เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : หญิงท้องแก่บนเนินเขา


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณนิได้ฟังมาจากคุณพ่อของแฟนอีกทีหนึ่ง คุณพ่อท่านเล่าว่า..

สมัยนั้นอยู่ต่างจังหวัด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีสวน มีไร่เยอะ ป่าข้าวโพดก็เยอะ และจะมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ใช่ภูเขาลูกใหญ่โตอะไรนัก มีถนนลัดเลาะผ่านเขาไปได้ ชาวบ้านจะเรียกกันว่าเนินเขาซะมากกว่า เส้นทางโค้งข้ามเนินเขาตรงนี้ ชาวบ้านต้องใช้เดินทางไปตลาด ออกถนนใหญ่กันเป็นประจำ

มีอยู่วันหนึ่ง ชาวบ้านที่หาหน่อไม้ ทำไร่ ทำสวนก็มายืนดูกัน เนื่องจากมีชาย 2-3 คน ลงมาจากรถกระบะคันหนึ่ง และได้นำศพผู้หญิงท้องแก่มา เพื่อจะเอามาฝังไว้บนยอดเขานั้น ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรยังไง ก็ได้แต่งง ว่าทำไมถึงต้องมาฝังตรงนี้? เค้าก็แอบดูกัน จนพอฝังเสร็จ รถคันนั้นก็ขับออกไป.. ชาวบ้านที่เห็นก็ไม่กล้าพูด กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เลยได้แต่เงียบๆ กันไว้ไม่บอกใคร..

เวลาผ่านไปไม่นาน วิญญาณเฮี้ยนของผู้หญิงท้องแก่คนนี้ ก็ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านบริเวณเขาลูกนั้น ใครผ่านไปผ่านมา โดนกันหมด เห็นมาเดินตัดหน้ารถบ้าง มาโบกรถบ้าง อยู่บนเนินเขาเป็นเงาคนท้องยืนอยู่บ้าง.. ชาวบ้านที่ต้องไปตลาด ก็มักจะเลี่ยงเส้นทางนี้ ยอมอ้อมไปทางอื่น จนไม่มีใครอยากผ่านเนินเขานั้น.. จนนานวันเข้า เรื่องมันก็เก็บไม่อยู่ แพร่กระจายไปหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน

จนมีวันหนึ่ง พ่อได้เจอกับตัวนี่ถึงกับขนลุก พ่อทำงานกลับไม่ตรงเวลา บางครั้งเปลี่ยนเวรกับเพื่อน กลับเที่ยงคืนก็มี แล้ววันที่เกิดเรื่อง ก็เป็นวันที่เปลี่ยนเวรกลับเที่ยงคืน ตอนนั้นพ่อยังไม่เคยได้ยินเรื่องผีที่เนินเขามาก่อน และพ่อเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีสางอยู่แล้ว.. คืนนั้นเลิกงาน ก็ขับรถกระบะมาเรื่อยๆ มาทางเนินเขา ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องอ้อมไปทางถนนใหญ่ ระหว่างนั้น สายตาก็ไปสะดุดกับผู้หญิงใส่ชุดคลุมท้องลายดอกๆ ยืนอยู่ข้างทาง เธอเอามือกุมท้องคล้ายคนเจ็บท้องจะคลอด พ่อสงสาร ไม่ได้กลัวว่าจะเป็นโจร หรืออะไรทั้งนั้น เพราะว่าดูเหมือนคนปกติทุกประการ พ่อก็จอดรถรับ

ด้วยความที่มืด และอันตราย เลยบอกให้ผู้หญิงท้องแก่คนนั้นขึ้นรถมาเร็วๆ และบอกว่า ‘เดี๋ยวจะรีบพาไปโรงพยาบาล จะคลอดแล้วใช่ไหม?’ ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบอะไร และก็เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นรถมานั่ง จังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถมา จำได้ว่ารถก็ยุบตามน้ำหนักคน ก็เลยเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร.. พ่อก็ออกรถเพื่อจะไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัด ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่รับมาประมาณ 20 กิโลเมตรได้ ระหว่างทาง ก็ถามผู้หญิงคนนั้นไปเรื่อยตามประสา ‘เจ็บมากไหม ทนก่อนนะ..’ ผู้หญิงคนนั้นก็เงียบ พ่อก็พูดอีก ‘อันตรายนะมาโบกรถดึกๆ คนเขาจะหาว่าเป็นโจรมาหลอกเอา..’ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงเงียบอยู่ ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนั้นพ่อก็นึกในใจว่า คงจะเจ็บท้องเลยไม่มีอารมณ์ จะตอบโต้อะไร..

ด้วยความที่พ่อกลับดึก และก็อายุมากแล้ว เลยกะว่าจะขับไปที่ป้อมตำรวจใกล้ๆ เพราะเขาคงน่าจะช่วยได้ดีกว่า ก็เลยขับไป.. พอขับไปถึงป้อมตำรวจ พ่อก็ยังหันไปบอกผู้หญิงคนนั้นว่า ‘เดี๋ยวให้ตำรวจเขาไปส่งนะ มันน่าจะเร็วกว่าลุงขับไป..’ แล้วพ่อก็ลงจากรถ และไปเคาะกระจกเรียกคนที่อยู่ที่ป้อม.. สักพักคนที่อยู่ในป้อมก็ออกมา น่าจะเป็นมูลนิธิอาสากู้ภัย เขาก็ถามพ่อว่า ‘มีอะไรครับลุง?’ พ่อเลยบอกว่า ‘มีคนท้องแก่ เจ็บท้องจะคลอด ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลที ลุงขับเร็วไม่ไหวมันดึกแล้ว’ ทางอาสาก็ตอบมาว่า ‘ได้ครับๆ ไหนครับคนท้องอยู่ไหน?’ พ่อก็ชี้ไปที่รถ ว่านอนเจ็บท้องอยู่เบาะหลังน่ะ.. อาสาคนนั้นก็เดินไปที่รถพ่อ พอเปิดประตูรถมาก็งง และหันมาถามพ่อว่า ‘ไหนลุง? ไม่เห็นมีใครเลย..’ พ่อก็ตกใจ ว่าหายไปไหน เพิ่งลงมาเมื่อกี้ก็ยังเห็นนั่งอยู่ในรถ ตอนบอกอาสาให้ไปดูก็ยังเห็นอยู่!?

พ่อเลยสงสัย บอกอาสาเอาไฟฉายส่องดูซิ ว่าลงเดินไปไหนแล้วหรือเปล่า? อาสาก็เรียกเพื่อนๆ ในทีมมาเอาไฟส่องหาตามถนนตามข้างทาง.. จนมีอาสาคนหนึ่งเดินมา แล้วบอกว่า ‘หยุดหาเถอะ’ และหันมาถามพ่อว่า ‘ลุงรับผู้หญิงคนนี้มาจากเนินเขาลูกน้อยนั่นใช่ไหม?’ พ่อก็บอก ‘ใช่’ อาสาคนนั้นก็ถามอีก ‘เธอใส่ชุดลายดอกใช่ไหม?’ พ่อก็ถามว่า ‘รู้ได้ยังไง?’ อาสาคนนั้นร้องออกมาเลย ‘โอ้ยย! ไม่ต้องไปหาหรอก คงจะโดนอีกแล้วล่ะ คราวนี้เฮี้ยนจริงๆ โว้ย คนอื่นแค่โดนตัดหน้ารถ นี่ลุงรับขึ้นรถเลยเหรอ!!?’ แล้วอาสาคนนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง พ่อฟังแล้วเสียววาบไปทั้งตัว เหมือนคนจะเป็นลมเลย.. อาสาต้องมาประคอง และขับรถมาส่งพ่อที่บ้าน มารถพ่อ กับรถกู้ภัยอาสาอีกคัน แต่ขากลับต้องเลี่ยงไปทางถนนใหญ่ เพราะกลัวกันหมด.. พอกลับถึงบ้าน พ่อก็ขอบคุณอาสาที่ช่วยขับรถมาส่งถึงบ้าน อาสาคนนั้นก็ลงจากรถพ่อ และไปขึ้นรถกู้ภัยอาสาอีกคันหนึ่งกลับ แต่พอพ่อมองตามรถกู้ภัยที่วิ่งออกไป สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงท้องแก่คนเดิม นั่งก้มหน้าห้อยขาอยู่ที่กระบะท้าย!!

หลังจากนั้นพวกอาสาบนรถจะเป็นยังไงพ่อก็ไม่รู้.. แต่หลังจากเรื่องวันนั้น พ่อก็เล่าให้ชาวบ้านฟังต่อๆ กันไป.. จนทุกคนต่างกลัวกันแบบว่า ตะวันตกดินเมื่อไหร่ ก็บ้านใครบ้านมันกันเลยทีเดียว..

เครดิต คุณนิ

==========
ติดตามอ่านเรื่องราวอื่นๆได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : ตำนานโค้ง 100 ศพ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

 

 

"ตำนานโค้งอาถรรพ์ 100 ศพ ถนนรัชดาภิเษก จ.กรุงเทพฯ"

ย้อนกลับไปถึงเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับโค้งแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ แถวถนนรัชดาภิเษก จุดที่เชื่อกันว่ามีเรื่องราวอาถรรพ์มากมาย

ซึ่งหากจะมองเป็น 2 มุม ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ และมุมมองที่เกี่ยวกับความเชื่อลี้ลับ ก็คงมีเหตุผลในการอธิบายที่แตกต่างกันออกไป

ขอหยิบยกในมุมมองของผู้ที่มีความเชื่อกันก่อน ที่ว่ากันว่าที่ดินย่านนั้น สมัยที่กรุงเทพไม่ได้เจริญแบบทุกวันนี้ แถวรัชดาภิเษกอดีตมีแต่ทุ่งนา แต่เมื่อมีถนนตัดผ่านความเจริญเริ่มเข้ามา ตรงโค้งที่มีต้นโพธิ์ขึ้นอยู่ จุดนี้เขาลือกันว่าเคยเป็นป่าช้าเก่ามาก่อน..!!

จนเมื่อสร้างถนนตัดผ่าน ก็น่าแปลกที่มักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ตรงนี้อยู่บ่อยๆ จนหลายต่อหลายคนเรียกโค้งดังกล่าวว่า "โค้ง100 ศพ"

จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุแต่ละหน ก็มีเว้นระยะบ้าง แต่ก็เกิดขึ้นแทบจะทุกปี..อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่เคยเป็นข่าวโด่งดังก็คือ เมื่อปี พ.ศ 2538 ได้เคยมีดาราสาวขับรถมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตรงนี้ด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้โค้งดังกล่าวเริ่มเป็นที่เลื่องลือถึงความอาถรรพ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก

ผนวกกับการตายแบบต่อเนื่อง บางคนจึงเชื่อว่าน่าจะมีตัวตายตัวแทน..!! มีวิญญาณของผู้ที่เคยเสียชีวิตตรงนี้ที่ยังต้องการให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อที่ว่าตนจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

ความน่าสะพรึงกลัว มาพร้อมคำบอกเล่าจากหลายผู้คนที่เคยพบเห็นบางสิ่งแปลกๆ อยู่ตรงทางโค้งดังกล่าว

:: บางคนขับรถผ่านมาถึงทางโค้งยามดึก เห็นเป็นลักษณะเหมือนคนตัวดำๆ พยายามจะวิ่งข้ามถนน ใครตกใจหักรถหลบกระทันหันก็เกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บบ้างหรือไม่ก็เสียชีวิต..!!

:: เคยมีคนเล่าว่า ขับรถออกมาจากซอยเสือใหญ่ ซึ่งอยู่ตรงกับทางโค้งพอดี แล้วมองเห็นคนยืนอยู่ตรงใต้ต้นโพธิ์บ้าง หรือกำลังกระโดดข้ามขึ้นเกาะกลางถนนบ้าง ซึ่งพอดูให้ชัดจริงๆปรากฎว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแม้แต่คนเดียว..!!

:: นอกจากการพบบางสิ่งแปลกๆ บนถนนซึ่งเป็นทางโค้งแล้ว แม้แต่บนสะพานลอยเอง ก็มีผู้เคยพบเจอเหมือนกัน บางคนเล่าว่าเดินข้ามสะพานลอยตอนดึกๆ ได้ยินเสียงคนคุยกันบ้างหรือไม่ก็เสียงเรียก แต่พอหันกลับไปดูกลับไม่มีใครอยู่บนสะพานลอยดังกล่าวทั้งนั้น..!!

:: มีหลายครั้ง ที่พวกรายการเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ส่งผู้มีประสาทสัมผัสพิเศษ ให้ไปลองสำรวจที่โค้งดังกล่าว โดยผู้ที่สัมผัสได้มักเล่าว่าตรงทางโค้งดังกล่าวมีวิญญาณอยู่จริง และหลายตนด้วย..!! ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เสียชีวิตจากการถูกรถชนตาย บางส่วนเป็นดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่และวิญญาณกุมาร รวมถึงพวกตุ๊กตาแตกหักที่มีคนมาทิ้งอีกด้วย..!!

คราวนี้มาลองดูอีกมุม ที่อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณกันบ้าง แต่เป็นมุมมองทางวิทยาศาสตร์

หากใครก็ตาม ที่เคยขับรถผ่านไปผ่านมาตรงโค้งนี้ อาจรู้สึกคล้ายๆกันว่า ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไรเลย แถมรถบางช่วงก็ติดหนัก มีป้ายรถเมล์ มีสะพานลอยให้ข้ามถนน แต่ทำไมมักมีอุบัติเหตุ..

ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกันที่ตอนเกิดเหตุ ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงกลางคืนที่รถโล่ง และรถขับมาด้วยความเร็วจึงประมาทจนทำให้เกิดเหตุ

หรือบ้างก็ว่าทางโค้งดังกล่าวออกแบบมาไม่รับกับถนน รวมถึงเรื่องความสว่างของถนน เครื่องหมายหรือสีเตือนอันตรายต่อผู้ขับขี่ที่ยังมีน้อยเกินไป (ในช่วงแรกๆ) จึงทำให้รถที่ขับผ่านไม่ทันชะลอความเร็ว ซึ่งก็เป็นได้

รวมถึงพฤติกรรมเมาแล้วขับ เนื่องจากถนนดังกล่าวเชื่อมต่อกับสถานบันเทิงหลายแห่ง จึงทำให้มักมีเกิดอุบัติเหตุก็ได้ด้วย

ส่วนเรื่องเล่าสยองขวัญ รวมถึงการที่มีการไปกราบไหว้ต้นโพธิ์ซึ่งอยู่ตรงทางโค้ง พร้อมเสียงเล่าลือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์นั้น แท้จริงอาจแค่ความบังเอิญ

เคยมีคนเล่าว่า โค้งร้อยศพและศาลตรงต้นโพธิ์นั้น แท้จริงไม่มีเรื่องน่ากลัวหรอก หากแต่เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนถนนรัชดาฯ ตอนตัดใหม่ ๆ และศาลอาญาตรงนั้นกำลังก่อสร้าง ได้มีวิศวกรนายช่างคุมโครงการก่อสร้างอยู่ที่นั่น เกิดอยากจะแก้เผ็ดลูกน้องคนงานก่อสร้าง ที่ชอบไปยืนปัสสาวะไม่เลือกที่ เลยซื้อผ้าแพรเจ็ดสีมาพันรอบต้นโพธิ์ซะ รวมทั้งมีการจัดฉากเอาธูปมาปักๆ ไว้ด้วย

พอหลังจากนั้นจึงไม่มีคนงานไปแวะเยี่ยวแถวนั้นอีกเลย พออยู่ๆไปมันดันมีคนเอาของมาไหว้เพิ่ม ทั้งเอาม้าลายมาแก้บน และอะไรอีกก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด จนตรงนั้นกลายเป็นสถานที่เฮี้ยน และฮิตติดชาร์ตไปในที่สุด

ขอให้ทุกท่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

==========
ติดตามอ่านและฟังเรื่องราวสยองขวัญได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : หมู่บ้านอาถรรพ์

 


เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อปี 2556 คุณพลอยเล่าว่า หลังจากที่ตนเองและครอบครัวย้ายจากบ้านเดิมมาอยู่บ้านหลังใหม่ที่พึ่งซื้อ ด้วยราคากว่า 4 ล้านบาท เป็นบ้านโครงการหรูสไตล์อังกฤษ ในวันแรกก่อนจะย้ายเข้านั้น บังเอิญญาติถอยรถไปโดนสุนัขตัวหนึ่งบาดเจ็บ คุณพลอยเลยเอาน้องเข้ามาเลี้ยงที่บ้านใหม่ด้วย ซึ่งปกติคุณพลอยก็เลี้ยงอยู่แล้วหลายตัว หลังจากวันที่ย้ายเข้ามาอยู่สามีที่เป็นทหารก็มีคำสั่ง ถูกย้ายให้เข้ากทม. กระทันหัน ทำให้ครอบครัวไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างที่ตั้งใจ

ผ่านมาหนึ่งเดือน… จู่ๆสุนัขที่คุณพลอยเลี้ยงไว้ (จากทั้งหมด 11 ตัว) ก็ได้เริ่มตายจากไปเรื่อยๆรวม 7 ตัว ติดกันภายในเวลาแค่ 2 เดือนอย่างไม่มีสาเหตุ รวมทั้งตัวที่เคยเก็บมาก่อนจะเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ด้วย…คุณพลอยเล่าว่ามันนอนตายไปซะเฉยๆ เป็นจุดเริ่มต้นของความอาถรรพ์ของหมู่บ้าน

หลังจากนั้น…ไม่ใช่แค่สุนัข คนสวนในหมู่บ้านที่คุณพลอยจ้างพิเศษมาทำงานสวน จู่ๆก็เกิดอุบัติเหตุรถประสานงา เสียชีวิตไปถึง 3 คน และเรื่องราวอีกมากมายค่อยๆตามมาทีละเรื่อง อยู่ๆ ลูกของเธอก็ทักว่ามีคนแอบดูเราอยู่ในบ้าน มีคนแอบคุยข้างๆหู ซึ่งลูกคุณพลอยอยู่ ม.1 แล้ว ไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสาที่จะไม่รู้เรื่อง แม้แต่เพื่อนเองก็ไม่กล้ามาบ้าน เพราะมีอยู่วันนึงเพื่อนนั่งอยู่ในห้องหน้าตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกบานใหญ่ เพื่อนบอกว่า “ตอนหวีผมอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิง…แมร่งมาหวีผมอยู่ข้างหลัง”!!

คุณพลอยเล่าว่าไปดูดวงดูหมอมาหลายที่ ก็ถูกทักว่าที่บ้านมีผี มีปอบนะ ไม่ดีนะ มีผีจะเอาชีวิต ตอนแรกตนเองยังไม่มั่นใจ เคยนิมนต์พระ 9 รูป เคยเชิญสินแสมาเขียนฮู้ตรงราวบันได เพราะที่ราวบันไดมีของเหลวสีแดงชวนสยองไหลออกมา ซินแสเลยมาเขียนให้ตรงบริเวณหัวของราวบันได ซึ่งเราก็ไม่รู้ที่มาที่ไป มีบางคนบอกว่าเคยมีคนแขวนคอที่กำแพงตรงนั้นมาก่อน! จนกระทั่งคุณพลอยแน่ใจว่าใช่แน่ ตอนพบกับหญิงท้องเดินทะลุกำแพงเข้ามาในบ้าน มีแต่ตัว..หัวไม่มี!

มีคืนนึงอยู่กับลูกสองคน ได้ยินเสียงกดกริ่ง ออกไปก็เจอผู้หญิงเปียกโชกไปทั้งตัว ยืนอยู่ในรัวบ้านแวบแรกคิดว่าคงเป็นใครที่ตกน้ำแถวนี้แล้วมาขอความช่วยเหลือรึเปล่า แต่เธอผู้นั้นเข้ามาในบ้านได้ยังไง กำแพงสูงถึง 5 เมตรและรั้วก็ล็อคแน่นหนา ต้องใช้บันไดปีนพาดเข้ามาเลยนะ คุณพลอยก็ถามว่าใครแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมา

เรื่องก็ผ่านไปจนสามีคุณพลอยกลับมาอยู่ด้วยแล้ว แต่เจอหนักกว่าเดิม ในคืนหนึ่งสักสามทุ่มหมาหอนกันทั่ว เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ลมก็พัดแรง ขณะที่สามีจอดรถ หลังจากที่พวกเราไปข้างนอกกันมา สามีเอ่ยขึ้นว่า “คุณ…! ใครอยู่ข้างหลังเรา?” พอคุณพลอยหันไปดูก็พบใครบางคนหน้าตึงๆ ในดวงตามีนัยน์ตาที่ประหลาด เป็นสีขาวดวงเล็กๆ สามีดูตื่นกลัวแต่ยังรู้สึกตัว และเขย่าตัวคุณพลอยพร้อมบอกว่า “คุณ! ข้างหลังเรา มันจะเข้าสิงเรา”


คุณพลอยก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปอุ้มพระ เป็นพระแก้วมรกตลงมา ด้วยความตกใจคุณพลอยก็สวดมนต์เท่าที่นึกออก วนๆไป แล้วบอกว่าพระแก้วช่วยลูกด้วยๆ! สักสามนาทีลมก็สงบ จนสามีตะโกนให้เข้าบ้านๆ ได้จังหวะก็รีบพากันวิ่งเข้าบ้านไปเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่คุณพลอยรู้ว่า..คนผีเข้ามันเป็นยังไง จากนั้นคุณพลอยก็เล่าว่า…ได้ยินเสียงคนทุบกระจก เพราะเป็นบ้านสไตล์อังกฤษที่มีกระจกเยอะ แต่มันแปลกตรงที่ มันจะเป็นไปได้ไงที่จะมีคนไปเคาะกระจกถึงบนห้องนอนชั้นสอง จนสั่นสะเทือนดังทั่วบ้าน

ที่ประหลาดคือ เวลาตนอยู่บ้านต้องมีความรู้สึกว่าอยากแต่งหน้า จำเป็นต้องแต่งหน้าอยู่ตลอด โดยเฉพาะวันไหนที่ใช้ลิปสีแดงจะมีความรู้สึกสั่นร้อน จนไปปรึกษาเพื่อนบ้านว่าตนจะโดนผีเข้ารึเปล่า แม้กระทั่งเข้าโรงพยาบาล ล้างหน้าหน้าสดแล้วยังเอ่ยถามแม่ตนว่า “แม่..มีอายไลน์เนอร์ เขียนตามั้ย”

คุณพลอยเหนื่อยกับเรื่องราวที่ประสบพบเจอจนวันนึงก็ลองดีด้วยความโมโห ทั้งๆที่ตนเป็นเจ้าของบ้าน คนอื่นหรือสิ่งอื่นจะมามีปากเสียง จะมายิ่งใหญ่กว่าเราไม่ได้ ก็ได้จุดธูปแล้วท้า..บอกว่า “ถ้าแน่จริง เมิงออกมาหากรูเลย” หลังจากนั้นก็มาจริงๆ แต่ไม่ได้มาเป็นตัว มาเพียงลมแผ่วเบาและเสียงกระซิบข้างหูว่า…”จำไว้ กรูชื่อจัน!” ทำเอาวันนั้นตนต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาล

แม้แต่บ้านอื่นในหมู่บ้านนี้ ก็ประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน…คุณพลอยเล่าต่อว่า เพื่อนตนเอง อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วไฟครอกทั้งๆที่คนในรถยังได้สติ และเนื่องจากเป็นรถเติมแก๊ส พอเกิดเพลิงไหม้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย แม้ว่าเพื่อนเธอพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือจากในซากรถ!! และต่อมาคนสวนของบ้านนั้นก็เล่าให้ฟังว่า… เห็นเพื่อนเธอยืนรดน้ำต้นไม้ที่บ้าน หลังจากที่ตายแล้วอยู่

มีอีกเคสนึงที่ได้ฟังจากรปภ. เรื่องของเพื่อนร่วมหมู่บ้าน กระโดดระเบียงลงมาเพราะน้อยใจสามี หวังปลิดชีพ แต่ไปตายที่โรงพยาบาล ซึ่งบ้านที่เกิดเหตุก็อยู่ไม่ไกลจากคุณพลอย ห่างไปไม่กี่หลังเท่านั้น เพื่อนบ้านก็เคยมาถามว่า เคยเจอมั้ย เป็นผู้หญิงมาลากเตียงเลื่อนเตียงในห้อง คุณพลอยเล่าว่าตนเจอเป็นผู้หญิงท้อง เพื่อนบ้านบอกตนไม่แน่ใจเพราะเห็นจากด้านหลัง

จนผ่านมากว่า 2 ปี ในช่วงปี 58 จึงมีรายที่ 4 เกิดขึ้น… คนสวนคนสุดท้ายนั้นเกิดรถชนกับกระบะคาที่สมองเปิด จนคุณพลอยคิดว่าถึงเวลาต้องตัดใจทิ้งบ้านราคากว่า 4 ล้านบาทและย้ายออกไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ จนรุ่งเช้า คนแรกที่คุณพลอยโทรหาคือลูกสาวของรปภ.เก่า ซึ่งเป็นแม่บ้าน ว่าให้ช่วยขนของ เพราะอยู่ไม่ได้แล้ว

วันที่ย้ายออก จู่ๆลูกก็ทักขึ้นว่า…”แม่ครับ เพื่อนแม่มาหา อยู่ข้างหลัง” คุณพลอยก็บอกว่า..อ๋อ คันนี้เราไปกัน 2 คน ส่วนน้าชลเขามากับรถกระบะ เขาไปคันข้างหลัง คุณพลอยเข้าใจไปเองว่าลูกคงหมายถึงคนขนของ แม่บ้านที่จ้างมาช่วย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่… เธอจึงบอกกับ “มัน” ว่า “จะตามก็ตามมา แต่ถ้าวันไหนไปบิ๊กซี กรูจะเอาเมิงไปปล่อยทิ้งไว้นั่น!!” หลังจากนั้นลูกของคุณพลอยก็ไม่ได้ทักถึงอีกเลย…

คุณพลอยสรุปให้ฟังว่าตั้งแต่อยู่มาเกือบๆ 2 ปี ได้เห็นคนตายไปแล้ว 3 คนเป็นเจ้าของบ้าน กับคนสวนอีก 4 นี่คือตัวเลขแน่นอนเท่าที่คณพลอยทราบ นอกจากนี้ยังไม่นับรวมอุบัติเหตุอื่นๆอีกด้วย แต่ที่เห็นชัดๆที่สุดคือล้มละลาย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก บ้านหลังนึง จากที่เคยมีเงินกว่า 11 ล้าน หมดได้ภายใน 6 เดือนจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน.. มีนักเรียนนอกกำเงินมา 10 ล้าน ตั้งใจมาเป็นครูพิเศษ เงินเดือนสูง แต่หลังจากอยู่หมู่บ้านนี้ไปเพียง 4-5 เดือน ก็ตกงานเพราะอยู่ๆก็ประสบอุบัติเหตุขาพิการจึงไปทำงานไม่ได้ หมู่บ้านอาถรรพ์เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ภายในหมู่บ้านแต่ละซอยจะเหลือบ้านเพียงแค่ 1-2 หลังเท่านั้น บ้านใกล้เรือนเคียงก็เป็นบ้านร้าง ส่วนมากจะล้มละลาย ตกอับจนไม่สามารถผ่อนต่อได้ หมู่บ้านมี 59 หลัง แต่มีเหลือคนอยู่เพียงแค่ 20 หลัง

จนหลังย้ายออกมาจากหมู่บ้านนั้นแล้ว ได้กลับไปถามรปภ.คนเก่าแก่ จึงได้ความว่า … ตรงนี้เดิมในอดีตเป็นที่ทิ้งศพ มีนายฮ้อยในสมัยก่อนเอาศพมาทิ้ง เพราะเมื่อก่อนตรงนี้เป็นป่าทางผ่านไปสู่ตัวเมือง มีการดักปล้นดักแทงกันเยอะ นอกจากนี้ก็มีผู้หญิงถูกสามีทิ้ง มาผูกคอดับแถวๆหมู่บ้าน ถึงแม้จะไม่ทราบว่าจริงมั้ย แต่นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

==========
ติดตามอ่านและฟังเรื่องราวสยองขวัญได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เรื่องเล่าเข่าขวัญ : ตึกร้าง 5 ศพ ย่านบางนา


ตึกร้าง 5 ศพ
ตำนานสยองในอดีต ย่านบางนา

ในอดีตถ้าใครเคยขับรถผ่านถนนเส้นบางนาจะสังเกตข้างทางว่ามีตึกร้างอยู่หนึ่งแห่ง ที่ร้างมานานหลายสิบปี ซึ่งบางคนนิยมเรียกตึกแห่งนี้ว่า "ตึกร้าง 5ศพ"

ตึกดังกล่าวอยู่ติดถนนบางนา อยู่ไม่ไกลจากเซ็นทรัลบางนามากนัก ซึ่งจากประวัติเดิมทราบว่า สถานที่ดังกล่าวเคยเป็นตึกของบริษัท ไทยฟากรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำรับเหมาก่อสร้างมาก่อน แต่ก็ต้องมาล้มละลาย ในช่วงพิษเศรษฐกิจฟองสบู่ ราวๆ ปี 2540 โดยที่ไม่มีหน่วยงานใดมารับผิดชอบให้ความสนใจทำรั้วล้อมให้มิดชิด ทำให้มีกลุ่มวัยรุ่นติดยาเสพติด คนจรจัด และผู้ไร้ที่อยู่แอบเข้าไปพักอาศัย ในช่วงนั้นเป็นจำนวนมาก

หลายคนมักจะรู้จักตึกนี้ ในด้านของการใช้เป็นสถานที่ในการขึ้นไปถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เนื่องจากเป็นตึกสูงมองไปได้ไกล แต่ก็มีบางคน ที่เข้าไปทำอะไรไม่ดีภายในจนกระทั่งเกิดเป็นคดีขึ้นมาด้วยกันหลายคดีความ โดยเท่าที่มีหลักฐานจากแหล่งข่าว ว่ากันว่าในอดีต เคยมีผู้คนมาจบชีวิตที่นี่ด้วยกันมากมายถึง 5 ศพ (หรืออาจมากกว่านั้นมิทราบได้) ซึ่งสาเหตุการตายเท่าที่ทราบคือ เป็นเหตุฆาตกรรม บางกรณีเป็นการขึ้นมาเพื่อกระโดดตึกฆ่าตัวตาย..

จากรายละเอียดการตายนั้น ไล่เรียงมาตั้งแต่เหตุกระโดดตึกฆ่าตัวตาย 3 ศพ แล้วจากนั้นเมื่อประมาณปี 2555 ได้มีชาวต่างชาติ ขึ้นมาผูกคอตายที่ชั้นดาดฟ้าอีก 1 ศพ เมื่อชันสูตรแล้วพบว่าได้เสียชีวิตกว่า 2-3 วัน สาเหตุมาจากผู้ตายเกิดอาการเครียดที่ถูกแฟนสาวทิ้ง จึงตัดสินใจคิดสั้นปลิดชีวิตตัวเองดัวยการผูกคอตาย..

ส่วนอีกเหตุฆาตกรรมนั้น เกิดขึ้นในปีเดียวกัน ที่พบศพคนตายอยู่ที่ชั้น 30 โดยผู้ตายเชื่อว่าน่าจะเป็นแก๊งค์ลักลอบตัดสายไฟ หรือแก๊งขโมยอุปกรณ์ไฟฟ้า ตามอาคารสถานที่รกร้างไปขาย ก่อนเกิดเหตุน่าจะเดินทางมาไม่ต่ำกว่า 3-4 คน ระหว่างทำงานน่าจะมีปากเสียงในกลุ่ม จึงถูกมัดมือมัดเท้ารุมทำร้ายจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่พบศพอยู่ในห้องควบคุมไฟฟ้า

แต่บางข่าวก็ว่า ผู้ตายไม่ใช่พวกตัดสายไฟขาย หากแต่บังเอิญผู้ตายโชคร้าย ที่ไปเห็นและรู้ความลับบางอย่างของพวกโจรเข้า จึงถูกฆ่าอย่างอนาถ ทีมแพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้ว 3 วัน บาดแผลมาจากอาวุธไม่ทราบชนิดที่ศีรษะ

พอมีคดีดังกล่าว ตึกร้างย่านบางนาจึงเริ่มมีชื่อเสียง และเป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น เสียงเล่าลือถึงความเฮี้ยนและความอาถรรพ์ ชาวบ้านแถบนี้เชื่อกันว่า ตึกนี้ยังมีวิญญาณของผู้ตายวนเวียนอยู่ภายในอาคาร เพราะต่างเคยมีคนพบเห็นเรื่องราวแปลกๆในหลายเหตุการณ์ด้วยกัน..

ความหลอนส่วนหนึ่ง มาจากคนที่ขับรถผ่านตึกดังกล่าว ในช่วงเวลากลางคืน หลายคนเคยเล่าว่าพอขับรถผ่านตึกนั้นแล้วมองขึ้นไป ปรากฏว่าเห็นเป็นลักษณะเหมือนคนเดินอยู่บนนั้น บางคนเห็นขนาดที่ว่า เหมือนอะไรบางอย่างปลิวลอยลงมาจากตึก

เสียงเล่าลือของคนที่เคยเข้าไปในตึกดังกล่าว ตอนช่วงที่ร้างใหม่ๆ และยังไม่มีใครเอาอะไรมากั้นให้ห้ามขึ้นไป ซึ่งคนที่ขึ้นไปส่วนหนึ่งคือ ชอบไปถ่ายรูปหรือไม่ก็ชมวิวกรุงเทพยามราตรี ซึ่งหลายคนที่ขึ้นไปเคยเล่าทำนองว่าตอนที่เดินขึ้นบันไดมักได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินตามมา หรือบางคนที่เจอหนักๆ หน่อยก็เห็นเป็นเงาตามขึ้นมาด้วยก็มี

เรื่องราวการพบเห็น ไม่ใช่จะพบเฉพาะบนดาดฟ้าหรือชั้นที่เคยมีคนตายเท่านั้น กระทั่งบางคน ที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ยามค่ำคืนก็เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเดินเข้าไปสำรวจ เห็นเป็นเงาคนใส่ชุดสีขาวเดินอยู่ที่ชั้นล่าง แต่พอวิ่งไปดูเพราะอยากรู้ว่าคือใคร ร่างดังกล่าวก็อันตธานหายไปอย่างรวดเร็ว

หรือกระทั่งเรื่องเล่าของเด็กนักเรียน ซึ่งบังเอิญว่าโรงเรียนของเขา อยู่ไม่ไกลจากตึกร้างหลังดังกล่าว โดยเด็กนักเรียนเคยเล่าว่าช่วงทำกิจกรรมที่โรงเรียนก็เลยกลับดึก มีครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอาคารเรียนแล้วมองมาที่ตึกร้างก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นเป็นลักษณะเหมือนคนวิ่งแล้วกระโดดลงมา

ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นคน จึงพยายามไปบอกผู้ใหญ่ แต่ปรากฏว่ามารู้อีกทีว่าไม่ใช่คน เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนเจอแบบนี้มาแล้วเช่นกัน..

นี่คือเรื่องเล่าส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับตึกร้างย่านบางนา 5 ศพ ซึ่งปัจจุบันอาคารหลังดังกล่าว ถูกนายทุนสัญชาติจีนได้เข้ามาครอบครองกรรมสิทธิ์ และได้ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตึกใหม่ จนกลายเป็นอาคารที่สวยงามล้ำสมัย ส่วนเรื่องราวหลอนๆ ที่ในอดีตเคยมีคนพบเจอนั้น ก็คงจะค่อยๆหมดสิ้นไปตามกาลเวลา เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกบทหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งวัยรุ่นในยุคนั้น ต่างได้เคยขึ้นไปสัมผัสความหลอนกันมา.. และกลายเป็นตำนานให้เล่าขานถึงกันต่อไป
.
==========
ติดตามอ่านและฟังเรื่องราวสยองขวัญได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : ศาลพระภูมิเก่า



ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า โดยส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ไม่มีเซ้นส์อะไร แถมยังเป็นคนที่ค่อนข้างจะเชื่อ และกลัวผีมากระดับหนึ่งเลยทีเดียว

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนสมัยที่ผมจะจบ ปวช.
คือช่วงสอบเสร็จพอดี ผมจะมีเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ 3 คน แต่หนึ่งคนที่ผมจะพูดถึงนี้ มันชื่อไอ้ศร

หลังจากที่ผมสอบเสร็จ วันนั้นตรงกับวันศุกร์ ผมเลยชวนเพื่อนไปหาอะไรกินกันดีกว่า ทุกคนก็เห็นด้วย ผมจึงตกลงนัดเวลากัน แล้วบอกว่าเดี๋ยวกูเข้าไปรับ ทุกคนก็ตกลงตามนั้น

หลังจากทำภาระกิจเสร็จ ผมก็ทยอยขับรถไปรับทีละคน จนไปจบที่บ้านไอ้ศรคนสุดท้าย เวลาตอนนั้นก็ซัก 3 ทุ่มกว่าๆ เกือบ4 ทุ่ม โดยในรถไอ้ศรจะนั่งข้างผม ส่วนข้างหลังจะเป็นเพื่อนผมอีก 2 คน แล้วแฟนมันอีก 1 คน จากนั้นเราก็ขับรถไป

ร้านที่พวกผมจะไป มันจะเป็นอาหารแนวแบบชิลล์ๆ นะครับ มีระเบียงยื่นออกมา ซึ่งบรรยากาศถือว่าโอเคเลย

โดยปกติผมจะไปร้านนี้บ่อย แต่ส่วนมากจะไปกับพี่แถวบ้านซะส่วนใหญ่ และผมจะวิ่งทางหลักตลอดทุกครั้งที่ไป. จริงๆมันมีเส้นทางลัดอยู่ถือว่าลัดได้หลายกิโลเลยทีเดียว
แต่กลางคืนมักจะไม่มีคนผ่านทางนั้น เนื่องด้วยทางมันเปลี่ยวและน่ากลัว. แต่ทว่าด้วยตอนนั้นมันก็ดึกพอสมควร ผมจึงเลือกใช้ทางลัด และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้

หลังจากที่ผมขับรถออกมาจากบ้านไอ้ศร เราก็ขับกันมาเปิดเพลงฟัง คุยกันเรื่องที่เราจบแล้วจะไปทำอะไรกัน ในระหว่างขับรถอยู่นั้นไอ้ศรก็เปิดกระจก แล้วถ่มน้ำลายลงไปที่พื้น ผมเห็นเลยทักมันไปว่า "มึงไม่เห็นศาลไงว่ะ เดี๋ยวมึงก็เจอดีหรอก" มันก็ถามศาลอะไรว่ะกูไม่เห็นเลย มันก็เลยฉโงกหน้าออกไปดู.

มันเป็นศาลเก่าๆ ที่เขานำมาทิ้งตามข้างทาง ไอ้ศรก็เลยพูดขึ้น. "มันก็แค่ศาลเก่าๆ ไม่มีอะไรหรอก" ผมก็ไม่พูดอะไร ก็ขับรถต่อไปจนไปถึงร้าน เราก็สั่งอาหารเครื่องดื่มบ้างเล็กน้อย สภาพร้านก็อย่างที่บอกจะมีระเบียงยื่นออกมา เราสามารถมองเห็นลานจอดรถที่เป็นลานหินได้เลย ซึ่งผมก็ชอบนั้งตรงระเบียงที่ประจำเลย มันจะมองเห็นรถเราด้วย.

ระหว่างที่เรานั่งกินกันไป ฟังเพลงชิลล์ๆ สายตาผมเหลือบไปมองที่รถพอดิบพอดี

ผมเห็นลุงคนหนึ่ง อายุราวๆ ซัก 70 - 80 ปี ผมสีขาว ใส่ชุดขาวทั้งชุดยืนหันหน้าเข้าหารถผม. ผมก็เลยมองดูแกไปสักพักดูว่าแกจะทำอะไร จนเพื่อนสะกิดผม ว่า "เห้ย! ขอน้ำแข็งหน่อย" ผมละสายตาจากลุงมาแป๊ปเดียว แป๊ปเดียวจริงๆ หันกลับไปที่รถอีกที ผมก็ไม่เห็นลุงคนนั้นแล้ว นึกในใจทำไมลุงแกไวจังว่ะ แต่ไม่ได้คิดอะไรต่อ ก็นั่งกินกันไป แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ดื่มเยอะนะครับเพราะต้องขับรถ

จนกระทั่งตี 2 ร้านจะปิดแล้ว เราก็เลยเช็คบิล แล้วก็กลับบ้านกัน ในระหว่างที่ผมเลี้ยวซ้ายออกจากร้าน ผมเหลือบมองกระจกข้างขวา เหมือนเห็นคนใส่ชุดขาว แว๊บๆ มันมองไม่ถนัด ก็เลยคิดว่าตาคงฝาด. ก็เลยขับรถต่อไป

ผมจะกลับทางเดิมนะครับ เนื่องจากมันดึกมากแล้ว แล้วมันใกล้บ้านด้วย.

แต่ในระหว่างทางนั้น อยู่ๆ ไอ้ศรเพื่อนผม มันก็เอามือของมันปิดปากตัวมันเอง แล้วก็ดิ้นเหมือนคนหายใจไม่ออก ผมก็คิดว่ามันแกล้ง ก็เลยปล่อยมันแบบนั้นแหละ จนกระทั่ง มันเป็นอยู่พักนึง เพื่อนข้างหลังบอกเห้ย ไอ้ศรมึงเล่นนานไปป่าวว่ะ

จนกระทั้งเหมือนมันเกร็งไปทั้งตัว ผมเลยจะแกะมือมันออกจากปาก แต่มันแน่นมากครับ แกะยังไงก็ไม่ออก จนผมบอกให้เพื่อนที่นั้งมาด้วยช่วยกันแกะ. หลังจากนั้นผมจึงละสายตาจากไอ้ศร มาเพื่อมองทาง. ช่วงแว๊บเดียวจริง ผมเห็นคนยืนขวางอยู่หน้ารถ ห่างจากรถไปไม่เกิน 20 เมตร ผมตกใจมากเพราะขับมาเร็วเหมือนกัน. เลยหักหลบ รถนี่หมุนแบบในหนังยังไงอย่างนั้นเลย คนในรถทั้งกรี๊ด ทั้งร้องกันสนั่นรถ เหมือนรถมันจะพลิกคว่ำ แต่แล้วพอทุกอย่างหยุด

ทุกสิ่งเงียบ ท่ามกลางความมืดสนิท.
ผมกับเพื่อนๆค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปข้างหน้าของรถ จากปกติตอนที่เรามา ทางเป็นทางคอนกรีต สองข้างทางมีต้นไม้แต่ไม่รก.

แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือ 2 ข้างทางเป็นป่ารกทึบสูงกว่าตัวคน ถนนเป็นทางลูกรังมองเห็นได้แค่แสงไฟรถ ผมกับเพื่อนช็อค!! เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน มันมีแต่ความมืดรอบด้าน มองไม่เห็นอะไร นอกจากแสงไฟหน้าที่ส่องออกไป. ผมตัดสินใจสาดไฟสูงไปข้างหน้า สายตาพวกเราทุกคนจ้องไป.

สิ่งที่พวกเราทุกคนเห็นก็คือ... มีลุงคนนึงอายุราวๆ 70 - 80 ปี ยืนจ้องมาที่รถ ห่างออกไปไม่เกิน 20 เมตร ซึ่งมันเห็นชัดมากๆ หน้าผอมดำตานี่ดุมาก ถือไม้เท้าชี้มาที่รถ แล้วค่อยๆเดินเข้ามา.

ในตอนนั้นมันบีบหัวใจ ใจผมลงไปอยู่ตาตุ่มแล้ว อยู่ๆก็มีควัน เหมือนไอแอร์ ออกมาจากช่องแอร์ ออกมาเยอะขึ้น เยอะขึ้น ผมพยายามเปิดประตู เปิดกระจก แต่มันถูกล็อคไว้หมด จนภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือ ลุงแกกำลังวิ่งเข้ามาที่รถ แล้วไอแอร์ก็ท่วม จนผมมองไม่เห็นอะไรข้างนอกเลย ได้ยินแต่เสียงป้ง ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่รอบๆ นอกรถ ทั้งเพื่อน แฟนเพื่อน รวมทั้งผม ต่างร้องกันโวยวาย อยู่แต่ในรถ จนกระทั้งพวกเราหมดสติไป.

ผมมารูสึกตัวอีกทีเหมือนมันมีแสงอะไรมาเข้าตา ผมค่อยๆลืมตาขึ้น... เช้าแล้วครับ ผมรวบรวมสติ เรียกเพื่อนที่ยังไม่ได้สติให้ตื่น

ผมเปิดประตูรถออกมา ผมลงจากรถ ภาพที่ผมเห็นคือ รถผมไปจอดอยู่ที่ศาลพระภูมิเก่าๆ ที่เราขับผ่านเมื่อคืน ทุกคนตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะไอ้ศร

หลังจากนั้นเราได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พวกผู้ใหญ่ฟัง เขาก็เลยนำเราไปทำบุญอาบน้ำมนต์ ไปขอขมาลาโทษ แล้วผมก็ไม่เคยขับรถผ่านทางนั้นอีกเลย ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน

หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป ผมได้ถามไอ้ศรถึงเรื่องวันนั้นว่ามันเป็นอะไร? ทำไมเอามือปิดปากตัวเอง. มันเลยบอกว่ามันเห็นมาตั้งนานแล้วว่ามีคนยืนอยู่กลางถนนพอมันจะบอกผม ก็มีมือใครไม่รู้ มาปิดปากมันไว้...

เรื่องก็มีประมานนี้ครับ เคยโทรไปในรายการเดอะช็อค แต่ไม่มีทีมงานติดต่อกับมา เลยไม่เคยได้เล่าที่ไหน

ขอขอบคุณเจ้าของเรื่อง : คุณนิรนาม

==========
ติดตามอ่านและฟังเรื่องราวสยองขวัญได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : อยากเจอกูเหรอ


สวัสดีครับ ผมเป็นคนที่เชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นและสิ่งลี้ลับเป็นอย่างมาก เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมันเกิดจากเรื่องนี้

ณ เกาะแห่งหนึ่ง (ขอไม่บอกชื่อเกาะ) ผมและเพื่อนอีก 3 คน ได้จองรีสอร์ต 4 วัน 3 คืน ที่เกาะแห่งนั้นไว้ พอพวกเรามาถึงท่าเรือ ก่อนจะขึ้นเรือ เพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ เอ (นามสมมุติ) ก็พูดขึ้นมาว่า “พวกมึง เมื่อคืนกูฝันว่าพวกเราจะกลับมาไม่ครบว่ะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นเพื่อนอีกคนที่ชื่อ บี (นามสมมุติ) ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “มึงเป็นอะไรมากหรือเปล่า ปากหมาฉิบหาย อย่าเพ้อเจ้อให้มาก กำลังจะออกเดินทางอยู่ละ”

ผมก็รีบห้าม กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี พอเรือออกจากท่าไปได้สัก 20 นาที ท้องฟ้าก็เริ่มมืด เมฆฝนเริ่มเข้ามาลอยผ่านเหนือหัว แต่เมฆก็ลอยจากไป

พอมาถึงเกาะ พนักงานก็มาช่วยยกกระเป๋าขึ้นจากเรือ ผมก็ไปเช็คอิน พนักงานก็พาเดินไปที่ห้องพัก ผมนอนกับเอ บีนอนกับซี แต่ห้องเราติดกัน พอมาถึงห้องก็อึ้งไปนิดๆ เพราะนอกจากสภาพจะดูโทรมๆ แล้วแถมหน้าห้องยังมีศาลเก่าๆ จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ตั้งอยู่

ผมก็พยายามจะไม่คิดอะไร พอเก็บของอะไรในห้องเสร็จ ก็เปลี่ยนเสื้อแล้วไปเล่นทะเล เล่นไปเล่นมาก็ใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว ก็เลยขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อไปกินข้าวกันที่ล็อบบี้ พอกินเสร็จก็เดินกลับห้องกัน

ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด ซีเป็นคนที่กลัวผีมาก ตอนเดินมาถึงหน้าห้อง มันก็ทำท่าร้อนรนให้รีบไขห้องเข้าไป พอเห็นแบบนั้นบีก็พูดสวนขึ้นมา “มึงกลัวศาลข้างหลังขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้ซี” แล้วไอ้เอก็พูดเสริมขึ้น “คืนนี้เขามาหามึงแน่ ฮ่าๆ”

พอตกดึก ผมก็นอนเล่นกันกับ เอ เวลานั้นคาดว่าห้องของ ซี กับ บี น่าจะนอนแล้ว ผมก็เลยปิดไฟนอนบ้าง

แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากห้องของบี กับ ซี ผมรีบดูนาฬิกา ตอนนั้นประมาณตี 3 กว่าๆ ยังไม่ทันจะเดินไปถึงประตูก็มีเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! ดังมาจากประตูหน้าห้องพร้อมเสียงเรียก

“เฮ้ย! รีบเปิดให้กูเร็วๆ”

ผมก็ส่องดูตรงตาแมวประตู ก็เห็น บี กับ ซี หน้าซีด ท่าทีร้อนรน ผมก็รีบเปิดประตูให้ พวกมันรีบวิ่งเข้ามากระโดดขึ้นเตียง ผมรีบล็อคห้องแล้วถามว่า ยังไง เกิดอะไรขึ้น พวกมันแย่งกันพูด จนฟังไม่ได้ศัพท์

“กะ กะ กูเจอ!”

แทบไม่ต้องถามต่อว่าเจออะไร คำตอบที่ได้ยิน ผมก็พอจะเดาได้แล้ว แต่ก็พยายามตั้งสติ แล้วพูดออกไปว่า

“มึงเจอใช่ไหม แน่ใจนะ?!”

ทั้งสองตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เออ!”

ผมก็บอกให้มันนอนห้องผมก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยคุย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครนอนลงสักคน ก็เลยนั่งคุยกัน ผมบอกให้มันเล่าทุกอย่าง บีมันเล่าว่า…

ตอนนั้นหลังจากที่แยกย้ายเข้าห้อง ไอ้ซีมันก็เอาแต่กลัว บีมันก็เลยรำคาญมัน เลยด่ามันไปว่า โตป่านนี้แล้วจะกลัวห่าไรวะ ถ้าแม่งมีจริงมันคงมาหาแล้ว เนี่ยกลัวไอ้ศาลเก่าๆ นั้นเหรอ ไอ้ปัญญาอ่อน พอพูดจบไอ้ซี มันก็อึ้งๆ พออาบน้ำจะนอน ไอ้ซีมันนอนคลุมโปง แต่บีมันก็ไม่สนใจ พอนอนไปได้สักพัก เตียงมันสั่นๆ ไอ้บีก็เลยลืมตามองไปรอบๆ เห็นไอ้ซียังนอนคลุมโปงแต่ตัวมันสั่น บีก็เลยเขย่าตัวมัน มันก็ยังไม่หยุด มันก็เลยดึงผ้าห่มมันออก

และสิ่งที่บีเห็น มันทำให้บีตกใจสุดขีด หน้ามันไม่ใช่ไอ้ซี มันเป็นหน้าผู้ชายแก่ๆ แล้วเขาก็พูดว่า

“มึงอยากเจอกูไม่ใช่เหรอ!”

บีตกใจมาก มันเลยกระโดดลงเตียง พอมองกลับไปอีกที มันก็เป็นไอ้ซี บีก็เลยรีบปลุกมัน พอมันตื่น มันก็ทำท่าตกใจ ว่าทำไมบีมันไปยืนตรงห้องน้ำ แต่ความจริงมันยืนอยู่ข้างเตียง ไอ้บีมันก็เลยเรียกบอกไอ้ซีว่า กูอยู่นี่! มันก็หันกลับมา มันก็ร้องเสียงหลง ซีมันตะโกนว่า ใครยืนอยู่หลัง พอบีหันไปดูกระจกข้างหลัง มันเป็นรอยฝ้า เป็นรูปหน้าคนอยู่บนกระจก

มันตกใจมากกระโดดโหยงออกมาเลย แล้วก็วิ่งมาหาผมนี่แหละ แต่ก่อนที่ผมจะเปิดประตู ซีมันลองหันกลับไปดู ก็เห็นลุงแก่ๆ เดินมาจากศาล กำลังเดินตรงเข้ามาหา! ก่อนที่ผมจะเปิดประตูแล้วพวกมันก็วิ่งพรวดเข้ามา

“เป็นเพราะมึงไอ้บี มึงน่ะปากพล่อย” ซีพูดเสียงสั่น

ผมก็บอกกับทุกคนไปว่า “จริงๆแล้ว กูเห็นก่อนพวกมึงแต่กูไม่พูด ตอนที่ขึ้นจากเรือ กูเห็นมีลุงแก่ๆ เดินเข้าไปในทางที่พักเรา กูก็เลยถามพนักงานว่า พี่…วันนี้มีแขกเข้าพักเยอะไหม เขาก็บอกไม่ค่อยเยอะมีแค่ พวกเรากับ อีก 3 ครอบครัว กูก็ถามต่อไปว่า มีคนแก่เข้ามาพักด้วยเหรอ พนักงานก็ทำหน้างงๆ แล้วบอกว่า ไม่มี กูก็งงๆ เหมือนกัน แล้วตอนที่เล่นน้ำเสร็จ ก่อนจะมาอาบน้ำ ก่อนเข้าห้องกูก็เห็นลุงแก่ๆ ยืนแถวๆ ศาลจ้องมาที่มึงน่ะบี”

เช้ามาผมไปถามพนักงานว่ามันมีอะไรกันแน่ ตอนแรกพนักงานก็ไม่ยอมบอก จนผมเริ่มขึ้นเสียง เขาจึงยอมบอก เขาเล่าว่า มีลุงคนหนึ่งเขามาพักที่นี้ แล้วหัวใจวายตาย ในห้องที่คุณพักนี่แหละ ตั้งแต่นั้นมา เวลามีแขกมาพักห้องนั้นก็ไม่เคยมีใครอยู่ได้ จนเจ้าของโรงแรม ต้องสร้างศาลให้ ความเฮี้ยนจึงลดลง แต่พอคิดว่าลุงแกคงไม่มาหลอกใครแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปเซ่นไหว้อีกเลย จนกระทั่งพวกผมเข้ามาพัก

หลังจากผมรู้เรื่องทั้งหมด ผมของเช็คเอ้าท์ออกตอนนั้นเลย ผมไม่ห่วงเงินประกันแล้ว เสียดายก็เสียดายเงิน แต่ก็ดีกว่าอยู่ข้างๆ ห้องผีสิงนั่น และก่อนจะออก ผมก็ขอธูปจากพนักงาน แล้วไปขอขมาที่ศาล แล้วก็นั่งเรือออกมาจากเกาะ และไม่คิดที่จะไปเหยียบที่นั่นอีกเลย

 ขอขอคุณเรื่องเล่าจาก FWmail

 ==========
ติดตามอ่านและฟังเรื่องราวสยองขวัญได้ที่
# 7ThaiShock.blogspot.com
# Youtube : 7ThaiShock
https://www.youtube.com/channel/UChIyO564hX7aEok8EHbDZ0A
==========

เกาะฮาชิมะ ตำนานเกาะร้างอาถรรพ์สุดเฮี้ยน ในญี่ปุ่น (Hashima Island, Japan)


เกาะฮาชิมะ (Hashima Island) อยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร ในอดีตเคยรุ่งเรื่องมาก่อน และได้รับชื่อว่า Battleship Island หรือ เกาะเรือรบ มีความโดดเด่นเรื่องทรัพยากรถ่านหิน บริษัทมิตซูบิชิ ได้นำกำลังพลพนักงานเข้าไปทำอุตสาหกรรมถ่านหินบนเกาะนี้ ทางบริษัทสร้างที่พักอย่างมีมาตรฐานให้กับพนักงาน เรียกว่า เกาะนี้เจริญมากๆ ในช่วงปี ค.ศ. 1887-1974 และกรรมสิทธิ์ของเกาะแห่งนี้ เป็นของบริษัทมิตซูบิชิ แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปี ค.ศ. 1890 เพราะทางบริษัทลงทุนซื้อเกาะไว้ทั้งหมด ก่อนที่ความนิยมในการใช้ถ่านหินจะน้อยลง เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเข้ามาทดแทน



ในช่วงนั้นเกาะแห่งนี้ ทำท่าจะเหมือนเมืองใหญ่ที่ประชากรอยู่กันอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1959 มีประชากรอาศัยมากถึง 1,391 คน ต่อพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นความหนาแน่นอันดับต้นๆ ของการใช้ชีวิตเมืองบนโลกนี้เลยทีเดียว บนเกาะมีครบทุกอย่างที่เมืองใหญ่พึงมี ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงเรียน ร้านอาหาร ผับ บาร์ พร้อมบริการประชาชนบนเกาะทุกรูปแบบ และในปี ค.ศ. 1916 ได้มีการสร้างโครงสร้างคอนกรีตขนาดใหญ่รอบเกาะ เพื่อป้องกันประชาชนจากพายุไต้ฝุ่น และคลื่นลมทะเล กะจะวางรากฐานเกาะนี้ให้เป็นเมืองหลวงย่อมๆ กันไปเลยทีเดียว 


แต่ว่าเมื่อถึงเวลาถ่านหินหมดความนิยมไป ทำไปทำมา มีทีท่าว่าไม่มีกำไร มิตซูบิชิก็จำต้องเลิกกิจการ เมื่อบนเกาะไม่มีงาน ประชาชนก็ต่างเริ่มทยอยออกไปทีละกลุ่มจนหมดเกาะ ทิ้งไว้เพียงอาคาร รกร้าง ว่างเปล่า นานวันผ่านไปต้นไม้ ต้นหญ้าก็รกครึ้ม เสียงที่ทำให้เกาะนี้ไม่เงียบจนเกินไปก็มีเพียงเสียงคลื่นซัดฝั่ง เสียงลมหวีดหวิว เสียงนกกาและสัตว์เล็กๆ น้อยๆ บนเกาะ ความเงียบวังเวงเปลี่ยนชื่อเกาะนี้ให้กลายเป็น “เกาะผี” 


ตอกย้ำชื่อ “เกาะผี” เข้าไปอีกเมื่อปี ค.ศ. 2003 เกาะฮาชิมะ ได้รับเลือกให้เป็นโลเกชั่นในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Battle Royale (เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด) กำกับโดยคินจิ ฟูกาซากุ แต่มีเรื่องเล่ามาว่าทั้งทีมงาน และดารานักแสดงต่างสัมผัสได้ถึงความลี้ลับต่างๆ อย่างเช่น ขณะถ่ายทำกล้องก็หยุดทำงานไปดื้อๆ หรือทำงานแล้วแต่ดันถ่ายภาพไม่ติด หรือว่าติดแต่ติดสิ่งที่ไม่ต้องการมาด้วย รวมถึง ชิอากิ คูริยาม่า หนึ่งในนักแสดงเกิดอาหารคลุ้มคลั่ง เหมือนว่ากำลังโดนอะไรบางอย่างสิงเข้าร่าง หลังจากเหตุการณ์ ความวุ่นวายในเหตุการณ์คลุ้มคลั่งวุ่นวายในกองถ่าย ทางทีมงานได้สอบถาม นักแสดงสาว ชิอากิ ว่าเธอรู้สึกยังไงตอนที่เธอถูกผีสิง !! เธอบอกว่า “เธอเห็นผู้หญิงผมยาว ลอยผ่านตัวเธอ และหลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” !!!! 



อย่างไรก็ตาม เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนกับสถานที่คุมขังนักโทษด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่น ได้เกณฑ์แรงงานชาวจีนและเกาหลีใต้ ที่เป็นจำเลยในช่วงสงครามโลก มาทำงานในเหมืองถ่านหิน ทำให้ในสายตาของชาวจีนและเกาหลีใต้ มอง เกาะฮาชิมะ เป็นเหมือนกับสถานที่ที่ทำให้พวกเขาพบกับฝันร้าย แต่ในปัจจุบัน ทางการญี่ปุ่นพยายามที่จะผลักดันให้ เกาะฮาชิมะ เป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปยังองค์การยูเนสโก แต่กลับถูกทางการเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าเกาะฮาชิมะ คือ บาดแผลสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ และทำให้ชาวเกาหลีใต้และชาวจีน รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ที่มีการกล่าวถึงเกาะนี้

แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เกาะฮาชิมะ สมควรจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หรือไม่ แต่ปัจจุบันเกาะแห่งนี้ ก็มีชื่อเสียงอย่างมากจากการถูกนำไปใช้เป็นฉากจำลองใน ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ภาค Skyfall จนทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เกาะฮาชิมะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเมื่อ 4 ปีก่อน แต่จนถึงตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวสุดเวิ้งว้าง บรรยากาศหลอนแห่งนี้ เพราะทางการญี่ปุ่นจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้แต่ละปีมีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มาเที่ยวที่นี่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น 


แม้เกาะแห่งนี้ ยังไม่ได้เปิดให้ทุกคนที่อยากไปได้ตามต้องการ เมื่อไปถึงเกาะแล้ว อาจจะสงวนในเรื่องการเข้าไปในอาคารร้าง เพราะว่าความเก่า และอาคารบนเกาะแห่งนี้ ไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน อาจจะเกิดอุบัติเหตุ พังถล่มลงมาก็เป็นได้





นักท่องเที่ยวหลานคนที่เคยไปเยือนเกาะนี้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องความน่าขนลุก และบางคนก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถเล่าออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะนอกจากความหลอนแล้วที่นี่ยังมีความเศร้าปกคลุมอยู่อย่างน่าประหลาดทั่วบริเวณ อาจเพราะเกาะแห่งนี้เคยเป็นที่คุมขังเชลยศึกจากสงครามจำนานมากอยู่ก็เป็นได้ และนี่คือความเฮี้ยนจนได้เกาะฮาชิมะได้กลายเป็น 1 ใน 5 เกาะที่หลอนที่สุดในโลก มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงในปัจจุบันนี้

“หน้าผากแม่นาคพระโขนง”จากสมเด็จโต หลวงพ่อพริ้ง และเสด็จเตี่ย ก่อนที่จะลาจาก




หากกกล่าวถึงแม่นาคพระโขนง เป็นเรื่องราวตำนานรักที่ถูกเล่าขานและนำมาสร้างละครสร้างหนังกันมาหลายยุคหลายสมัย รวมถึงศาลแม่นาคที่มีคนแวะเวียนมาสักการบูชา วันนี้ได้นำเรื่องราว “หน้าผากแม่นาคพระโขนง”จากสมเด็จโต หลวงพ่อพริ้ง และเสด็จเตี่ย มาให้ทุกท่านได้อ่านและศึกษา ไปชมกันเลย

หลวงพ่อพริ้งวัดบางประกอกไปมาหาสู่ระหว่างวัดกับวังนางเลิ้งเสมอ โอรสเสด็จในกรมฯพระองค์หนึ่งคือ หม่อมเจ้าคำแดงฤทธิ์ เคยประชวรหนัก รักษาทั้งยาฝรั่ง ยาไทย เวทมนตร์คาถาก็ไม่หาย เสด็จในกรมฯเลยรับสั่งให้บนบวช ๑๐ วัน ปรากฏว่าได้ผล หายประชวรทั้งครอบครัวเลยต้องไปจำศีลอยู่ที่วัดบางประกอกเกือบเดือน


หน้าผากแม่นาคพระโขนงนั้นตกทอดเป็นลำดับจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาถึงหม่อมเจ้าพระพุทธปาธปิลันทร์และหลวงพ่อพริ้ง เล่ากันสืบมาว่า สมัยนั้นแม่นาคอาละวาดผู้คน ชาวบ้าน พระ เณรแถบย่านคุ้งน้ำพระโขนงจนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จโตจึงต้องเดินทางไปปราบด้วยพุทธคุณ แกะกะโหลกแม่นาคขนาดความกว้างประมาณ นิ้วครึ่ง – ๒ นิ้ว ยาว ๔ นิ้ว (โดยประมาณ) มาขัดมันลงอักขระ ปิดทองและติดย่ามไปไหนด้วยเสมอ แม้ว่าแม่นาคจะซาบซึ้งในรสธรรมแต่ก็ยังคงมีนิสัยชอบหยอกล้อสามเณรอยู่เหมือนเดิม

ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา เมื่อครั้นที่มาบวชเป็นสามเณรที่วัดระฆังก็โดนการหยอกล้อจนสมเด็จโตต้องล้วงกะโหลกแม่นาคออกจากย่ามแล้วบอกว่า โยมนาคอย่าไปกวนสามเณรเลย เมื่อกะโหลกแม่นาคตกทอดมาถึงพระพุทธปาธปิลันทร์ก็มีการกล่าวตักเตือนกันอีก หลังจากที่หลวงพ่อพริ้งส่งมอบกะโหลกแม่นาคให้กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านทรงเอามาเจาะรูทำเป็นปั้นเหน่งรัดบั้นพระองค์ติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อประทับอยู่ในตำหนักจะใส่พานวางไว้ที่ห้องพระ และทรงบอกเล่าให้หม่อมทุกคนได้ฟังเพื่อให้รับรู้ถึงความสำคัญ กระนั้นแม่นาคก็เคยปรากฏกลิ่นถึง ๒ ครั้งที่ตำหนักนางเลิ้ง


หม่อมแจ่มหรือหม่อมองค์น้อยนั้นเป็นคนกล้าหาญ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร นอกเหนือจากเสด็จในกรมฯเท่านั้น วันหนึ่งเพื่อน ๆ ของหม่อมได้แวะมาเยี่ยมเยือน การสนทนาวันนั้นได้วกเข้าหาเรื่องแม่นาคจนเกิดการท้ากันว่า หากหม่อมไม่กลัวก็ให้เดินเข้าห้องพระ เมื่อหม่อมแจ่มเดินเข้าห้องพระ ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปหมดจนต้องเผ่นหนีออกมาจากห้องพระ

เสด็จในกรมฯ ตรัสว่า คนที่แม่นาคไม่พอใจจะเห็นร่างของแม่นาคในแบบที่น่ากลัวมีกลิ่นเหม็น ดังนั้นจึงไม่ควรไปท้าเขากลัวหรือไม่กลัวก็เฉย ๆ ซะ ส่วนคนที่แม่นาคพอใจจะมาหยอกล้อด้วยแบบที่สวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจ

อีกคราวหนึ่งขณะกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาหม่อมทั้งหลายว่า ใครอยากจะคุยกับแม่นาคก็ได้ หม่อมแจ่มอีกนั่นแหละที่ขอทดสอบ เสด็จในกรมฯจึงส่งหน้าผากแม่นาคให้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน หม่อมแจ่มได้อธิษฐานขอให้แม่นาคมาอย่างงดงาม สักครู่ใหญ่ๆจึงได้กลิ่นเหม็นไหม้ ยิ่งนานก็ยิ่งอบอวลหนักขึ้น หม่อมแจ่มจึงรีบนำเอากะโหลกหน้าผากแม่นาคไปคืนเสด็จฯทันที พร้อมกับทูลถึงเรื่องที่เจอมา พระองค์ทรงพระสรวลและตรัสว่า รออีกสักประเดี๋ยวก็เห็นแล้ว หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าลองของอีก


กระทั่งวันหนึ่งระหว่างอยู่ที่โต๊ะเสวย เสด็จเตี่ยได้ตรัสว่า แม่นาคเขาลาไปเกิดแล้ว เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ สมบัติชิ้นนี้ได้ตกทอดอยู่ในการดูแลของนายเทียบ อุทัยเวช น้องชายของหม่อมแจ่มซึ่งเป็นมหาดเล็กคู่พระทัย ในตำแหน่งพลทหารเรือฝ่ายเสนารักษ์ หลังออกจากราชการได้ทำหน้าที่ดูแลศาลเสด็จเตี่ยเชิงสะพานเทวกรรมนางเลิ้ง ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก ปั้นเหน่งแม่นากเคยเก็บไว้ที่ศาลแห่งนี้ จนเมื่อมีการตัดถนนจึงได้โยกย้ายศาลดังกล่าวไปที่วัดโพธิ์

ปรากฏต่อมาว่าของชิ้นนี้สูญหายไป เนื่องจากเสด็จในกรมฯมีพระอาจารย์หลายท่าน ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า วิชาของท่านที่ร่ำเรียนมานั้นน่าจะมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางไสยเวทของกรมหลวงชุมพรฯ ที่มีการบันทึกไว้เป็นเกร็ด โดยหม่อมเจ้าเริงจิตรแจรง พระธิดาของเสด็จในกรมฯ เท่านั้น

และนี่คือบางส่วนของตำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค หรือที่หลายคนเรียกกันว่า กะโหลกหน้าผากแม่นาคพระโขนง ที่ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกๆท่าน สาธุ สาธุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

The Ghost Radio : วันหยุด โดย คุณมังกร




เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคุณมังกรและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่โดยไม่ได้ตั้งตัว เพราะคุณมังกรบังเอิญได้หยุดงานแบบไม่ได้คิดมาก่อน หลังจากเดินทางออกจากกรุงเทพก็ตั้งจีพีเอสที่ถนนคนเดินและขับไปเรื่อยๆ

อีกสองร้อยเมตรจะถึงจุดหมาย เสียงจีพีเอสแจ้งเตือนขึ้น แต่เส้นทางรอบๆ ก็มีแต่ความมืดมิดและบ้านคนที่อยู่ห่างๆ

อีกหนึ่งร้อยเมตรจะถึงจุดหมาย ด้วยความที่คุณมังกรเคยเดินทางมาที่ถนนคนเดินหลายครั้งแล้ว ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะเส้นทางดูไม่คุ้นตาเลย แต่เมื่อจีพีเอสแจ้งว่าถึงปลายทาง คุณมังกรและครอบครัวมองไปตามแสงไฟจากหน้ารถ ก็เห็นเป็นซุ้มทางเข้าวัดเก่าๆ แห่งหนึ่ง

"พ่อ นี่ไม่ใช่มั้ง อย่าลงไปนะ แฟนทักขึ้น"

คุณมังกรมองเห็นแค่เป็นวัดเก่าที่ขวามือมีศาลาตั้งอยู่ ก็คิดในใจว่าจีพีเอสคงรวน จึงพยายามตั้งใหม่ แต่มันก็ยืนยันว่าที่นี่คือจุดหมายที่ตั้งไว้ พอคุณมังกรไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเพื่อจะให้สอบถาม จึงขับรถออกมาตามเส้นทางเดิม แต่ก็หลงวนอยู่เกือบชั่วโมง จึงคิดได้ว่าที่ที่จะไปอยู่ใกล้ๆ เซ็นทรัล จึงตั้งจีพีเอสให้ไปที่เซ็นทรัลแทน จีพีเอสกลับแจ้งว่าตนอยู่ห่างจากจุดหมายถึง 15 กิโลเมตร

เมื่อคุณมังกรขับรถมาถึงถนนคนเดินก็ต้องพบกับความว่างเปล่า พอสอบถามเด็กวัยรุ่นที่อยู่แถวนั้นจึงได้ความว่า ถนนคนเดินมีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ คุณมังกรจึงเล่าเรื่องที่เจอเมื่อสักครู่ให้เด็กฟัง
พี่ มีคนมาเล่าแบบนี้สองคนแล้วนะ เด็กคนนั้นตอบ

"นี่น้อง มันจะมีคนไปปักหมุดไว้เพื่อแกล้งนักท่องเที่ยวรึเปล่า"

"ไม่รู้นะพี่ รู้แค่ว่า พี่เป็นคนที่สามละที่บอกแบบนี้"

ด้วยความที่พลาดจากถนนคนเดิน คุณมังกรจึงกลัวว่าแฟนจะโกรธ ไหนๆ ก็ไม่ได้จองที่พักในเมืองอยู่แล้ว และจากที่คุณมังกรหาข้อมูลมาก็เห็นว่ามีลานกางเต็นท์ มีกินเนื้อย่างบนเขา และตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ได้ จึงชวนแฟนขึ้นไปบนอุทยานนั้น แต่กว่าจะไปถึงก็มืดค่ำมากแล้ว เมื่อผ่านเขตอุทยานที่ 1 กลับไม่มีเจ้าหน้าที่เดินมาเก็บค่าธรรมเนียม คุณมังกรจึงขับรถขึ้นไปบนเขตอุทยานที่ 2 แต่ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เหมือนเดิม เห็นแต่ไฟในป้อมพักเปิดอยู่ คุณมังกรจึงพูดว่า เค้าคงไม่เก็บค่าเข้าแล้วมั้ง

"พ่อ ขับรถดีๆ นะหมอกลงหนามากเลย"  แฟนคุณมังกรพูดขึ้น เพราะทางมืดและมีหมอกเริ่มหนา

พอขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ทางก็เริ่มชันขึ้น หมอกก็ลงหนามาก จนแทบมองไม่เห็นทาง ต้องเปิดสปอร์ตไลท์ช่วยส่องทาง จนคุณมังกรและครอบครัวขึ้นมาถึงจุดกลางเต็นท์ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่มีเต็นท์สักหลังและไม่มีรถคันอื่นอยู่ในบริเวณนั้นเลย มองไปที่เสาแจ้งอุณหภูมิเห็นเป็น 16 องศา ด้วยความที่ดึกมากแล้ว หมอกก็ลงจัด จึงตัดสินใจนอนค้างกันในรถ โดยขับไปจอดที่ลานจอด เปิดกระจกลงนิดนึง

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมานอนจะอี้"

คุณมังกรตกใจตื่นเห็นเป็นเวลาตีสาม มองไปข้างรถก็เห็นเป็นผู้ชายผิวขาวไม่สวมเสื้อ มีผ้าพาดบ่า รัดสังวาลมีผ้าโพกหัวปักปิ่น

"ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมานอนจะอี้"

คุณมังกรก็พยายามอธิบายว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ตรงนี้

จนลูกชายตื่นและพูดขึ้นมาว่า "พ่อ เสียงใครน่ะ"

"อ่อ คงเป็นชาวบ้านแถวนี้แหละ เค้าคงสงสัยว่าทำไมเรามานอนที่นี่" แต่พอหันไปอีกที ผู้ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว

"พ่อ ช่วยส่องไฟมาทางนี้หน่อย"  แฟนคุณมังกรกล่าว

พอคุณมังกรส่องไฟไปตามที่แฟนบอก ก็เห็นเป็นหญิงแก่ สวมเสื้อม่อฮ่อมสีดำขลิบแดง ยืนอยู่ข้างๆ รถฝั่งแฟน

"ละอ่อนๆ เฮ็ดหยังมาอยู่จะอี้"

คุณมังกรก็พยายามอธิบาย สักพักลูกชายคุณมังกรที่นอนอยู่ด้านหลังก็พูดว่า "พ่อครับ ไม่รู้ใครมายืนอยู่หลังรถ"

คุณมังกรจึงใช้ไฟจากมือถือส่องออกไป

"พ่อ เค้าแต่งตัวเหมือนกุมารทองเลย"  เมื่อลูกพูดจบ คุณมังกรและแฟนก็สังเกตว่าหญิงแก่ที่อยู่ด้านหน้าหายไปแล้ว เมื่อได้ยินลูกชายพูดมาแบบนั้น คุณมังกรก็ใส่เกียร์อาร์และเหยียบเบรคให้กล้องหลังทำงาน แต่สิ่งที่เห็นในกล้องกลับเป็นช่วงล่างของเด็กคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีแดง

นาทีนั้นคุณมังกรคิดแค่ต้องออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า  "อย่าเพิ่งถามอะไร อย่าพึ่งพูดอะไรนะ"  คุณมังกรพยายามสตาร์ทรถ สี่ถึงห้าครั้งรถก็ไม่ติด จึงพนมมือและพูดขึ้นมาว่า "อะไรที่ลูกช้างทำให้ไม่พอใจด้วยกายวาจาที่ลูกช้างไม่ตั้งใจ ลูกช้างขออภัย ลูกช้างขอไปจากตรงนี้" พูดจบรถก็สตาร์ทติดทันที แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นหมอกลงหนักมาก คุณมังกรจึงค่อยๆ วนรถออกจากลานจอด และพยายามมองไปตรงจุดที่เห็นเด็ก แต่ตอนนี้มีแค่หมอกและความว่างเปล่า

พอขับรถออกมาได้ราว 200 เมตร อยู่ๆ รถก็เกิดไปชนเข้ากับอะไรบางอย่าง คุณมังกรจึงถอยหลังออก แต่ก็ไม่เห็นว่าชนอะไร มองตามแสงไฟที่สาดไปยังด้านหน้าก็ไม่มีอะไรขวาง จึงค่อยๆ ขับรถลงมาจากข้างบน แต่พอลงมาถึงจุดอุทยานที่ 2 ก็เจอกับเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง คุณมังกรจึงเปิดกระจกถามไปว่า  "พี่ครับโรงแรมที่ใกล้ที่สุด"

"อ๋อ ราวยี่สิบกิโล"

แต่น่าแปลก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สอบถามเลยว่ามายังไงมาจากไหน ตัวคุณมังกรพยายามจะเล่าให้ฟังว่าเจอกับอะไรมา แต่เจ้าหน้าที่ก็ดูไม่สนใจ พูดเพียงว่า ขับไปเรื่อยๆ ราวยี่สิบกิโลก็ถึงแล้ว

คุณมังกรจึงลองตั้งจีพีเอส จีพีเอสกลับบอกว่าอีกแค่ 15 กิโลเท่านั้นจะถึงที่หมาย คุณมังกรจึงตกลงใจ และพาครอบครัวเข้าไปพักโรงแรมนั้น ตามที่จีพีเอสบอก แต่ระหว่างทางที่จะขับรถมาถึงโรงแรม ล้อหน้าก็เกิดตกลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง ตู้มมม ตอนนั้นใจคุณมังกรอยากลงไปดูรถมาก แต่แฟนห้ามไว้ไม่ให้ลง เมื่อขับรถมาถึงโรงแรม ก็มีน้องพนักงานคนนึงเดินเข้ามาต้อนรับและพูดว่า "โหพี่ มาจากไหนเนี่ย ทำไมมาดึกจัง"

"พี่มาแบบไม่ได้เตรียมตัวน่ะ ขึ้นไปนอนข้างบนมา"
"พี่ ปกติไม่มีใครค้างข้างบนกันหรอกนะ"
"น้อง ตอนที่พี่ขึ้นไปข้างบน พี่เจออะไรแปลกๆ ด้วยนะ"
"ยังไม่ต้องเล่านะพี่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"

จนเช้า คุณมังกรกำลังจะเดินออกไปดูรถ ก็เจอกับน้องพนักงานคนเดิม จึงเล่าเรื่องที่เจอทั้งหมดให้ฟัง น้องพนักงานก็บอกว่า  "พี่เนี่ยน่าจะเป็นรายที่สามที่สี่แล้วมั้งที่เจอแบบนี้ คนที่เจอก็มาแบบพี่นี่แหละ มาแบบไม่เตรียมอะไร ไม่ได้หาข้อมูล"

"อ้าวแล้วมันคืออะไรล่ะ"

"เอางี้พี่ สายๆ พี่ลองขับรถขึ้นไปใหม่ เดี๋ยวพี่ก็รู้เองแหละว่าเจออะไร"

เมื่อน้องพนักงานไม่บอกอะไร คุณมังกรจึงเดินไปดูรถ แต่แปลกมากที่ล้อหน้าและด้านหน้าของรถไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่แน่ใจว่าเมื่อคืนต้องชนบางอย่างและตกหลุมมาแน่ๆ แต่กลับเป็นล้อหลังที่ร้าว ทางโรงแรมจึงช่วยถอดล้อและส่งไปซ่อมในตัวเมืองให้ กว่าจะเสร็จก็คงค่ำๆ คุณมังกรและครอบครัวจึงต้องค้างกันที่นี่อีกคืน

"ต้องนอนอีกคืนเหรอ"  แฟนถามขึ้น

"อือ กว่าล้อจะมาส่งก็มืดแล้ว ไม่อยากขับกลับค่ำๆ"

แล้วแฟนคุณมังกรก็พูดเสียงอ่อยๆ ขึ้นมาว่า "เราเปลี่ยนห้องได้มั้ย"

แต่เมื่อไปสอบถามทางโรงแรม ก็ยังไม่มีห้องไหนว่าง คุณมังกรจึงหันไปคุยกับแฟน ก็เห็นแฟนกำลังหน้าเสีย เลยถามขึ้นมาว่า "มีอะไรเหรอ ทำไมต้องเปลี่ยนห้อง" แต่แฟนก็ตอบว่า "ไม่มีอะไรหรอก เบื่อ แค่อยากไปเที่ยว"  เมื่อได้ยินแบบนั้น เช้ามืดคุณมังกรจึงตัดสินใจที่จะขึ้นดอยอีกครั้ง เพื่อพาครอบครัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

หลังจากที่ออกมาจากโรงแรมราวๆ ตีห้า หมอกยังคงลงจัดเหมือนเดิม และเมื่อขึ้นไปถึงบนลานจอดก็เงียบ ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว คราวนี้คุณมังกรขับมาจอดใกล้ๆ เสาไฟสปอร์ตไลท์ จนเกือบๆ เจ็ดโมงเช้าจึงเริ่มมีรถขึ้นมา คุณมังกรจึงเลื่อนรถเข้าลานจอด และเห็นว่าใกล้ๆ ตรงลานจอดเป็นหน้าผาที่มีไม้กั้นแค่เตี้ยๆ

"เธอดูสิ ถ้าคืนนั้นเราขับรถไม่ดีนะ"  คุณมังกรชี้ให้แฟนดู

จากนั้นก็ลงรถ และเริ่มเดินดูวิวไปเรื่อยๆ จนคุณมังกรและครอบครัวไปสะดุดตากับเจดีย์เล็กๆ และเห็นว่ามีประวัติจารึกไว้ พอเดินเข้าไปอ่านก็พบว่าเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองเก่า อ่านไปเรื่อยๆ ก็รู้แล้วว่าพวกตนเองเจอกับอะไร และนึกขอบคุณว่าท่านคงมาเตือน พอเดินไปอีกก็มองเห็นเป็นตุ๊กตากุมาทองทองและตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปผู้หญิง

"เธอ ดูนั่นสิ"  คุณมังกรชี้ให้แฟนดู

"อุ้ย เหมือนที่เราเจอเลยพ่อ"

"พ่อครับ กุมารทองเหมือนที่เราเจอเลย"

คุณมังกรรู้สึกผิดที่วันนั้นเข้ามานอนในที่ของท่านโดยไม่ได้ขออนุญาต จึงพยายามหาธูปเทียนมาจุดขอขมาก็ไม่มี ได้แต่กาแฟแก้วมาวางเพื่อเป็นการขอขมาและขอบคุณแทน

เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ แฟนก็เล่าให้ฟังว่าทำไมถึงอยากย้ายห้อง เห็นคนเดินเข้าห้องน้ำ ทีแรกคิดว่าเป็นพ่อ แต่พอเดินออกมากลับเป็นผู้หญิง คิดว่าเอ๊ะมาได้ยังไง พยายามเรียกพ่อ พ่อก็ไม่ตื่น พยายามมองก็มองเข้าไปไม่เห็น พอรู้ว่าคืนที่ 2 ต้องนอนห้องเดิมอีก ก็กลัวพ่อกับลูกจะกลัวเลยไม่เล่า
คืนที่สองเธอก็เจอเหรอ

"เจอสิ เหมือนเดิมเลย ผู้หญิงวัยรุ่น แต่งตัววัยแบบวัยรุ่นใส่กัน แปลกที่เค้าเดินเหมือนคนปกติและเค้าเหมือนไม่รู้เลยว่าเราอยู่ตรงนั้น"

"แล้วเธอปลุกเรารึเปล่า"

"ปลุกสิ แต่เธอก็ไม่ตื่น เหมือนคืนแรกเลย"

คุณมังกรจึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องไม่ใช่คนแน่ๆ เพียงแต่เธอคือใครเท่านั้น และยังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้

The Ghost Radio : โศกนาฏกรรม โดย คุณปู




ย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว คุณปูและเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน ต่างก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่น แต่ก็ยังติดต่อกันเรื่อยๆ และคนที่อยู่ไกลสุดเห็นจะเป็นพร ที่แต่งงานและย้ายไปอยู่หาดใหญ่บ้านของสามี บ้านของคุณพรไกลออกไปจากตัวเมืองมาก ด้านหน้าเป็นสวนยาง ด้านหลังเป็นสวนลองกอง บ้านและสวนนี้พ่อแม่สามียกให้ไว้ทำมาหากิน

แต่ช่วงนั้นข่าวความรุนllรงในสามจังหวัดชายแดน ก็มีมาให้ได้ยินประจำ จนเพื่อนทุกคนต่างเป็นห่วงคุณพร อยากให้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพ เพราะบ้านก็ซื้อไว้แล้วและยังอยู่ไม่ไกลกับเพื่อนๆ นัก คุณพรท้องแก่ใกล้คลอด บอกกับเพื่อนๆ ว่า ช่วงนี้ใกล้เก็บลองกองอยากอยู่ช่วยสามีก่อน หมดหน้าลองกองแล้วค่อยว่ากัน แล้วคุณพรก็เงียบหายไป

วันหนึ่งคุณปูและเพื่อนนัดกินก๋วยเตี๋ยวกันที่ร้านเก่าใกล้ๆ บ้าน นิดหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ขับผ่านก็ตะโกนขึ้น

"พร..พร.. เฮ้ยพร!!!"

ทุกคนมองตามไปก็เห็นเป็นพรท้องโตนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์สามีและมีลูกเล็กๆ อายุราวๆ สองขวบนั่งอยู่ด้วย พรหันมาโบกมือให้ แต่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้จอด ขี่เลยเข้าไปในซอย

"อ้าว! สงสัยรีบมั้ง"

"เออ มันร้อนน่ะ แล้วมันท้องอยู่ด้วย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหามันที่บ้านก็ได้"

เมื่อกินเสร็จจึงพากันเข้าไปหาพรที่บ้านในซอยนั้น แต่เมื่อไปถึงบ้านกลับปิด ก็คิดกันว่าพรคงไปธุระต่อหรือไม่ก็ไปบ้านแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เลยตกลงกันว่าอีกสองวันค่อยนัดกันมาใหม่

คืนนั้นดึกมากแล้วมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านคุณปู เมื่อคุณปูไปรับสาย ซ่า ซ่า ซ่า เสียงเหมือนสัญญาณไม่ดี พยายามฟังก็ไม่ได้ยินว่ามีใครพูดอะไรจึงวางสาย พอกลับไปนอนได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงทัก

"ปู...ปู" 

คุณปูตกใจตื่นเปิดหน้าต่างมองออกไปเห็นเป็นพรมายืนเรียกอยู่หน้าบ้าน

"เฮ้ย! ดึกป่านนี้ เดินมายังไงวะ! ทำไมแฟนมันปล่อยให้เดินมาวะ..." คุณปูคิดอยู่ในใจ แล้วร้องตะโกนลงไปว่า

"พร รอแป๊ปนึง เดี๋ยวเปิดประตูให้ "

ขาดคำก็รีบวิ่งไปหน้าบ้าน แต่เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบแต่ความว่างเปล่า ไม่เห็นใคร

"เอ้า เล่นอะไรวะเนี่ย"  ตอนนั้นคุณปูไม่คิดติดใจอะไรก็กลับขึ้นมานอนต่อ

ผ่านไปจนถึงวันนัดเพื่อนๆ คุณปูก็เจอนกกับแยม แยมก็ถามว่า "ปูเจอพรบ้างมั้ย เราว่ามันแปลกๆ เมื่อคืนมีโทรศัพท์มา แม่เรารับ แล้วมาตามเรา บอกมีผู้หญิงโทรมาหา พอเรามารับสาย มันมีแต่เสียงสะอื้น ถามอะไรก็ไม่พูด จนเราวางสาย"

"โอ้ยยังดี นกว่า เมื่อคืนตอนเรานอน เหมือนมีคนมานอนร้องไห้อยู่ข้างๆ เรากลัวมากไม่กล้าหันไปดู สักพักเสียงนั้นก็เงียบหายไป"

หลังจากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้เจอมาต่างก็อยากไปหาพรทันที แต่ติดที่นิดยังไม่มา รอเกือบ 2 ชั่วโมง จึงตัดสินใจไปหานิดที่บ้านเพราะบ้านนิดอยู่ไม่ไกลบ้านพร

"หวัดดีค่ะแม่ นิดมันไม่อยู่เหรอคะ"

"ไปดูเอาเถอะหนู ลุกไม่ขึ้นแต่เมื่อคืนแล้ว ผมเผ้าร่วงหมด แม่ฝากหน่อยแล้วกัน นี่จะไปตามหลวงพ่อที่วัด"

เมื่อเข้าไปพบนิด นิดยังอยู่ในอาการช็อคไม่ยอมพูดอะไรกับใคร จนหลวงพ่อมาถึงท่านรดน้ำมนต์ให้นิดจึงดีขึ้น

"เมื่อคืน พรมันมาเรียกเราหน้าบ้าน เราก็ออกไปหา เพราะเห็นว่าดึกแล้ว ถามว่ามายังไง มันก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ เราเลยชวนมันเข้ามาในบ้าน เราเอาน้ำมาให้ แล้วก็ถามอีกว่าทะเลาะกับแฟนมาเหรอ มันก็เอาแต่ร้องสะอึกสะอื้น เราไม่รู้ทำไงเลยปล่อยให้ร้องไปแล้วก็นั่งอยู่ข้างๆ จู่ๆ มันก็ร้องไห้จนตัวโยน แล้วเอามือบีบที่ท้องตัวเอง เราตกใจเลยขยับเข้าไปใกล้ ถามไปว่าเป็นอะไร มันเงยหน้ามาอาเจียนเป็นเลือด เลือดทั้งนั้นเลยแก เราตกใจทำไรไม่ถูก กรี๊ดลั่นบ้าน วิ่งไปเรียกพ่อแม่ พี่ทุกคนเลย แต่พอทุกคนตามเราออกมา กลับไม่เจอมัน มันหายไป นิดยืนยันว่าเจอพรจริงๆ เพราะน้ำที่รินให้ยังวางอยู่ที่โต๊ะ"

หลังจากที่นิดอาการดีขึ้นแล้ว ทั้งสี่คนจึงชวนกันไปที่บ้านพร แต่พอไปถึงบ้านก็ยังคงปิดอยู่ เลยลองเอามือไปขยับกลอนประตูดู ปรากฏว่ากลอนเป็นสนิมร่วงกราว ราวกับว่าไม่เคยมีใครมาเปิดบ้านหลังนี้เลย

"งั้นไปบ้านแม่พรกันเถอะ"

จากบ้านพรไม่นานก็มาถึงบ้านของแม่พร

"แม่ได้คุยกับพรบ้างมั้ย"

"ไม่ได้คุยกันเป็นอาทิตย์แล้ว เค้าว่างานยุ่ง กำลังจะตัดลองกอง ตัดเสร็จก็จะพากันลงมากรุงเทพ แม่เลยไม่ได้โทรไปอีก ก็รออยู่นี่แหละ"

ทั้งสี่คนจึงเล่าเรื่องที่เจอให้แม่ฟัง เมื่อลองโทรไปหาพรกลับติดต่อไม่ได้ แม่จึงโทรไปหาพ่อแม่ของสามีพร ซึ่งท่านอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ทางนั้นเองก็ไม่สามารถติดต่อบ้านพรได้เช่นกัน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกตินัก จึงขอให้ทหารสองนายช่วยเข้าไปดูในสวนให้

ทหาร 2 นายออกเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เช้า จนบ่ายคล้อยก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ทางการจึงส่งทหารตามไปอีก 4 นาย

เมื่อไปถึงทางเข้าสวนมองเห็นทหารนายหนึ่งโดนยิงนอนตายอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อเข้าไปเกือบถึงบ้านก็เห็นศพทหารอีกหนึ่งนายโดนปาดคอ บ้านคุณพรหลังนั้นยังเปิดหน้าต่างประตูดูปกติทุกอย่าง แต่กลับไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย จึงเดินเข้าไปตามหาในสวนลองกอง ก็ต้องพบกับภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง คุณพรซึ่งท้องแก่ สามี และลูกสาววัยสองขวบ ถูกพบเป็นศพโดนมัดมือมัดเท้า ยิงและทิ้งศพไว้ในร่องสวนนั่นเอง ทางการจึงช่วยกันเคลื่อนย้ายศพทั้งหมดออกมาให้ญาตินำไปทำพิธี

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พ่อแม่สามีก็จ้างคนไปเฝ้าสวน แต่ไม่เคยมีใครอยู่ได้ ต่างก็บอกตรงกันว่า มักจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ หนักเข้าเห็นเป็นผู้หญิงท้องเดินอยู่ในสวน และที่ทำให้สวนนี้กลายเป็นสวนร้างรวมถึงคนที่อยู่แถวๆ นั้นก็ย้ายออกกันหมด คือคนเฝ้าสวนรายสุดท้าย ถูกยิJขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ กำลังจะออกไปถนนใหญ่

ทุกวันนี้สวนยางสวนลองกองถูกปล่อยให้รกร้าง คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเล่าว่า พวกเขายังคงเห็นพ่อ แม่ ลูกมายืนโบกรถตรงทางเข้าสวนเป็นประจำ เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .