บ้านดิฉันอยู่ในซอยแถวถนนรัชดา เป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นคึกคักสุดๆ ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้าศุกร์เสาร์ต้นเดือนรถจะติดกันเป็นแพ ยาวเหยียดจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยก็ว่าได้สถานบริการเพียบ ทั้งโรงแรมโรงนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ สปาจริงและบังหน้าค้ากาม ไหนจะมีโคโยตี้ล่อตาล่อใจพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก
ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ!
บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน
อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม
ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
คืนหนึ่ง เรื่องร้ายก็อุบัติขึ้นจริงๆ
เสียงปืนดังสนั่นราว 4-5 นัดติดๆ กันจนดิฉันกับสามีสะดุ้งตื่น ลงมาจากชั้นบนก็พบน้องสาวที่กำลังตื่นเต้น...เพื่อนบ้านเปิดไฟทั้งสองฝั่ง ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าๆ พวกเราออกไปดูเหตุการณ์กันที่หน้าประตูรั้ว...แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดเรื่องที่บ้านหลังไหน?
ไม่ช้าตำรวจก็มาถึง...น่าแปลกที่ไม่มีเจ้าทุกข์หรอกค่ะ!
เสียงโจษจันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าบ้านนั้น บ้างก็ว่าบ้านนี้...ผู้คนออกมาดูกันมากขึ้นทุกที จนกระทั่งไปพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ข้างถนนใต้ต้นไม้ ถัดจากบ้านดิฉันไปไม่ไกลนัก โดนยิงที่อกซ้ายจนเลือดแดงฉานไหลนองน่าเสียวไส้ คุณป้าคุณน้ามองเห็นก็ร้องหวีดว้าย บางคนถึงกับเป็นลมไปก็มี
รถมูลนิธิแล่นเข้ามา แสงไฟวูบวาบน่าเวียนหัว...ตำรวจสอบถามใครก็ไม่ได้เรื่องล้วนแต่บอกว่าได้ยินเสียงปืนจนตกใจตื่นกันทั้งนั้น...น้องสาวกอดแขนดิฉันแน่น ถามแต่ว่าใครคะ...ขโมยมันขึ้นบ้านใคร? ดิฉันส่ายหน้า หันไปทางสามี...เขากระซิบว่าเจ้าของบ้านคงยิงขโมยตาย แต่กลัวจะมีเรื่องเดือดร้อนทีหลังเลยไม่ยอมปริปาก
หรือว่าจะเป็นพ่อบ้านอารมณ์ร้อน คนที่เคยประกาศว่าจะยิงทิ้งคนร้าย...ดิฉันมองหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย หันไปทางบ้านนั้นก็พบว่าปิดไฟเงียบเชียบ...
เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปเดือนเศษก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา!
คืนนั้นฝนตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำ อากาศเย็นสบายจนน่านอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างทำให้ดิฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก...สามีบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัด เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงน้องสาวที่นอนคนเดียวในห้องชั้นล่าง ลูกๆ ยังหลับอยู่ในห้องติดๆ กันนี่เอง
ดิฉันกระโดดลงบันไดอย่างลืมตัว ปากก็ร้องตะโกนชื่อน้อง...ยายนิดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตลอดเวลา เกือบพร้อมๆ กับที่น้องถลาออกมาที่ห้องรับแขก เปิดไฟสว่างจ้า พอเห็นดิฉันก็โผเข้ากอดไว้แน่น ร้องไห้โฮ...พร่ำแต่ว่า "ช่วยด้วยๆ" อยู่ไม่ขาดปาก
ในห้องนอนน้องไม่มีอะไรผิดปกติ หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดและมุ้งลวด...มองออกไปเห็นถนนเปียกโชก เป็นเงาวับอยู่ในแสงไฟ มีรถแล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา
น้องสาวก็เล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!
ขณะที่นอนหลับก็มีเสียงครวญครางเบาๆ มากระทบหู เสียงอะไรลากไปตามพื้นใกล้ๆ หน้าต่าง อดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงย่องไปดู...ท่ามกลางแสงสว่างเหลืองรัวจากเสาไฟฟ้า ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นเต็มม่านตา...
ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังเดินลากขา ท่าทางโซซัดโซเซ มือหนึ่งกุมอกไว้ ใบหน้าเงยแหงนไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม...สีแดงฉานไหลจากง่ามนิ้วมาถึงท่อนแขน! เลือดสดๆ เหมือนเลือดที่ไหลนองบนพื้นถนนในคืนที่เกิดเหตุร้ายไม่มีผิดเลย
ภาพที่เห็นทำให้เธอหวิดจะช็อกคาที่ หลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว...คุณพระช่วย!
ฉับพลันนั้นเอง ร่างอุบาทว์ที่กำลังจะเดินผ่านไปก็กลับชะงักงัน! เธออ้าปากค้างตะลึงมอง ใบหน้าของมันค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคงแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
จากด้านหลังจนเห็นเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียม...มันค่อยๆ หันมาขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเหลือกลาน อยากจะหันหน้าหนี อยากจะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด หรือไม่ก็หายวับไปเสียเลย ภูตร้ายจะได้มองไม่เห็น...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป...
ในที่สุด ภูตนรกตนนั้นก็หันมาจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาวไม่ผิดกับเปลวไฟ!
"ว้าย! ช่วยด้วยๆ..." ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าใส่จนแทบจะช็อกตายคาที่ แผดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งเปิดประตูมือไม้สั่นพลางหวีดร้องไปด้วย...จนกระทั่งดิฉันวิ่งลงมาพบเธอ
"ตาฝาดน่ะ! หรือไม่ก็คิดมากไปเอง" นั่นเป็นอย่างมากที่ดิฉันจะปลอบน้องได้...ก่อนจะพาเธอขึ้นไปนอนด้วย คืนนั้นดิฉันหลับๆ ตื่นๆ จิตใจสับสนวุ่นวายบอกไม่ถูก ภาพของศพหัวขโมยคืนนั้นยังติดหูติดตาไม่รู้ลืม
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย...พ่อบ้านที่เคยประกาศว่าจะฆ่าโจรเมื่อเดือนก่อนหัวใจวายตายคาที่นอน ภรรยาเขาเล่าว่าเห็นศพสามีอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเหมือนเห็นภาพอันน่าสยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ!
บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน
อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม
ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
คืนหนึ่ง เรื่องร้ายก็อุบัติขึ้นจริงๆ
เสียงปืนดังสนั่นราว 4-5 นัดติดๆ กันจนดิฉันกับสามีสะดุ้งตื่น ลงมาจากชั้นบนก็พบน้องสาวที่กำลังตื่นเต้น...เพื่อนบ้านเปิดไฟทั้งสองฝั่ง ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าๆ พวกเราออกไปดูเหตุการณ์กันที่หน้าประตูรั้ว...แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดเรื่องที่บ้านหลังไหน?
ไม่ช้าตำรวจก็มาถึง...น่าแปลกที่ไม่มีเจ้าทุกข์หรอกค่ะ!
เสียงโจษจันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าบ้านนั้น บ้างก็ว่าบ้านนี้...ผู้คนออกมาดูกันมากขึ้นทุกที จนกระทั่งไปพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ข้างถนนใต้ต้นไม้ ถัดจากบ้านดิฉันไปไม่ไกลนัก โดนยิงที่อกซ้ายจนเลือดแดงฉานไหลนองน่าเสียวไส้ คุณป้าคุณน้ามองเห็นก็ร้องหวีดว้าย บางคนถึงกับเป็นลมไปก็มี
รถมูลนิธิแล่นเข้ามา แสงไฟวูบวาบน่าเวียนหัว...ตำรวจสอบถามใครก็ไม่ได้เรื่องล้วนแต่บอกว่าได้ยินเสียงปืนจนตกใจตื่นกันทั้งนั้น...น้องสาวกอดแขนดิฉันแน่น ถามแต่ว่าใครคะ...ขโมยมันขึ้นบ้านใคร? ดิฉันส่ายหน้า หันไปทางสามี...เขากระซิบว่าเจ้าของบ้านคงยิงขโมยตาย แต่กลัวจะมีเรื่องเดือดร้อนทีหลังเลยไม่ยอมปริปาก
หรือว่าจะเป็นพ่อบ้านอารมณ์ร้อน คนที่เคยประกาศว่าจะยิงทิ้งคนร้าย...ดิฉันมองหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย หันไปทางบ้านนั้นก็พบว่าปิดไฟเงียบเชียบ...
เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปเดือนเศษก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา!
คืนนั้นฝนตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำ อากาศเย็นสบายจนน่านอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างทำให้ดิฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก...สามีบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัด เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงน้องสาวที่นอนคนเดียวในห้องชั้นล่าง ลูกๆ ยังหลับอยู่ในห้องติดๆ กันนี่เอง
ดิฉันกระโดดลงบันไดอย่างลืมตัว ปากก็ร้องตะโกนชื่อน้อง...ยายนิดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตลอดเวลา เกือบพร้อมๆ กับที่น้องถลาออกมาที่ห้องรับแขก เปิดไฟสว่างจ้า พอเห็นดิฉันก็โผเข้ากอดไว้แน่น ร้องไห้โฮ...พร่ำแต่ว่า "ช่วยด้วยๆ" อยู่ไม่ขาดปาก
ในห้องนอนน้องไม่มีอะไรผิดปกติ หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดและมุ้งลวด...มองออกไปเห็นถนนเปียกโชก เป็นเงาวับอยู่ในแสงไฟ มีรถแล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา
น้องสาวก็เล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!
ขณะที่นอนหลับก็มีเสียงครวญครางเบาๆ มากระทบหู เสียงอะไรลากไปตามพื้นใกล้ๆ หน้าต่าง อดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงย่องไปดู...ท่ามกลางแสงสว่างเหลืองรัวจากเสาไฟฟ้า ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นเต็มม่านตา...
ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังเดินลากขา ท่าทางโซซัดโซเซ มือหนึ่งกุมอกไว้ ใบหน้าเงยแหงนไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม...สีแดงฉานไหลจากง่ามนิ้วมาถึงท่อนแขน! เลือดสดๆ เหมือนเลือดที่ไหลนองบนพื้นถนนในคืนที่เกิดเหตุร้ายไม่มีผิดเลย
ภาพที่เห็นทำให้เธอหวิดจะช็อกคาที่ หลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว...คุณพระช่วย!
ฉับพลันนั้นเอง ร่างอุบาทว์ที่กำลังจะเดินผ่านไปก็กลับชะงักงัน! เธออ้าปากค้างตะลึงมอง ใบหน้าของมันค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคงแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
จากด้านหลังจนเห็นเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียม...มันค่อยๆ หันมาขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเหลือกลาน อยากจะหันหน้าหนี อยากจะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด หรือไม่ก็หายวับไปเสียเลย ภูตร้ายจะได้มองไม่เห็น...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป...
ในที่สุด ภูตนรกตนนั้นก็หันมาจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาวไม่ผิดกับเปลวไฟ!
"ว้าย! ช่วยด้วยๆ..." ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าใส่จนแทบจะช็อกตายคาที่ แผดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งเปิดประตูมือไม้สั่นพลางหวีดร้องไปด้วย...จนกระทั่งดิฉันวิ่งลงมาพบเธอ
"ตาฝาดน่ะ! หรือไม่ก็คิดมากไปเอง" นั่นเป็นอย่างมากที่ดิฉันจะปลอบน้องได้...ก่อนจะพาเธอขึ้นไปนอนด้วย คืนนั้นดิฉันหลับๆ ตื่นๆ จิตใจสับสนวุ่นวายบอกไม่ถูก ภาพของศพหัวขโมยคืนนั้นยังติดหูติดตาไม่รู้ลืม
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย...พ่อบ้านที่เคยประกาศว่าจะฆ่าโจรเมื่อเดือนก่อนหัวใจวายตายคาที่นอน ภรรยาเขาเล่าว่าเห็นศพสามีอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเหมือนเห็นภาพอันน่าสยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!