เรื่องลี้ลับ : ตำนานผีโพง





ผีโพง ภาคเหนือบ้างก็เรียก “ผีโพลง” “ผีโพรง” จะมีลักษณะเหมือนคนธรรมดา มีดวงไฟตรงจมูก ชอบกินกบกินเขียด ส่วนภาคอีสานและภาคกลางนั้นจะเรียก “ผีกระสือ” ลักษณะจะคล้ายๆกัน ผีกระสือที่คนส่วนใหญ่นั้นจะคิดว่าจะมีแต่หัว และมีไส้ แต่ไม่มีตัว ชอบกินของคาว

ผีโพงมักจะออกหากินในคืนที่ฝนตกพรำๆ ถ้ามองไกลๆจะเห็นเป็นดวงไฟลอยไปลอยมาในคืนมืดสลัว อากาศเย็นๆยามฝนตก เวลาออกหาเหยื่อลูกไฟตรงจมูกนั้นก็จะหยดลงมา เหมือนน้ำมูกหยดเป็นลูกไฟ เดี๋ยวดวงไฟก็โผล่ตรงนั้น แล้วก็โผล่อีกที่หนึ่ง ถ้าเราลองเดินไปตามดวงไฟที่เคยโผล่นั้นจะพบว่ามีกบ เขียดนอนตายอยู่ตรงขันนาเต็มไปหมด

แต่ที่สิ่งที่ทำให้คนๆนั้นต้องกล้ายเป็นผีโพงนั้น เพราะชาติที่แล้วเคยทำเวรทำกรรมมามาก ชาตินี้จึงต้องกล้ายเป็นผีโพง หากบหาเขียดกินประทังชีวิต ถ้ามีกลุ่มคนไปเห็น คนในกลุ่มนั้นเห็นผีโพง แล้วชี้ให้เพื่อนดูเพื่อนก็จะไม่เห็น เป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน แต่ถ้าบังเอิญไปเจอกับคนรู้จักเข้าจริงๆจังๆ ผีโพงก็จะอ้อนวอน ไหว้ขอไม่ให้เปิดเผยเรื่องของตน ให้เก็บไว้เป็นความลับ เพราะมันเป็นเรื่องน่าอับอาย ผีโพงก็จะเสกใบไม้เป็นทองคำ เพื่อเป็นค่าปิดปากไม่ให้เราพูดและเปิดเผยเรื่องของผีโพง

มีตำนานเล่าว่าผีโพงนั้นมักจะเป็นผู้ชาย เวลาจะออกไปหากินก็จะวางหมอนข้างแล้วใช้ผ้าห่มคลุม เพื่อไม่ให้ลูกเมียสงสัย ผีโพงบางตัวเวลาออกไปหากินก็มักจะสะพายดาบไปด้วย ถ้าโดนจับได้หรือไปพบเห็นคนรู้จักเข้าก็มักจะไปทำร้ายคนที่พบเห็น แต่ถ้าคนๆนั้นยอมที่จะปิดปากไม่เปิดเผยให้ใคร ผีโพงก็จะเสกใบไม้เป็นทองเพื่อผิดปาก

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งคนๆนั้นเปิดเผยเรื่องของผีโพง ผีโพงก็จะแค้น แล้วกลับมาทำร้ายจนถึงตายได้ อาจจะเอาก้านกล้วยพุ่งข้ามบ้าน ทำให้คนในบ้านนั้นตาย หรือเอาก้านกล้วยพุ่งใส่อกจนคนๆนั้นเสียชีวิตได้

สำหรับผีโพงนั้น จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับ ผีกะ ผีปอบ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เรือนหายไปกับเทคโนโลยีและสังคมใหม่ๆที่พัฒนาขึ้น คงมีน้อยคนนักที่จะเห็นผีโพง

กระทู้ผีพันทิป : วิญญาณตามมา






เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2549 เป็นช่วงศึกษาดูงานก่อนจบของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 เทอม 2 เกิดขึ้นกับแฟนของผู้เล่าเรื่องชื่อว่า “น้องนัท” นัทและเพื่อนๆ ต้องเดินทางไปดูงานจาก เชียงใหม่ – กทม. และต่อชลบุรีอีก 1 คืน เรื่องเกิดที่ กทม. คืนแรก

วันนั้นคณะจาก เชียงใหม่ มาถึง กทม. 5 โมงเย็น ก็แยกย้ายเข้าห้องพักโรงแรม เป็นโรงแรมเก่า ชั้นล่างเป็นเหมือนม่านรูด ชั้นบนเป็นห้องพักทั่วไป มีศาลด้านหน้า นัทและเพื่อนอีก 4-5 คนก็ไปไหว้ศาล จากนั้นก็แยกย้ายเข้าห้องตัวเองตามปกติ

คนแรกที่เจอคือเพื่อนชื่อ “น้ำ” พักอยู่กับ “อุ๋ย” สิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นในห้องน้ำ เป็นเศษเส้นผมในชักโครก นัทก็วิ่งมาดูก็กดชักโครกทิ้งไปเลย แล้วบอกว่า “แค่เศษผมเฉยๆ คนที่มาอยู่ก่อนคงกวาดมาทิ้งไว้แล้วลืมกด” แต่จริงๆ แล้วตอนแรกนัทเห็น มันเป็นผมผสมเลือดเป็นลิ่มๆ ด้วย แต่เพราะไม่อยากให้เพื่อนกลัวเลยบอกไปแบบนั้น แต่น้ำและอุ๋ยก็ตัดสินย้ายห้องไปนอนห้องของนัท นัทเลยชวนเพื่อนหลายๆ คนมาเล่นในห้อง

จนเที่ยงคืนเพื่อนก็พากันแยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน เหลือเพียง น้ำ อุ๋ย ก้อย และนัท ทั้ง 4 คน ขึ้นไปนอนเบียดบนเตียงเดียวกัน โดยที่นัทได้นอนชิดผนังใต้แอร์

พอเคลิ้มๆ จะหลับ นัทก็ได้ยินเสียงบางอย่างชนกับแก้ว คล้ายเสียงชงเหล้า ฟังดีๆ ก็ใช่เลย! มันเป็นเสียงคนชงเหล้า แต่ตอนนี้มันดังอยู่ในห้อง! นัทพยายามข่มตานอน ในใจคิดว่าโดนแล้วแน่ๆ สักพักได้ยินเสียงเพื่อนพูดเบาๆ ว่า “พวกแกได้ยินแบบฉันไหม?!” เพื่อนอีกคนก็ตอบเบาๆ ว่า “ได้ยิน!” ตอนนั้น นัทก็แกล้งหลับอยู่และรู้ในใจว่าไม่ได้เจอคนเดียวแน่นอน

พอเสียงเพื่อนคุยกันจบลง เพื่อนที่นอนข้างๆ นัทก็ปลุกให้ไปเปิดไฟหน่อย เพราะเพื่อนๆ กลัว นัทก็เลยฝืนใจลุกไปเปิดไฟให้ พอล้มตัวนอนสักพักเดียวก็ได้ยินเสียงเดิม เสียงชงเหล้าดังขึ้นมาอีก แล้วน้ำก็สะดุ้งตัวลุกขึ้นมาปลุกเพื่อนทุกคน เล่าให้ฟังว่าขณะที่น้ำกำลังหลับอยู่ เธอฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดแดงกำลังชงเหล้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วพูดกับน้ำว่า “กินหล้าไม่เห็นชวนกันบ้างเลย…” น้ำเลยปลุกเพื่อน แล้วพอกำลังเล่าอยู่เสียงชงเหล้าก็ดังขึ้นมาอีก น้ำก็ถามเพื่อนว่า

“ได้ยินเสียงใช่ไหม!” พอพูดจบ นัทก็หยิบผ้าห่มวิ่งออกจากห้องไปเลย

ทุกคนก็รีบวิ่งตาม แล้วก็ไปขอนอนห้องเพื่อนคนอื่นที่เพื่อนนอนอยู่ 2 คน นอนรวมห้องเดียวเป็น 6 คนเลย โดยจะมีคนนอนบนเตียง 4 คน อีก 2 คนนอนพื้น นัทก็ลงมานอนที่พื้นหน้าทีวี เจ้าของห้องชื่อ “เอ๋” ก็นอนที่พื้นติดกับเตียง ซึ่งเตียงจะมีช่องว่างใต้เตียงอยู่ ทุกคนก็จัดที่แล้วก็นอนกันทันที เหลือแค่เอ๋ที่ยังคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่

นัทก็ทำท่ากำลังจะหลับแต่หูยังได้ยินเสียงเอ๋คุย สักพักเอ๋ก็ถามแฟนว่าอยู่กับใครทำไมมีเสียงผู้หญิง แฟนเอ๋ก็บอกว่าอยู่คนเดียวไม่เห็นได้ยินเสียงใครเลย เอ๋ก็ยืนยันว่าได้ยินอยู่ แถมเสียงดังขึ้นด้วย แล้วเอ๋ก็บอกให้แฟนหยุดพูดก่อน

“เสียงมันดังใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ดังมาจากแถวนี้แหละ”

พูดเสร็จเอ๋ก็ร้องกรี๊ดดังลั่นห้อง แล้วก็มีอาการชักตัวเกร็ง เพื่อนๆ พากันตกใจตื่นขึ้น แล้วหนึ่งในนั้นก็ไปเรียกอาจารย์มา

เวลาผ่านไป 2-3 ชม. เอ๋ก็ค่อยยังชั่วขึ้น กลับมามีสติอีกครั้ง แล้วก็เล่าให้ทุกคนฟังว่าตอนที่คุยโทรศัพท์ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงจากปลายสาย แต่พอให้แฟนหยุดพูดแล้วฟังดีๆ เสียงนั้นดังลอดมาจากใต้เตียง พอเอ๋มองไปใต้เตียงก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งค่อยๆ คลานมาหา แล้วเอื้อมมือมาหาเอ๋ เท่านั้นเอ๋ก็ตกใจร้องออกมาแล้วหมดสติไป พอทุกคนได้ฟังก็เลยอยู่เป็นเพื่อนเอ๋แล้วพากันย้ายมาห้องอาจารย์

ตอนเช้านัทก็เอากุญแจไปคืนเคาน์เตอร์ เลยถือโอกาสเล่าเรื่องเมื่อคืนให้พนักงานฟัง พนักงานก็แอบบอกนัทว่า ห้องที่เจอเศษเส้นผมเคยมีเหตุฆ่ากันตาย หญิงบริการถูกฆ่าหมกไว้ใต้เตียง กว่าทางโรงแรมจะรู้ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ปกติห้องนั้นจะไม่เปิดให้เข้าพัก แต่พอดีทางคณะของนัทต้องการห้องเยอะ เลยจำเป็นต้องเปิดใช้เพราะห้องมีไม่เพียงพอ แต่อีก 2 ห้องที่เหลือก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขิ้น

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะวิญญาณหญิงคนดังกล่าวได้ติดตามไปห้องที่เหลือด้วย…

ดังนั้นคืนที่ 2 ทั้งสาขาเลยพากันยกขโยงไปเที่ยวกันหมด เหลือแต่ก้อยที่ไม่สบายต้องนอนพัก นัทจึงอาสาเฝ้าไข้ให้ สรุปทั้งสาขาเหลือนัทกับก้อยแค่ 2 คน ที่อยู่ที่โรงแรม โดยห้องสูทที่พักนั้นจะมีเตียงใหญ่ 2 เตียง เตียงเล็ก 1 เตียง นัทเลือกนอนเตียงเล็ก ให้เพื่อนที่ไม่สบายนอนเตียงใหญ่ ด้วยความกลัวก็เลยนอนไม่ปิดไฟ พอใกล้จะหลับก้อยก็เรียกนัทให้อยู่เป็นเพื่อนก่อน นัทก็ตอบว่า

“ไม่ต้องห่วงยังไม่นอนหรอก”

สักพักนัทก็เรียกเพื่อน ปรากฏว่าก้อยหลับไปแล้ว นัทก็เลยจะนอนบ้าง พอกำลังจะหลับ จู่ๆ ก็ได้กลิ่นแป้งแรงมากพร้อมกลิ่นลิปสติก นัทจึงบอกออกไปว่า

“ขอนอนเถอะนะ เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเลย”

พอพูดจบ จากกลิ่นแป้งหอมกลายเป็นกลิ่นซากเน่าๆ ลอยมาจากหัวเตียง นัทก็พยายามกลั้นใจนอนจนหลับไป

ตอนเช้าก้อยก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีแดงนั่งอยู่บนหัวเตียงมองนัทอยู่ และกำลังคุยกับนัทด้วย บอกว่าขอให้ทำบุญให้หน่อย เขาติดต่อนัทได้คนเดียว นัทเลยรู้ว่ากลิ่นที่เจอเมื่อคืนน่าจะมาจากเขาที่มาขอส่วนบุญนั่นเอง

หลังจากนั้น คณะดูงานก็ต้องไปต่อที่ จ.ชลบุรี ตามกำหนดการ ซึ่งนัทกะไว้ว่าจะไปทำบุญให้ผู้หญิงคนนั้นหลังจากที่กลับไปถึงเชียงใหม่แล้ว พอทั้งคณะไปถึงชลบุรีก็พากันเก็บของเข้าบ้านพัก อยู่ๆ อุ๋ยก็ร้องขึ้นมาว่ามีอะไรไม่รู้แข็งๆ อยู่ในกระเป๋า นัทก็เลยถามว่าหวีรึเปล่า อุ๋ยบอกว่าไม่น่าจะใช่ จึงเปิดกระเป๋าหน้าดู สิ่งที่เจอคือกุญแจห้อง ห้องที่เอ๋เจอผู้หญิงคลานอยู่ใต้เตียงนั่นแหละ แต่นัทยืนยันได้เลยว่าเป็นคนเอากุญแจดอกนั้นไปคืนและขอเปลี่ยนห้องเองกับมือ อาจารย์จึงอาสาที่จะจัดการกับกุญแจนั้น โดยการติดต่อส่งคืนให้กับทางโรงแรม หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จนเสร็จการศึกษาดูงาน

เรื่องทั้งหมดควรจะจบแค่นั้น แต่ไม่ใช่ หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์อุ๋ยเล่าว่า ตั้งแต่กลับมาจาก กทม. เวลาจะนอนพอปิดไฟจะเห็นผู้หญิงชุดสีแดงกระโปรงสั้นยืนหันหน้ามามอง แต่อุ๋ยมองไม่เห็นใบหน้าเพราะผมของเธอบังหน้าไว้ เธอคนนั้นจะมายืนหน้าตู้เสื้อผ้าทุกวัน แต่พอเปิดไฟก็จะหายไป อุ๋ยเลยต้องนอนเปิดไฟทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์มาแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนๆ ไปนั่งเล่นที่หออุ๋ย มีการซื้อผลไม้มากินกัน พอปอกเปลือกมะม่วงเสร็จก็วางมีดไว้ที่หัวเตียง โดยหันปลายมีดไปทางตู้เสื้อผ้า พอเพื่อนๆ กลับไปหมด ตกกลางคืนอุ๋ยเล่าว่า ผู้หญิงที่มักจะยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า วันนี้ไม่ได้ยืนเฉยๆ มีการกระโดดมาคร่อมตัวอุ๋ยพร้อมกับบีบคอและบอกว่า

“มึงลบหลู่กู มึงอยากตายมากใช่ไหม!” อุ๋ยก็พยายามต่อสู้จนหลุดมาได้

ตอนเช้าอุ๋ยไปเล่าให้เจ้าของหอฟัง เจ้าของหอเลยพาไปหาพระครูที่เคารพ พระครูบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นโกรธที่พวกเราเอาด้านคมมีดหันไปหาเขาเพราะเขานั่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ก็เลยจะมาเอาชีวิตอุ๋ย แต่โชคดีที่อุ๋ยยังไม่ถึงฆาตก็เลยรอดมาได้

อุ๋ยถามว่าผู้หญิงคนนั้นเข้ามาได้ยังไง พระครูบอกว่าอุ๋ยเอาของของเขาติดกลับมาด้วยเขาก็เลยตามเข้ามาได้ อุ๋ยบอกว่าไม่มีอะไรติดมาแน่นอน พระครูเลยบอกให้ไปหาดูดีๆ

อุ๋ยกลับไปที่ห้องค้นหาจนเกือบหมดห้อง จนกระทั่งไปค้นที่เป้ใบที่ใส่เสื้อผ้าเอาไปพักที่ กทม. หาอย่างละเอียดก็พบเศษผมที่ก้นกระเป๋า ทีแรกก็คิดว่าเป็นผมตัวเอง ไม่ก็ของเพื่อนๆ แต่พอคิดดูดีๆ ก็ไม่มีใครผมยาวเท่านี้เลย จึงสรุปว่าที่เขาตามมาได้ก็เพราะเส้นผมที่ติดมากับกระเป๋านี่แหละ

พระครูก็บอกให้เอาเส้นผมไปเผาทำลาย เขาจะได้ไปอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ และหลังจากเผาเส้นผมเสร็จ อุ๋ยก็ไม่เจอผู้หญิงคนนั้นอีกเลย…

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

เรื่องลี้ลับ : ตำนานสวนสุนันทา





มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในวังเก่า ดังนั้นถายในสถาบันจึงรายล้อมไปด้วยพระตำหนักน้อยใหญ่ สร้างบรรยากาศความขลังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน ความขลัง+ความเงียบ+ความมืด ทำให้ไม่ค่อยมีนักศึกษาคนไหนกล้าอยู่เกิน 2 ทุ่มเลย ว่าแล้วพื้นที่แห่งนี้ มีมุมไหนที่ขึ้นชื่อเรื่องลี้ลับกันบ้าง ไปดูกันเลย

ห้องสมุดเก่าที่ทุบไปแล้ว (ปัจจุบันสร้างเป็นตึกอธิการบดี) รู้หรือไม่ว่าสมัยก่อนช่วงที่จะปิดไป มีชมรม MMA-Mix Martial Arts เข้าไปใช้สถานที่ฝึกกันจนถึงกลางค่ำกลางคืน เผอิญนักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ในชมรมเป็นพวกเล่นของ ก็เล่าให้ฟังว่า ตอนกลับบ้านเห็นมีคนมาส่งเต็มไปหมดทั้งหน้าต่างและประตู!! ทุกคนแต่งชุดไทยแล้วจ้องมอง

บริเวณใต้ตึก 56 เดิมเคยเป็นโรงเลี้ยงเด็ก อาจารย์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่ทำงานดึกๆ เท่าไหร่นักถ้าไม่จำเป็น เพราะจะถูกพวก "เจ้าจุก" มาเล่นซนอยู่เสมอตอนช่วงกลางคืน ไม่เชื่อไปที่ห้องพักอาจารย์ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจที่ปัจจุบันมียันแปะอยู่ด้วย และหากสังเกตดีๆ อาจารย์เอกนี้จะมีตุ๊กตาคนละตัววางไว้บนโต๊ะ ให้ใครเล่น....ไม่รู้ได้

รู้หรือไม่ว่า... ชั้นใต้ดินของเอก ID นะสุดยอดมาก ขั้นชื่อเรื่องชวนขนหัวลุกมากที่สุด มีหลายคนเล่าเหมือนกันว่าช่วงเวลาดึกๆ มักจะได้ยินเสียงคนลากตรวนอยู่บ่อยๆ (ที่ขังทาส นักโทษ) จนว่ากันว่า มีนักศึกษาอยู่คนนึง เป็นคนมีสัมผัสซิกเซ้นส์ มาเรียนได้ไม่ถึงเทอมก็ลาออก เขาเล่าให้ฟังว่า "อยู่ไม่ได้เลย เพราะสวนสุนันทามีผีในวังเยอะมาก"

ว่ากันว่าตึกที่เก่าที่สุดของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก่อสร้างตั้งแต่สมัย ร.5 นักศึกษามักเรียกกันว่า "ตึกเหลือง" สมัยก่อนเป็นที่ประทับของเชื่อพระวงศ์ในวัง ปัจจุบันตึกนี้ได้เปิดให้ใช้บริการนวดแผนโบราณให้แก่คนนอกได้ด้วย (ปล.ชั้นบนสุดมีเรื่องราวลี้ลับเกี่ยวกับสวนสุนันทาสมัยก่อน มีรูปภาพ และ โมเดลแผนที่ ในสมัยที่ยังเป็นวังเก่า)

เด็กสวนสุนันทาจะรู้ดีว่า สถาบันแห่งนี้ต้นไม้ค่อนข้างเยอะ บางมุมถึงขึ้นปกคลุมทางเดินเลยก็มี เคยมีเรื่องเล่ามาว่า มีเด็กมหาวิทยาลัยรั้วติดกันอย่าง "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต" เดินเข้ามาในสวนสุนันทาตอนประมาณ 2 ทุ่มเพื่อลัดไปออกประตูเทเวศน์ ระหว่างได้เห็นขาคนห้อยลงมาต้นไม้ด้านบน พอมองขึ้นไปก็เห็นเป็น "ผู้หญิงสวมสะไบสีชมพู" นั่งจ้องลงมาจากบนต้นไม้ !!

ปิดว่ากันว่า สวนหย่อมที่อยู่หัวมุมตรงข้ามกับท่าวาสุกรี เคยมีหญิงถูกข่มขืนเมื่อหลายสิบปีก่อน ปัจจุบันได้สร้างศาลพระภูมิ และผูกผ้าสามสีกับต้นไม้ใหญ่ ถ้าไม่สังเกตุจะไม่เห็นศาลนี้อย่างชัดเจน และอีกเรื่องหนึ่งที่รุ่นพี่ๆ ของสถาบันแห่งนี้เล่ากันปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นนั้นก็คือ หากใครอยากสัมผัสเรื่องลี้ลับในสถาบันของสวนสุนันทา ให้ก้มลงมองใต้หว่างขา แล้วคุณจะเห็นเอง (มีใครเคยลองไหมเอ่ยย)

ทั้งหมดนี้เป็นตำนานลี้ลับที่ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมา จากในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทานะครับ ส่วนครั้งหน้า พี่ลาเต้ ยังไม่ไปไหนไหล ขอพาไปสัมผัสเรื่องลี้ลับในสถาบันที่รั้วติดกับ "สวนสุนันทา" นั้นคือ "ม.ราชภัฏสวนดุสิต" ใบ้ให้ว่าใครที่เรียนตึก 11 ระวังให้ดี...

Credit :  www.dek-d.com
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .