EP.097 : เปิดตำนาน 52 เรื่องผี และสิ่งลี้ลับในจังหวัดสงขลา!

เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อจากนี้ เป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้รับทราบจากการออกเดินทางไปทำงานวิจัย ตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดสงขลา เเน่นอนล่ะว่าการออกเก็บข้อมูลงานทางไทยคดีศึกษาในเรื่องต่างๆ ตามสถานที่ต่างๆย่อมต้องได้รับทราบข้อมูลทั้งเชิงประจักษ์ เเละความเชื่อในเเนวทางเฉพาะถิ่น อาทิ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องภูติผี เเละดวงวิญญาณ(ลัทธิวิญญาณนิยม)เพื่อนๆ หลายๆ คนของผู้เขียนเลยขอให้ทำการรวบรวมนำมาเล่าสู่กันฟัง(บ้าง) เพื่อเป็นประสบการณ์เเลกเปลี่ยนกัน



1.หน้าโรงเรียนอุดมศึกษาพานิช.. สมัยก่อนล่วงผ่านเลยมามีเรื่องเล่ากันปากต่อปากจากผู้สูงวัยว่าที่เชิงสะพาน ตอนเช้าตรู่ (ราวตี 4-6 โมงเช้า) มักจะมีสาวสวยผมยาวผิวขาวมากๆ ใส่ชุดขาวมายืนโบกรถอยู่ หากใครจอดรถรับ เธอจะหายไปพร้อมกับความซวย หรือเรื่องร้ายๆที่เข้ามาเยือนคนดวงซวยคนนั้น…บรื๋ออออ

2.บริเวณถนนศรีภูวนารถ มีซอยหลายซอยมากๆ มีอยู่ซอยหนึ่งคือซอย 12 ซอยนี้เองมีโรงเก็บหัวหอมร้างอยู่ซอยหนึ่ง เล่าลือกันว่าผีดุมากๆ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนมีลูกจ้างโรงเก็บหัวหอมถูกบานประตูเหล็ก ตกใส่ ทับจนร่างกายเเหลก เละทั้งตัว ไม่มีใครสามารถจะนอนค้างคืนในโรงเก็บหัวหอมร้างซอย 12 ได้เพราะถูกหลอกกันมานับไม่ถ้วนเเล้ว

3.สะพานรถไฟ(มีราวเหล็ก)ที่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านน้ำน้อย เคยมีคนตายกว่า 400 ศพ ที่สำคัญเป็นการตายโหง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเชื่อกันว่าที่นี่เฮี๊ยนมาก คนเฒ่าคนแก่หลายคนเรียกสะพานรถไฟแห่งบ้านน้ำน้อยว่าสะพานสายมรณะ บ้างก็ว่าเป็นสะพานผีตายโหง เคยมีเรื่องเล่าในอดีตว่า เคยมีกลุ่มคนมายืนโบกรถอยู่ที่แถวๆสะพานรถไฟดังกล่าว โบกรถเพื่อจะไปสงขลา พอรถให้ขึ้นมาปรากฏว่าระหว่างขับกลุ่มคนดังกล่าวก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ ร่องรอย ทำเอาคนขับรถถึงกับจับไข้ไปหลายวัน



4.ซอยๆ หนึ่งข้างวัดโคกนาว กับห้างโลตัส เด็กหาดใหญ่เรียกกันว่า…” ซอยคุณยายสปีด ” เชื่อกันว่าหากขับรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาในซอยคนเดียวหลังเที่ยงคืนในคืนเดือน มืดเเล้วจะเจอกับผีคุณยายสปีดหลอกเอา ด้วยการกระโดดขึ้นมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ใครดวงซวยอาจถึงตายได้

5.ถนนสายหาดใหญ่-สงขลา(สายใหม่)ก่อนถึงปั้นน้ำมันมีเรื่องสยองเล่าว่า เคยมีกลุ่มรถซิ่งถูกสายสลิงที่ขึงไว้กับต้นไม้ใหญ่ 2 ข้างทาง ตัดเอาคนนั่งซ้อนท้ายซึ่งเป็นผู้หญิงจนหัวขาดมาเเล้ว…เชื่อกันว่าหากขับ รถมาตอนกลางคืนเเล้วเห็นคนขับมอเตอร์ไซด์ไม่มีหัว…อย่ามอง หรือชี้มือไปหา เพราะท่านอาจจะซวยเอาได้

6.บริเวณเปิดท้ายกรีนเวย์(ข้างป่าช้า โคกโพธิ์)…เเต่เดิมเป็นวังน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านคลองเรียนเรียกกันว่า ” วังน้ำดำ ” เชื่อว่าเป็นดินเเดนอาถรรณ์ที่ผู้มีวิชาอาคมมักมาลองปล่อยของกัน

7.วัดโคกนาว..สมัยก่อนเรียก ” โคกเน่า ” เพราะเคยมีการฝังศพกันเป็นจำนวนมาก เเต่ปรากฏว่ามีน้ำท่วมขังในบริเวณดังกล่าวในปีหนึ่ง ชาวบ้านเลยจำต้องนำศพไปผูกติดเอาไว้กับกิ่งไม้ใหญ่ บ้างก็ว่ามีนายพรานหลายคนไปยิงสัตว์ในโคกเน่า ถูกซากศพที่เน่าเปื่อยตกใส่จนขวัญหนีตามๆกัน ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้เเก่ท่านหนึ่ง ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า…หากมืดค่ำจะไม่ยอมเดินทางผ่านโคกเน่าเป็นอันขาด เพราะผีที่นี่หลอกเก่งที่สุด
8.หน้าสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่… เชื่อกันว่าเฮี๊ยนน่าดูชม..เพราะจะต้องมีคนถูกรถชนตาย หรือรถทับตายทุกปี หลายคนบอกว่าเขาต้องการ ” ตัวตายตัวเเทน ”


9.หน้าวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่….บริเวณใต้สะพานลอยหน้าวิทยาลัย เชื่อกันว่ามีผีเฝ้าอยู่ใต้สะพานลอย…ใครดวงถึงฆาตจะถูกผีผลักให้รถชน เพื่อเป็นตัวตายตัวเเทนตน(เด็กเทคนิคหาดใหญ่เล่ากันภายใน)

10.เจ้าที่ที่ปกป้องรักษาวิทยาลัยเทคนิค หาดใหญ่นอกจากจะมีพระวิษณุกรรมแล้ว บริเวณเชิงเขา(ข้างแผนกช่างยนต์)ยังมีเจ้าที่เก่าของที่นี่ปรากฏให้ได้เห็น ครู-อาจารย์ เรียกท่านว่า “ทวดตาเดียว” ส่วนนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เรียก “เจ้าพ่อตาเดียว” ถือกันว่าท่านนั้นศักดิ์สิทธิ์มากๆ บูชาหรือเซ่นด้วยอะไรก็ได้ ยกเว้นเนื้อสุกร(เพราะท่านเป็นมุสลิม)

11.เจ้าที่ที่มหาวิทยาลัยทักษิณเด็กที่นี่เรียกกันว่า..” ทวดเลียบ ” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ปรากฏในรูปของต้นไม่ใหญ่ เชื่อกันว่าหากใครขวัญอ่อน หรือต้องการเจริญก้าวหน้าในการเรียน หรือการงานด้านต่างๆให้บูชาท่านด้วยยาคูลท์ เท่านั้น

12.หน้าตึกเรียนอาคาร 13 ภายในมหาวิทยาลัยทักษิณ เชื่อกันว่ามีความเฮี๊ยนระดับสูงมากๆ เเละที่หน้าตึกเรียนอาคาร 13 นี้เองที่มีฮวงซุ้ยขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าตึก(น่าจะเป็นตึกเรียนตึกเดียวใน ประเทศไทยที่มีฮวงซุ้ยตั้งอยู่ด้านหน้า) เล่าลือกันว่าบางครั้งดึกๆจะมีคนเดินไปเดินมาที่หน้าฮวงซุ้ย มองนานๆเเล้วท่านก็จะหายไป

13.ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เชื่อกันว่าสระน้ำหน้าอาคารตึกอำนวยการหลังเก่า…เคยมีเด็กผู้หญิงที่มา เข้าค่ายที่นี่จมน้ำตาย เธอมักชอบออกมาเล่นงานคนที่ดวงถึงฆาตด้วยการดึง หรือลากลงไปในน้ำ

14.ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา อาคารหอสมุด(หลังเก่า)…เชื่อกันว่าที่ บล็อก ฮ. นกฮูก มีดวงวิญญาณของนักศึกษาที่นี่สิงอยู่ ท่อนบนเป็นผู้ชายใส่ชุดช่างอุตสาหกรรม ท่อนล่าง…..ไม่มี !!!

15.เเถวๆท้ายวัดคลองเรียน…ในอดีตยังมีต้นยางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง บนต้นยางปรากฏเป็นฝูง “ชิน” จำนวนมากลอยอยู่(ชิน หลายคนเชื่อว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง รูปลักษณะเป็นดวงไฟสีขาวขุ่นใหญ่ประมาณเท่าลูกฟุตบอล-1 เมตร) ปัจจุบันเชื่อว่าต้นยางใหญ่ดังกล่าวไม่มีเเล้ว เเละน่าจะเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านร่มเย็น(ตรงบริเวณไหนไม่อาจคาดเดาได้ เเน่ชัด)

16.รถเมล์สายหาดใหญ่-สงขลา(เด็กหาดใหญ่ เรียก รถโพธิ์ทอง)….เชื่อกันว่ามีรถโพธิ์ทองอยู่คันหนึ่งมักปรากฏหญิงสาวในชุด นักศึกษา ผมยาว เธอมักชอบนั่งอยู่เก้าอี้เกือบท้ายสุดในยามหัวค่ำ พอมองไปนานๆเธอจะหายไป

17.หลังวัดคลองเเห ตำบลคลองเเห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา…เชื่อกันว่ามีเนินดินสูงอยู่เนินหนึ่ง เรียก…” โคกนกคุ่ม ” ภายในเนินดินว่ามีทรัพย์สมบัติฝังอยู่ เเละมีผีนานาชนิดเฝ้าดูเเล อาทิ ผีปลาหัวกระโหลก

18.เเถววัดคูเต่า ตำบลเเม่ทอม สงขลา(วัดคูเต่าหลังเเรก…วัดสระเต่า)เคยมี ?เสือสมิง? อาศัยอยู่ใกล้บริเวณวัดได้เข้าทำร้ายสามเณรมรณภาพ 1 รูป คือสามเณรถูกกัดจนศีรษะขาดและถูกกินเป็นอาหารเป็นที่เล่าลืออย่างสยดสยอง ต่างๆนานา(เสือสมิง คือ เสือร้ายที่เชื่อกันว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณร้ายที่แปลงร่างขึ้นมา)

19.วัดโลการาม บ้านสะทิ้งหม้อ สิงหนคร สงขลา…มีเจ้าที่ประจำวัดเป็นพญางูจงอางขนาดใหญ่ เรียก ” ทวดตาหลวงรอง ” เชื่อว่าใครบูชาเเล้วจะเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ…นอกจากนี้ยังเชื่ออีก ด้วยว่าหากใครจะเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติของทางวัดจะโดนงูทวดเล่นงานจนต้องหนี กระเจิงทุกรายไป

20.หน้าอุโบสถวัดพรุเตาะ หาดใหญ่ สงขลา มีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่ง…เชื่อว่าต้นโพธิ์นี้เเต่เดิมคือเจ้าอาวาสวัดพรุ เตาะ ครั้งหนึ่งท่านได้ใช้น้ำมันราดเเละเผาตนเองจนมรณภาพ เเล้วท่านก็ได้เกิดใหม่เป็นต้นโพธิ์หน้าอุโบสถ(ชาวบ้านเขาเชื่อกัน)

21.บริเวณหัวเขาแดง-สงขลา เชื่อกันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยป้องปกดูแลอยู่เรียกว่า ?ทวดหัวเขาแดง? เชื่อกันว่าท่านนั้นมักปรากฏกายให้ได้เห็นในรูปของจระเข้ใหญ่มีนัยตาสีแดงเพลิง

22.น้ำตกโตนงาช้างที่ตั้งอยู่ในจังหวัด สงขลาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง ปรากฏมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องปกอยู่เรียกว่า “ทวดตาขุนดำ-ทวดโต๊ะปะหวัง” ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงกับน้ำตกเชื่อว่าท่านนั้นมีรูปกายเป็นเสือดำ ขนาดใหญ่ มีเรื่องเล่าว่าราวปี พ. ศ. 2549 ได้มีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง จนตกช่วงเย็นชายคนดังกล่าวได้ออกเดินทางปีนขึ้นไปชมทัศนียภาพบนน้ำตกโตนงา ช้าง จากนั้นจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เพื่อนๆที่มาด้วยกันจึงออกตามหาแต่ก็หาไม่พบจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของทาง น้ำตกทราบช่วยกันตามหาจนช่วงดึกจึงต้องยกเลิกไปแล้วออกหาตอนเช้าอีกที หาอยู่ 3 วัน 3 คืนก็ยังหานักท่องเที่ยวชายชาวสิงคโปร์คนดังกล่าวไม่พบ จึงได้เชิญหมอไสยศาสตร์มาทำพิธีกรรม “เข้าทรง” และพอได้รับข้อมูลมาว่านักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่หลงป่ายังมีชีวิตอยู่ ประทังชีพด้วยการกินยอดไม้ และน้ำเป็นอาหาร เขาเพียงโดน “ผีบังตา” เอาไว้ท่านมิต้องเป็นห่วงแต่ประการใด ถึงเวลาเขาก็จะกลับมาเอง แต่หลังจากนั้นก็ขอให้ช่วยสร้างศาลให้เราอยู่ด้วย หัวหน้าทีมค้นหาจึงสัญญาว่าหากหาเจอก็จะสร้างศาลสถิตบูชาให้ วันที่ 4 ที่ออกค้นหาจึงหานักท่องเที่ยวคนดังกล่าวจนพบแล้วสร้างศาลให้เรียกว่า “ทวดตาขุนดำ-ทวดโต๊ะปะหวัง”

23.ห้องเบอร์ 333 ณ โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เยื้องๆกับฟาร์มจระเข้ เก่า…เชื่อกันว่ามีผีฝรั่งสิงสถิตอยู่ หากใครจิตอ่อนเวลานอนอยู่บนเตียงจะถูกลากขา หรือบีบนวดขาให้ในเวลากลางคืน..ให้แก้เคล็ดด้วยการนำเหรียญบาท 3 เหรียญมาวางไว้ตรงมุมบานประตูทางเข้าห้อง(ด้านใน)แล้วบอกกล่าวขอเช่าห้องกับ ผีเจ้าของห้องก่อนจึงจะอยู่ได้อย่างปกติสุข(เจอกันหลายคนแล้วห้องเบอร์นี้)

24.ชาวอำเภอเมืองสงขลา เชื่อกันว่า ณ เขารูปช้างมีผีฟ้า-เทวดาป้องปกรักษาอยู่เรียกกันว่า “ทวดช้าง” หรือ“พ่อทวดช้าง” เชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของควาญช้างและพญาช้างใหญ่ 2 เชือก(พ่อพลายแก้ว และแม่พังงา)

25.แถวน้ำตกโตนงาช้าง และย่านหูแร่ในสมัยก่อนเชื่อกันว่ายังมี ?ผีหลังกลวง? อาศัยอยู่เชื่อกันว่าผีหลังกลวงเป็นความเชื่อของชาวไทยภาคใต้มีลักษณะเป็น เหมือนกับคนธรรมดาแบบเราๆท่านๆนี่แหล่ะ แต่มันไม่ชอบใส่เสื้อผ้า(ประมาณว่าใส่แต่กางเกงที่ขาดรุ่งริ่ง)และที่สำคัญ คือมันมีสันหลังที่กลวงโบ๋วมีน้ำหนองไหลออกมาอย่างน่ากลัว ผีหลังกลวงชอบอาศัยอยู่ในแถบสถานที่ๆมีอากาศเย็นโดยเฉพาะในบริเวณน้ำตกต่างๆ ของทางภาคใต้ เชื่อกันว่ามันชอบกินของดิบๆเป็นนิสัย ส่วนกรรมวิธีในการหลอกคนก็คือ มันจะมาทำทีพูดจา-เจรจาเป็นมิตรกับผู้ที่ผ่านถิ่นที่อยู่ของมันในยามค่ำคืน จากนั้นมันจะแกล้งคันหลังแล้วขอให้มิตรใหม่ช่วยเกาหลังให้… หันหลังให้คนที่มันจะหลอกดู(หลายคนพอได้เห็นหลังอันกลวงโบ๋วของมันแล้วก็อาจ จะกลัวจนวิ่งหนีไปเลยก็มี) แต่ผีหลังกลวงในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดพัทลุงนั้นมันมีวิธีหลอกโดยการเดินมาตอนกลางคืนแล้วอาสาว่าจะช่วย ตำข้าวให้ พอเจ้าของบ้านเผลอมันจะฉวยโอกาสหักคอกับครกตำข้าว(คนพัทลุงในสมัยก่อนเลยไม่ ค่อยมีใครนิยมตำข้าวตอนเวลากลางคืน)

26.บ้านคูเต่า อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา ยังเชื่อว่าในเครื่องดนตรีของถิ่นตนมีผีชนิดหนึ่งสถิตอยู่เรียก “โต๊ะเคร็ง” เชื่อกันว่าโต๊ะเคร็งเป็นผีที่สถิตอยู่ในเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของทางภาค ใต้ โดยหากมีการเซ่นสรวงที่ดีโต๊ะเคร็งจะทำให้การประกอบอาชีพทางด้านเป็นนัก ดนตรีเจริญก้าวหน้า แต่หากทำผิดกฎการเซ่นสรวงบูชาแล้วโต๊ะเคร็งจะนำพาความวิบัติมาให้ได้

27.เชื่อกันว่าในคลองอู่ตะเภาในอดีตยังมีจระเข้ผีสิงสถิตอยู่ มีตำนานเล่าว่า ในอดีตลำคลองอูตะเภายังอุดมสมบูรณ์มีจระเข้อาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เนื่องด้วยมีปลาอย่างชุกชุมทำให้วิถีทางการดำเนินชีวิตของคน และจระเข้ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน จวบอยู่มายุคหนึ่งเกิดเหตุจระเข้กินคนเกิดขึ้นลือว่าเป็นจระเข้ผีสิง ขึ้นมาจากน้ำ คาบ กัดกินเด็กที่เล่นน้ำบริเวณท่าน้ำวัดท่าแซไปหลายรายจนเป็นที่ประหวั่นพรั่น พรึงของผู้คนในสมัยนั้นเป็นยิ่ง จวบจนความเจริญได้เดินทางเข้ามาสู่ชุมชนคลองอูตะเภามากขึ้น ตำนานจระเข้กินคนเลยลบหายไปกับกาลเวลาเหลือเพียงคำเล่าลือจากผู้เฒ่าผู้แก่ ว่า….ในอดีตลำคลองแห่งนี้ยังเคยมีจระเข้ผีสิงที่ชอบกินเด็กเป็นอาหารอาศัย อยู่

28.เชื่อกันว่าทะเลสาบสงขลายังมีนาง เงือก(ผีนางเงือก)อาศัยอยู่ ณ ยามใดก็ตามที่เป็นคืนจันทร์เดือนเพ็ญสว่างเต็มท้องน้ำ ผีนางเงือกจะขึ้นมาจากท้องน้ำ นั่งอยู่บนโขดหิน ใช้หวีที่ทำจากก้างปลาหวีผมอย่างน่าดูชม…..ใครดวงถึงฆาตนางจะลากลงไปใน ท้องน้ำเอาบุรานายนั้นทำสามี

29.ถนนสายบ้านในไร่-เขากลอย(ทางโค้งข้อศอก)…ยามค่ำคืน หากเห็นหญิงสาวรถมอเตอร์ไซด์เสีย ยืนคนเดียว… อย่าชี้นิ้วไปหา-อย่ารับขึ้นรถ…เพราะไม่ใช่คน!!!

30.ต้นไทรใหญ่หน้าวัดคลองเรียน มีอายุนานมากแล้ว(อาจจะถึง หรือเกิน 100 ปี)…..ยามค่ำคืนมักปรากฏผู้คนมากมายพร้อมเทียนส่องสว่าง พวกเขามาหาตัวเลขก่อนวันหวยออกกันน่ะ แต่….หากเห็นผู้คนมากมายอันตรธานหายไปในพริบตาที่ชี้มือไปหา…ท่านจะซวย เอาได้!!!

31.พระคเณศ หน้าภาควิชาศิลปะ ว.ค.สงขลา เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ…..หากใครอยากลองดีให้มาตอนเที่ยงคืน พร้อมกับหันก้นเข้าหาและ…เกาใส่หน้าท่าน(เชื่อกันว่าจะโดนดีทุกรายไป)

32.ข้างภาคศิลปะ ว.ค.สงขลา สมัยก่อนยังมีต้นมะพร้าวใหญ่อยู่ต้นหนึ่งข้างสระน้ำ(ปัจจุบันตัดทิ้ง แล้ว)…..ยามดึกๆเด็กๆที่นี่อาจจะเห็นชายหนุ่มร่างกำยำผิวดำหัวหยิก ไม่ใส่เสื้อผ้า พุ่งดิ่งลงมาจากต้นมะพร้าว ลงสู่สระน้ำข้างภาควิชา…หายลงไปไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย.. ไม่ต้องตกใจ เขาแค่ทักทายเด็กศิลป์น่ะ(สมัยก่อนเจอกันบ่อย)

33.ตำนานบ้านโลงศพ (หน้าซอย 10 ราษฏร์อุทิศ) เคยได้ยินเรื่องเล่าในหาดใหญ่อยู่เรื่องหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนคือเรื่อง ตำนานบ้านโลงศพ ว่ากันว่ามีบางส่วนของตัวบ้านดังกล่าวที่สร้างออกมาเหมือนรูปโลงศพยังไงยัง งั้น เล่าลือกันอีกต่อว่าหลังจากเจ้าของบ้านได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังดัง กล่าวไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุหมู่ยกครัว (บางคนก็เล่าลือว่ามันเห็นเรื่องแปลกๆเวลาขับรถผ่านบ้านหลังดัง กล่าว(ปัจจุบันบ้านโลงศพกลายเป็นร้านถ่ายรูปไปแล้ว) – เคยไปพิสูจน์มาแล้ว Dr.BOND

34.บ้านรูปยิ้ม (ท้ายซอย 7 ราษฏร์อุทิศ)เป็นภาพขาว-ดำ ของหญิงสาวนางหนึ่งที่เล่าลือกันว่าเธอผูกคอตายภายในบ้าน ได้มีการนำรูปภาพดังกล่าวมาแขวนไว้บริเวณหน้าบ้าน ลือกันอีกว่าหากใครดวงซวยเวลาขับรถผ่านหญิงสาวในภาพจะยิ้มให้(รีบไปทำบุญ ล้างซวยโดยด่วน!!!) – เคยไปพิสูจน์มาแล้ว Dr.BOND

35.ตำนานผีช่องแอร์ที่หาดใหญ่ เชื่อกันว่ามีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุแห่งตำนานผีช่อง แอร์(ฆาตกรรมยัดช่องแอร์) และก็มีการเล่าลือกันว่าห้องดังกล่าวของโรงแรมที่เกิดเหตุมีอัตราความเฮี๊ยน สูงมากๆ!!! ใครมาพักมักเจอดีเข้าแทบทุกราย เส้นผมหญิงสาวร่วงลงมาจากเพดาน เสียงประหลาดยามค่ำคืน กลิ่นศพเน่าโชยมาโดยหาสาเหตุไม่ได้!!! หลายคนมาถามผมว่าแล้วมันที่ไหนกันล่ะโรงแรมนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่โรงแรมกลางเมืองหาดใหญ่แน่ โรงแรมนี้ร้างมากว่า 10 ปีตั้งแต่น้ำท่วงใหญ่คราวนั้นแล้ว หลายคนบอกว่ามันคือโรงแรมหาดใหญ่ออxxxจริงหรือไม่?

36.เรื่องผีที่อาคาร 3 เด็กเทคนิครุ่นเก่าๆเขาเล่าลือกันนักกันหนาว่าแต่เดิมอาคาร 3 ในวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เคยมีคนตกลงมาตาย(ครูหลายคนยืนยันว่าจริง)หากยืนมอง วิวทิวทัศน์อยู่ดีๆมีใครตกลงมาแล้วปรากฏว่าร่างนั้นอันตรธานหายไป ขอร้อง…อย่าไปทักเดี๋ยวซวย!!!

37.ตำนานต้นจามจุรีให้โชค-หาดใหญ่ใน หลายคนเรียกกันว่าทวดแม่จามจุรี หรือทวดไกรสิงห์-ราชสีห์จามจุรีใหญ่อันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรีตั้ง อยู่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่ ลือกันว่าต้นไม้ต้นนี้เคยเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ผู้คอตาย)สืบตำนานพอได้ว่าในราวปี พ.ศ. 2552 ภรรยาของตำรวจชั้นประทวนซึ่งทำงานอยู่ใน สภ.หาดใหญ่ ได้หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปฏิบัติภาระหน้าที่ประจำวันที่บ้านพัก ใกล้กับต้นจามจุรี ครั้งหลับก็ฝันไปว่ามีเจ้าแม่จามจุรี สถิตอยู่ ณ ต้นจามจุรีใหญ่ใกล้กับที่พักของตน เจ้าแม่จามจุรี หรือทวดแม่จามจุรีบอกว่าจะให้เลขเด็ดแต่มีข้อแม้ว่าขอให้ตั้งศาลให้ที่ใต้ ต้นจามจุรีเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ปรากฏว่าถูกหวยจริง แต่ผู้เป็นภรรยาของตำรวจชั้นประทวนนางนี้ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียเท่าใดนัก จึงไปทำการบนกับทวดแม่จามจุรีว่าขอให้ถูกหวยเป็นครั้งที่สองแล้วจะสร้างศาล แก้บนให้ ปรากฏถูกหวยมาเลย์จริงดังที่ทำการบนไว้ ต่อมาจึงมีการสร้างศาลเพียงตาไว้ให้สำหรับเป็นที่สถิตแก่ทวดแม่จามจุรี ครั้งข่าวลือเรื่องทวดแม่จามจุรีให้เลขเด็ดได้อย่างแม่นยำยิ่งนักรู้ถึงหู เซียนหวย นักเลงตัวเลขจากทั่วประเทศจึงแห่กันเดินทางมาเพื่อขอเลขเด็ด ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ทราบข่าว อาทิ ชาวมาเลย์ สิงคโปร์ จีน เป็นต้น จามจุรีอันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรี ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อันมีสิ่งมุ่งหวังอันเดียวกันคือ “เลขเด็ด” นั่นเอง นอกจากเรื่องเลขเด็ดที่ชาวบ้านนิยมมาขูด ทาแป้ง ลูบหากันแล้วนี่ยังปรากฏความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่แพร่สะพัดกันไปในวงกว้าง คือเชื่อกันว่าทวดแม่จามจุรีนี้ไม่ชอบให้ใครมาตัดกิ่ง ก้าน ใบโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังเรื่องเล่าลือที่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนคร หาดใหญ่ จะทำการตัดแต่งกิ่งไม้ข้างถนน ครั้งตัดแต่งมาเรื่อยๆจนถึงต้นจามจุรีใหญ่ต้นดังกล่าวปรากฏว่าอุปกรณ์ สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานอยู่นาน พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้ จึงต้องล้มเลิกการตัดแต่งกิ่งต้นจามจุรีออกไป ครั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่มาทำการตัดแต่งกิ่งไม้ในครั้งที่สองก็ ปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานเหมือนครั้งแรก จึงเกิดการเล่าลือกันถึงเรื่องความเฮี๊ยนของต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 กันอย่างกว้างขวาง

38.ตำนานผีทวดเฝ้าถ้ำ หรือตำนานทวดแหลมจาก เป็นความเชื่อของชาวบ้านตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ตำนานทวดแหลมจากมีดังนี้กล่าวคือ ภายในอาณาบริเวณของหมู่ที่ 1 ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ปรากฏว่ามีถ้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่งที่ซึ่ง ณ ถ้ำแห่งนี้เองชาวบ้านล้วนเชื่อกันว่าภายในถ้ำมีทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทอง ถ้วยชามที่เป็นทองคำฝังเอาไว้อยู่ภายในเป็นจำนวนมาก และภายในถ้ำนี้เองปรากฏว่ามีจระเข้ใหญ่ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจระเข้เจ้าและศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งขนานนามให้ว่า “ทวดแหลมจาก” มีหน้าที่เฝ้าปกปักรักษาทรัพย์สมบัติดังกล่าวอยู่ คนแต่ครั้งโบราณหรือชาวบ้านในสมัยก่อนจะสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติ ต่างๆของทวดแหลมจากได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องนำมาคืนในระยะเวลาที่กำหนด ครั้งกาลต่อมามีคนพาลเข้าไปหยิบยืมทรัพย์ของทวดแล้วไม่ได้นำไปคืนให้ ทวดแหลมจากจึงโกรธและปิดถ้ำลงด้วยหินก้อนขนาดใหญ่ตรงบริเวณปากทางเข้าถ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติของทวดได้อีก แต่ชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ยังเชื่อว่าทวดแหลมจากในรูปของจระเข้ ทวดขนาดใหญ่ยังคงสถิตอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น

ทวดท่าข้าม หรือ ทวดพญาท่าข้าม

39.ตำนานทวดแม่กง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านเกาะหมี มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอย่างยาวนานถึงรูปแบบ-ความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กง เอาไว้ว่า…..เมื่อนานมาแล้วยังมีชายชาวบ้านเกาะหมีคนหนึ่งนั่งคุยกับ เพื่อนที่ชานเรือน เขาท้าเพื่อนๆเอาไว้ว่าไม่เชื่อในตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กง…..“ ถ้าทวดแม่กงศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ขึ้นมาหาเขาบนเรือน เขาจะยอมให้ทวดกัดให้ถึงแก่ชีวิต” ขณะเดียวกันนั้นเองปรากฏว่ายังมีพญาคางคก(แม่กง)ใหญ่อยู่ตนหนึ่ง นั่งอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำ ณ บ้านเกาะหมี โจนทะยานลงจากโขดหินลงสู่แม่น้ำดังกล่าวเสียงดังสนั่น…..กลายร่างเป็นเข้ เจ้า(จระเข้ใหญ่)ในทันทีทันใด ว่ายตรงไปสู่บ้านของชายหนุ่มผู้ท้าทาย ถึงริมฝั่งได้ ทวดแม่กงมองชายผู้ท้าทายด้วยสายตาที่โกรธอย่างถึงที่สุด พร้อมลำเลียงตนขึ้นสู่บนฝั่งพร้อมกลายร่างเป็นงูบองหลาขนาดใหญ่(งูจงอาง ขนาดใหญ่) เลื้อยตรงรี่เข้าไปจนถึงบ้านของชายผู้ท้าทาย ขึ้นไป ณ เรือนชานได้ก็ตรงเข้าหาชายคนดังกล่าว…เล่นเอาท่านเจ้าของบ้านถึงกับหน้า ถอดสี จำต้องยอมขอขมาโทษแก่ทวดแม่กงในทันทีทันใด ทวดจึงยอมกลับลงสู่แม่น้ำ มิทำร้ายเอา(สืบทราบว่าปัจจุบันชาวบ้านเกาะหมีก็ยังคงเชื่อกันอยู่)

40.ตำนานผีนางรำไร้หน้าที่โรงเรียนใหญ่ แห่งหนึ่งแถวย่านหาดใหญ่ใน เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่นักเรียนโรงเรียนนี้มานานแล้วว่าที่ตึกศูนย์ศิลป์ มักมีเหตุการณ์แปลกๆในค่ำคืนวันทางศาสนา เช่น วันพระ เป็นต้น กล่าวคือมักมีคนได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วมาตามลม บางคนที่ดวงไม่ค่อยดีอาจเห็นนางรำไร้หน้ากำลังร่ายรำกันอย่างสวย งาม…บรื๋อ!!!

41.ตำนานผีผ้าม่านในตึกศูนย์ศิลป์ที่โรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งแถวย่าน หาดใหญ่ใน เรื่องเล่าของเด็กวงโยฯเก่าๆเขาเล่ากันให้ฟังมาว่า มักมีอะไรแปลกๆชอบเดินไปมาผ่านผ้าม่านในตึกหลังดังกล่าว เป็นเงาดำๆ แต่พอเดินตามมันไปมันก็จะหายไป เด็กรุ่นเก่าๆเขาเล่าให้ฟังมาน่ะ!!!

42.ตำนานกระดาษข้อสอบที่เกินมาในอาคาร 2 ม.หาดใหญ่ เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ห้องสอบห้องหนึ่งในอาคารดังกล่าวอาจารย์จะต้องแจกข้อสอบให้เกินมา 1 ชุดเสมอๆเพราะเคยมีเหตุนักศึกษาตายในระหว่างสอบ หากข้อสอบไม่เหลือ 1 ชุดมักมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นเสมอๆ(เด็กที่นี่เขาเล่าลือกันน่ะ)

43.เรื่องผีห้อยขา ม.หาดใหญ่ ลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ตึกๆหนึ่งใน ม.หาดใหญ่หากใครเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่เหนือบันไดตัวหนึ่ง อย่าไปร้องทัก(เพราะไม่ใช่คน)

44.ตำนานเสียงซอดังแว่ว ณ ห้องดนตรีไทยโรงเรียนวรนารีเฉลิม เชื่อกันในหมู่เด็กนักเรียนว่าเวลาดึกๆมักได้ยินเสียงดนตรีไทย(โดยเฉพาะ เสียงซอ)ดังแว่วมาจากตึกดังกล่าว(ชั้น 3) ข้างในมีใครอยู่หรือเปล่า? นั่นสิ ไม่รู้ เพราะประตูทางเข้ามันล็อคจากข้างนอก!!!
ปล. ผู้เขียนเองก็เคยไปฝึกสอนที่โรงเรียนนี้มาแล้ว ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆที่อาคารดังกล่าวเหมือนกัน กล่าวคือคืนนั้นต้องมาช่วยท่าน อ.สืบ แกะแผ่นโฟมที่ห้องศิลปะทั้งคืน ผมอยู่กับเพื่อนรวม 3 คนปรากฏว่าตกดึกเพื่อนๆอีก 2 คนออกไปกินกาแฟ ส่วนผมอาบน้ำ(ราวตี 2) ขณะอาบน้ำนั้นเอง(ห้องน้ำครูชั้น 2)มีคนมาเคาะประตูแรงๆ 2 ที พอใส่กางเกงได้ก้รีบออกมาดุปรากกว่าไม่เจอใคร มองออกไปที่หน้าต่างพบเพื่อน 2 คนยังนั่งอยู่ร้านกาแฟ ในตึกมีผมอยู่คนเดียว และยังคงสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่า ใครกันเล่าที่กรุณามาเคาะประตูห้องน้ำตอนตี 2 ส่วนเหตุการณ์เสียงซอดังแว่วก็เคยได้ยินนะ ได้ยินพร้อมกันทั้ง 3 คนตอนเที่ยงคืนตรง แต่พอออกหาต้นตอของเสียงกลับมาจากซอของ อ.สืบ ที่แอบเล่นอยู่ข้างล่าง(นอนดึกจริงนะท่าน)

45.เรื่องเล่าสายลมที่พัดแรงในห้องสมุดโรงเรียนวรนารีเฉลิม สายลมดังกล่าวมักพัดในเวลาช่วงเช้าทำให้เก้าอี้ในห้องสมุดหกล้มระเนระนาดไป หลายตัว ทั้งๆที่ปิดหน้าต่างหมดทุกบานแล้วนะ!!!

46.ตำนานผีวิ่งเล่น ที่อาคารเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาอิเล็กรุ่นเก่าๆ(ราวปี 36)ว่าชั้น 4 อาคารเรียนอิเล็กยามค่ำมักมีเรื่องแปลกๆ เคยมีเด็กที่เรียนภาคบ่าย(สมัยก่อน)ช่วยปิดประตูอาคารเรียนให้อาจารย์ ตรวจเช็คว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว แต่…ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่ข้างบน พอขึ้นไปดูอีกครั้งก็ไม่ปรากฏใครบนอาคาร ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆอาจเจอเป็นเงา เป็นร่างให้ได้เห็น อาทิ บริเวณแท้งเก็บน้ำอาคารอิเล็กที่หลายๆคนเคยเจอมาไง!!!

47.ตำนานนักเรียนหญิงถักเปีย ณ บันไดเวียนโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ เล่าลือกันว่าหากใครดวงซวยจะเจอเข้ากับเธอ บางครั้งเธอจะมาให้คุณเห็น บางครั้งจะมาเป็นเสียงเหมือนคนตกบันได อย่าพยายามวิ่งค้นหาเธอล่ะ ยังไงก็หาไม่พบ

48.ตำนานผีบูม ของคณะ วจก. เชื่อกันว่า ณ มหาวิทยาลัยใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)ยังปรากฏ เรื่องเล่าที่น่าขนพองสยองเกล้าเรื่องหนึ่งว่า เคยมีรุ่นพี่คณะ วจก.เช่ารถตู้เหมารวมกันจะไปรับปริญญาที่จังหวัดหนึ่งทางตอนล่างของภาค ใต้(วิทยาเขต) แล้วรถตู้ประสบอุบัติเหตุตายหมู่หลายศพ พอถึงเวลาผ่านมาบรรจบรุ่นพี่ที่ตายไปมักจะกลับมาบูมถึงห้องน้องๆคณะ วจก. เพราะยังไม่ได้รับปริญญา เล่ากันต่ออีกว่าหลายคนเจอเข้ากับตัวถึงกับจับไข้ไปหลายวัน

49.ตำนานแขน-มือปริศนา เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของนักเรียนโรงเรียนกอบกุลวิทยาคม หมู่บ้านคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาคารห้องสมุดเก่าของโรงเรียนว่า หลายคนมักจะเห็นแขน-มือปริศนาที่มีเล็บยาวและแหลมมากเป็นบางครั้งในเวลา เย็นๆ หรือกลางคืน หากมองนานๆแขน-มือดังกล่าวจะหายไป!!!

50.ตำนานผีทหารที่โรงเรียนบ้านคลองแงะ (ชาติบุณยวิทยาการ) อำเภอสะเดา เล่าลือกันในหมู่คนเฒ่าคนแก่ ณ บริเวณใกล้กับโรงเรียนว่าสถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมทีเป็นสุสานทหารญี่ปุ่น เคยมีคนมาลองของกันตอนดึกปรากฏเจอผีทหารญี่ปุ่น(ไม่มีหัว)ต้องวิ่งกัน กระเจิง

51.ตำนานผีผูกคอในตู้เหล็ก เป็นเรื่องเล่าของนักศึกษาหอพักอาคาร 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)เล่าลือกันในหมู่เด็กหอพัก ว่ามักเจอเหตุการณ์แปลกๆเวลาเอาเสื้อผ้า-วัสดุอุปกรณ์ไปเก็บในล็อคเกอร์-ตู้ เหล็กภายในหอพักดังกล่าว ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆจะเห็นเป็นนักศึกษา(ชาย)ผูกคอตายในตู้เหล็ก!!!

52.ตำนานชุดนอนสีแดงหอพักในและตำนานเต่า ปริศนา เป็นเรื่องเล่าในหมู่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยทักษิณว่า ห้ามใส่ชุดนอนสีแดง และห้ามร้องเพลง “แต่ปางก่อน” ในหอพัก ไม่งั้นจะเรียนไม่จบและอาจเจอดีในหอพัก หลายคนเล่าให้ฟังว่าหากใส่ชุดนอนสีแดงจะถูกผีดึงลงมาจากเตียงนอน หากร้องเพลง “แต่ปางก่อน” ภายในหอพักจะมีเสียงร้องคลอตามมา…บรื๋อ!!! ตำนานเต่าปริศนา ณ สระน้ำหน้าหอพักริมบึง เด็กที่ ม.ทักษิณเชื่อกันว่าหากใครมานั่งเล่นในยามค่ำคืนแล้วเห็นเต่าในสระน้ำหน้าหอ พักริมบึงแล้วจะทำให้เรียนไม่จบ

จาก http://webboard.yenta4.com/topic/482335

EP.096 : 10 อันดับสถานที่สยองขวัญทั่วโลก ท้าให้คุณไปพิสูจน์

อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)


ตั้ง เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา
ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย
ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์
เธอเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ
ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์
หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝังศพ

แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์
(สยองงงงง ~~)

อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)


สถานที่ตั้ง บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน
ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง
หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็น
ผีและสู้กับมันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น
จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827
ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน

(อย่าไปแถวนั้นตอนกลางคืนเด็ดขาด!)

อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)


สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา
บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ
13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี
ของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็นเสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า
ใครหน้าไหนเอาเรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกอง
ถ่ายต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู
เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้านครับ) ระวังจะโดนคำสาบ!!
(งั้นไม่ดูละ กลัว!)

อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)


สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)
เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี

โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุด
ท้ายของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี
1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ
ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย
ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander
(บ้านใครอยู่แถบทะเลระวังนะ เหอะๆ)

อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)


สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)
เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่าโดยนักบวชถูก
แขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็
เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยก็มี
โดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบหน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ
พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียง
ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

อันดับ 5 วิญญาณสีชาด


กษัตริย์เฮนรีที่ 4
สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???
วิญญาณสีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด
เช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว
แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนา
ปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง
(อาถรรพ์เลข 4!)

อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)


สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??
ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ
หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ
จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่
29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!

อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)


สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)
ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม
ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียก
น้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ

อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)


สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง
แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์อีกด้วย

อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)


สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ (รูปถ่ายนี้ถูกถ่ายในธันวาคม ที่ศาล Hampton ใกล้ลอนดอน)
พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อน
ตายนางกล่าวว่า "โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัด นำข้าไปสู่ผี..ที่สุดแสนจะเงียบงัน ออกไปจากอกของข้าที่ห่วงหา
อาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"

ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้
ชีวิตในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูง
ศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ
หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย
เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ

Cr :Ghost Korean Boy

EP.095 : 10 อันดับบ้านผีสิงอันลือชื่อ (ใกล้ๆกรุงเทพ)

1. ซอยรามคำแหง 32

ปล่อยให้ ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็น ชาวต่างชาติ
วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมี สาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นาน พอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวน เวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน

เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่า หลังจากนั้นมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้าน เป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป


2. วัดมหาบุศย์ พระโขนง

ที่ วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาค พระโขนง ที่รู้กันแพร่หลาย เล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอนจน ชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต ( วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้ รักษาศีล ปฏิบัติธรรมนัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผี วนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน

3. อู่รถเมล์เก่า ซอยสายหยุด

ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสาร ประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละ คันมีประวัติคนตายโหงคารถในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่าอยู่ดีๆ ไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไป บางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ

4. ซอยรอดอนันต์ 1 ถนนสุขาภิบาล 1

เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึงไกลจากบ้านอื่นๆในระแวกนั้น บริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย คุณยาย เจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่าวิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่า ผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน

5. รังสิต คลอง 13

จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตรมีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลังแต่ยังเหลือซาก บ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่ามีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้างคนในระแวกใกล้เคียง ต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆพร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้าน ด้วย

6. ซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถนนพัฒนาการ

เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกาและเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรมมี วัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคนผู้ลง ทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการหากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้างจะ สัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่า หากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่ง ตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที

7. วัด ปราสาท จ.นนทบุรี

เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปีด้าน หลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวีชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ "เวลา กลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมากผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วง จาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่มักจะพบกับ เหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก

8. โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรม บางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)

สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรงคือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิต สยอง นับตั้งแต่นั้น คนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอนจน ต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศเจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงานและกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมากปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้ม ลมมรณะก็ยังอยู่

9. บ้านทรงยุโรป (ซอยวัชรพล)

เป็นบ้านทรงยุโรป หลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่งและว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชาย หญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆสาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้างเนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดและประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน

10. หมู่บ้านปิยพร (ซอยวัชรพล)

เป็นหมู่บ้านร้าง ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้างจึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คนประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่าผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก

ที่มา: http://board.postjung.com/468764.html

EP.094 : วิธีเห็นผีตอนกลางวัน

คุณจะต้องตื่นแต่เช้า ประมาณ 7:00 น. เอาพอมีแดดบ้างจะต้องเดินทางไปยังวัดเพื่อให้บารมีพระคุ้มครอง หลังจากไปวัดอย่าลืมเอาขวดใส่น้ำที่บรรจุน้ำเปล่าไปด้วย เมื่อฟังพระสวดเสร็จคุณควรเริ่มพิธีได้

วิธีทำ

  1. นำน้ำที่ถือมาไปที่กำแพงวัด เน้นตรงเสากำแพง
  2. สาธุหนึ่งครั้งแล้วกรวดน้ำขอขมาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่อยู่ในบริเวณวัด
  3. จากนั้นคุณกลั้นหายใจแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นดูตรงเสากำแพงวัด
  4. คุณจะเจอผีจริงๆๆ บางครั้งก็เห็นเป็นภาพสีต่างๆ  บางครั้งก็เห็นเป็นภาพขาวดำ
  5. แค่นี้คุณก็จะได้เห็นผีตอนกลางวันแสกๆ   เหอๆๆ



EP.093 : รวมเรื่องอาถรรพ์ในจุฬา

ห้องสมุดวิศวกรรมศาสตร์
เราไม่เคยเข้านะเลยไม่รู้ว่าห้องนี้ยังใช้อยู่หรือเปล่า แต่ที่ได้ยินมาคือ เป็นห้องที่ดัดแปลงจากอาคารที่เดิม เป็นตึกเรียนเก่า กลางวันแสกๆ วันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่ง เข้าไปค้นหนังสือในส่วนที่ห้ามนิสิตเข้า คือยืมได้แต่ห้ามเดิน เข้าไปเองน่ะ ทีนี้อาจารย์ท่านนั้นกำลังก้มหน้าส่องหาหนังสือ อยู่ตามชั้นต่างๆ พอขยับหน้าผ่านไปตรงช่องว่างระหว่างหนังสือ ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีหน้าจ้องผ่านร่องหนังสือเข้ามา เห็นว่าใส่ ชุดนิสิตอยู่ด้วย อาจารย์ตกใจและโกรธด้วยเลยเดินไปถามว่า นิสิตเข้ามาได้ยังไง แต่พอเดินไปถึงช่องนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลย ที่สำคัญพออาจารย์เดินหาจนทั่วพบว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุด เองก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำไม่มีทางที่ใครจะมาโผล่หน้าให้เห็นได้ แต่เมื่ออาจารย์เดินกลับไปหาหนังสือที่ชั้นเดิมก็ได้กลิ่นฉุน กลิ่นเหม็นไหม้ที่แรงมาก พอมองไปที่พื้นก็เห็นควันลอยขึ้น มาจากพื้น อาจารย์เลยเผ่นแนบ มาทราบภายหลังว่าตรงนั้น เคยเป็นห้องแล็บ มีนิสิตเผาตัวตาย


ลานพระรูป
เย็นวันหนึ่งเมื่อประมาณปี 37 -38 เวลาราวๆ หกโมงเย็น เพื่อนเรา (รัฐศาสตร์รหัส 34) เดินกับแฟนจากฝั่งสถาปัตย์มาด้านวิทยาฯ ผ่านทางเดินหน้าพระรูป ขณะที่กำลังเดินมาใกล้พระรูป มองเห็นว่าบนรั้วเตี้ยๆ ที่เลียบทางเดินข้างพระรูปออกไปยังเสาธง (ซึ่งมันจะเป็นกึ่งๆ ที่นั่ง - คงจะนึกกันออก) มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งนั่งหันหลังให้ สองคนนี้สวีทกันมากจนเพื่อนเราหมั่นไส้ เพราะหญิงสาวผมยาวนั่งเอาหัวเกยไหล่ฝ่ายชายอยู่ เท่าที่เห็นผู้ชายใส่เสื้อขาวกางเกงแสล็คเหมือนชุดนิสิต แต่ผู้หญิงใส่เสื้อขาวจุดดำคล้ายๆ ชุดไปงานศพ เพื่อนเราก็อยากเห็นหน้าสองคนนี้มาก เนื่องจากเห็นว่าอะไรจะมาสวีทกันในที่สาธารณะอย่างนี้ ทีนี้นึกออกมั้ยว่าก่อนที่เพื่อนเราจะเห็นหน้าสองคนนี้ได้ก็ต้องเดินผ่าน น้ำพุและโดนน้ำพุบังสายตาไปแว้บนึง ปรากฏว่าพอเดินเลยน้ำพุมาแล้วหันไปดู ทั้งสองคนเล่าเหมือนกันว่า ผู้ชายคนนั้นดูท่าทางไม่ปกติ ดูเอ๋อๆ ชอบกล ที่สำคัญคือ ...เห็นผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวไม่มีผู้หญิง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นหากผู้หญิงหลบไปที่อื่น เพราะแวบเดียวจริงๆ และพุ่มไม้ที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไปตั้ง 5 - 6 เมตร นอกจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะอุตริกระโดดไปหมอบหลังที่นั่งอันนั้นเท่านั้นเอง (แล้วต้องนอนราบด้วยจึงจะมองไม่เห็นเพราะที่กั้นนั้นเตี้ยมาก) เพื่อนเรานั้นซึ่งไม่ได้พูดกับแฟนเลยตั้งแต่แรกเลยรีบจูงมือแฟนเดินมาจนถึง คณะแล้วถามว่าเห็นหรือเปล่า ปรากฏว่าแฟนมันก็เห็นเหมือนกัน (ลืมบอกไป ว่าเพื่อนเราเป็นคู่หวานแหววมากอันดับต้นๆ ในคณะ ย่อมจะทนเห็นคนหวานแหววกว่าได้ยาก) ขอย้ำว่าเรื่องนี้เกิดตอนหกโมงเย็น หน้าลานพระรูป และแดดยังออกอยู่ด้วยแหละ

ห้องล้างรูป คณะศิลปกรรมศาสตร์
ว่ากันว่าห้องล้างรูปรวมของศิล'กรรมน่ากลัวที่สุด นอกจากเรื่องเห็นขาแกว่งแล้ว ยังมีแสงลูกไฟสีต่างๆ แวบไปแวบมาในห้องล้างรูปด้วย (ซึ่งห้องล้างรูปจะต้องมืดหรืออาจให้มีแสงสีแดงได้สีเดียว) บางทีก็มีเสียงเก้าอี้้นั่งรอล้างรูปดังอี๊๊ดอ๊าด ทั้งๆ ที่ไม่มีคนนั่งรอ หรือนิสิตบางคนได้ยินเสียงคนตบแท็งค์น้ำในห้องล้างรูปทั้งๆ ที่ไม่มีคนอื่นในห้อง ว่ากันว่านิสิตขอให้คณะย้ายห้องหลายครั้งแต่คณะไม่มีงบ - อันนี้เป็นข้อมูลหลายปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้ย้ายห้องหรือยัง


ล๊อกเกอร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ 
ที่นั่นเคยมีคนเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่บนล๊อกเกอร์ทีแรกเห็นแต่ขา แต่ว่าเมื่อมองขึ้นไปกลับไม่มีตัวตนอยู่เลย


ห้องสมุด คณะอักษรศาสตร์ 
ห้องสมุดที่ตึกเก่าของอักษร มีนิสิตชายคนหนึ่งไปอ่านหนังสือ เห็นนิสิตผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าอ่านหนังสือนานมากไม่เงยหน้าซะที เลยถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผู้หญิงเลยเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่า...ไม่มีหน้า

ห้อง Sound Lab คณะอักษรศาสตร์
ห้องไหนไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าตึกที่ถูกทุบไปหรือตึกที่ยังอยู่ปัจจุบัน เพราะอักษรมี Sound Lab เยอะมาก อาจารย์หญิงท่านหนึ่งรับฝากชั้นเรียนไว้ ได้รับคำฝากฝังให้เปิดเทปให้นิสิตฟังและคอยเช็คชื่อก็พอ ขณะกำลังเปิดเทปมีนิสิตหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หลังห้องไม่ยอมใส่หูฟัง อาจารย์เดินไปถามก็ตอบว่าเจ็บคอ พอตอนออกจากห้อง อาจารย์คอยเช็คชื่อเห็นคนครบแต่ไม่มีชื่อเด็กคนที่ไปคุยด้วยและเด็กก็ไม่ ยอมออกมาสักที เลยเดินกลับไปหา ไปดูที่โต๊ะก็ไม่เจอ แต่พอหันออกมาจะกลับ เห็นเด็กยืนอยู่กลางห้องสายหูฟังพันคออยู่และโยงไปที่เพดาน อาจารย์หมดสติไปเลย มาทราบทีหลังว่ามีเด็กเพิ่งฆ่าตัวตายในห้องนั้น

ตึกชีววิทยาทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์
ชั้น 4 หรือชั้น 5 ไม่รู้ นิสิตที่อยู่ดึกบอกว่าเห็นเงาคนและแสงไฟวูบวาบบ่อยมากทั้งที่ไม่มีคน ลิฟต์ก็ชอบเปิดชั้นนี้ทั้งที่ไม่มีคนกดเรียก ห้องน้ำแถวภาควิชาเคมี - อยู่ดีๆ บานประตูก็ปิดเอง (และล้อคด้วย) บ่อยมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีลม - และแน่นอน ไม่มีคนเข้า - พอนิสิตไปถามยามยามก็บอกว่าชินแล้ว บอกอย่างทำใจได้ว่าถ้าเจอก็มาตามก็แล้วกัน จะไปช่วยไขกุญแจให้

ห้องประชุมชั้นล่างตึกสาม คณะรัฐศาสตร์
(ปี 36 - 37) กลางวันแสกๆ นิสิตรัฐประศาสนศาสตร์รหัส 34 นั่งสอบอยู่ นิสิตบางคน (ซึ่งคงมีสัมผัสที่หก) มาบอกทีหลังว่ารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกและได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นห้องเก็บเสียงดีมาก เพื่อนเรา (คนที่เล่าให้ฟัง) นั่งอยู่หลังห้อง เห็นอาจารย์เดินไปท้ายห้องประชุมทำเสียงดุๆ ใส่ห้องว่างๆ แต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร ภายหลังทราบว่าอาจารย์เห็นนิสิต "ตน" หนึ่ง (จำไม่ได้ว่าหญิงหรือชาย) ยืนร้องเพลงของเบิร์ด - ตามข่าวน่ะยืนยันว่าเพลงเบิร์ดด้วยนะ ขอบอก - อยู่หลังห้องประชุม อาจารย์เลยไปดุว่าขอให้หยุดเพราะน้องๆ สอบอยู่ ที่สำคัญ...วันนั้นไม่ได้มีแค่ตนเดียว มีอีกตนหนึ่งไม่ใช่นิสิต นั่งห้อยขาอยู่บนลำโพงห้องประชุมด้วย

ประตูอังรีฯ
เพื่อนเราอยู่คณะวิทยาศาสตร์ (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ แนน) ขับรถมาทางประตูรัฐศาสตร์ อังรีฯ จะวกรถออกไปแยกสุรวงศ์ เลยต้องไปรอเลี้ยวรถกลางถนน พอไฟส่องไปที่ใต้สะพานลอยฝั่งโรงพยาบาลจุฬา ก็เห็นคนนั่งยองๆ อยู่ใต้สะพาน ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป นอกจากหน้าเหมือนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งแล้วโดนสาดน้ำน่ะ คือขาวๆ ย้อยๆ ไฟหน้ารถเธอจับอยู่นานพอดูเพราะต้องรอกลับรถ เมื่อเธอหันไปดูเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่นั่งมาด้วยกันก็ไม่มีทีท่าว่าเห็นอะไร เหมือนเธอเลย เธอก็เลยทำเฉยๆ กลัวว่าเพื่อนจะกลัว

คณะเศรษฐศาสตร์
ประตูชั้นล่างที่จะออกไปโรงอาหารด้านหลัง - ถูกกั้นไม่ให้เข้าออกเพราะเป็นทางผีผ่าน มีคนเห็นอะไรแปลกประหลาดมามากมาย ใครที่มีเรื่องขยายโปรดเพิ่มเติมมาด้วยจักเป็นพระคุณ (โดยเฉพาะน้องบี๊ช่วยเสริมมาด้วยก็จะดี)

ชั้นที่มีห้องพักนิสิต ป.โท (ไม่รู้ชั้นไหน)
เพื่อนเราเพิ่งจบโทมาปีสองปี (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ โอชิน) เล่าว่า วันหนึ่งค่ำแล้วฝนตกหนักทุกคนกำลังจะกลับบ้าน แต่เลอะเทอะกันมากเลยกลับมาห้องพักนิสิตปริญญาโทเพื่อหลบฝนและล้างโคลน เพื่อนเราไปล้างโคลนคนเดียวในห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องพัก พอดีไฟดับ เพื่อนเราเลยโผล่ออกมาดูคนอื่นๆ ว่าเป็นไงบ้าง เห็นเงาดำๆ อยู่ห่างออกไปตรงทางเดิน ทำท่าเหมือนกำลังเดินเข้ามาหา เธอดูรูปร่างแล้วเลยเรียกชื่อเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่หุ่นแบบนี้ แต่เงาดำไม่ตอบ และเดินเท่าไหร่ก็ไม่ใกล้เข้ามาสักที แป๊บนึงอยู่ดีๆ เงาดำก็หายไป เพื่อนเราคนนี้ก็เหมือนคนที่แล้ว คือ ไม่ยอมบอกเพื่อน กลัวเพื่อนจะกลัว เดินกลับเข้าห้องไปรวมกลุ่มเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หอหญิง (ตึกดำ)
เพื่อนเราเคยอยู่หอหญิงบอกว่าชั้น 10 เนี่ยดุสุดๆ คืนหนึ่ง ก่อนนอนกลัวว่าจะร้อนเลยเปิดประตูมุ้งลวดให้ลมเข้า คนที่นอนริมในสุดบังเอิญเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกพอดี เล่าว่ากลางดึกอยู่ดีๆ เธอก็ตื่นมา เมื่อมองไปนอกมุ้งลวด เห็นคนคลุมหัวเดินอยู่ ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นเพื่อนที่เป็นมุสลิมในชั้นเดียวกันนั้น แต่ร่างที่ว่าเดินเท่าไรก็ไม่พ้นหน้าห้องซักที เธอเลยรู้ว่าเจอดีเข้าแล้ว ก็เลยคลุมโปงนอนต่อ

ห้องมืด (ห้องล้างฟิลม์) คณะนิเทศศาสตร์ 
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อก่อนมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้แล้วไม่ได้กลับออกมาก เลย มีคนเข้าไปหาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครพบ ได้มีนิสิตรุ่นน้องต่อ ๆ มาเล่าให้ฟังว่า ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกเช่น มีนิสิตได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้ ขณะที่เข้าไปนั้นก็คิดว่าตนนั้นเข้าไปกับเพื่อน ก็มีการพูดคุยกัน แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อน บอกให้หยิบของส่งให้ก็มีคนหยิบส่งให้ แต่พอออกมาเห็นเพื่อนของตนอยู่นอกห้อง จึงได้รู้ว่าตนเข้าคนเดียว แล้วใครล่ะที่เป็นคนหยิบของส่งให้ ยังคงเป็นปริศนาอยู่

บันไดวน คณะเภสัชศาสตร์ 
เป็นบันไดที่ปิดตายไม่ใช้แล้ว มีคนเล่าว่ามีคนเคยเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวตลอดทั้งตัวยืนอยู่ที่บันไดนี้

ห้อง 415 หอพักนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
เล่ากันว่าถ้าหากวันไหนตื่นขึ้นมาตอนดึก ๆ คนที่ตื่นขึ้นมาจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนอยู่ที่ปลายเตียง

ดาดฟ้า ตึกพยาธิวิทยา 
ตอนดึก ๆ หรือตอนเย็น ๆ ใกล้ค่ำ ถ้าหากมีใครขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นคนยืนนุ่งชุดสไบสีขาว

ทางเดินระหว่างตึก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 
ทางเดินที่ว่านี้มีประวัติอยู่ว่า สมัยก่อนมีสามีภรรยานักการของคณะสถาปัตย์ได้ทะเลาะกัน ฝ่ายภรรยาได้เอาปืนยิงสามีจนเสียชีวิต เลือดสาดไปทั่วหน้าห้องทางเดินนี้ ต่อมาเมื่อทางคณะได้มีการปรับปรุงพื้นชั้นหนึ่งได้มีการเทปูนไว้ แต่มีเฉพาะหน้าห้องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมแห้ง ทิ้งไว้นานสักเท่าไรก็ไม่ยอมแห้ง ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่าที่เห็นกันทุกวันนี้

ที่มา http://www.waiza.com/

EP.092 : ผีดุ คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ

เรื่องเล่าที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สี่สิบปีก่อนหน้านั้น ยุคสมัยที่เปิดคณะใหม่ๆ ไฟฟ้าที่คณะฯ จะดับบ่อยมาก ห้องน้ำห้องส้วมจะอยู่ใกล้ๆ กับตึกคณะฯ นิสิตที่คณะฯ ต้องมีการทำภาคนิพนธ์ให้ผ่านการพิจารณาของอาจารย์ จึงจะจบและสำเร็จการศึกษาได้ตามหลักสูตร

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีหลัก สูตรการเรียนห้าปี แต่บางคนเรียนหกปี เจ็ดปี ถึงปีที่เก้าแล้วก็มี เพราะเรียนตกหรือเรียนซ้ำชั้น หรือยังไม่ผ่านภาคนิพนธ์ตามรายวิชาที่กำหนดไว้ ทำให้นิสิตส่วนมากต้องอยู่กันดึกๆ เพื่อทำงานที่คั่งค้างหรืองานที่มอบหมายให้แล้วเสร็จ หรือเพื่อให้เกิดมีไอเดียบรรเจิดในการทำภาคนิพนธ์/แก้ไขภาคนิพนธ์ ส่วนมากมักจะนอนค้างคืนกันที่คณะของมหาวิทยาลัยเป็นประจำ เพื่อทำงานภาคนิพนธ์จนกว่าจะเสร็จ/แก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์


มีวัน หนึ่ง ด้วยความที่ปวดท้องมาก รุ่นพี่คนหนึ่งของคณะสถาปัตย์จึงเดินไปยังห้องน้ำ ทั้งๆที่ไฟฟ้าดับ ไม่มีแสงสว่าง ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เลยเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้พกเทียนหรือไฟฉายไปด้วย เมื่อนั่งลงบนโถส้วม ปรากฎว่านั่งลงบนขาของคนที่นั่งอยู่ในส้วม แกร้องจ๊ากว่า "ผีหลอก" แล้ววิ่งหน้าตื่นกลับเข้าไปที่ห้องทำงาน เพื่อนๆ ต้องช่วยกันปลอบและพัดวีกันอย่างใหญ่ให้หายตกใจ ตกลงว่าแตกตื่นทั้งคณะแล้วรู้กันไปทั่วภายในมหาวิทยาลัย กลายเป็นเรื่องเล่าและตำนานสยองขวัญของมหาวิทยาลัยว่า ผีดุมาก ที่ห้องน้ำคณะสถาปัตย์ฯ

ทำให้ในเวลาต่อมา ภายในคณะสถาปัตย์ฯ การไปห้องน้ำแต่ละครั้งของนิสิตที่ต้องทำงานในกลางคืน จะต้องมีคนไปเป็นเพื่อนประจำตลอดมายิ่งเวลาไฟดับก็ไม่มีใครอยากไปห้องน้ำกัน เลย

เรื่องนี้เพิ่งมาเฉลย ในวันครบรอบสถาปนาของคณะสถาปัตย์ฯ จุฟาฯ ที่ครบรอบมากว่าสี่สิบปีแล้ว มีการจัดงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มีการเล่าเรื่องผีดุของคณะสถาปัตย์ จากรุ่นพี่คนที่นั่งบนขาของผีในห้องน้ำ

จู่ๆ รุ่นน้องคนหนึ่งได้รับสารภาพต่อหน้ารุ่นพี่ที่เจอผีว่ากำลังนั่งอยู่พอดีจะ ลุกขึ้น รู้สึกว่ามีใครเดินเข้ามาในห้องน้ำ กลัวก็กลัว  แต่ไม่กล้าลุกขึ้นและแล้วปรากฏว่ามีคนนั่งลงบนขาของตนเอง แล้วมีเสียงกรีดร้องวิ่งออกจากห้องน้ำไปตนเองแต่งตัวเสร็จ  รีบลุกวิ่งตามออกไปภายหลัง
เห็นว่ารุ่นพี่ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นไปอีก

เมื่อ รู้ความว่า รุ่นพี่ไปแจ้งกับเพื่อนๆ ในคณะฯว่า มีผีหลอกในห้องน้ำของคณะแล้ว ก็ไม่กล้าไปรับสารภาพกับรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ในคณะ เพราะถ้าสารภาพคงถูกรุ่นพี่และเพื่อนๆ ยำแน่ เลยเฉยๆ ไว้ รวมทั้งสะใจที่สร้างตำนานผีหลอกไว้ที่คณะได้ด้วยส่วนหนึ่ง เมื่อได้รับสารภาพเสร็จต่อหน้ารุ่นพี่และเพื่อนๆแล้ว ผลทั้งคู่และผู้ร่วมงานต่างหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน และยกโทษให้ซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างแก่ด้วยกันแล้วทั้งคู่

ที่มา : ต่วยตูน

EP.091 : ซื้อเตียง

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบเดือนแล้ว ที่แจนต้องมานอนที่ ร.พ.นี้ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก แต่พักนี้เริ่มมีคนสงสัยเรื่องเธอกับหัวหน้าขึ้นมาแล้ว พากันหาเรื่องจับผิดอยู่ตลอด จนแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ โดยเฉพาะยัยเมียหัวหน้า ที่เริ่มมาป้วนเปี้ยนในออฟฟิศบ่อยขึ้นทุกที บางวันถึงขนาดทำปิ่นโตมาส่งผัวตอนพักเที่ยง เรียกว่าไม่ต้องออกไปพ้นตัวอาคารกันเลย

เซ็งหนักๆ เข้าแจนเลยหาเรื่องป่วยปวดท้องบ้าง ปวดหัวบ้าง ก็พอดีกับที่สนิทสนมกับหมอที่โรงพยาบาลนี้เป็นอย่างดี แถมยังมีประกันสุขภาพแบบมีรายได้ชดเชยวันหยุดอีก แจนก็เลยได้มานอนกระดิกเท้าเล่นสบายๆ ได้ตามใจ


ร.พ.เอกชนนี่บางทีอยู่สบายหยั่งกะโรงแรม สวย สะอาด แถมมีคนดูแลตลอด กดออดก็วิ่งมาล่ะ แจนคิดพลางกดมือถือแช็ตไลน์คุยเล่นกับเพื่อนๆ พลางถ่าย รูปอัพภาพตัวเองนอนบนเตียงโรงพยาบาลพร้อมเข็มน้ำเกลือ ทำหน้าเพลียๆ ขึ้นอินสตาแกรม พิมพ์ไว้ใต้รูปว่า หน้าโทรมมาก ทั้งที่แต่งหน้าเต็มกรีดอายไลเนอร์คมกริบ

แจนมองรูปตัวเองที่ถ่ายไว้นับพันรูปอย่างพออกพอใจ ธรรมดาของคนสวย เธอคิด ถ่ายมุมไหนก็สวย คิดแล้วเธอก็ตัดใจเลือกรูปหนึ่งที่คิดว่าดูจืดที่สุดแต่ก็ยังสวยน่าทะนุถนอม มาก อัพขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์ หลังจากนั้นก็มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาทักเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหนุ่มๆ ที่แจนกำลังคั่วอยู่ อวยพรให้กำลังใจขอให้หายป่วยไวๆ หลายคนชมว่าขนาดป่วยยังน่ารัก แจนยิ้มพอใจ

สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น แจนตกใจ กลัวจะเป็นเจ้านายกิ๊กของเธอซึ่งขี้หึงมาก จึงรีบปิดเครื่องมือถือแล้วยัดเข้าไปไว้ใต้ที่นอนก่อนที่เขาจะเข้ามา

หลังจากนั้น เมื่อเขากลับไปแล้ว แจนจึงล้วงมือไปดึงมือถือกลับมา แต่ทว่า "เอ๊ะ นี่อะไรน่ะ" เธอคิดเมื่อมือล้วงไปเจอสิ่งอื่นที่มากกว่ามือถือ

แจนค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง แล้วยกเบาะที่นอนดู แล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเงินเหรียญ 10 จำนวนหลายเหรียญกระจายอยู่เต็มพื้นเตียงไปหมด หญิงสาวมองไปทางประตูห้อง เมื่อไม่เห็นใครเข้ามา จึงรีบโกยเงินทั้งหมดนั้นใส่กระเป๋าเหรียญของตัวเอง "ลาภลอยละ" เธอคิดอย่างกระหยิ่ม

เมื่อเพื่อนๆ ของเธอมาเยี่ยมในตอนเย็น เธอก็นำเงินที่ได้มานั้นยื่นให้เพื่อนช่วยไปซื้อขนมและน้ำอัดลมมากินกัน พลางเล่าเรื่องที่เจอเงินให้เพื่อนฟังอย่างร่าเริง

แต่ในกลุ่มเพื่อนเธอคนหนึ่งดูไม่ได้ร่าเริงด้วย แถมยังดูตกใจ "อะไรนะ นี่มึงเอาเงินใต้ที่นอนนั่นมาซื้อของกินเหรอ"

"ก็ใช่น่ะสิวะ โคตรโชคดีเลย" แจนหัวเราะ

เพื่อนคนนั้นหน้าถอดสี รีบวางขนมที่กำลังกินอยู่และลุกขึ้นทันที "อีแจน มึงนี่หาเรื่องแล้ว เงินใต้ที่นอน โรงพยาบาลเขาเอาใส่ไว้ซื้อที่ มึงไม่รู้เหรอ"

"ซื้อที่อะไรวะ" แจนงุนงงกับท่าทีของเพื่อนที่ทำให้เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มตกใจไปด้วย

"เขาซื้อที่จากคนที่ตายบนเตียงคนก่อนๆ ไม่งั้นจะนอนไม่ได้ ยิ่งเตียงไหนมีเงินเยอะแสดงว่าเตียงนั้นเฮี้ยนเลยไม่มีแม่บ้านกล้าเอาเงิน ออก"

แจนใจหายวูบ เย็นสันหลังขึ้นมาทันที แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ "อีบ้า ปากเสียอุตส่าห์ซื้อขนมมาแบ่งกันกินยังมาปากเสียอีก"

เพื่อนคนนั้นรีบควักเงินในกระเป๋าส่งคืนให้แจน "เอาเงินมึงคืนไปเลย กูไม่อยู่ด้วยละ กินเงินซื้อเตียง ซวยชิบหาย"

หลังจากนั้นงานก็กร่อย และคนอื่นๆ ก็ทยอยขอตัวกลับไปจนเหลือแต่แจนคนเดียว หญิงสาวรู้สึกฉุนเพื่อนคนนั้นไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แจนกดออดเรียกพยาบาลให้มาช่วยเธอขยับเสาน้ำเกลือกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แจนขึ้นไปยังไม่ทันเรียบร้อย ก็รู้สึกเหมือนมีใครผลักจนตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง "โอ๊ย!" พยาบาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งตกใจและรีบเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกแจนตวาดหาว่าแกล้งเธอ สรุปแล้วข้อเท้าของแจนบาดเจ็บเพิ่มเติมจนเดินไม่ได้ หมอได้รักษาใส่เฝือกและสั่งให้นอนนิ่งๆ ไม่ให้ลุกไปไหน

"ก็จะลุกไปไหนได้ล่ะสภาพนี้" แจนคร่ำครวญน้ำตาซึม พลางนึกน้อยใจว่าเมื่อเธอเจ็บจริงๆ แล้ว เจ้านายกลับ ไม่มาคอยเฝ้าดูแลเธอบ้างเลย โทร.ไปก็ไม่รับสายไลน์ไปก็บอกว่าติดธุระที่บ้าน น่าน้อยใจจริงๆ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แจนดีใจ รีบหยิบมาดู แต่ปลายทางเป็นเบอร์ไม่ระบุเลขหมาย "ฮัลโหล"

เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงกระซิบกระซาบแหบพร่าแผ่วเบาฟังแทบไม่ได้ศัพท์ของ คนหลายคนคล้ายๆ คำว่า ที่กู ที่กู แจนเข้าใจไปว่าเพื่อนโทร.มาอำเล่น

"ใครวะ อย่าให้กูรู้นะมึง" แจนตะคอกลงไปในโทรศัพท์ แต่แล้วก็ต้องตกใจ สะดุ้งสุดตัวแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เมื่อเสียงจากในโทรศัพท์แผดออกมาดังลั่นห้องว่า "ที่กู!"

แจนมือสั่นตัวสั่นด้วยความกลัว พยายามคลานไปที่ปุ่มกดเรียกพยาบาลที่หัวเตียงเอื้อมมือไปยังไม่ทันถึงก็ รู้สึกได้ว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้าแล้วกระชากอย่างแรงจนตกลงมาหัวฟาดพื้น อย่างแรง ก่อนที่สติจะดับวูบ แจนเห็นร่างเงาดำตะคุ่มใหญ่โตกว่าคนปกติร่างหนึ่งชะโงกลงมาจากเตียง แสยะยิ้มให้หัวเราะชอบใจเสียงก้องกังวานไปทั่วห้อง แล้วพูดว่า "ทีหลังอย่าสะเออะมานอนที่กู"

ที่มา : คอลัมน์ หลอน โดย นทธี ศศิวิมล

EP.090 : โรงพยาบาลผีสิง ซอยอารีย์ กรุงเทพ

โรงพยาบาลผีสิงที่ระยองกำลังเป็นข่าวดังสุดๆ ถึงกับมีคนอยากไปลองของ ท้าพิสูจน์กันมากมาย เพื่อให้เห็นดำเห็นแดงว่ามีผีสิงจริงหรือเปล่า? ถ้ามีจริงจะปรากฏกายให้เห็นหรือไม่?

ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปดูคืนละเป็น ร้อยๆ จนคนเฝ้าต้องเก็บเงินค่าผ่านประตูหัวละ 10 บาท คนอยากรู้อยากเห็นก็ยินยอมจ่ายให้โดยดี พอเห็นเข้าก็สติแตก ร้องไห้โฮก็มี วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงก็มี อาการหนักกว่าเพื่อนถึงกับสลบค่าที่ เมื่อช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ก็รีบกลับไปจุดธูปขอขมาว่าไม่ได้เจตนาลบ หลู่อะไรหรอก เจ้าประคุณเอ๋ย...นอกจากอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ ข่าวสดลงข่าวอื้อฉาว พี่ป๋องออกรายการทางวิทยุ ทีวียกกองไปตั้งกล้องถ่าย ผู้คนสนใจแห่กันมาดูคับคั่ง พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าก็พลอยขายดิบขายดีไปตามๆ กัน


เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อยู่กลางซอยราชครู สนามเป้าเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง

เข้าซอยไปราว 100 เมตรเศษ อยู่ทางซ้ายมือ ด้านหน้ามีรั้วและสนามหน้าตึกสามชั้น รับตรวจรักษาโรคต่างๆ เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป คนไข้ก็เข้าออกกันหนาตา รวมทั้งญาติมิตรที่ไปเยี่ยมคนป่วยต้องนอนโรงพยาบาล

จู่ๆ โรงพยาบาลนี้ก็เลิกกิจการไปโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด


ลือกัน ว่าขาดทุนบ้าง ขาดแพทย์และพยาบาลบ้าง เจ้าที่แรงบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ กลายเป็นโรงพยาบาลร้าง ประตูรั้วปิดตาย ไม่ช้าก็มีเถาไม้เลื้อยพันขึ้นมารกรุงรัง ยามค่ำคืนคนที่ผ่านไปมามองเห็นตึกร้าง มีแต่ความทึบทึมเปล่าเปลี่ยว นอกจากจะเกิดความวังเวงใจแล้วยังรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบไปตามๆ กัน

คน แถวนั้นที่ผ่านไปมาตอนกลางคืน เล่าว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางโหยหวนน่าขนลุกดังมาจากตึกชั้นบน

อาหมู - คนรับเหมาก่อสร้างเดินกลับบ้านมาพร้อมกับเมียชื่อเจ๊แดง บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เยือกเย็นมาจากตึกร้าง พอหันไปมองอย่างลืมตัวก็เห็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่ที่หน้าต่างชั้น 2 เล่นเอาวิ่งแข่งกันเป็นลมพัด...เจ๊แดงจับไข้อยู่หลายวัน สบถสาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านโรงพยาบาลผีสิงตอนกลางคืนอีกต่อไป

น้าวีระ - เซลส์แมนสบถสาบานว่า ขนาดนั่งตุ๊กตุ๊ก เข้าซอยมาแท้ๆ ยังเห็นรถเข็นคนไข้เปล่าๆ แล่นไปมาอยู่หน้าตึกร้าง ไม่มีทั้งคนนั่งและคนเข็น หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนขึ้นทั้งซอย คนขับตุ๊กตุ๊กคงจะเห็นเหมือนกันเลยห้อตะบึงจนเลยทางเข้าบ้าน น้าวีระสั่งจอด พอโดดลงมาคนขับก็บึ่งรถไปโดยไม่แยแสค่าโดยสาร...ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน

ป้าณี - แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่ก้นซอยอารีสัมพันธ์ 1 เล่าว่า ออกไปซื้อของที่ตลาดสะพานควายตอนเช้ามืด พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้างที่ตั้งตะคุ่มอยู่ในความมืดสลัว หันไปมองโดยไม่ตั้งใจก็เห็นไฟสว่างพรึ่บบนชั้น 2 กับชั้น 3 ที่เป็นห้องพักคนไข้ รวดเดียว ป้าณีวิ่งไม่คิดชีวิตไปถึงถนนใหญ่...ตั้งแต่นั้นมาจะไม่ยอมออกไปซื้อของก่อน สว่างเป็นอันขาด

น้าอ้วน - อยู่ใกล้ๆ บ้านป้าณี เป็นสาวโสดฐานะดี มีอาชีพออกเงินกู้ อยู่กับแม่ที่ชรามากแล้ว เจอฤทธิ์เดชของปีศาจโรงพยาบาลร้างรุนแรงยิ่งกว่าทุกคน ขนาดเอาชีวิตเป็นเครื่องสังเวย!

วันนั้น น้าอ้วนไปเก็บดอกเบี้ยไปถึงซอยอารี ซอยสีฟ้า ลูกหนี้ชวนไปดื่มเบียร์ฟังเพลงที่คาเฟ่หน้าโรงหนังนิวยอร์ก...ติดลมจนเกือบ สองยาม ถึงได้เดินเซนิดๆ มาขึ้นแท็กซี่แยกกันกลับบ้าน แทนที่จะเข้า ซอยอารี เลี้ยวซ้ายผ่านโรงแรมมายเฮ้าส์ไปอารีสัมพันธ์ 1 จะได้ไม่ผ่านดงผีดุ แต่กลับเลยไปเข้าทางซอยราชครูจนได้ ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นชวน ให้วังเวงใจ แท็กซี่เจ้ากรรมคันนั้นเกิดเบรกเอี๊ยดที่หน้าประตูรั้วสนิมเขรอะดื้อๆ เล่นเอาน้าอ้วนแทบสร่างเมา ชะโงกหน้าเข้าไปถามว่าจอดที่นี่ทำไม? คำตอบเล่นเอาขนหัวลุกพรึ่บทันที

"ก็รถพยาบาลเขาจะเลี้ยวเข้าไป พี่ไม่เห็นรึ?"

"รถผีสิงน่ะซี..." น้าอ้วนหลุดปากได้แค่นั้นก็ลิ้นแข็ง เบิกตาโพลงบัดดล

นรกเป็นพยาน! รถตู้สีขาวคันหนึ่งกำลังเลี้ยวช้าๆ ผ่านหน้ารถแท็กซี่ แล่นทะลุประตูเหล็กที่มีไม้เลื้อยรุงรังเข้าไปในโรงพยาบาลร้าง...ก่อนจะจาง หายไปต่อหน้าต่อตา

น้าอ้วนร้องด่าอย่างลืมตัว รู้สึกเหมือนมีความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า แท็กซี่ร้องเฮ้ย! เข้าเกียร์ออกรถมือไม้สั่น ขับพรวดพราดไปจอดหน้าซอย บอกว่าไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด เดี๋ยวจะบึ่งตรงไปออกทางคลองประปา น้าอ้วนจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไร้ผล เดินร้องไห้ซมซานมาถึงบ้านก็เป็นลม ไป รุ่งขึ้นเพื่อนบ้านได้ข่าวก็ไปเยี่ยม น้าอ้วนเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังกระท่อนกระแท่น เดี๋ยวหัวเราะร่วน เดี๋ยวก็ร้องไห้โหยหวนเยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน

อีกราว 3-4 วันต่อมา น้าอ้วนก็ผูกคอตายในห้องน้ำชั้นล่าง ไม่มีใครทราบสาเหตุแท้จริงว่าเป็นเพราะอะไรแน่...แต่ก็ลือกันว่าโดนวิญญาณ ร้ายมาเอาชีวิตเพราะปากคอร้ายกาจของแกเอง

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.089 : โรงพยาบาลผีสิง จังหวัดระยอง

"โรงพยาบาลผีสิง" หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง

ขนลุกกันทั้งเมือง "โรงพยาบาลผีสิง" หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง เป็นโรงพยาบาลเก่าที่หยุดกิจการปล่อยให้ร้างมา 3-4 ปี ทิ้งตู้ยาเตียงคนไข้ไว้เกลื่อน ประตูหน้าต่างกระจกแตก ผู้คนที่ผ่านไปมาบางคนเห็นรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา ได้ยินเสียงคนไข้ร้องโหยหวน ทั้งๆ ที่ตึกทั้งตึกไม่มีใครอยู่ รกร้างมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด จนไม่มีใครกล้าผ่าน ขณะเดียวกันก็มีคนเข้าไปพิสูจน์เป็นระยะๆ แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาแทบทุกคน หลายคนบอกถูกตบหัว


เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านร่ำลือกันไปทั่วเมืองระยองว่า มีผีอาละวาดเที่ยวตามหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาจนหวาดผวาไปตามๆ กัน ที่โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.เชิงเนิน อ.เมือง ระยอง ริมถนนสาย 36 โดยเสียงร่ำลือของชาวบ้านบอกว่าเห็นผีเข็นรถคนไข้ไปมาภายในโรงพยาบาล และมีเสียงร้องโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

ห้องดับจิตและโรงอาหาร ทั้งหมดอยู่ในสภาพเก่า
จากการตรวจสอบบริเวณดังกล่าวพบว่า มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ด้านหน้าเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ติดถนนสาย 36 ของโครงการระยองคอมเพล็กซ์ ด้านหลังโครงการมีพื้นที่โล่งเนื่องจากโครงการหยุดชะงัก ห่างจากถนนออกไปประมาณ 1 ก.ม.พบตึก 4 ชั้นขนาดใหญ่ ด้านหน้าเขียนข้อความว่า "โรงพยาบาลเอกชน ศูนย์บริการ 24 ช.ม." มีหญ้ารกปกคลุม สภาพเก่าตัวอาคารมีสีแดง ชั้นล่างเป็นห้องฉุกเฉินที่ยังมีป้ายติดอยู่ ชั้นสองเป็นห้องคอมพิวเตอร์และห้องผู้ป่วย ส่วนชั้นล่างมุมขวาเป็นห้องดับจิตและโรงอาหาร ทั้งหมดอยู่ในสภาพเก่า

นอกจากนี้ตามห้องต่างๆ ยังมีเตียงคนไข้เก่าๆ เรียงรายกระจัดกระจายเต็มไปหมด หน้าต่างทุกบานกระจกแตกไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ เมื่อมองสังเกตเข้าไปด้านในมีรอยคล้ายรอยเลือด 2 กองติดอยู่พื้นผนังหน้าห้องฉุกเฉิน ส่วนห้องดับจิตก็ยังมีตะแกรงวางศพปรากฏให้เห็น ขณะที่ห้องเย็นสำหรับเก็บศพอยู่ติดกับโรงอาหารชั้นล่าง มีสภาพเก่าๆ ทึมๆ สร้างความวิเวกวังเวงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลามีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านมา

เหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการ
นายสุชาติ พฤษศานิตย์ อายุ 40 ปี คนงานที่เฝ้าสถานที่ดังกล่าวเปิดเผยว่า เดิมโรงพยาบาลแห่งนี้ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ก่อนจะหยุดกิจการไป อีกประมาณ 1 ปีต่อมากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในชื่อโรงพยาบาลสุนทรภู่ แต่ละวันมีคนไข้เข้ามาใช้บริการจำนวนมากจนกลายเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของ จังหวัด แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการอีกครั้ง และปิดยาวกลายเป็นอาคารร้างมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ส่วนตนได้รับว่าจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งที่ซื้อตึกนี้ให้ดูแลคอยถางหญ้าถาง ป่าไม่ให้รกรุงรัง

แต่ละวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมากันแทบทุกคน

นายสุชาติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีคนมาบอกว่าที่นี่ผีดุ และโดนหลอกเป็นประจำ แต่ละวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมากันแทบทุกคน ล่าสุดมีนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งเข้ามาพิสูจน์ความจริง และก็วิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาบอกกับตนว่า ถูกตบหัว

"มีชาวบ้านเห็นคนเข็นรถเข็นคนไข้และมีคนไข้เข้าๆ ออกๆ เป็นประจำเหมือนปกติ แต่พอมองดูช้าๆ ชัดๆ ก็กลายเป็นป่าไม้ บางทีก็มองไม่เห็นอะไรเลย บางทีก็มีรถพยาบาลวิ่งเข้าไปข้างใน มีเสียงคนไข้ร้องโหยหวน แต่ผมไม่เคยเจอกับตาเสียที" ผู้ดูแลโรงพยาบาลผีสิง กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่โรงพยาบาลดังกล่าวต้องหยุดกิจการปล่อยให้รกร้างมานาน เนื่องจากมีปัญหาถูกร้องเรียนเรื่องขาดแคลนแพทย์ และการให้บริการ

ที่มา :  http://happy.teenee.com/xfile/ghosthorror/16.html

EP.088 : ผีฆ่าขโมย!

"นายแบน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยผีดุ



ผมเป็นคนย่านบางกรวยนี่เองครับ บ้านอยู่ในตรอกซอยที่มีทางแยกหลายเลี้ยวค่อนข้างจะคดเคี้ยวยอกย้อนเอาการ ตามบ้านช่องส่วนมากมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ตอนกลางวันมีคนเดินคึ่กๆ ก็ให้ร่มเงาดีหรอก แต่พอตกกลางคืนผู้คนชักจะบางตา บรรยากาศกลับดูเยือกเย็น น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

บอกตรงๆ ว่าน่ากลัวทั้งคนทั้งผีแหละครับ!

นับวันบ้านช่องก็ยิ่งแน่นหนา ผู้คนก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน เคยรู้จักกันทั้งย่านมาเหลือแต่ในซอย ต่อมาก็ชักจะเห็นคนแปลกหน้ามากขึ้นทุกที


ขโมยขโจรค่อนข้างชุม บางทีก็เข้าบ้านกลางวันแสกๆ ยิ่งตอนกลางคืนหายห่วงเลยครับ เพราะมีพวกตีนแมวโผล่ออกมาอาละวาด ตัดช่องย่องเบาสารพัด ไม่ว่าจะปีนรั้วหรือดอดเข้าทางหลังคา ขนาดมีหมาปากเปราะคอยเห่าหอนเตือนภัย แต่ไอ้พวกผู้ร้ายใจบาปก็เอาเนื้อคลุกยาเบื่อให้หมากินจนตาย จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการโจรกรรม

บ้านตรงข้ามผมโดนคนร้ายขึ้นบ้าน ลูกสาววัยรุ่นเกิดเปิดประตูออกมาพอดีเลยโดนปลุกปล้ำ หวังจะข่มขืนเป็นกำไรอีกต่างหาก ดีแต่ว่าเด็กสาวขัดขืน ต่อสู้ไม่คิดชีวิตเลยรอดตัวมาได้ ร้องเอะอะโวยวายให้ช่วย ไอ้โจรหื่นเห็นท่าไม่ดีก็กระโจนออกจากบ้านไป

เขาว่าในซอยผีดุนะครับ มีคนเห็นบ่อยๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทั้งผีโดนฆ่า โดนรถชน รวมทั้งฆ่าตัวตายเพราะอกหักมั่ง เจ็บไข้ได้ป่วย ทนทุกข์ทรมานเหลือหลาย เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์พ้นร้อน!

ล่าสุดก็มีสาวใช้ที่บ้านกลางซอย เคยเห็นออกมาเดินหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ แทบไม่ซ้ำหน้า เกิดผูกคอตายที่ต้นไม้ริมรั้วดื้อๆ สาเหตุเพราะท้องไม่มีพ่อ

ป้าเยื้อนกับยายจง คนข้างบ้านกับก้นซอยเคยโดนผีหลอกคล้ายๆ กัน คือเดินผ่านบ้านนั้นตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นตุ๊บ เลยหันขวับไปมองอย่างไม่รู้ตัว...

สาวใช้ที่ผูกคอตายเดือนก่อนน่ะซีครับ ทิ้งตัวลงมาจากกิ่งมะม่วง ห้อยต่องแต่งเห็นตาถลน ลิ้นจุกปาก เล่นเอาคุณป้ากับคุณยายร้องจ้า....วิ่งไปร้องไปจนหมาเห่าเกรียวกราว ผู้คนแตกตื่นกันทั้งซอย โจษขานเรื่องผีดุสาหัสชนิดน่าขนลุกขนพองสิ้นดี!

เจ้าของบ้านทำบุญเลี้ยงพระแล้วนะครับ แต่วิญญาณเธอก็ไม่ไปผุดไปเกิดเสียที...พวกหนุ่มๆ ที่เคยเดินควงกับเธอ มีทั้งพวกขับตุ๊กตุ๊กและวินมอเตอร์ไซค์ ก็ดูเหมือนจะหายหน้าหายตาไปหมดสิ้น...คงกลัวโดนผีหลอกละมั้ง?

ที่หน้าบ้านสาวผุกคอตายนั่นแหละครับ มีซุ้มกระดังงาอยู่ข้างใน เลื้อยขึ้นมาคลุมรั้วข้างๆ ประตู ใบดกหนาดูร่มครึ้ม ตอนเย็นๆ มักมีดอกสีเหลืองอร่ามโผล่ขึ้นที่นั่นที่นี่ ตอนแรกๆ ก็มีเด็กสาวในซอยวนเวียนมาเด็ดดอกกระดังงาที่ยื่นออกมานอกรั้วแบบถือวิสาสะ แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ได้ห้ามหวงอะไร

จนกระทั่งมีสาวใช้ผูกคอตายน่าสยองในรั้วเดียวกัน แถมต้นมะม่วงก็อยู่ใกล้ๆ ซุ้มกระดังงาอีกต่างหาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้โดนผีหลอกน่าขนลุก เด็กสาวๆ ก็เลยไม่กล้ามาข้องแวะแถวนั้นเท่าไหร่ ยกเว้นแต่มากันเป็นพรวนในตอนเย็นๆ ที่มีผู้คนเดินไปเดินมาพอให้อุ่นใจ

วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกโดยไม่นึกฝัน!

เย็นนั้น เด็กสาว 3-4 คนจากปากซอยเข้ามาเดินเล่น หัวเราะต่อกระซิกจนโดนวัยโจ๋ร้องแซวคึกคะนอง แต่พวกเธอไม่แยแส เดินไปที่ซุ้มกระดังงาดอกเหลืองอร่าม อยู่ค่อนข้างสูงเพราะดอกใกล้ๆ มือโดนเด็ดไปจนเกลี้ยงแล้ว

มีการกระโดดขึ้นไปคว้าเอาดื้อๆ ผิดมั่งถูกมั่ง หัวเราะคิกคักยั่วหนุ่มไปตามๆ กัน

จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดว้าย ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนอื่นๆ เพราะใบกระดังงาแหวกพรวด ใบหน้าขาววอกของผู้หญิงโผล่ออกมายิ้มแป้น...สาวใช้ที่ผูกคอตายนั่นแหละครับ!

"ว้ายๆๆ" เสียงร้องเหมือนเกิดไฟไหม้ สาววัยรุ่นกลุ่มนั้นผงะหน้าก่อนจะเผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทางพลางร้องว่า "ช่วยด้วยๆ ผีหลอกๆๆ ผีหลอกแล้วโว้ย"

คนที่เดินผ่านไปมาวิ่งมาดูแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากยอดมะม่วงไหวซ่าน่ากลัวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดแม้แต่น้อยนิด

คืนนั้นเองที่เกิดเรื่องสยองขวัญสุดขีดขึ้นมา!

ผู้คนเหน็ดเหนื่อยจากการงาน ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขารมณ์ ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็นของรัตติกาล...เสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุม พุ่มไม้ เคล้ากับเสียงหมาหอนเบาๆเหมือนจะเกิดความวังเวงใจเหลือประมาณ

ทันใดนั้น เสียงแผดร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดสุดขีดก็ดังลั่นไปทั้งซอย ผู้คนสะดุ้งตื่น...ไม่ช้าก็ทยอยกันโผล่ออกมาดูเหตุการณ์ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ พี่ส่ง-คนข้างบ้านหันมาบอกผมว่า...ลองแหงนหน้าขึ้นไปดูฝั่งโน้นหน่อย ใครขึ้นอยู่บนต้นมะม่วงน่ะ?

พวกเรา 3-4 คนหับขวับ...เสียงใครร้องเฮ้ย! ผมเองก็ม่านตาพร่าพรายไปถนัดเมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ที่กิ่งมะม่วงอันเคยมีสายใช้ผูกคอตายนั่นเอง ร่างของชายคนหนึ่งห้อยโตงเตงอยู่ที่นั่น! ปรากฏว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะสิ้นใจไปหยกๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดจึงอุตริปีนเข้าไปผูกคอตายด้วยเชือกป่านที่นั่น?

สันนิษฐานว่าคงจะเป็นหัวขโมยที่โดนอิทธิฤทธิ์ปีศาจเล่นงานหนักหน่วงจนถึง แก่ความตายแน่นอน...เจ้าของบ้านทนไม่ไหวต้องขายบ้านหนีก็แล้วกันครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.087 : ห้องผีสิง

"ปูเป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปนอนในห้องที่มีการฆาตกรรม



ห้องที่เจ้าของบ้านจัดให้ดิฉันอยู่นี้ เป็นห้องที่มีผีสิง!

ดิฉันเคยเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่มีความจำเป็นบางประการที่ทำให้ต้องลาออก แล้วกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ราชบุรี บ้านของดิฉันเอง ซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำมานานยี่สิบกว่าปี ตั้งแต่ดิฉันยังแบเบาะโน่นแน่ะค่ะ


เมื่อปีที่แล้ว ผู้มีพระคุณของครอบครัวเราเรียกใช้ให้ดิฉันไปสอนพิเศษให้หลานๆ ของท่าน คือลูกของลูกสาวท่านน่ะค่ะ ลูกสาวท่านชื่อคุณกิ่งแก้ว มีบ้านอยู่ที่พุทธมณฑล เธอมีลูกสาว 2 คนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ชื่อน้องกุ้งกับน้องกั้ง อายุ 5 ขวบ กับ 7 ขวบ งานของดิฉันคือไปสอนการบ้านและทบทวนวิชา น้องๆ จะได้เรียนเก่งๆ

ทุกๆ วันศุกร์ตอนบ่ายๆ ดิฉันจะขับรถจากราชบุรีมาที่พุทธมณฑล และค้างคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ กลับราชบุรีเย็นวันอาทิตย์ ใช้เวลาอยู่กับน้องกุ้งน้องกั้งเต็มที่ ดูๆ แล้วก็เหมือนครูกึ่งพี่เลี้ยง คือทั้งสองทั้งไปเที่ยวด้วย และคอยดูแลตลอดสุดสัปดาห์ โดยคุณกิ่งแก้วให้ดิฉันนอนในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่เรือนคนใช้

เรือนคนใช้ที่ว่านี้ ดิฉันก็เรียกให้โก้ๆ ไปยังงั้นเอง...ที่จริงมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน แต่สร้างยื่นออกมาข้างๆ ต่อจากห้องครัว ลักษณะคล้ายห้องแถวมี 3 ห้อง

ห้องหนึ่งนั้นมีป้านวลคนรับใช้และนง-คนเลี้ยงเด็กนอนอยู่ด้วยกัน ห้องตรงกลางใช้เป็นที่รีดเสื้อผ้า และห้องริมสุดปล่อยว่างไว้เฉยๆ ดิฉันนอนห้องนั้นละค่ะ มีเตียงมีตู้พร้อมสรรพ ลักษณะเหมือนเคยมีคนอยู่ที่นี่มาก่อน แต่พอถามป้านวลกับนง ทั้งคู่ก็ไม่ทราบเพราะพวกเขาเพิ่งมาทำงานกับคุณกิ่งแก้วได้แค่ 4 ปี

พอมาถึงห้องนี้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว...

คนใช้รุ่นก่อนหน้าป้านวลนั้นลาออกไปหมดแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วบอกว่าไปแต่งงานบ้าง ไปทำงานโรงงานบ้าง ดิฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ขอบอกตรงๆ ว่า ตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนดิฉันก็เริ่มรู้สึกพิกลๆ มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก!

ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ เพียงแต่หวาดๆ และไม่ชอบอยู่ในที่ที่ทำให้เราต้องคอยหวาดระแวง...ห้องนี้ก็เหมือนกันค่ะ

ทีแรกดิฉันคิดว่าเป็นรอยเปื้อนสีน้ำตาลบนผนังหัวเตียง มันเหมือนเลือดที่สาดกระเซ็นเป็นฝอย ดิฉันเอาฟองน้ำจุ่มน้ำยาล้างจานมาเช็ดๆ มันก็ไม่ออก...ช่างมัน! ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันไม่ใช่คนคิดมาก

รอยเปื้อนสีน้ำตาลยังไม่น่าสนใจเท่าอาการปวดต้นคออย่างน่ารำคาญ ซึ่งเกิดทุกครั้งที่ดิฉันใกล้จะเคลิ้มหลับ มันปวดคล้ายๆ ใครเอาอะไรมาสับ...ดิฉันถึงกับลุกขึ้นนั่งในความมืด เอามือนวดต้นคอ พอล้มตัวลงนอนก็เป็นอีก...ทีแรกนึกว่าเป็นเพราะความเครียด แต่เมื่อมันเกิดบ่อยครั้งเข้า ดิฉันก็พยายามคิดหาสาเหตุ...แน่ละค่ะ! ไม่ใช่เพราะความนุ่มความแข็งของหมอน ดิฉันนอนสบายดี แต่จะปวดต้นคอหนึบชาขึ้นมาทุกครั้งที่ใกล้จะหลับ

มันเหมือนมีใครพยายามจะมาบอกอะไรบางอย่าง...

ใครบางคนกำลังแสดงให้ดิฉันดูว่า เขาตายอย่างไร!

นั่นเป็นสิ่งที่แล่นเข้ามาในสมอง ตอนที่ดิฉันกำลังครุ่นคิดว่าอาการปวดมันเกิดจากอะไร? และมันแปลกมากที่ดิฉันเริ่มแน่ใจว่าห้องนี้มีคนตาย! ห้องนี้เคยมีการฆาตกรรม!!

ดิฉันไม่ใช่คนเก็บความสงสัยไว้กับตัวให้ปวดสมองหรอกค่ะ วันหนึ่งเมื่ออยู่ตามลำพังกับคุณกิ่งแก้ว ก็เลยมีโอกาสถามเธอ คุณกิ่งแก้วทำตาดุเชียว บอกว่ามันเป็นเรื่องไม่น่าพูดถึงและขอร้องดิฉันว่าอย่าพูดให้ป้านวลกับนงรู้ เป็นอันขาด

บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของคุณกิ่งแก้วเอง อุตส่าห์ปลูกอุตส่าห์สร้าง เก็บเงินเก็บทองกันสองคนกับสามี เป็นบ้านที่เธอรักและผูกพันมาก แต่พออยู่อาศัยมาได้ 5 เดือนก็เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น...

ตอนนั้นคุณกิ่งแก้วยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เธอมีสาวใช้ชื่อดาวเป็นสาวสวย คืนหนึ่งคุณกิ่งแก้วกับสามีไปต่างจังหวัด ดาวแอบพาแฟนเข้ามานอนในห้องนี้ ทั้งคู่เกิดทะเลาะกัน ฝ่ายชายใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะเธอเลือดกระจาย เขาตีเธอซ้ำที่ต้นคออย่างแรง ทำให้กระดูกคอหักทันที

ดาวตายในห้องนี้ แฟนเธอก็หนีไปไหนไม่รอด...เรื่องนี้เกิดมาตั้ง 8 ปีแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วนิมนต์พระมาสวดมนต์ ทำบุญบ้านใหม่เรียบร้อย แต่คนรับใช้คนอื่นๆ ก็ขอลาออกไปหมดเพราะกลัวผีของสาวดาว

คุณกิ่งแก้วบอกดิฉันว่า เธอไม่คิดว่าวิญญาณของดาวจะยังสิงสู่อยู่ห้องนี้ เธอน่าจะไปผุดไปเกิดตั้งนานแล้ว!

คิดดูก็แปลก ที่เมื่อตอนที่ป้านวลมาเป็นลูกจ้างใหม่ๆ พร้อมกับนงนั้น ทั้งคู่ไม่เลือกห้องที่เกิดเหตุ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย พวกเธอกลับขอไปนอนด้วยกันในห้องที่ห่างออกไป ป้านวลเคยนอนห้องนี้ แต่ก็บ่นเช่นเดียวกับดิฉันว่าอึดอัดและปวดเมื่อย...โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้น คอ

จริงๆ แล้ว วิญญาณของดาวไม่เคยปรากฏเป็นตัวเป็นตน ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ แต่ถ้าใครได้เดินเข้าไปในห้องนั้น จะรู้ว่ามันเศร้าและหดหู่มาก เหมือนมีใครพยายามจะบอกอะไรกับเรา แต่ทำไม่ได้เพราะอยู่คนละมิติ...

ในที่สุด คุณกิ่งแก้วก็ให้ดิฉันเข้ามานอนในบ้าน ในห้องนอนที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ ซึ่งตอนนี้เด็กทั้งสองนอนกับพ่อแม่ ห้องนั้นก็ว่างอยู่

ห้องที่ดาวตายทิ้งไว้เป็นห้องเก็บของ ป้านวลกับนงยังไม่รู้ ถึงแม้จะมาอ่านคอลัมน์ขนหัวลุกนี้ เพราะดิฉันเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและสถานที่จริงค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.086 : ผีเด็กพเนจร

"กอฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีเด็กมาเล่นด้วย



ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นมาจากไหน? ตามผมมาได้ยังไง? แถมมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมทำไม? รู้แต่แกไม่ใช่มนุษย์มนาอย่างเรา แน่นอน...แกเป็นผีครับ! บางคืนแกยังคึกนึกสนุกพาเพื่อนมาอีกเป็นฝูง...ผีล้วนๆ เลย!

ฟังดูเหมือนผมโม้ใช่มั้ย? แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ


ผมชื่อกอฟ อายุ 31 ปี อยู่มหาวิทยาลัยปี 4 จบปีนี้ละครับ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านแถวประดิพัทธ ใกล้ๆ สะพานควายนี่เอง บ้านผมไม่เคยมีผีสิงเลย เราอยู่กันแสนสบาย ผมมีน้องสาวอีกคน กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

คืนหนึ่ง ผมดูหนังสือสอบอยู่ในห้องนอน เปิดไฟกลางห้องสว่างจ้า ทันใดนั้นผมเห็นหัวเด็กโผล่แว้บๆ อยู่ปลายเตียง คือตอนนั้นผมนั่งพิงหัวเตียงไงครับ ตามองหนังสือ แต่หางตาเห็นสิ่งประหลาดสิ่งนั้น ผมเหลือบมอง หัวนั้นก็ผลุบลงไป

เอ๊ะ! มันอะไรกันเนี่ย?

ทีแรกคิดว่าตัวเองคงตาลาย หรือไม่ก็อาจเป็นหนูที่ไต่ลงมาตามท่อแอร์ ถ้าเป็นหนูล่ะก็มันจะต้องตัวใหญ่เกือบเท่าแมวเชียว ใจนึกถึงกาวดักหนูทันที แต่ตอนนี้ผมคว้านิตยสารม้วนเป็นท่อนกลมๆ ขณะคลานไปชะโงกมองตรงปลายเตียง

ไม่มีอะไรเลยครับ มันว่างเปล่า สงสัยสมองจะเล่นกลกับสายตาซะละมั้ง?

พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ถือโอกาสพักสายตาทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง เอนศีรษะพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลง

แต่แล้วก็ต้องลืมตาตื่นทันที เพราะเตียงไหวยวบเหมือนมีอะไรบางอย่างโดดขึ้นมา...แผ่นดินไหวรึเปล่าหว่า?

ปรากฏว่า ตรงปลายเตียงเป็นรอยบุ๋มลงไปจริงๆ

ท่าจะไม่ได้การละ ผมนึกถึงคำว่า "ผี" ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่งจ้องอย่างใจระทึกว่า จะมีการสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีกเป็นรายการต่อไป? ผลุนผลันจวนตัวเข้าจะเผ่นอีท่าไหน? เอ...นั่งรออยู่นานก็ไม่มี

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับผีเด็กตนนี้!

สรุปว่าคืนนั้นผมนอนหลับ แต่กว่าจะหลับได้ก็นานเชียวละ มันระแวงนี่ครับ ถึงยังไงตอนเช้าก็ไปมหาวิทยาลัยและสอบได้ไม่ติดขัด นี่คือผลของการได้เรียนวิชาที่ชอบมาก...วิชาจิตวิทยาครับ ผมได้คะแนนเต็มทุกที

คืนต่อมา ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำในตู้เย็น ตอนนั้นห้าทุ่มกว่า เจ้ากล้วยน้องผมคงหลับฝันหวานไปนานแล้ว พ่อกับแม่ยังดูทีวีอยู่ในห้องนอน ผมได้ยินเสียงลอดลงมา

ส่วน "สาวมอน" สาวใช้จอมแก่นก็คงดูรายการภาคดึกอยู่ในห้องคนรับใช้ ไอ้เจ้านี่นอนดึกครับ มันติดทีวีหนักเชียวละ แต่ทำงานบ้านได้ดีมาก...เรื่องนี้เลยต้องยอมปล่อยมันมั่ง

เอาอีกแล้ว ผมกำลังเปิดสวิตช์ไฟในห้องรับแขก จังหวะที่ไฟสว่างพรึ่บ ผมหวิดสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กผู้ชายอายุราว 5-6 ขวบ วิ่งหายแว่บไปทางประตูด้านหลัง ที่จะเปิดไปห้องของมอน

แต่ภาพที่เห็นมันผิดธรรมชาติครับ

นั่นคือ ร่างนั้นผลุบหายทะลุผ่านฝาบ้านออกไป เล่นเอาผมหน้าชาเห่อ ขนลุกเกรียวไปหมด ยืนยันเลยว่าคราวนี้ผมไม่ได้ตาฝาด ร่างนั้นแต่งชุดคล้ายๆ นักเรียนอนุบาล หัวก็กลมทุย ท่าทางซน...เอ พูดอีกทีก็เฮี้ยนน่าดู

ผมขนลุกไม่เสร็จ รีบหยิบขวดน้ำในตู้เย็นเดินกลับขึ้นห้อง ไฟก็ทิ้งให้สว่างไว้อย่างนั้น ไม่ต้องปิดแล้ว เสียวสันหลังอย่าบอกใครเชียว

รุ่งเช้า...ตามฟอร์ม พ่อบ่นเรื่องไฟชั้นล่างที่เปิดทิ้งไว้ ผมเลยได้จังหวะเล่าให้ฟังว่า เห็นเด็กลึกลับวิ่งหายวับไปทางกำแพง พ่อบอกว่าผมดูหนังสยองขวัญมากเกินไป แม่ถือแก้วน้ำส้มค้าง ส่วนเจ้ากล้วยทำท่ากระตือรือร้นเต็มที่

อ้อ! มันชอบฟังเรื่องผีครับ ฟังแล้วเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นขนหัวลุกเล่นๆ ไง!

ผีเด็กตนนี้มาให้ผมเห็นทุกวัน แกสามารถโผล่ขึ้นมาได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ตอนผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมยังเห็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆตนนี้เลยครับ

ไม่ได้เห็นเต็มตา แต่แว่บไปแว่บมาให้รู้ว่า...หนูอยู่ที่นี่นะจ๊ะ อิ อิ อิ!

ไปๆ มาๆ ผมก็ชักชินซะแล้วสิ

ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่ถึงกับกลัวจนสยดสยองอะไร แค่แปลกใจ รู้สึกประหลาดดี เดี๋ยวๆ ก็มาอีกแล้ว แกมาให้เห็น แต่ไม่ได้มาหลอกหลอน ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นนะครับ

กระทั่งคืนหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมรู้สึกถูกผีอำ เป็นผีเด็กมานั่งบนพุงผม ขณะที่เด็กอีกเป็นสิบวิ่งเล่นเอะอะเจี๊ยวจ๊าวรอบๆ เตียงผม เหมือนกลายเป็นสนามเด็กเล่นงั้นแหละเอ้า!

ไม่ไหวละครับ งานนี้...

ผมเกิดกลัวแล้วละสิ เพราะผีเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผมได้ แม่เลยพาผมไปทำสังฆทาน เออ...จริงสิ ผีอาจมาขอส่วนบุญ! แต่จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผีเด็กนี้เป็นใคร? ตามผมมาทำไม?

ตั้งแต่ทำบุญให้แกก็หายจ้อยไปเลย อาจจะสำนึกผิดหรืออิ่มบุญแล้วก็ได้ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.085 : ศาลริมคลอง

"ป้าเลื่อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางหว้า



สมัยสาวๆ ป้าอยู่คลองบางหว้า ธนบุรี พวกผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านเคยพูดกันว่า "ไกลปืนเที่ยง" เอาการ เพราะในพระนครจะมีการยิงปืนบอกเวลา 12.00 นาฬิกา หรือเที่ยงตรง แต่บอกตามตรงว่าป้ากับเพื่อนๆ น่ะไม่มีใครเคยได้ยินหรอกค่ะ

เนื่องจากเราเล่นน้ำกันตูมๆ จนตัวไม่แห้ง เหมือนชาติก่อนเป็นปลา! ถ้าไม่มีแม่มาตะโกนเรียกพร้อมกับถือไม้เรียวกำกับก็อย่าหวังเลยว่าจะยอมขึ้นกันง่ายๆ ตอนนั้นอายุ 12-13 แล้วนะคะ แต่กระโดดน้ำตูมๆ กับเด็กผู้ชายจนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

 ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง

อ้อ! พวกเพื่อนๆ ป้าน่ะ บางคนก็มีหน้าอกแล้ว แต่ยังแก้ผ้าโดดน้ำกันตูมๆ แถมไม่ค่อยชอบนุ่งผ้านุ่งผ่อนอีกต่างหาก โดนพ่อแม่เอ็ดตะโรเข้าก็คว้าผ้านุ่งมาพันกายอย่างเสียไม่ได้ ปล่อยหน้าอกหน้าใจรับแดดรับลมตามใจชอบ...สมัยนี้ต้องบอกว่า อิสรเสรีเหลืออื่นใด

ยกเว้นแต่บางคนที่ความเป็นสาวมันชักจะตู้มๆ เตะตาขึ้นทุกที พวกแม่ๆ ก็จะคว้าไม้เรียวมากระหนาบบนตลิ่ง ร้องว่า...มึงโตเป็นกาบปูเลแล้วยังไม่รู้จักนุ่งผ้าอาบน้ำ ไม่อับอายผีสางเทวดา เดี๋ยวเงือกหงอนก็มาลักเอาไปทำเมียอยู่ใต้น้ำเท่านั้นเอง!

มีการวี้ดว้ายกันพอสมควร ผู้ใหญ่ส่ายหน้า บอกว่ากระแดะมาก

การเล่นน้ำของพวกเรามีเรื่องสนุกๆ หลายอย่าง ทั้งเล่นไล่จับ เอาเถิด หมาเน่าลอยน้ำ ใช้ผ้านุ่งทำโปงแล้วลอยตะลุบตุ๊บป่องไปเรื่อยๆ พอโปงแตกทีก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาที...เพื่อนๆ ก็จะหัวเราะลั่นไปทั้งคุ้งน้ำเชียว

พวกเด็กผู้ชายเล่นอะไรกัน พวกเราก็เล่นไอ้นั่น จำได้ว่าเพื่อนป้าสองคนชื่อนังเปียกับนังแหวนแก่นแก้วที่สุดในกลุ่ม แม่ยิ่งดุมันยิ่งซุกซนเป็นลิงเป็นค่างขึ้นทุกที

เล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกันก็มีค่ะ

ข้างตลิ่งที่เลยหาดไปหน่อยมีต้นมะขามโค่นลงน้ำแต่ปีก่อน กลายเป็นสะพานให้เราไปวิ่งไปโดดน้ำมั่ง เหนื่อยขึ้นมาก็ว่ายไปเกาะกิ่งไม้ลุ่นๆ บางทีก็โหนตัวขึ้นไปนั่งแกว่งขาเล่นในน้ำ...หนักเข้าก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับวิ่งไปกระโดดน้ำเพื่อแข่งกันว่ายไปที่ฝั่งตรงข้าม ราว 20 เมตรเห็นจะได้ แต่สำหรับเด็กๆ ก็ไกลโขแล้วนะคะ

ฝั่งโน้นยังเป็นสวนเปลี่ยว มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม บ้านช่องก็อยู่ลึกเข้าไป แถมปลูกอยู่ห่างๆ กัน

ที่นั่นมีหาดแคบๆ กับพงอ้อกอหญ้าดกหนา เว้าๆ แหว่งๆ อยู่ตามชายน้ำ เหมาะจะเล่นซ่อนหาชะมัดเลย...เสียแต่มีศาลไม้เก่าๆ โดดเด่นอยู่เหนือตลิ่ง เห็นผ้าเหลืองผ้าแดงขาดๆ ห้อยพันรุ่งริ่ง...บางเย็นก็ได้กลิ่นธูปหอมกรุ่นลอยมาเข้าจมูกด้วยค่ะ

พวกผู้ใหญ่เล่ากันว่า เด็กผู้หญิงฝั่งโน้นตกน้ำตายมาสิบกว่าปีแล้ว พ่อแม่ยังรักอาลัยก็ตั้งศาลไว้ให้อยู่ แหม! ป้ากลัวผีเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ไม่กลัว แต่เราไปถึงก็เงยหน้าขึ้นยกมือไหว้ เป็นการขอขมาลาโทษไว้ก่อน

มีคนเห็นเด็กผู้หญิงที่ว่ายืนอยู่หน้าศาลตอนเย็นๆ บางทีก็ลงมาเดินเล่นที่ชายหาดเหงาๆ น่าสงสารเหลือเกิน

บางวันขึ้นจากน้ำหนาวๆ ไปนั่งพัก ป้ายังเคยเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงโผล่ออกมาจากข้างศาล มองเราอายๆ เหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าเด็กแถวนั้นอยากจะมาเล่นน้ำกับเรา แต่พอเห็นหัวจุกกับหน้าซีดๆ ตาดำขลับ เกิดรู้สึกขนลุกซ่าที่ต้นคอกับตามท่อนแขน...อ้าปากค้างยืนตัวแข็งเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน...

เข่าอ่อนจนต้องนั่งแผละ ใจเต้นตึ้กๆ เหมือนจะพังออกมานอกอกยังงั้นแหละค่ะ!

พวกเด็กผู้ชายนำโดยเจ้าเก่งกับปื๊ด ชอบชวนเพื่อนๆ มาอวดศักดาว่าว่ายน้ำเร็วกว่าพวกเรา แน่ละซีคะ! เด็กผู้หญิงจะว่ายน้ำสู้ได้ยังไง แถมขึ้นฝั่งส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรเยาะเย้ยเราจนน่าโมโห...ป้าเจ็บใจจนต้องนึกหาทางแก้เผ็ดเอาจนได้

เย็นนั้น เรากำลังเล่นน้ำกันอยู่ดีๆ ก็มีตัวป่วนมากวนอารมณ์อีกแล้ว ป้าเลยชวนเพื่อนๆ ว่ายไปฝั่งโน้น พอถึงก็รีบแอบตามหลังเนินดินกับพงอ้อกอหญ้าสูงๆ ไม่ให้พวกเจ้าเก่งเจ้าปื๊ดมาเจอตัวเอาง่ายๆ

"เฮ้ย! พวกผู้หญิงไปไหนหมดวะ? สงสัยมันจะเล่นซ่อนแอบให้พวกเราหาละมั้ง? ไปหากันโว้ย!"

ขาดเสียง ลมกลุ่มใหญ่ก็พัดฮือมาจากบนตลิ่ง เย็นยะเยือกจับใจ ก่อนจะกลายเป็นเสียงซ่า...เคล้ากับเสียงคลื่นในคลองที่ทยอยเข้ากระทบฝั่ง เกิดเสียงน่าง่วงงุนบอกไม่ถูก

"ฉันอยู่นี่..." เสียงเย็นๆ ดังวู่หวิวมาเข้าหู...เอ๊ะ! เสียงใคร? ป้านึกขณะที่เจ้าเก่งโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา ป้าหลบเข้ากับเนินดินที่มีทางคดเคี้ยว ค่อนข้างชันไปสู่บนตลิ่ง...เจ้าเก่งแหงนหน้ามองแล้วหัวเราะชอบใจ

"โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะแอบอยู่ที่ไหนซะอีก ที่แท้ก็..." เสียงนั้นขาดหาย เจ้าเก่งย่นคิ้วเอียงคอมอง ป้าก็มองตามสายตาของมันไป...อุ๊ย! เด็กผมจุกหน้าขาวๆ โผล่ออกยืนที่ข้างศาลในชุดตุ๊กตาชาววัง เสื้อผ้าแดงสด ทาปากแดงแก้มแดง มองลงมาตาแป๋วเชียว

"ขอเล่นด้วยคนได้มั้ยยย..." เสียงเย็นๆ จากปากยิ้มแป้นดูน่ารักดีหรอก แต่ทำไมรูปร่างเธอสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเลยหลังคาศาล...เจ้าเก่งร้องเฮ้ย! หงายหลังตึง กลิ้งหลุนเป็นลูกขนุนพลางร้องจ้าไม่ขาดเสียง ป้าเองก็หันขวับ กระโจนลงน้ำไม่คิดชีวิต แว่วเสียงเจ้าเก่งร้องโหวกโหวยตามหลัง...รอด้วย! รอกูด้วย...

เรื่องอะไรจะรอให้โง่! ไม่ใช่เสียงเจ้าเก่งร้องอย่างเดียวนี่คะ มีเสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังมาอีกต่างหาก...กว่าจะข้ามฝั่งมาได้ก็เหนื่อยแทบขาดใจ อย่าว่าแต่พวกเด็กผู้ชายเลยค่ะ พวกเราเองก็ไม่มีใครกล้าข้ามฟากอีกเลยตั้งแต่นั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

EP.084 : ปีศาจหมาดำ!

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางบอน

ถ้าจะพูดถึงเรื่องโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งละครับที่ไม่ได้น้อย หน้าใคร เพราะโดนผีหลอกมาสาหัส ไม่ว่าในกรุงเทพฯ ธนบุรี ไปยันต่างจังหวัดอย่างราชบุรีหรือปราจีนบุรี...กินแดนไปถึงภาคอีสานคือจังหวัดกาฬสินธุ์โน่นแน่ะคุณ



เดี๋ยวจะว่าเพ้อเจ้อยืดยาวไม่เข้าเรื่อง ผมขอเล่าเรื่องผีที่เคยเจอะเจอมาตอนสมัยหนุ่มๆ ก่อนละกัน!

ตอนนั้นผมอยู่แถวบางบอน นับเวลาก็ 20 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นถนนหนทางยังไม่ตัดปรูดปราดให้รถราแล่นปรื๋อเหมือนอย่างตอนนี้หรอก ลึกเข้าไปมีแต่เรือกสวนไร่นา บ้านช่องก็ยังอยู่ห่างๆ กัน จะชวนเพื่อนฝูงไปเที่ยวก็ต้องนัดแนะ ร้องเน้อ...ให้มาเจอะเจอกัน เรียกว่ายังเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจเอาการ

ผู้คนยังน้อย ภูตผีก็ยังเยอะแยะเป็นธรรมดา


พวกเราจะไปไหนมาไหนต้องอาศัยเรือเป็นหลักใหญ่ จะหาปลาหรือเก็บผักไปขายที่บางแคก็ต้องพายเรือกันไป...ผมโดนผีหลอกจังๆ ทั้งทางบกทางน้ำ บอกไม่เชื่อ! ไม่ขาดใจตายไปซะตั้งแต่นั้นก็ถือว่าเป็นบุญกุศลเต็มที

สาเหตุที่โดนผีหลอกบนบกก็ตอนที่ผมริอ่านออกไปเที่ยวตอนกลางคืนน่ะซีครับ!

ทางการเพิ่งจะเริ่มต้นตัดถนน พวกเราเคยไปรับจ้างเขาเหมือนกัน...ช่วยกันขุดดินขึ้นมาถมตามคำสั่งหัวหน้า เรียกกันว่า "แทงดิน" เฮๆ จนได้บ่อใหญ่ๆ ข้างทางหลายบ่อ เราเรียกกันว่า "บ่อหลา" กลางวันก็เห็นดอกรักสวยๆ น่าเก็บไปฝากสาว แต่กลางคืนมันตะคุ่มๆ ดูเร้นลับยังไงชอบกล

มีเนินดินค่อนข้างสูงอยู่ใกล้ๆ ดงรักก็ขึ้นสะพรั่งอยู่เต็มเนินเช่นกัน

อ้อ! ตอนไปเที่ยวน่ะไปด้วยกันนะครับ มีทั้งหนังและลิเก ไหนจะการพนันขันต่อสารพัดอย่าง แต่พวกผมยังวัยรุ่นเลยชอบดูหนังกับเกี้ยวสาวมากกว่าจะสนใจไฮโลหรือน้ำเต้าปูปลาเหมือนอย่างพวกรุ่นใหญ่เขา

ขากลับน่ะต่างคนต่างกลับ ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรเห็นจะได้ ย่ำต๊อกตอนดึกดื่น มีดาบขัดหลังเล่มเดียวก็ถมเถไป วัยคะนองทำให้ฮึกเหิมน่าดู

คืนหนึ่งผมก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

คืนนั้นเดินกลับบ้านราวสองยามเห็นจะได้ ช่วงที่ออกจากหลังตลาดยังมีผู้คนให้เห็นพอสมควร แต่เดินๆ ไปก็หายไปทีละคนสองคน ความที่เคยชินก็ไม่คิดอะไรมาก เดินดุ่มๆ กลับบ้านตามทางเปลี่ยว อาศัยแสงดาวสะพรั่งฟ้าก็เหลือแหล่แล้วครับ

ไม่ช้าก็ถึงบ่อหลาที่เราแทงดินขึ้นมาหลายวัน สายลมพัดโชยมาจากทุ่งกว้างไม่ขาดสาย เสียงแมลงกลางคืนพร่ำเพรียกอยู่ตามกอหญ้า พอเราเดินใกล้เข้าไปมันก็เงียบเสียง ก่อนจะกรีดปีกขึ้นใหม่เมื่อเดินคล้อยหลัง

มีอะไรบางอย่างแตกต่างกว่าคืนก่อนๆ ตรงที่รู้สึกเหมือนมีใครเดินตามมาข้างหลังแต่เมื่อหันขวับไปมองก็ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว!

ตอนนั้นบอกตัวเองว่า ช่างมัน! ถ้าเป็นผีก็อยากรู้ว่ามันจะหลอกยังไง?

ทันใดนั้นเอง ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหน้า มองเห็นเข้าก็ต้องชะงักกึก หน้าตาชาวูบวาบทันที เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แต่ปากคอแห้งผากเหมือนจะกลายเป็นผุยผง...ตวัดมือไปแตะด้ามดาบไม่รู้ตัว

หมาดำตัวมหึมา ใหญ่โตเกือบเท่าลูกม้าเห็นจะได้ มันยืนจังก้าอยู่บนโลก...หรือเนินดินสูงๆ ข้างทางนั่น...ตัวมันใหญ่โตจนเล่นเอาตะลึงไป แถมจ้องมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าราวกับแสงไฟ คล้ายจะมีเสียงคำรามขู่ขวัญดังฮื่อๆ มาด้วย

"ผีหลอกแน่แล้ว!" ผมบอกตัวเองอย่างแน่ใจ "หมาบ้าบอที่ไหนจะตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ นอกจากหมาผี"

ไม่รู้ว่ากลัวจนกลายเป็นความบ้าบิ่นหรือเปล่า? ผมยืนจ้องมองมันแทบไม่กะพริบตา...หมาจากนรกตัวนั้นแสยะปากเห็นเขี้ยวขาววับ ยาวโง้งน่าเสียวไส้ ผมก้มลงคว้าดินแข็งโป๊กก้อนใหญ่ติดมือขึ้นมา ขว้างโครมเข้าใส่ทันที

แม่นเหมือนผีจับยัด!!

โครมเดียวเข้ากลางหลังมันพอดี แต่ไม่ยักมีเสียงร้องอะไรเลย นอกจากจะเผ่นพรวดไปที่ดงรักข้างหน้าผม...หายวับเข้าไปเงียบกริบ ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยวู่หวิว เยือกเย็นจับใจขึ้นทุกที

ดงรักเจ้ากรรมที่มันเผ่นวูบเข้าไปก็อยู่ข้างหน้าผมพอดิบพอดี!

คงจะเป็นความบ้าบิ่นนั่นเอง ทำให้ผมกระชากดาบออกมากำแน่น ก้าวช้าๆ ไปที่ดงรักนั้น แหวกหาหมาตัวบะเร่อปานหมายักษ์มาร...ยังไงๆ ก็ดีกว่าออกวิ่งไปเจอมันสวนเข้าใส่ละครับ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ...ไม่มีวี่แววของหมาผีนรกตัวนั้นแม้แต่น้อยนิด
คราวนี้เริ่มจะได้สติ ผมออกเดินขาสั่นนิดๆ ไม่รอช้า...เดี๋ยวๆ ก็หันไปมองข้างหลังด้วยความหวาดระแวงเสียที แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรติดตามมา

รุ่งขึ้น ผมไปเลียบเคียงถามยายจ่าง-คนเก่าแก่ย่านนั้นว่ามีหมาดำตัวใหญ่เกือบเท่าวัวเท่าควายอยู่แถวนี้มั่งไหม? แทนที่จะตอบ ยายจ่างกลับทำตาโต ย้อนถามว่า...เอ็งเจอมันเข้าแล้วหรือวะ? โอ๊ย! แถวนี้เขาเคยเจอะมันมาทั้งนั้นแหละ!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าผมเจอหมาปีศาจหลอกหลอนเอาเต็มเปา! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .