะ เหตุการณ์ขนหัวลุกที่จะเล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อดิฉันต้องดูแลเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่อยุธยา



โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนแบบสองภาษา ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง แถมยังมีการสอนพิเศษอื่นๆ เพื่อเพิ่มทักษะให้กับนักเรียนให้ดีที่สุด เช่น ว่ายน้ำ, คอมพิวเตอร์, บัลเลต์ แต่ละคอร์สนั้นมีค่าใช้จ่ายคนละหลายพัน เช่นเดียวกับการออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ซึ่งแต่ละครั้งผู้ปกครองต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท


ที่บอกมานี้ไม่ได้อวด หรือทำให้ท่านผู้อ่านขนหัวลุกกับค่าใช้จ่ายนะคะ!

สมัยนี้ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันเพียงแต่จะให้เห็นภาพว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมของโรงเรียนและลูกศิษย์ตัวน้อยนั้น ทุกอย่างต้องชั้นหนึ่งเสมอ

การพาเด็กไปเข้าค่ายทุกครั้ง เราก็ไม่ได้พาเด็กไปนอนกลางดินกินกลางทรายตามค่ายพักแรมทั่วๆ ไปนะคะ แต่เราไปเหมาชั้นของโรงแรมระดับสี่ดาวขึ้นไป ผู้ปกครองจะตามไปดูก็ได้ค่ะ และทุกท่านพอใจมากในการที่เห็นลูกๆ ได้อยู่สบายและปลอดภัยที่สุด...ลูกศิษย์ดิฉันนอนห้องแอร์ ตื่นเช้าก็กินเบรกฟัสต์อย่างดี และขึ้นรถทัวร์ไปทัศนศึกษา

การพาเด็กไปเข้าค่ายคราวนี้ เราไปถึงสุโขทัยแน่ะค่ะ เด็กๆ สนุกมาก ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เราก็ค้างที่อยุธยากัน 2 คืน

โรงแรมหรูที่อยุธยานี่สะดวกสบายมากค่ะ เราให้เด็กนอนห้องละ 3-4 คน โดยแยกเด็กหญิงกับเด็กชาย รวมเด็กทั้งหมดร้อยคนเศษ เป็นเด็ก ป.4 กำลังน่ารักทั้งนั้น

คืนแรกที่ไปถึง เด็กๆ ตื่นเต้นสนุกสนาน แม้จะเดินทางไกลกลับมาจากสุโขทัยก็ตาม พวกเขามีพลังเหลือเฟือจริงๆ พวกครูๆ สิคะชักจะเหนื่อยแล้วล่ะ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กๆ แล้วเราก็ชื่นใจหายเหนื่อย

ราว 4 ทุ่ม ดูแลความเรียบร้อย พาลูกศิษย์เข้านอนครบทุกคน น่าสังเกตว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่นอนหัวค่ำ ราว 3-4 ทุ่มแกก็ง่วงกันแล้วค่ะ ทำให้งานของครูๆ เบาลงเยอะเชียว

ดิฉันอยู่ในบรรยากาศที่น่าสบายใจมาก หลังจากไปเซย์ กู๊ดไนต์กับเด็กทุกห้องแล้ว ดิฉันก็กลับมานอนกับลูกศิษย์ 3 คน ในห้องพัก ที่อยู่ในช่วงกลางของห้องทั้งหมดในฟลอร์นั้น

ห้องนี้ก็อยู่หน้าลิฟต์พอดีเป๊ะ!

เมื่อเด็กๆ หลับกันหมดแล้ว ดิฉันก็เขียนรายงานประจำวันอีก 2-3 หน้าจากนั้นก็อาบน้ำแล้วปิดไฟนอน

กลางดึกสงัด และเสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดิฉันลืมตาขึ้นในความมืด หูแว่วเสียงเด็กจำนวนมากมาเล่นกันอยู่ที่หน้าห้อง...มันเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับพวกแกกำลังสนุกสนานกันสุดขีด สงสัยว่าจะวิ่งเล่นไล่จับกันมั้ง นั่นน่ะ?

ดิฉันนอนนิ่ง ลืมตาโพลง ท่านผู้อ่านคงจะเห็นใจดิฉันนะคะ ว่าคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ 2-3 วินาทีแรกมันมึนงงน่าดูเลย จับต้นชนปลายไม่ถูกทีเดียว...หลังจากนั้น สติก็เริ่มมา...

ดิฉันขนลุกซ่า...มันอะไรกันนี่? เป็นไปไม่ได้แน่!

ขณะผุดลุกขึ้นนั่ง เสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ หน้าห้องก็ยังได้ยินอยู่อย่างชัดเจน...เป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะค่ะ ลองนึกภาพตามมานะคะ...เสียงนั้นไม่ผิดอะไรกับเด็กสักสิบคนมาวิ่งเล่นกันจริงๆ แต่ดิฉันก็ตระหนักดีว่ามันเป็นไปไม่ได้...ยิ่งเมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเวลาตี 2 ดิฉันก็ยิ่งขนลุก แต่เสียงที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาๆ ทำให้ดิฉันชักลังเล

เอ...รึว่าลูกศิษย์แสนซนจะนอนไม่หลับเลยลุกมาวิ่งเล่นกัน แต่...มันเป็นไปไม่ได้!

ไม่รู้อะไรมาดลใจ ดิฉันลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้ตัวนัก แล้วเดินไปที่ประตู...หลังจากชะงักอยู่อึดใจ ดิฉันก็ปลดโซ่ ปลดล็อก เปิดประตูออกดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น?

คุณพระช่วย! ดิฉันเย็นวาบไปทั้งร่าง คิดว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า...แต่ไม่ใช่ค่ะ! มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ที่หน้าห้อง เธอนุ่งผ้าถุงสีแดง ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวสะอาด ผมสั้นแค่หูเหมือนเด็กนักเรียน...

เธอกำลังกระโดดเชือกเล่นอยู่คนเดียว และหันหลังให้ดิฉันด้วย

ไม่ต้องเดาหรอกค่ะ เห็นแค่นั้น...ดิฉันก็รู้ว่าผี!!

ทันใดที่ดิฉันนึกถึงคำว่า "ผี" เด็กน้อยก็หยุดกึก ยืนนิ่ง มือทั้งสองที่แต่ละข้างถือปลายเชือกห้อยอยู่ข้างตัว และแล้ว...เธอก็ค่อยๆ หันมา...หันมาแต่ ส่วนไหล่และช่วงลำตัวยังนิ่งสนิท เธอหันเหมือน ลินดา แบลร์ ใน "เอ็กโซซิสต์" ยังไงยังงั้น

ใบหน้าเธอสะสวยน่ารัก และเธอยิ้มให้อย่างแจ่มใสที่สุด แต่ดิฉันหน้ามืด วูบไปเลยค่ะ

เป็นอันรู้กันว่าดิฉันเหนื่อยจนลมจับกลางดึก ขณะจะมาตรวจความเรียบร้อยของเด็กๆ อีกรอบ มีเพื่อนครูของดิฉันไม่กี่คนที่รู้ความจริง...ความจริงที่น่าขนหัวลุกที่สุดค่ะ!

ที่มา: ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

EP.078 : โรงแรมผีดุ ย่านท่าพระ กรุงเทพ

โรงแรมหลอน แถวท่าพระ กรุงเทพ

ผมคนกรุงเทพอยู่ฝั่งธน ตั้งแต่เกิดย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดหลายปีล่ะ นานๆได้ขึ้นกรุงเทพฯก็จะขับเลยไปพักโรงแรม หรือรีสอร์ทจังหวัดใกล้เคียง แต่เหตุการณ์นี้ไม่ไหวจริงๆ ประมาณ 3 ทุ่มกว่าถึงกรุงเทพฯ ก็เวียนหาโรงแรม



แปลกอยู่กรุงเทพแต่ไม่เคยรู้จักโรงแรม รู้จักแต่ม่านรูดอยู่ 2-3 ที่แถวท่าพระ คือโรงเรียนอยู่แถวนั้นก็นั่งรถผ่านบ่อย ๆ

ในรถก็ไปกัน 4 คน พ่อแม่ ลูกชาย ลูกสาว รู้อยู่ว่าเป็นม่านรูดแต่ไม่ไหวจริงๆ เอาว่ะบอกแฟนว่า ที่นี่สมัย 20 ปีก่อนหรูมาก (เขาเล่ามา) แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรขับเข้าไปก็บอกน้องว่ามาเป็นครอบครัวมีเด็กเล็กขอดีหน่อย เด็กรับรถชี้ให้ขึ้นไปข้างบนน่าจะชั้น 3 สภาพพรมสีแดงใช้งานมาอย่างหนักมีรอยไหม้บุหรี่ ตามพื้นและเงียบมาก ๆ เหมือนไม่มีใครอยู่แต่มีรถจอดอยู่เต็ม


เข้าห้องโอย..กลิ่นนี้ใช่เลย ไม่พูดเดี๋ยวเด็กๆ กลัว

มี 2 เตียงเล็ก ๆ ผมลูกสาว แฟน อีกเตียงลูกชายนอน อาบน้ำเสร็จดูนาฬิกาเกือบเที่ยงคืน บังเอิญทีวีมีถ่ายบอลสด FA cupนี่แหละ ลูกชายนั่งดูแต่ผมเคลื้มหูฟังยังไม่หลับแต่แฟนกับลูกสาวหลับสนิท .....

นอน ๆ ไปก็คิดไปเรื่อยปิดไฟหมดยกเว้นทีวี ทำไมมันหันเตียงเอาขาไปทางประตู เตียงก็ผุ มีชุดรับแขกก็ประมาณสัก 30 ปีที่แล้ว ห้องน้ำไม่ต้องพูดถึงน้ำไหล ชักโครกกดได้ ก็โอเคแล้ว สักพักก็ได้ยินเสียงอาบน้ำ ยังคิดว่าลูกชายอาบแต่ปรกติมันขี้เกียจอาบน้ำนี่หว่า เสียงบอลยังไม่จบ เสียงอาบน้ำก็ยังไม่เสร็จกะว่าจะลุกขึ้นมาดูแต่ไม่ไหวนอนดีกว่า ครึ่งหลับครึ่งตื่นมันมีเสียงคนดิ้นตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆอยู่ข้าง ๆ แล้วหวีดร้องสุดเสียง แฟนผมมันร้อง "ไม่เอา ๆหนูไม่ไป พ่อช่วยด้วย"

ผมสะดุ้งตื่นมามืด ๆ พยายามจับตัวเขย่ายังไงก็ไม่ตื่น หน้าซีดนัยตาเหมือนลืมตามาครึ่งหนึ่งมีน้ำตาไหลเต็มหน้า ร้องไห้ตลอดผมจึงตะโกนสุดเสียงแล้วกอดแน่น เออ..เธอรู้สึกตัว แล้วก็บอกว่า ผีหลอก ผมบอกว่าไม่ใช่เอ็งนอนทับแขนตัวเอง จริงแล้วเธอเอาแขนมาประสานกันที่หน้าอกแล้วเธอก็ร้องไห้เล่าให้ฟังว่า เห็นผู้หญิงคนแก่หน้าตาน่ากลัวเคาะประตูให้เปิด แล้วมายืนปลายเตียงด่าว่าต่าง ๆ นา นา บอกให้ไปกับยาย แต่แฟนบอกไม่ไป มันก็เลยจะเข้ามาทำร้าย แฟนผมบอกว่า มองเห็นผมนอนอยู่พยายามเอามือมาดึง แล้วตีแต่ผมกลับไม่รู้สึกตัว เธอจึงร้องไห้ดัง ๆ ให้ได้ยิน เธอใส่ผ้าถุง...

ว่าแล้วเปิดไฟหมดทุกดวงในห้อง ทุกคนตื่นผมเดินสำรวจรอบห้อง ประตูปิดสนิทห้องน้ำเปิดไฟไว้ทั้งที่ก่อนนอนปิดแล้ว น้ำในก๊อก ฟักบัว มีน้ำไหลหยดดัง "ติ๋ง ๆ" เลยเดินมาถามลูกชายว่าก่อนน้ำอาบน้ำทำไมไม่ปิดไฟ ลูกชายทำตาโบ๋บอกไม่ได้อาบพอเปิดบอลดูได้นิดเดียวก็หลับ

อ้าว...เนื่องจากเป็นหัวหน้าครอบครัว และชายอกสามศอกจึงมิอาจแสดงความหวาดกลัวให้ครอบครัวเห็น ทั้ง ๆ ที่เรากับผีนี่มันสุด ๆตั้งแต่เด็ก ๆแล้ว เลยวิเคราะห์แล้วว่า " ผีหลอกเป็นแน่แท้ "รวบรวมกำลังใจเป็นครั้งสุดท้าย ขยับชุดรับแขกออกเพื่อเลื่อนเตียงมาใกล้กัน

โห...เบาะโซฟาพอเลื่อนไม้กระดานที่แปะอยู่ด้านหลังหลุดติดมือเลยมองไปข้างใน มีเสื้อผ้าเศษบุหรี่ถุงอะไรไม่รู้ ไม่สนใจเลื่อนให้ไปอยู่ไกล ๆเลื่อนเตียงลูกชายกะว่าต้องมีอะไรใต้เตียงอีก ห่านเอ้ย...จริงด้วย เศษผม เศษผ้า

ปรกติผมจะแขวนพระอยู่ ก็ถอดพระให้แฟนใส่แล้วบอกทุกคนว่า แกมาขอส่วนบุญไม่มีอะไรพรุ่งนี้หรือว่าวันไหนจะทำไปให้ พร้อมกับตะโกนดังว่า " ยายหรือป้าฟังผมน่ะ ผมขอนอนแค่คืนเดียว อย่ามาทำกันแบบนี้ อยากได้อะไรทำไมไม่มาบอกดี ๆมาหลอกกันทำไม พรุ่งนี้หรือถ้าสะดวก จะทำบุญสัฆทานไปให้ แล้วถ้าอยากได้อะไรให้มาบอกผมคนอื่นเขากลัวรู้ไหม " ผมบอกแบบนี้จริงๆ โมโหด้วยกลัวด้วย สรุป...คืนนั้นนอนเปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ ทั้งคืน แต่ก็ยังมีเสียงในห้องน้ำโต๊ะโซฟา แต่ก็หลับดี

ตื่นมาตอนเช้ารีบอาบน้ำ เผอิญแฟนผมเรียกให้มาดูพระปรากฏว่า พระสิบทัศที่เมื่อคืนยังดีอยู่ในพลาติกแตก แต่พลาสติกไม่แตกสันนิษฐานว่าอาจจะนอนทับได้ องค์นี้ยังเก็บอยู่ทุกวันนี้ ออกจากโรงแรมไม่มีรถสักคันทั้ง ๆ ที่เพิ่ง 8 โมงเช้าเอง และไม่เห็นคนอีกเช่นเคยแม้แต่เด็กโรงแรมหรือแม่บ้าน

ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี ต้องตะเวนพักโรงแรมต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นม่านรูด รีสอร์ท โรงแรมที่เซลพัก โรงแรม 5 ดาว สิ่งหนึ่งคือ ผีนี่แหละทีแรกก็คิดว่า คิดไปเองกลัวความมืด เลยทำให้คิดถึงตอนเด็กๆ น้าเคยบอกไว้ว่า "ผีมันกลัวคนบ้ากับคนเมา" อย่างอื่นมันไม่กลัวหรอก ไม่ว่าจะสวดมนต์ พระเครื่อง ไม้กางเขนหรือกะเทียม

ไม่อยากจะชี้เป้าโรงแรมเพราะเป็นความซวยของผมและครอบครัว ยายแกตายแล้วอาจไม่มีที่ไป ทุกวันนี้แฟนผมยังจำหน้าได้แม่นยำ อายุประมาณ 60 ใส่เสื้อโบราณ ผ้าถุง แต่ดุมากจำไว้ ผีมันชอบลองของ ถ้าคุณสวดมนต์ หรือเอาพระมาขู่มาทั้งคืน ผีมันกลัวอำนาจในตัวเรา

เราต้องทำใจอย่ากลัวถ้าจำเป็นต้องนอน ดกเหล้าครึ่งแบนรับรองมันไม่กล้าหลอกเราแน่นอน ความรู้สึกแรกที่เดินเข้าโรงแรม นั่นแหละความจริงของสัมผัสเราว่า ดีหรือไม่ดี อย่าเห็นว่าสะดวก หรือราคาถูกมันไม่ปลอดภัย พิมพ์ไปขนหัวลุกไปแต่ผมทำบุญให้แกแล้ว ใครได้นอนห้องนั้น ช่วยถามหน่อยได้รับหรือยัง วันหน้าจะมาเล่าเรื่อง โรงแรมที่มีข่าวผู้หญิงผูกคอตายนอกหน้าต่างโรงแรมเพราะอกหัก คนพื้นที่รู้เรื่องดีแต่คนที่อื่นไม่รู้ เช่น ผมกับพี่สาว

ที่เล่ามาไม่ได้แต่งเติมแม้แต่เปอร์เซนต์เดียว เรื่องจริงทั้งหมดเห็นถ่ายบอลคืนนี้เลยนึกได้มาเล่าแก้เครียดกัน สวัสดีครับ..

ที่มา: กระทู้ของคุณขวางตะวัน (tonkla suntiphap) ใน Pantip.Com

EP.077 : โรงแรมผีดุ จ.สุราษฎร์ธานี

โรงแกรมเก่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โรงแรมถัดมาเป็นโรงแรมวังใต้ c เรารู้กันดีว่าจังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติที่สวยงาม เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งหน้าไปสู่เกาะสมุย ในตัวจังหวัดนั้นก็ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่



โรงแรมที่พักแห่งนี้ดูค่อนข้างเก่า และอึมครึมนิดหน่อย และโรงแรมนี้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก เป็นที่โจษจันกันทั่วทั้งบริษัทหากเราไม่รู้ว่ามีแขกของโรงแรมคนหนึ่งเกิดคิดสั้น “ฆ่าตัวตาย”


"ประตูติดหนึบไม่สามารถเปิดได้"

เรื่องนี้แดงขึ้นหลังจากที่พนักงานของโรงแรมพยายามติดต่อโดยโทรศัพท์เข้าไปยังห้องพักของแขกผู้ล่วงลับผู้นั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เลยเวลาที่จะต้องเช็คเอาต์มานานแล้ว หัวหน้าพนักงานต้อนรับจึงตัดสินใจให้เบลบอยโรงแรมขึ้นไปเคาะประตูเพื่อเรียก เผื่อว่าแขกผู้นั้นจะนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ สิ่งที่ได้รับคือ ความเงียบ

หลังจากที่พยายามเคาะเรียกอยู่นาน หัวหน้าพนักงานต้อนรับจึงตัดสินใจให้ทำการงัดประตู อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่โรงแรมจะลงมือทำกัน โดยได้รับความร่วมมือจากช่าง เบลบอย แม่บ้าน เมื่องัดประตูจนสามารถเผยอออกไปได้แล้ว ปรากฏว่ายังติดดับเบิ้ลล็อกด้านในอีก ฝ่ายช่างก็พยายามแงะตัวล็อกนั้นอย่างสุดความสามารถ ตอนนั้น ทุกคนมั่นใจแล้วว่า แขกท่านนี้ต้องอยู่ในห้องแน่ พร้อมภาวนาว่าขอให้นอนหลับอยู่บนเตียง ขณะเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าห้องนั้นเฉลียวใจว่าประตูนั้นหนักผิดปรกติ

เมื่อช่างสามารถทำลายดับเบิ้ลล็อกตัวนั้นได้แล้ว จึงดันประตูเข้าไปอย่างแรง หมายจะเข้าไปดูว่าแขกผู้นั้นยังคงอยู่ดีในห้อง ทว่าดันเข้าไปได้เพียงนิดเดียวก็ติดหนึบ ไม่สามารถง้างประตูให้กว้างขึ้นอีกได้

"แขกคนนั้นผูกคอตาย"

ช่างเกิดเอะใจว่ามีอะไรมาขวางอยู่ด้านใน หรือว่าเป็นกระเป๋าของแขกท่านนั้น จะยังไงก็ตาม ช่างคนเดิม พร้อมกับหัวหน้าพนักงานต้อนรับพยามยามดันเข้าไป แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ และสามารถขยับเขยื้อนได้ทีละนิดก็ตาม ในที่สุดประตูนั้นก็เปิดออกพอที่จะสามารถโผล่โชงกศีรษะเข้าไปดูข้างในนั้นได้ ว่ามีอะไรค้ำอยู่

สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเขาผู้นั้นคือ เรือนร่างของแขกเจ้าของห้องนั่นเองที่ขวางอยู่ด้านใน โดยมีศีรษะเอียงห้อยอยู่ พร้อมกับเชือกมัดที่คอต่อตรงไปยังลูกบิดประตูด้านใน

“เฮ้ย…แขกผูกคอตาย” เขาตะโกนเสียงหลง มือและปากสั่นเทา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยังไม่เชื่อ นึกว่าเขาอำเล่น ช่างคนนั้นหมดแรงที่จะดันประตูเข้าไปอีกแล้ว แต่คนอื่นๆ ที่เหลือยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่ จึงช่วยกันจนสำเร็จ

แล้วภาพที่ทุกคนเห็นก็เป็นภาพเดียวกับที่ช่างได้เห็นมาก่อนหน้านั้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว

"ปิดชั้นนั้นไม่ให้ใครพัก"

ก่อนที่ทุกคนจะทำอะไรมากไปกว่านั้น ตำรวจก็มาถึงพอดี แล้วเก็บหลักฐานเท่าที่เก็บได้ไปพิสูจน์ เท่าที่ทราบจากพนักงานโรงแรม แขกของโรงแรมผู้นั้นไม่ได้เขียนจดหมายระบายความในใจใดๆ ไว้เลย และโรงแรมจึงติดต่อทางบ้านเพื่อแจ้งข่าวและให้มาดำเนินการต่อไป ขอให้คุณไปสบายเถิดครับ

และเท่าที่รู้หลังจากเหตุการณ์นั้นคือ โรงแรมปิดชั้นนั้นทันทีในวันรุ่งขึ้น และเมื่อข่าวนี้รู้ถึงหูพวกเราชาวลูกเรือ ปรากฏว่าในช่วงใหม่ๆ นั้นพวกเราต่างหวาดผวา กลัวจะได้ไฟลต์ค้างที่โรงแรมแห่งนั้น ส่วนคนที่ได้ไฟลต์นั้น ก็จะชวนเพื่อนให้แลกไปด้วย หรือไม่ก็ชวนสามี ภรรยา หรือลูกให้ตามไปเที่ยวไปนอนเป็นเพื่อนด้วย หรือไม่ก็นั่งร้องเพลงอยู่ในคาราโอเกะ ต่อด้วยนั่งอยู่ในค็อฟฟีช็อปของโรงแรมจนถึงเช้า ที่กลัวมากหน่อยก็ยอมจ่ายเงินส่วนตัวไปนอนที่โรงแรมอื่น นั่นเป็นการแก้ปัญหาของคนขี้กลัว ทุกวันนี้เราก็ยังคงพักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ โดยยังไม่มีใครพบเห็นเหตุการณ์ผิดปรกติใดๆ เพียงแต่ว่า ถ้าเราได้ไฟลต์ค้างที่นั่น เราจะสงบปากสงบคำไม่พูดถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดตลอดเส้นทางครับ
 

EP.076 : สัมมนาหลอน จ.ภูเก็ต

สัมมนาหลอน จังหวัดภูเก็ต
เล่าไปยังขนลุกอยู่เลย ใช้วิจารณญาณกันเองนะค่ะ



คือไปสัมนาที่ภูเก็ตสี่วันค่ะ พักที่โรงแรมแถวหาดป่าตอง จริงๆหลังสึนามิก้อไปดำน้ำภุเก็ตมาสามสี่ครั้ง ก้อไม่เคยเจออะไร งานนี้ไปกะหัวหน้าและภรรยาหัวหน้า โรงแรมก้อดูใหม่ดี ไม่เห็นน่าจะมีอะไร คืนแรกหัวหน้าเค้ามาเล่าให้ฟังว่า เค้าฝันว่ามีฝรั่ง สองคนมายืนจ้องหน้าห้องที่ผึ้งนอน แล้วอยู่ๆ ผึ้งก้อเปิดประตู แต่เหมือนผึ้งจะไม่ได้เห็นฝรั่งสองคนนั้น แล้วผึ้งก้อเดินร้องไห้ไปเคาะห้องเค้ากะภรรยา บอกว่าขอนอนด้วย ฝรั่งสองคนนี้เดินตามมา ยืนอยู่หน้าประตูห้องหัวหน้าแทนแต่ผึ้งก้อนอนหลับสบายดี ไม่มีอะไร จริงๆผึ้งเป็นคริสเตียนและไม่เคยเชื่อเรื่องผี ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณด้วย

ทางเดินออกจากห้องผึ้งมันก้อจะเป็นทางเดินยาวๆ และทุกครั้งที่เดินออกจากห้อง ผึ้งจะเดินสวนกะเด็กฝรั่งคนนึง อายุประมาณ 13,14 ผมแดง ตาสีฟ้า หล่อเชียว ใส่เสื้อสีดำ กะ กางเกงสีดำ เค้าดูอายๆ เดินเอาตัวเบียดทางเดินตลอดเลย ก้อไม่ได้คิดอะไร


จนกระทั่งวันที่ 4 เริ่มคิดว่าเราเจอเค้าบ่อยไปรึเปล่านะ ทำไมเราต้องเดินสวนเค้าตรงที่เดิมๆทุกที และทำไมเค้าไม่เคยเปลี่ยนเสื้อเลย ตอนแรกก้อคิดว่าคงเป็นลูกของฝรั่งซักคนที่เค้ามาสัมนากะเรา เพราะฉะนั้น ก้อเป็นไปได้มากที่เราจะเจอกันบ่อย เพราะเราก้อต้องกินข้าวพร้อมกัน ขึ้นรถคันเดียวกัน แต่ที่สงสัยก้อวันที่สี่ ผึ้งเกิดลงมา Lobby ขาลงมาก้อสวนกันอีกแล้ว พอขึ้นไปเอาของที่ห้อง แล้วเดินลงมาใหม่ ก้อเจออีก เอ๊ะ บ่อยไปแล้วมั้ง เลยเริ่มเช็คฝรั่งในกรุ๊ปของเรา ว่ามีใครเอาลูกมา และ กี่คน เดินดูหน้าทีละคน ก้อไม่เจอเด็กคนนี้เลย คนที่อยู่ห้องโวนเดียวกัน ก้อ ไม่มีใครเคยเห็นด้วย

เราอยู่ห้องเดิมหลายวัน เค้าก้อมีแม่บ้านมาก Make Up Room ให้ทุกวัน โดยเค้าจะมาช่วงสายๆตอนเราไม่อยู่ห้อง พอเบ่ายๆเรากลับมา ห้องก้อเรียบร้อยและ ห้องพักผึ้งติดสระว่ายน้ำค่ะ คือโดดลงสระจากระเบียงหน้าห้องได้เลย มี จากุซซี่ให้ด้วย บ่ายๆกลับมาถึงผึ้งก้อเปลียนชุดว่ายน้ำ เล่นนี้ทุกวัน ผ้าเช็ดตัวก้อใช้แล้ววางเกลื่อน นอกห้องมั่ง ในห้องมั่ง พาดเก้าอี่ตามประสาคนไม่เรียบร้อยอ่ะค่ะ แต่พอตอนเย็นออกไปกินข้าว กลับมาผ้าเช็ดตัวจะพับขอบ พาดไว้อย่างดีทุกทีเลย เนี๊ยบมากๆ สี่ผืน เรียงบนสองล่างสอง ปลายเท่ากันเป๊ะ แต่วิธีพับก้อไม่เหมือน Maid ทำนะค่ะ ไม่ได้กลับด้านยี่ห้อออก แต่เนี๊ยบกว่าอีก ผึ้งก้องง ว่าเอ๊ะ ทำไมเค้าเข้ามาทำห้องวันนึงหลายรอบเชียว ก้อเลยไปถามทางโรงแรม เค้าบอกว่าเปล่า แม่บ้านทำแค่คั้งเดียวตอนสาย ผึ้งถามทางแม่บ้านหลายคน เค้าก้อบอกว่าเปล่า ไม่มีใครเข้ามาทำเลย ชักไม่ดีซะแล้ว อาการหนักขนาดว่า ผึ้งเพิ่งอาบนำเสร็จ ผ้าเช็ดตัวพาดกะเก้าอี้ เดินออกห้องหัวหน้าแป๊ปเดียว แล้วกลับมา โอ มายก้อด ผ้ามันถูกแขวนไว้อย่างสวยงามในห้องน้ำอีกแล้ว ค่อนข้างชัวร์และ ว่าคืออะไร เลยไปลากภรรยาหัวหน้ามา แล้วบอกดูอะไรนี่ แล้วผึ้งก้อขยำผ้า เขวี้ยงลงพื้น แล้วปิดประตู ออกไปข้างนอกแป๊ปนึง กลับมา โอ้ว อีกแล้วครับ ภรรยาหัวหน้ากลัวมาก เลยให้ผึ้งไปนั่งอยู่ห้องเค้า พอหัวหน้ามาก้อบอกให้ช่วยไปดูห้องผึ้งหน่อย ผึ้งว่าแปลกๆ

หัวหน้าเค้าก้อเข้าไป ดูรวมๆไม่มีอะไร จะเดินออกแล้ว หันไปทางห้องน้ำ เห็นเด็กผู้ชายฝรั่ง เสื้อดำ ผมแดง กำลังยืนจับผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำผึ้งอ่ะค่ะ แล้วเด็กคนนั้นก้อหันมามองหัวหน้า สบตากัน ก่อนที่หัวหน้าจะวิ่งกลับมาที่ห้อง เค้าบอกตอนวิ่งหันหลังกลับไปดู เด็กคนนั้นก้อเดินตามมาอ่ะค่ะ

เราสามคนเลยไปหา Hotel Manager ขอลงไปดู CCTV ภาพที่เห็นคือ หัวหน้าวิ่ง หันหลับมา แล้ววิ่งต่อ ไม่เห็นเด็กคนนั้นอ่ะค่ะ ก็รอไปจนถึงช่วงบ่ายๆที่ผึ้งก้อเจอเด็กคนนั้น ก้อเห็นผึ้งเดินผ่านทางเดินคนเดียวทุกครั้ง ไม่เคยเดินสวนกะใครเลย

แต่ผึ้งก้อยังเกรงใจหัวหน้า เพราะเค้ามาเป็นครอบครัว ถึงเค้าจะคะยั้นคะยอ ครั้นเราจะขอไปนอนห้องเค้าคืนนั้น ผึ้งก้อไม่อยากไปอ่ะค่ะ

สุดท้ายก้อพยายามนอนต่อไป แต่มันอึดอัดมาก ออกไปแช่น้ำ กลับเข้ามา ผ้าก้อถูกย้ายอีกแล้ว เครียดจนร้องไห้ สุดท้ายก้อเดินร้องไห้ไปขอนอนห้องเค้า จริงๆลืมเรื่องที่เค้าฝันคืนแรกไปแล้ว หัวหน้าเพิ่งบอกก่อนขึ้นเครื่องกลับมา ผึ้งใส่เสื้อกะกางเกงเหมือนที่เค้าฝันคืนแรกเป๊ะ

เข้าก่อนกลับตรงทางเดินตรงนั้นมีกลิ่นเหม็นคาวอะไรซักอย่างมาก ทั้งๆที่อยู่มาหลายวันก้อไม่เคยมี เราได้กลิ่นเหมือนกันทั้งสามคน

มีเท่านี้แหละค่ะ ตอนนี้ก้อยังไม่รู้ว่าควรทำยังไง เค้าอยากให้ผึ้งทำอะไร แล้วทำไมต้องมาพับผ้าให้ด้วย งง และ กลัวค่ะ ไปนอนก่อน

EP.075 : โรงแรมผีดุ ห้อง 519 ภูเก็ต

โรงแรมหลอน ห้อง 519 ภูเก็ต

สวัสดีครับ เหตุการณ์ที่ผมจะเล่านี้เกิดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต เกิดขึ้นประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา ผมเนี่ยไม่ได้เจอเองครับ แต่เป็นเพื่อนเล่าให้ฟัง คือตอนนั้นเรานัดกันไปเที่ยวภูเก็ตซัก 2-3 วัน พวกผมก็ไปเปิดห้องที่โรงแรมหนึ่งซึ่งเป็นห้องหมายเลข 518 และ 519 พอไปถึงภูเก็ตพวกเราก็ไปเที่ยวกันจนถึงเย็นและไปหาอะไรกินกัน แต่เพื่อนผมคนหนึ่งเนี่ยไม่สบายปวดหัว จึงขอนอนพักที่ห้องและได้ฝากกุญแจไว้ที่ล็อบบี้



พวกผมก็ไปเที่ยวผับกัน จนเวลาประมาณตี 2 เพื่อนผมที่ไม่สบายเนี่ยก็โทรมาบอกผมว่า เห้ยอย่าแกล้งกันสิ มาเคาะประตูอะไร พวกผมก็งงใครแกล้งอะไร ก็ยังอยู่ในผับกันหมด พอถึงเวลาประมาณตี 4 ผมก็กลับมาถึงโรงแรม มาเอากุญแจที่ล็อบบี้และขึ้นไปบนห้อง


พอขึ้นไปถึงห้องก็เปิดประตูเข้าไป พวกผมเห็นเพื่อนที่ไม่สบายเนี่ยนอนหมดสติอยู่ ผมก็ตกใจและเรียกพนักงานมาให้ติดต่อโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลก็รักษาอะไรไปปกติ พอถึงตอนเช้าเพื่อนผมก็ฟื้น พวกผมก็ถามว่าเป็นอะไร

เพื่อนผมก็บอกว่า เมื่อคือตอนที่พวกผมเนี่ยไปเที่ยว เพื่อนผมก็อาบน้ำและจะเข้านอน เพื่อนผมก็รู้สึกว่ามีคนมาเคาะประตู มันก็รีบเช็ดตัวและเปิดประตูไปดูว่าใคร ก็ไม่เจอใครและก็ปิดประตู แล้วมันก็มาใส่ชุดนอนและปิดทีวีกำลังจะนอนก็มีคนมาเคาะอีก มันก็เดินไปดูก็ไม่มีใครออก มันก็คิดว่าผมเนี่ยกลับมาแล้วแล้วก็ไปแกล้งมัน

พอซักพักมันก็ล้มตัวลงนอนก็มีเสียงมาเคาะประตูอีก ทีนี้เพื่อนผมเนี่ยก็โทรหาผมแล้วก็บอกว่าอย่าแกล้งกันอย่างที่ผมเล่าไปข้างต้น

พอวางสายได้ซักพักก็มีคนมาเคาะประตูอีก เพื่อนผมมันก็เริ่มโมโหแล้วเลยโทรไปที่โอเปอร์เรเตอร์แล้วบอกว่ามีคนมาแกล้งเคาะประตู ให้น้องพนักงานช่วยดูหน่อย เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะดูให้ พอซักพักก็โทรกลับมาและบอกว่าให้รปภ.มาดูแล้ว มายืนเป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นมีใคร

พอหลังจากโอเปอร์เรเตอร์วางสายซักพักก็มีคนมาเคาะอีก เพื่อนผมก็โมโหจัดแล้วเลยถอดโคมไฟที่หัวเตียงออก เอาไม้ในโคมไฟมา แล้วก็เอาเก้าอี้มาติดประตู มันก็ไปยืนบนเก้าอี้และก็กดให้พัดลมที่ปรับอากาศหยุดหมุนเพื่อจะมองผ่านช่องพัดลมว่าใครมาแกล้ง ในมือก็ถือไม้เตรียมไว้แล้ว เพื่อนผมก็มองไปซักพักก็มีกลิ่นมา กลิ่นเนี่ยเหม็นสาปมาก เหมือนคนไม่อาบน้ำนาน ๆ ลอยมาตามลม แล้วเพื่อนผมก็เห็นทางหางตาขวาว่ามีผู้หญิงในชุดสีดำแขนสั้น ผมยาว เขาคลานมา!! คลานมาตั้งแต่สุดทางด้านขวาในลักษณะก้มหน้า คลานมาเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์โมโหเพื่อนผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ก็คิดแค่ว่ามาคลานทำบ้าอะไร ว่างมากรึไง

มันก็ยังมองผู้หญิงคนนั้นต่อ เสียงเล็บลองผู้หญิงคนนั้นที่ขูดกับพรหมมันดังแครก.... แครก.... เสียดเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ผู้หญิงคนนั้นก็คลานมาเรื่อย ๆ .... จนมาหยุดอยู่หน้าห้องเพื่อนผม พอมาถึงห้องเพื่อนผมผู้หญิงคนนั้นก็เคาะประตูหน้าห้องเพื่อนผม เพื่อนผมเนี่ยมันก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็คลานผ่านไป แล้วก็วนกลับมาห้องมันอีกที แล้วก็เคาะอีก แล้วก็คลานต่อไปอีก

แต่จังหวะที่กำลังจะคลานผ่านช่องพัดลมที่เพื่อนผมมันยืนมองอยู่เนี่ย ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง....

สิ่งที่เพื่อนผมเห็นคือตั้งแต่ปากไปจนถึงคางหายไป!! สภาพที่เห็นคือมีผม มีหน้าผาก มีตา มีจมูก แต่ช่วงปากลงไปไม่มีเลย แล้วลิ้นเนี่ยก็ห้อยติดอยู่กับลำคอ แค่นั้นแหละครับเพื่อนผมก็วูบหมดสติไปเลย พอฟื้นมาตอนเช้าก็เห็นพวกผม

หลังจากนั้นพวกผมก็ไปวัด กลับมาเช็คเอาท์และได้ถามพนักงาน พนักงานทุกคนก็ยืนยันกันหมดว่าไม่ทราบ และไม่มีอะไร

พอพวกผมออกมาก็เห็นลุงท่าทางมีอายุยืนขายของอยู่หน้าโรงแรม พวกผมก็เดินเข้าไปถาม ลุงคนนั้นก็ก้มหน้าก้มตาไม่คุยกับพวกเราเลย แล้วพวกผมก็เดินทางกลับและไม่ได้ไปเที่ยวแถวนั้นอีกเลย เรื่องก็มีเท่านี้ครับ

EP.074 : ผีช่องแอร์ (หาดใหญ่)

ตำนาน ผีช่องแอร์ หาดใหญ่

เรื่องมันเริ่มต้น เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ โดยโรงแรมนี้จะมีสถานบันเทิงอยู่ข้างล่าง แล้วกลุ่มวัยรุ่น 6 คนที่พบเจอเหตุการณ์นี้ ก็เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่แวะเวียนมาแสดงที่โรงแรมแห่งนี้...



ปกติเมื่อแสดงดนตรี เสร็จ ทางโรงแรมก็จะจัดห้องให้ทั้ง 6 คนนี้ได้พักผ่อนในคืนนั้น หากคิวของโรงแรมนั้นเป็นแห่งสุดท้าย สำหรับการเล่นดนตรีในแต่ล่ะคืนนั้น....

เหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีอะไร


จนกระทั่งมาถึงคืนหนึ่ง .....
เมื่อวงดนตรีกลุ่มนี้เล่นเสร็จแล้ว ทางโรงแรมได้มาแจ้งกับพวกเค้าว่า ห้องพักเต็ม...แต่พอคุยกันไปมา....ทางโรงแรมเห็นว่า ไม่น่ามีอะไรและเด็กเหล่านี้ก็เหมือนคุ้นเคยขาประจำ เลยบอกมาว่ามีห้องๆหนึ่งว่าง แล้วก็ให้พนักงานนำทางไปพร้อม กุญแจห้อง ไขสู่ประตูห้องที่มีหมายเลขห้อง ๔๐๙

เมื่อทั้ง 6 คนได้เข้ามาแล้ว ก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็มานั่งล้อมวงเล่นไพ่กัน.....ก็เล่นไปซักพัก 1 ใน 6 คนนั้นก็ มองอะไรไปเรื่อย จนไปสะดุดเข้ากับ ผ้าริ้วขาว พลิ้วสะบัดไปมาตาม แรงลมของช่องแอร์ที่กำลังเป่านั้น....ด้วยความรำคาญหรืออะไรมิทราบได้ เจ้าคนนั้นจึงลุกออกมา แล้วลากเก้าอี้เพื่อที่จะได้ยื่นมือไปดึงเอาผ้าริ้วสีขาว นั้นออก....

ในขณะที่เค้าต้องดึงตะแกรงที่ปิดช่องแอร์ออกก่อน ซึ่งในตอนนั้นสายตาของเค้าก็ยังมองมายังกลุ่มเพื่อนที่นั่งเล่นไพ่อยู่ พอเค้าวางตะแกรงลงและกำลังจะเงยหน้าไปหยิบผ้าริ้วสีขาวผืนนั้นออก....สายตาข อง เค้าก็ไปเจอเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง....

เค้านิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง...แล้วก็ค่อยๆ ลง มาจากเก้าอี้ที่เค้ายืนอยู่ ในลักษณะถอยหลัง ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไป แล้วก็ค่อยหันหลังเดินออกจากห้องไป....เพื่อนๆในกลุ่มที่เล่นไพ่กันอยู่ก็งง บางคนในนั้นก็ตะโกน "เฮ้ยยยยย!!!!!"

แต่เพื่อนๆ ก็นั่งเล่นไพ่กันต่อ เพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไร และก็ขี้เกียจเดา

แต่ด้วยอะไรไม่ทราบได้ 1 ในกลุ่มที่เหลือ ก็พูดขึ้นมาว่า " เออ เดี๋ยวข้าลุกไปปิดตะแกรงให้ "...แล้วก็บ่น ๆ ว่าเจ้าเพื่อนคนที่ออกไปคนแรกทำไมไม่ปิด น่ะ ...เมื่อเขาลุกออกไป ก็ ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่ยังตั้งอยู่ตรงนั้น เมื่อเขาค่อยเงยหน้าขึ้นดู เพื่อให้รู้ว่าร่องที่จะวางตะแกรงนี่ต้องวางมุมไหน ยังไง...และในขณะที่เขาค่อยเงยหน้าและยืดตัวขึ้นไปดูนั้น ... ดวงตาเขาก็ไปเจอกับอะไรบางอย่าง....แล้วเขาก็นิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักนึงก็ ค่อยลงจากเก้าอี้มา และค่อยๆเดินออกไปจากห้อง

เพื่อน ๆ ก็งง กันอีก เออเค้าเป็นอะไรของเค้าน่ะ ...ทีนี้ในกลุ่มก็เหลือ 4 คน นั่งเล่นไพ่กันต่อไป......พอหมดตานึง คนที่ 3 ก็ลุกออกไปจะไปปิดตะแกรงแอร์ให้เรียบร้อย ...จะได้มาเล่นต่ออย่างสบายใจ ...และก็เหมือนกับปฏิกิริยาของ 2 คนแรก คนที่ 3 และคนที่ 4 ก็เป็นเหมือนกัน และค่อยๆเดินออกจากห้องไปเหมือนกัน

เอาหล่ะสิ....ทีนี้ก็เหลือในห้อง แค ่ 2 คน ก็เล่นไม่สนุกแล้ว (และ 1 ใน 2 คนนั้นคือคนที่รอดชีวิตมาเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้ฟังกัน) ทั้ง 2 ก็เลยชวนกันออกไปล๊อบบี้โรงแรม ดีกว่า เผื่อเจอเพื่อน ๆ ที่ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก่อนออกไป ทั้ง 2 ต้องการ ปิดตะแกรงของช่องแอร์ให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็ให้คนนึงจับเก้าอี้ และคนที่มาเล่าในรายการเป็นคนขึ้นไปบนเก้าอี้ แล้วพอกำลังจะเอาตะแกรงเข้าไปปิดช่องแอร์เท่านั้น....ทั้งสองก็เห็นภาพเหมือ นก ันคือ

เป็นเหมือนภาพของศรีษะของผู้หญิงคนหนึ่งชะโงก หน้าลงมาจากช่องแอร์และมองด้วยสายตาที่เคียดแค้น จ้องมองมาที่ทั้ง 2 คนนั้น

เค้ายังพอมองเห็นว่า เส้นผมยาวๆของผู้หญิงคนนั้น ถูกผูกติดไว้กับเหล็กที่อยู่ข้างในช่องแอร์นั้น....เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้ง คนจึงค่อยเดินถอยหลังออกไป แล้ว 1 ในคนนั้นก็พยายามจับแขนอีกคนหนึ่งไว้แล้วบอกว่า "อย่าวิ่ง!!!! .." เพราะถ้าวิ่งนี่ เตลิดแน่นอน เพราะตอนนั้นจิตกระเจิงไปหมดแล้ว..จึงค่อย เดินลงมาจนมาสมทบกระกลุ่มเพื่อนข้างล่าง

พอเจอกัน ต่างมองหน้ากัน..และ 1 ในนั้นก็ถาม "พวกแกทำไมไม่บอก พวกเราน่ะว่าเจออะไรกัน..." .

ไม่มีเสียงตอบจากคนใดในหลุ่มนั้น

ทั้งหมดจึง ไปถามหาจากคนของโรงแรมว่า ที่ห้อง 409 นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมพวกเค้าเจอเหตุการณ์อย่างที่เล่ามานี้ เหมือนกันหมดทุกคน

และก็มีคนนึงในโรงแรมนั้นเล่าให้ฟังว่า......เมื่อหลายปีก่อนมีผู้หญิงคนหนึ ่ง ซึ่งเป็นผู้หญิง off และถูกพาไปห้องโดยแขก เหมือนจะเป็นชาวมาเลย์....และด้วยมีเรื่องอะไรกันไม่ทราบได้....ในตอนเช้า พบเธอเป็นศพ สภาพที่หัวถูกตัดหายไป โดยที่ตัวถูกหมกไว้ใต้เตียง....ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามหาส่วนที่เป็นหัวอยู่ นา นก็ไม่เจอ......ก็เลยเลิกหา แล้วก็กลับไป

จนหลายวันต่อมา แอร์ห้องนั้นเริ่มมีกลิ่น เพราะแขกที่มาพักห้องข้างๆ ได้กลิ่น จึงแจ้งพนักงานโรงแรม...แล้วก็หาจนได้ที่มาของกลิ่น นั่นก็คือ ศรีษะของผู้หญิงคนนั้นถูกตัดออกมา แล้วก็นำชุดขาวที่เธอใส่มา ห่อหรือพันส่วนที่เป็นคอที่ถูกตัดไว้ แล้วใช้เส้นผมของเธอเอง ผู้กไว้กับแกนเหล็กข้างในช่องแอร์อีกที........และห้องนั้นก็ถูกทางโรงแรมปิ ดต ายไป!

เพราะฉนั้นสิ่งที่ 6 คนนั้นเจอ เรียกได้ว่าเป็น ภาพ หรือ ภาพหลอน หรือผีหลอกนั่นเอง.

หลังจากนนั้นทั้ง 6 คนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และก็ดำเนินชีวิตปกติ แต่หลังจาก 3 วันถัดจากที่พวกเค้าเจอเหตุการณ์ เพื่อนของเค้า คือ คนแรกที่เป็นคนต้นคิดไปเปิดตะแกรงเพื่อเอาผ้าริ้วสีขาวๆออก ..ได้เสียชีวิตลง โดยเหมือนคุยกับแฟนตกลงอะไรกันอยู่ ส่วนเพื่อนก็นั่งดูอยู่ห่างๆ แต่ซักพัก เพื่อนคนนั้นก็ยิงหัวตัวเองตาย ต่อหน้าต่อตาเพื่อน และแฟน โดยที่เพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนไม่มีปัญหาอะไรเลย สนุกสนานร่าเริง ...นี่คือศพแรก และเป็นคนแรกที่เริ่มเปิดตะแกรงช่องแอร์นั้นออกมา

หลังจากนั้นในวันถัดมาเพื่อนอีกคน คือคนที่ 2 ที่จะลุกไปปิดตะแกรงก็ตายโดยอุบัติเหตุจากการขับรถ.....และในขณะที่กำลั งจ ัดงานศพเพื่อนๆ อยู่นั้น ปารกฏว่ามีคนนึงหายไป คนที่มาเล่าในรายการ เลยไปตามหาถึงที่ห้อง..ปรากฏว่าเขาผูกคอตายอยู่กับหน้าต่าง โดยที่ตัวเค้าก็ถึงพื้นหน้า มือก็ถึงพื้น แต่สภาพใบหน้าคือ ดวงตาเบิกโพลง....เหมือนตกใจสุดขีด

คล้อยหลังอีกไม่นาน ก็คนที่ โดยอุบัติเหตุทางรถเช่นเดียวกัน

ภายในเวลาไม่ถึง 7 วันเพื่อน ๆ ในกลุ่มเขาตายอย่างกระทันหันถึง 4 คน จนทำให้ 1 ใน 2 คนที่เหลือฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มันจะเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่พวกเค้าเจอที่โรงแรมนั้นหรือ เปล่า ทั้ง 2 คนที่เหลือเลยไปหาพระที่วัด....แล้วพระก็ทักว่า เพิ่งเสียของรัก หรือคนที่เรารักไปหลายคนใช่ไหม แล้วก็บอกไปอีกว่า เป็นผู้หญิง...ทั้ง 2 คนก็งง แต่พระท่านหมายถึงผู้หญิง หน่ะ มากับโยมด้วย ตอนนี้ก็มา โดยนั่งอยู่ข้างหลัง

ทั้ง 2 หันไปแต่ก็ไม่เจอใคร

พระท่านก็บอกว่า เธออาฆาต

ทางครอบครัวของ ทั้ง 2 คนเลย ขอให้พระท่านจัดทำพิธีบังสกุลเป็น ให้ทั้งคู่ ........หวังว่าจะได้รอดพ้นหรือผ่อนหนักเป็นเบา ......แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ ก็มานั่งคุยกันว่า...เออ ใครจะไปก่อนน่ะ....อีกคนเลยบอกว่าจะไปต่างประเทศ....แล้วหลังจากวันนั้นทั้ง คู ่ก็แยกกันไป

จนคนที่มาเล่าในรายการเมื่อคืน อยู่ ๆ ก็โดนใครที่ไหนไม่รู้วิ่งเอามีดมาแทง ๆ ๆๆ โดยที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อนเลย.....จนต้องเข้าโรงบาลไป... (พอมาถึงช่วงนี้...เขาก็เปิดให้ดูรอยแผลเป็นจากการโดนแทง) ....เขาระบุวันเวลาอย่างแม่นยำ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ว่าเขาโดนแทงวันไหนเวลาอะไร เพราะอีกวันถัดมาเค้าให้เพื่อนโทรทางไกลไปหา เพื่อนคนที่อยู่เมืองนอก...เพื่อนคนนั้นก็บอกว่า โดนเหมือนกัน นี่กำลังนอนที่ รพ.อยู่ เพราะรถไปพลิกคว่ำลงข้างทาง....โดยเขาเล่าว่า มีผู้หญิงผมยาวๆ มาตัดหน้าแล้วเค้าหักหลบ.

และเหตุการณ์ก็ผ่านไป..........ทั้งคู่ยังอยู่ดี มาจนถึงทุกวันนี้ และ 1 ใน 2 คนนั้นก็ได้มีโอกาสมาเล่าผ่านทางรายการวิทยุ ของคุณ ป๋องก่อน รายการ Shockfm ...แล้วเรื่องนี้ก็เป็นที่ฮือฮากันมาก และถูกโหวตให้เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในรอบหลายๆ ปี

EP.072 : สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี

สมัยก่อนอาคารหลังนี้ เป็นสถานบริการทางเพศชื่อดัง มีสตรีน้อยใหญ่ เสียงเพลงขับกล่อมสุรา กลิ่นคลุ้ง ๆ ของน้ำกามโชยอับจากพื้นสู่เพดาน นารีลูบคลำแผงอกชายหนุ่มวัยกลัดมัน ยั่วยุกำหนัด ก่อนจะชักชวนกันสู่ห้องพักที่มีจัดเตรียมไว้ให้บำเรอกามกันอย่างจุใจ



แต่มันก็ไม่ใช่ว่า ผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการแห่งนี้ จะเต็มใจทุกคน กลับเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ที่ถูกหลอกมาทำงาน หรือบังคับให้รับงานจนเกินกำลัง


สมัยก่อน การเที่ยวซ่องโสเภณี เป็นเรื่องที่ตำรวจกวดขันมากกว่าปัจจุบันมาก ซ่องแห่งนี้มีการจ่ายใต้โต๊ะมากมาย จึงไม่ค่อยมีปัญหากับบุคคลสีกากี และนั่น นำมาซึ่งลูกค้ามากมาย หนุ่มหื่น ๆ จากทุกสาขาอาชีพ คนขับสิบล้อ สามล้อรับจ้าง กรรมกรแบกหาม คนทำไร่ คนสวน ซึ่งมีรายได้ต่ำ แต่มีอารมณ์ทางเพศสูง

เนื่องจากเน้นรับลูกค้าระดับกรรมาชีพ เพราะสถานบริการคิดค่าบริการถูก กอปรกับการมีห้องหับมิดชิดถูกใจผู้ใช้บริการ ตกดึกจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน หญิงสาวคนแล้วคนเล่าถูกนำพาไปยังห้องสังเวย และเมื่อเป็นพวกคนขายแรงงาน มาอยู่กับคนขายบริการ โรคร้ายต่าง ๆ ก็ย่างกรายมามากมาย

แมงดาใช้มือซ้ายจิกผมของเด็กสาว ก่อนจะใช้มือขวาที่หยาบกร้านตบหน้าของโสเภณีอย่างทารุณ เด็กหญิงในสถานบริการ ถูกบังคับให้ร่วมหลับนอนกับลูกค้ามากมาย โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บ้างก็เป็นเด็กพม่า บ้างก็เป็นเด็กหญิงไทย ซึ่งนำมาจากตำบลไกล ๆ ยิ่งสถานที่ซึ่งทุรกันดารเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพ่อแม่ชั่ว ๆ ที่ขายลูกตัวเองมาบำเรอกามในเมืองหลวง แลกกับเงินทองประทังชีวิต

เล่ากันว่า หากเด็กสาวไม่เต็มใจ ก็จะถูกทารุณกรรมจนกว่าจะยอม หากเด็กบางคนไม่ยอมจริง ๆ ก็จะถูกทรมาน ถูกซ้อมจนบางครั้งเสียชีวิต บางคนเป็นโรคร้ายตาย บ้างก็ถูกรีดเด็กออกจากการท้องโดยไม่ตั้งใจ เด็กที่ถูกซื้อมาเพื่อขาย บ้างก็ยังอายุไม่ถึงสิบห้าด้วยซ้ำ

เมื่อมีคนเสียชีวิตมากขึ้น จนเป็นข่าวคราว เริ่มมีทางการเข้ามาดูแลจนทำให้กิจการประเภทนี้หลายรายค่อย ๆ ปิดไปตามกาลเวลา สถานีโสเภณีแห่งนี้ก็ปิดไปด้วยความอาลัยของหนุ่มน้อยใหญ่ผู้มักมากในกามตัณหา  ทิ้งไว้เป็นปริศนาถึงยอดผู้เสียชีวิตในกามะสถานแห่งนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่ามีดวงวิญญาณหัวขนที่ไม่ได้เกิดกี่ตน และมีจิตอาฆาตของเด็กสาวอีกกี่ราย แต่นั่นมันก็เป็นเพียงรอยด่างของประวัติศาสตร์การค้ามนุษย์อันอดสู

ทุกวันนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกต่างนอนตาไม่หลับ เพราะตกดึกมักมีเสียงผู้หญิงร้องโหยหวน กรีดร้อง สะอื้นร้องไห้ เสียงต่าง ๆ ตามจินตนาการของผู้ได้ยินจะคิดไป หลายครั้งหลายหน มีหนุ่มสาวคึกคะนองแอบเข้าไปพิสูจน์เรื่องลี้ลับอันโด่งดัง แต่ก็ไม่พบวิญญาณใด ๆ ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงร้องขอความช่วยเหลือซึ่งหาที่มาไม่ได้ เลื้อยรอดออกมาตามหน้าต่าง ประตู ทิ้งไว้ให้ผู้คนได้รำลึกถึงความอัปยศที่เกิดขึ้นในอดีตอันขมขื่น

EP.071 : เจอดีที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัด ระยอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เป็นข่าวอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง..



เปิ้ลนักเรียนหญิงชั้น ม.4 เล่าว่า เย็นวันหนึ่งก่อนสอบ วันนั้นนัดติวหนังสือกันต่อกับเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน ที่ห้องเรียนที่อยู่ชั้น 4 พวกเราก็ซื้อขนมกันมากิน กะว่าคงอยู่กันยาวๆ.. เย็นนั้นทั้ง 4 คนก็ติวหนังสือกันไป จนกระทั่งประมาณ 1 ทุ่ม จอย เพื่อนในกลุ่มบอกว่า เดี๋ยวพักก่อน ขอออกไปเข้าห้องน้ำ และจอยก็แยกตัวไป


ระหว่างนั้นที่ห้องเรียน จู่ๆ ก็มียินเสียงทุบประตูหลายๆ ครั้ง เสียงดังมาจากข้างนอก เปิ้ล และเพื่อนอีก 2 คนตกใจมาก จึงลองออกไปดู และเสียงทุบก็ยังคงอยู่ตลอด มันดังมาจากห้องประชุมที่อยู่ข้างๆ เปิ้ลเห็นว่าประตูถูกล็อคด้วยแม่กุญแจจากด้านนอก แต่เหมือนมีคนพยายามผลักประตูออกมาจากด้านใน จนประตูสั่นไปหมด

เปิ้ล และเพื่อนลองตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีคนตอบ เลยตัดสินใจลงไปข้างล่าง เจอป้าบัว แม่บ้านของโรงเรียนกำลังจะกลับ เปิ้ลบอกว่ามีคนติดอยู่ในห้องประชุมข้างบนค่ะ ป้าบัวจึงตามขึ้นไป และเห็นว่ามีคนทุบประตูอยู่จริง ป้าบัวใช้กุญแจเปิดล็อคห้องประชุมเข้าไป แต่ปรากฏว่า ในห้องประชุมไม่มีคนอยู่เลย Tea Cup And Saucer Sets, Amber Oval Beads, Gongfu Tea Sets, Fleece Sleeping Bags และห้องนี้ไม่มีหน้าต่างหรือช่องลมใดๆ ที่จะทำให้ประตูสั่นขนาดนั้นได้แน่ๆ..

ทุกคนตกใจและกลัวมาก เปิ้ล และเพื่อนๆ รีบกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเก็บของกลับบ้านทันที ระหว่างลงมาหน้าโรงเรียน ก็เห็นจอยนั่งอยู่ที่ม้าหินท่าทางตัวสั่น เปิ้ลเล่าเรื่องทั้งหมดให้จอยฟัง จอยถึงกับร้องไห้ออกมา และเล่าว่า เมื่อกี้ตอนเข้าห้องน้ำเสร็จ ยืนส่องกระจกอยู่ เหลือบไปเห็นห้องน้ำห้องสุดท้ายที่ปิดอยู่ แต่ที่ช่องประตูด้านล่างเราเห็นขาผู้ชายมีโซ่ตรวนยืนอยู่..

เรื่องราวของโรงเรียนแห่งนี้เฮี้ยนมาก จนกระทั่งความจริงถูกเปิดเผยว่า ที่ดินบริเวณนี้ เดิมเป็นเรือนจำเก่าจังหวัดระยองมาก่อน

EP.070 : มันอยู่ในตู้เสื้อผ้า

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ขนหัวลุกจากคุณอิง คุณอิงเป็นพนักงานราชการบรรจุใหม่ที่เชียงใหม่ และก็ได้ถูกส่งไปอบรมที่เชียงราย 2 วัน จริงๆ ก็อบรมวันเดียว ส่วนอีกวันก็คือไปเที่ยวนั่นเอง และอิงก็ได้ไปแถบแม่สาย ที่มีของราคาถูกขายเยอะแยะมากมาย อิงก็ไปสะดุดกับชุดกระโปรงยาวลายดอกสีดำตัวหนึ่ง อิงเห็นว่าสวย และราคาก็ไม่แพง อิงจึงตัดสินใจซื้อมาในราคาเพียง 350 บาท



คืนนั้นหลังจากกลับมาถึงบ้าน ที่เชียงใหม่ อิงเข้าห้องนอน ก็เก็บเสื้อผ้าที่ซื้อ เครื่องประดับ และข้าวของอื่นๆ เข้าตู้เสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว และก็เข้านอนตามปกติ.. คืนนั้นอิงรู้สึกใจสั่นๆ วูบๆ บอกไม่ถูก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับตกจากที่สูง Tea Cup And Saucer Sets, Amber Oval Beads, Gongfu Tea Sets, Fleece Sleeping Bags เป็นแบบนั้นทั้งคืนเลย มันทำให้อิงนอนไม่ค่อยหลับ


ในคืนต่อมา พออิงเข้ามานอนในห้อง ครั้งนี้มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีคนจ้องเราอยู่ และในกลางดึกคืนนั้นเอง อิงก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีเสียงหายใจแรงๆ อยู่ข้างๆ หู เสียงมันเหมือนเสียงสะอื้น.. อิงตัดสินใจเปิดไฟหัวเตียง และออกไปเรียกน้องสาวที่อยู่อีกห้องมานอนด้วย

เมื่อเอิง น้องสาวอิงย้ายมานอนที่ห้อง อิงก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบหมอนอีกใบให้ แต่อิงก็ต้องร้องกรี๊ดลั่น เพราะสิ่งที่อิงเห็นคือใบหน้าผู้หญิงที่ไม่มีนัยน์ตา แทรกอยู่ระหว่างเสื้อผ้าที่แขวนอยู่..

วันต่อมา อิงได้นำเสื้อกระโปรงสีดำตัวที่ซื้อมาจากเชียงรายไปที่วัด และเล่าให้พระท่านฟังว่าเกิดอะไรขึ้น พระท่านก็นำเสื้อกระโปรงชุดนี้ใส่ถังน้ำล้าง ปรากฏว่าน้ำนั้นกลายเป็นสีดำผสมแดงเหมือนเลือด พระท่านว่าอาจจะเป็นชุดที่ถอดจากศพที่ตายโหงแล้วเอามาขายก็ได้ ดูสิ ยังไม่ทันล้างเลือดออกดีเลย..

EP.069 : 10 วิธีเห็นผี อยากเห็นผีต้องลอง




วิธีที่อยากเห็นผีสำหรับคนจิตแข็ง

1. ไปกินข้าวตรงที่ที่มีคนพึ่งจะตายไปไม่เกิน 3 วัน อันนี้ต้องเป็นตอนกลางคืนแล้วอ่ะ ลองเลย 50% มีคนเคยเห็น

2. ขโมยของ รึเอาของคนที่ตายแล้วมาใช้ เน้น ต้องเป็นของใช้ที่ผู้ตายรัก และห่วงมากที่สุด 80% มีคนเคยเห็น ( แล้วมานต้องเอาของไปคืนเค้าด้วย )

3. จับแมวดำโยนข้ามศพคนตาย 30% คนเคยเห็น




4. นอนในโลงศพ แบบเดียวกับศพ โดยมัดตราสังด้วย แต่ห้ามทำพิธี Tea Cup And Saucer Sets, Amber Oval Beads, Gongfu Tea Sets, Fleece Sleeping Bags นอนสักพักนึงค่อยลุกออกมาจากโลงศพแล้วคุณจะพบกับสิ่ง ที่คุณต้องการ 80% มีคนเคยเห็น ( วิธีนี้ถ้าลองแล้วเจอ วิธีการคือการให้พระทำพิธีบังสกุลให้เรา ถ้าเป็นพระที่ปฏิบัติธรรมมาดีจะสับสนว่าเราเป็น คนรึผี แต่เราก็ต้องขอร้องให้ท่านทำให้ ยิ่งเป็นพวกจิตอ่อนยิ่งหลอน )

5. เล่นซ่อนหาในป่าช้า ตอนกลางคืน 20% มีคนเคยเห็น

6. ไปลองของตามสถานที่ต่างๆ ที่มีประวัติน่ากลัวๆ 20% มีคนเคยเห็น

7. นอนขวางประตู รึ นอนตรงกับคานบ้าน(บ้านไม้แบบที่มีคาน) 50% มีคนเคยเห็น

8. ตอนที่กำลังเผาศพ เอาไม้กวาดพื้นกวาดรอบเมรุ 3 รอบ แล้วหักเศษไม้กวาดมา1ก้านเอามาเหน็บไว้ที่หูข้างซ้าย เอาน้ำมะพร้าวที่ล้างหน้าศพ มาป้ายตาทั้ง 2 ข้าง ก้มลงมองลอกหว่างขาในเงาของเมรุ ( กรณีที่เห็นท่านยมฯ ให้รีบวิ่งไปหลบใต้เงาโบรถ์ ถ้าไม่ทัน รึ รู้สึกว่าท่านยมฯ ตามอยู่ตลอดเวลา รึเห็นท่านยมฯ บ่อยเกินเห็น ให้พระทำพิธีบังสกุลให้ *ท่านอาจจะรอดนะ ) จากนั้นก็จะเห็นวิญญาณของคนที่ตายไป รวมทั้งของคนอื่นด้วย % มีคนเคยเห็น (ไม่มีคนกล้าลอง)

9. ฉี่ใส่ ถ่มน้ำลายใส่ ทำลาย เผาไฟ ศาลเจ้าที่ ทั้งที่ร้างแล้ว รึ ยังไม่ร้างก็ได้ 80 % มีคนเคยเห็น

10. นำเศษบาตรพระที่แตกมารวมกับ ตะปูที่ตอกฝาโล่งศพ ฟันของศพที่ถูกเผาแล้ว มาห่อไว้ในผ้าสีดำ ว่างไว้ตรงกลางสำหรับข้าว รึโตะกินข้าว จุดธูป 1 ดอก แล้วจะเจอผีมากินข้าว ( กรณีผีที่บ้านเราน้อยไป แนะนำไปทำที่ไหนก็ได้ที่คิดว่ามีผีเยอะๆ ) 98 % มีคนเคยเห็น

ได้ผลยังไง ตัวใครตัวมัน

EP.068 : 13 บ้านสยองขวัญ

1. สุสานโสเภณี จังหวัด กาญจนบุรี



สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ Tea Cup And Saucer Sets, Amber Oval Beads, Gongfu Tea Sets, Fleece Sleeping Bags ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงอย่างมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็น “สุสานโสเภณี” ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้นมักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใครเลย



2. บ้านผีมอญ จังหวัดกาญจนบุรี

คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีศพชาวกะเหรี่ยง 9 ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้



3. บ้านผมผี จังหวัดกาญจนบุรี

หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไรร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้นนึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้วจึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฎว่า เส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน



4. โรงพยาบาลสยอง จังหวัดระยอง

ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลงกลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนก็เข้าไปเห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวถึงปัจจุบัน



5. สุสานไร้ญาติ จังหวัด ชลบุรี

ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำมาขุดหลุมฝัง เป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพันขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว หลายๆคนเล่ากันว่าเป็น ฮวงซุ้ยที่เฮี้ยนมาก



6. บ้าน 4 ศพ จังหวัดชลบุรี

ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก 2 คน เดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนี้กลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตรกรรมอย่างปริศนา และมีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้านหลังนั้น



7. บ้านผีนายพล จังหวัด ชลบุรี

เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตรกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากอากาศกลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย



8. บ้านผียายสรวง จังหวัดอยุธยา

หญิงชราเจ้าของบ้าน ผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน



9. บ้านผีท่านขุน จังหวัด อยุธยา

เป็นบ้านไม้สักเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่เข้าของบ้านเสียชีวิต บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านร้าง วันหนึ่งมีชาวบ้านพายเรือผ่านมา เห็นมีผู้หญิงอยู่บนเรือนแต่งชุดโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 เคยมีคนมาลองของที่บ้านหลังนี้ก็เจอดีกันทุกคน จนต้องมาขอขมากราบไหว้กัน



10. บ้านผีโหด อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม

เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง



11. เป็นบ้านร้างมาเกือบ 10 ปี 

มีการเล่ากันว่า นอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกด้วย



12. บ้านตรอมใจ หนองจอก

หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธรับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้านจนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจและเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ



13. บ้านเสาตกน้ำมัน จังหวัดราชบุรี

บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านไปเก็บปรากฎว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .