ดิฉันเพิ่งซื้อคอนโดมิเนียมสวยหรูอยู่แถวพระราม 3 ปกติอยู่กับพี่สาวค่ะ แต่ส่วนใหญ่พี่สาวจะทิ้งดิฉันไว้ลำพังเพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตส ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ด้วย
เราอยู่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว ดิฉันเจอเรื่องสยอง ซึ่งทีแรกไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคืออะไรแน่?
บนชั้น 25 นี้มีห้องชุดว่างอยู่ 2 ห้องค่ะ ห้องหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก เห็นวิวยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่จริงมันสวยมาก ดิฉันชอบ แต่พี่สาวบอกว่าอย่าอยู่เลย มันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้
เป็นอันว่าเราซื้อห้องชุดที่อยู่ติดกัน แต่หันหน้าไปทางทิศเหนือ และมีหน้าต่างมองเห็นวิวยามพระอาทิตย์ขึ้นด้วย เออ...มันดีกว่าจริงๆ แหละ! ห้องที่พี่สาวเลือกนี้ดูสดชื่นรื่นรมย์ บรรยากาศแตกต่างกันลิบลับ แม้จะไม่ได้เห็นลำแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตาม
ตอนที่เราตกลงใจเลือกซื้อห้องนี้ คนที่ขายห้องดูผิดหวังยังไงๆ อยู่...เห็นเธอแอบถอนใจเฮือกเลยค่ะ
ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั่นคงขายไม่ออกสักที แต่ดิฉันอยากปลอบใจเธอว่า อีกไม่นานก็คงขายได้หรอกน่า เพราะมีคนต้องการ...เห็นมีมาดูบ่อยๆ ทั้งคนไทยและพวกเกาหลี
ห้องนอนดิฉันมีผนังเดียวกับห้องชุดที่ว่างอยู่นั้น คืนหนึ่ง หลังจากเข้ามาอยู่ได้แค่ 2-3 วัน พี่สาวต้องไปบิน ตอนดึกดิฉันได้ยินเสียงคนอยู่ในห้องข้างๆ
ที่จริงมันแปลกมาก เราไม่น่าได้ยินเสียงลอดออกมาได้ชัดเจนขนาดนั้นเลย!
จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ดิฉันอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย ดันไฟกลางห้องแล้วขึ้นเตียง ซุกผ้านวมอย่างแสนสบาย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิด มีเสียงเด็กผู้หญิงเล็กๆ 2 คน เสียงผู้ชายกับผู้หญิงซึ่งคงเป็นพ่อแม่...พวกเขาดูราวกับเพิ่งกลับจากไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์
เมื่อได้ยินดิฉันก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะหงุดหงิด ...คอนโดฯ ดีๆ ทำไมผนังกั้นห้องบางจนเสียงจากห้องอื่นดังมารบกวนเราได้นะ?
ดิฉันหลับตา นึกเห็นภาพครอบครัวเล็กๆ ที่น่ารักในห้องข้างๆ แล้วก็เพลินจนไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ...และฝันไปว่าตัวเองเดินเข้าไปอยู่ในห้องนั้น
ในฝัน ดิฉันเห็นสภาพภายในห้อง มันมีบรรยากาศน่าอบอุ่น เขาจัดแต่งห้องอย่างน่ารัก มีโซฟาหนานุ่มสีเนื้ออ่อนๆ วางหมอนสีต่างๆ เรียงราย ด้านหนึ่งมีโต๊ะเรียนของเด็กๆ 2 โต๊ะ....
นั่นไง! เด็กผู้หญิงอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ 2 คน น่าเอ็นดูมาก พวกเธอตัวเล็กบอบบาง มีรูปร่างเพรียวราวกับนักระบำบัลเล่ต์ตัวน้อยๆ เธอสบตากับดิฉัน ดวงตากลมโตจ้องแป๋ว...และแล้ว ดิฉันก็เห็นผู้เป็นพ่อเดินมาเปิดทีวี...เขายิ้มให้ดิฉันด้วย ขณะที่ผู้เป็นภรรยาเดินถือถาดอาหารว่างออกมาจากห้องครัวเล็กๆ
ดิฉันรู้สึกราวกับเป็นแขกผู้ได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมสถานที่นั้น...ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่อย่างเป็นกันเองที่สุด
ทันใดนั้นเอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...
ไฟสลัวลง ห้องเก่าโทรม ฝุ่นและหยากไย่ใยแมงมุมเกาะเต็ม โซฟาฉีกขาดจนเห็นฟองน้ำข้างใน...และมีคราบเลือดเกรอะกรัง
เด็กผู้หญิงทั้งสองเปลี่ยนสภาพเป็นซากศพแห้งๆ ที่ยังยืนจ้องดิฉันในท่าเดิม ผู้เป็นพ่อแม่ก็เช่นกัน เขาเป็นศพยับเยินเปรอะเลือด กะโหลกยุบ ใบหน้าเหวอะหวะ และมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยองสิ้นดี!
ดิฉันถอยกรูดและพยายามจะหนี แต่วิ่งไม่ออกค่ะ...
ตกใจผวาตื่น เหนื่อยใจแทบขาด เหงื่อผุดพราวเต็มตัวทั้งๆ ที่แอร์เย็นฉ่ำ
ฝันร้ายอะไรจะน่ากลัวขนาดนั้น? ฉับพลัน เสียงเด็กหญิงหัวเราะร่วนก็ดังประสานมาจากข้างห้อง เล่นเอาขนลุกซ่า จากนั้นทุกอย่างก็เงียบกริบลง!
ถัดจากคืนนั้น ดิฉันยังได้ยินเสียงเหมือนเดิมทุกค่ำ ตอนราว 4 ทุ่ม และฝันร้ายเป็นประจำ...ฝันว่าหลุดเข้าไปอยู่ในห้องนั้นกับพ่อแม่ลูกที่เป็นผี บางคืนก็น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ...เพราะในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ดิฉันได้ยินเสียงเด็กหญิง 2 คนเล่นกัน และแล้ว ร่างของเธอก็ทะลุผนังมาอยู่บนเตียงในพริบตา
เตียงสั่นและไหวยวบจนสะดุ้งตื่น แต่เมื่อตื่นเต็มตามันก็ไม่มีอะไร...เสียงจากห้องข้างๆ ก็เงียบกริบ
ที่น่าแปลกใจอีกอย่างก็คือ เมื่อใดที่พี่สาวอยู่ด้วย ดิฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ แม้จะเอาหูแนบผนังแอบฟังก็ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น!
วันหนึ่ง ดิฉันอดรนทนไม่ไหวก็เลยเล่าให้พี่สาวฟัง
เธอไม่ยักหัวเราะ แต่ดูครุ่นคิดและกังวล
ในที่สุด เราก็แกล้งถามเจ้าหน้าที่ของคอนโดฯ ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าลิฟต์ชั้นล่าง เธออึ้งไปนาน ทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แถมมีท่าทางตื่นกลัวหน่อยๆ ด้วย ดิฉันบอกว่าอยากเห็นและอยากรู้จักเพื่อนข้างห้องจังเลย
เธออุบๆ อิบๆ ว่าห้องนั้นยังว่างอยู่! ว่างจริงๆ ว่างมานานแล้ว ก่อนที่เราจะมาซื้อที่นี่ เจ้าของห้องนั้นเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก อย่างที่ดิฉันพูดถึง แต่พวกเขาประสบอุบัติเหตุ รถชนกันอย่างรุนแรง และตายยกครอบครัว...มันน่าเศร้าจริงๆ
คราวนี้ดิฉันกลับเป็นฝ่ายอึ้ง พอได้สติก็รบเร้าพี่สาวให้ไปหาที่อยู่ใหม่กันดีกว่า เธอก็เห็นด้วย ดิฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดดูสิคะ ดิฉันต้องอยู่คนเดียวนะ..อำลาดีกว่าค่ะงานนี้!
เราอยู่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว ดิฉันเจอเรื่องสยอง ซึ่งทีแรกไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคืออะไรแน่?
บนชั้น 25 นี้มีห้องชุดว่างอยู่ 2 ห้องค่ะ ห้องหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก เห็นวิวยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่จริงมันสวยมาก ดิฉันชอบ แต่พี่สาวบอกว่าอย่าอยู่เลย มันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้
เป็นอันว่าเราซื้อห้องชุดที่อยู่ติดกัน แต่หันหน้าไปทางทิศเหนือ และมีหน้าต่างมองเห็นวิวยามพระอาทิตย์ขึ้นด้วย เออ...มันดีกว่าจริงๆ แหละ! ห้องที่พี่สาวเลือกนี้ดูสดชื่นรื่นรมย์ บรรยากาศแตกต่างกันลิบลับ แม้จะไม่ได้เห็นลำแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตาม
ตอนที่เราตกลงใจเลือกซื้อห้องนี้ คนที่ขายห้องดูผิดหวังยังไงๆ อยู่...เห็นเธอแอบถอนใจเฮือกเลยค่ะ
ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั่นคงขายไม่ออกสักที แต่ดิฉันอยากปลอบใจเธอว่า อีกไม่นานก็คงขายได้หรอกน่า เพราะมีคนต้องการ...เห็นมีมาดูบ่อยๆ ทั้งคนไทยและพวกเกาหลี
ห้องนอนดิฉันมีผนังเดียวกับห้องชุดที่ว่างอยู่นั้น คืนหนึ่ง หลังจากเข้ามาอยู่ได้แค่ 2-3 วัน พี่สาวต้องไปบิน ตอนดึกดิฉันได้ยินเสียงคนอยู่ในห้องข้างๆ
ที่จริงมันแปลกมาก เราไม่น่าได้ยินเสียงลอดออกมาได้ชัดเจนขนาดนั้นเลย!
จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ดิฉันอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย ดันไฟกลางห้องแล้วขึ้นเตียง ซุกผ้านวมอย่างแสนสบาย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิด มีเสียงเด็กผู้หญิงเล็กๆ 2 คน เสียงผู้ชายกับผู้หญิงซึ่งคงเป็นพ่อแม่...พวกเขาดูราวกับเพิ่งกลับจากไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์
เมื่อได้ยินดิฉันก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะหงุดหงิด ...คอนโดฯ ดีๆ ทำไมผนังกั้นห้องบางจนเสียงจากห้องอื่นดังมารบกวนเราได้นะ?
ดิฉันหลับตา นึกเห็นภาพครอบครัวเล็กๆ ที่น่ารักในห้องข้างๆ แล้วก็เพลินจนไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ...และฝันไปว่าตัวเองเดินเข้าไปอยู่ในห้องนั้น
ในฝัน ดิฉันเห็นสภาพภายในห้อง มันมีบรรยากาศน่าอบอุ่น เขาจัดแต่งห้องอย่างน่ารัก มีโซฟาหนานุ่มสีเนื้ออ่อนๆ วางหมอนสีต่างๆ เรียงราย ด้านหนึ่งมีโต๊ะเรียนของเด็กๆ 2 โต๊ะ....
นั่นไง! เด็กผู้หญิงอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ 2 คน น่าเอ็นดูมาก พวกเธอตัวเล็กบอบบาง มีรูปร่างเพรียวราวกับนักระบำบัลเล่ต์ตัวน้อยๆ เธอสบตากับดิฉัน ดวงตากลมโตจ้องแป๋ว...และแล้ว ดิฉันก็เห็นผู้เป็นพ่อเดินมาเปิดทีวี...เขายิ้มให้ดิฉันด้วย ขณะที่ผู้เป็นภรรยาเดินถือถาดอาหารว่างออกมาจากห้องครัวเล็กๆ
ดิฉันรู้สึกราวกับเป็นแขกผู้ได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมสถานที่นั้น...ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่อย่างเป็นกันเองที่สุด
ทันใดนั้นเอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...
ไฟสลัวลง ห้องเก่าโทรม ฝุ่นและหยากไย่ใยแมงมุมเกาะเต็ม โซฟาฉีกขาดจนเห็นฟองน้ำข้างใน...และมีคราบเลือดเกรอะกรัง
เด็กผู้หญิงทั้งสองเปลี่ยนสภาพเป็นซากศพแห้งๆ ที่ยังยืนจ้องดิฉันในท่าเดิม ผู้เป็นพ่อแม่ก็เช่นกัน เขาเป็นศพยับเยินเปรอะเลือด กะโหลกยุบ ใบหน้าเหวอะหวะ และมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยองสิ้นดี!
ดิฉันถอยกรูดและพยายามจะหนี แต่วิ่งไม่ออกค่ะ...
ตกใจผวาตื่น เหนื่อยใจแทบขาด เหงื่อผุดพราวเต็มตัวทั้งๆ ที่แอร์เย็นฉ่ำ
ฝันร้ายอะไรจะน่ากลัวขนาดนั้น? ฉับพลัน เสียงเด็กหญิงหัวเราะร่วนก็ดังประสานมาจากข้างห้อง เล่นเอาขนลุกซ่า จากนั้นทุกอย่างก็เงียบกริบลง!
ถัดจากคืนนั้น ดิฉันยังได้ยินเสียงเหมือนเดิมทุกค่ำ ตอนราว 4 ทุ่ม และฝันร้ายเป็นประจำ...ฝันว่าหลุดเข้าไปอยู่ในห้องนั้นกับพ่อแม่ลูกที่เป็นผี บางคืนก็น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ...เพราะในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ดิฉันได้ยินเสียงเด็กหญิง 2 คนเล่นกัน และแล้ว ร่างของเธอก็ทะลุผนังมาอยู่บนเตียงในพริบตา
เตียงสั่นและไหวยวบจนสะดุ้งตื่น แต่เมื่อตื่นเต็มตามันก็ไม่มีอะไร...เสียงจากห้องข้างๆ ก็เงียบกริบ
ที่น่าแปลกใจอีกอย่างก็คือ เมื่อใดที่พี่สาวอยู่ด้วย ดิฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ แม้จะเอาหูแนบผนังแอบฟังก็ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น!
วันหนึ่ง ดิฉันอดรนทนไม่ไหวก็เลยเล่าให้พี่สาวฟัง
เธอไม่ยักหัวเราะ แต่ดูครุ่นคิดและกังวล
ในที่สุด เราก็แกล้งถามเจ้าหน้าที่ของคอนโดฯ ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าลิฟต์ชั้นล่าง เธออึ้งไปนาน ทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แถมมีท่าทางตื่นกลัวหน่อยๆ ด้วย ดิฉันบอกว่าอยากเห็นและอยากรู้จักเพื่อนข้างห้องจังเลย
เธออุบๆ อิบๆ ว่าห้องนั้นยังว่างอยู่! ว่างจริงๆ ว่างมานานแล้ว ก่อนที่เราจะมาซื้อที่นี่ เจ้าของห้องนั้นเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก อย่างที่ดิฉันพูดถึง แต่พวกเขาประสบอุบัติเหตุ รถชนกันอย่างรุนแรง และตายยกครอบครัว...มันน่าเศร้าจริงๆ
คราวนี้ดิฉันกลับเป็นฝ่ายอึ้ง พอได้สติก็รบเร้าพี่สาวให้ไปหาที่อยู่ใหม่กันดีกว่า เธอก็เห็นด้วย ดิฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดดูสิคะ ดิฉันต้องอยู่คนเดียวนะ..อำลาดีกว่าค่ะงานนี้!