กล่องแพนโดรา อีกหนึ่งตำนานอันน่าขนลุกของชาวกรีก





ตำนานอันน่าขนลุกของ กล่องแพนโดรา

ต้นกำเนิดของเรื่องกล่องแพนโดรานั้น เกิดขึ้นตามตำนานที่ได้ถูกจารึกไว้มาอย่างยาวนานของชาวกรีก ที่มีความเชื่อโบราณว่า มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพเจ้าที่มีชื่อว่า ‘โพรเมทิอัส’ ซึ่งมนุษย์ยุคแรกที่เทพเจ้าได้สร้างขึ้นมานั้นมีเพียงเพศชายเพียงเพศเดียว หลังจากนั้นเทพซีอุสได้สั่งให้เทพโพรเมทิอัสช่วยสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักเคารพในเทพเจ้าและทำให้พวกเขารู้จักวิธีการทำเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้าด้วย

ต่อมาเทพโพรเมทิอัสทรงคิดว่า ถ้ามนุษย์ใช้เนื้อสัตว์เพื่อทำการบูชาสังเวยต่อเทพเจ้าจนหมด ก็คงจะไม่มีอะไรเหลือให้มนุษย์เก็บไว้กิน ด้วยเหตุนี้เทพโพรเมทิอัสจึงออกอุบายเพื่อทำการสอนมนุษย์ โดยการแบ่งเนื้อวัวเป็น 2 กอง คือ ให้กองหนึ่งเป็นเพียงโครงกระดูกที่ปิดหน้าด้วยไขมัน ในขณะที่อีกกองหนึ่งเป็นเนื้อล้วนๆ แต่ใช้เครื่องในอำพรางไว้

เมื่อเทพซีอุสเห็นเข้าก็หลงอุบาย และเลือกกองที่มีแต่โครงกระดูก เพราะคิดเอาเองว่าภายในจะซ่อนเนื้อวัวไว้ แต่เมื่อไม่พบก็ทรงพิโรธเทพโพรเมทิอัสเป็นอย่างมาก รวมกับคดีครั้งก่อน ที่เทพโพรเมทิอัสได้ขโมยไฟจากเตาของเทวีเฮสเทียบนเขาโอลิมปัสเพื่อนำมาให้มนุษย์ พระองค์จึงลงโทษเทพโพรเมทิอัส โดยการจับตรึงเอาไว้กับเทือกเขาคอเคซัคและปล่อยให้เหยี่ยวบินมาแทะกินตับของเทพโพรเมทิอัสในทุกวัน แต่พระองค์ก็จะไม่ตายในทันทีและต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปเรื่อยๆ

หลังจากที่เทพซีอุสได้ลงทัณฑ์เทพโพรเมทิอัสเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะลงโทษมนุษย์ด้วยข้อหาที่ว่า เริ่มจะแข็งข้อต่อเทพเจ้า และเห็นดีเห็นงามกับเทพโพรเมทิอัสอีกด้วย พระองค์ทรงรวมตัวกับเหล่าเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพื่อสร้างมนุษย์เพศหญิงขึ้นมา ให้ชื่อว่า ‘แพนโดรา (Pandora)’ ซึ่งการสร้างมนุษย์ผู้นี้ได้รับความร่วมมือจากเหล่าเทพเจ้า ดังนี้

1. เทพฮีฟีสทัส เป็นผู้ปั้นรูปมนุษย์ที่เลียนแบบเทพเจ้าเพศหญิง
2. เทพีอธีน่า ประทานพรให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
3. เทพีอะโฟรไดทิ ประทานพรให้มีความงามและเสน่ห์
4. เทพเฮอร์เมส ประทานชีวิตจิตใจ
5. เทพซีอุส ประทานความอยากรู้อยากเห็น

ซึ่งหลังจากที่ทวยเทพต่างประทานสิ่งต่างๆ เพื่อสร้างเป็นมนุษย์เพศหญิงคนแรกขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์แล้ว เทพซีอุสก็ทรงมอบกล่องใบหนึ่งให้แก่แพนโดราพร้อมกำชับว่า ไม่ให้เปิดกล่องใบนี้ออกดูเป็นอันขาด จากนั้นเทพเฮอร์เมสก็นำแพนโดรากลับมาสู่โลกและส่งมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ไปเป็นชายาของเทพเอพิเมทิอัส ซึ่งเทพเอพิเมทิอัสก็ทรงรับไว้ด้วยความยินดี แม้ว่าพระองค์จะเคยถูกเทพโพรเมทิอัสกล่าวเตือนไว้แล้วว่า ห้ามรับของจากเทพเจ้าองค์นี้โดยเด็ดขาด แต่ด้วยเพราะหลงในเสน่ห์และความงามของแพนโดรา ทำให้เทพเอพิเมทิอัสทรงลืมและรับนางมาด้วยความเต็มใจ ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองรักกัน และให้กำเนิดบุตรออกมามากมายทั้งชายและหญิง สืบเผ่าพันธุ์ขยายลูกหลานของมนุษย์ออกไปเรื่อยๆ


จนในที่สุดก็มาถึงวันที่เหล่าทวยเทพรอคอย ในตอนนั้นแพนโดราเริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้นางเกิดความสงสัยว่า กล่องที่ได้รับมานั้นคืออะไร

ด้วยความอยากรู้ นางจึงตัดสินใจเปิดกล่องออกมาดูด้วยความสงสัย

เมื่อฝากล่องเปิดขึ้นมาความยินดีที่คิดว่าจะได้รับของมีค่าจากสรวงสวรรค์ก็มลายหายไป แต่กลับพบเพียงความหายนะ ความชั่วร้าย และความวิบัติที่เทพเจ้ามอบมาในกล่องเพื่อเป็นบทลงโทษของมนุษย์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ความเกลียดชัง ความโกรธ ความแค้น ความพยาบาท ความโลภ ความหลง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และความตาย ต่างพวยพุ่งกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางและซึมซาบเข้าไปสู่มนุษย์ทุกคน

จนในที่สุดมนุษย์ก็กลายเป็นคนเลวที่เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด ชิงชัง อาฆาตแค้น โรคภัยไข้เจ็บ และปิดชีวิตด้วยความตาย อย่างไรก็ตามแพนโดราก็ยังสามารถปิดกล่องใบนั้นได้ทัน ทำให้ยังคงมีบางสิ่งที่กล่องใบนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ความสิ้นหวัง’ นั่นเอง ที่ยังไม่ได้มีโอกาสหลุดออกมาซึมซาบเข้าสู่มนุษย์ แต่ทว่ามนุษย์เริ่มมีจิตใจชั่วร้ายโสมมมากขึ้น จนสุดท้ายเทพเจ้าจึงบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลกจนมนุษย์ผู้ชั่วร้ายตายกันหมด

มนุษย์ผู้มีจิตใจดีที่ยังเหลือรอดจึงได้สืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ต่อมา โดยที่ยังมีความชั่วร้ายเกาะติดอยู่ในหัวใจ ทว่าหากมีความหวัง อดกลั้นข่มใจไม่ทำความผิด ความชั่วร้ายต่างๆ ก็มิอาจทำอันตรายใดได้อีก ดังนั้นมนุษย์จึงยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไปด้วยความหวังที่เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนสามารถก้าวเดินต่อไปได้



ที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี , http://www.tumnandd.com , ภาพจาก : http://slon.ru/ , http://www.telegraph.co.uk/

กระทู้ผีพันทิป : กุฏิพระเล่นของ





เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณเบนและน้องชายได้ไปบวชยังวัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว พระพี่เลี้ยงที่วัดก็ได้พาคุณเบนและน้องขึ้นกุฏิหลังใหญ่ซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องหลายห้อง ทางวัดได้จัดไว้ให้คุณเบนและน้องอยู่ชั้นสองของกุฏิ พอคุณเบนก้าวเข้าไปในห้อง คุณเบนก็รู้สึกแปลกๆ ห้องของพระทุกห้องน่าจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในห้องด้วย แต่ห้องของคุณเบนกลับมีเป็นบาตรพระที่ลงอักขระตั้งไว้แทน

หลวงพี่ท่านได้กำชับว่า ห้ามแตะบาตรนี้เด็ดขาด นั่นก็ยิ่งทำให้คุณเบนและน้องชายเกิดความสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร

เย็นวันนั้นคุณเบนและน้องชายก็ได้จัดแจงข้าวของและวางที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง พรุ่งนี้ตอนเช้าจะต้องออกบิณฑบาต คุณเบนและน้องชายก็จะต้องท่องบทสวดให้พรเวลาญาติโยมใส่บาตรให้คล่องเสียก่อน จึงนั่งฝึกท่องกันในห้อง คุณเบนได้ลองเดินสำรวจไปทั่วห้อง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก็สังเกตว่า ตำแหน่งของกุฏิหลังนี้มันอยู่ตรงกับทางสามแพร่งพอดี

คุณเบนกลับมานั่งฝึกท่องบทสวดต่อ จนสักพักก็รู้สึกว่าเริ่มท่องไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยแยกกันท่อง โดยพระน้องชายอาสาออกไปฝึกท่องอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคุณเบนก็ฝึกท่องอยู่ด้านใน น้องชายของคุณเบนก็ได้ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่หน้าห้อง หลวงพี่ก็เดินขึ้นกุฏิมาเห็นท่านก็ตกใจ แล้วบอกว่า
“พระแบล็ค ห้ามนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้เด็ดขาด หลวงพี่ลืมบอก” คุณเบนได้ยินเสียงก็เลยเดินออกมาดู ก็สงสัยว่าทำไมถึงห้ามแตะนู่นแตะนี่ อะไรก็ห้ามไปหมด

คุณเบนก็ชวนพระน้องชายลงไปฝึกท่องข้างล่างแทน พอลงไปข้างล่างแล้ว หลวงพี่ที่อยู่ตรงข้ามกุฏิก็ได้ถามว่า “ท่านทั้งสองรูปนอนที่ไหน” คุณเบนก็ได้ตอบไปว่า “นอนห้องนี้ครับ” แล้วชี้นิ้วขึ้นไปยังกุฏิที่พัก หลวงพี่ก็ยิ้ม แล้วหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า

“ห้องนี้เหรอ ตรงข้ามกับห้องของผมเลยนะ”

“ทำไมต้องหัวเราะแบบนั้นด้วยครับหลวงพี่?” คุณเบนถาม

“อ๋อเปล่าๆ ไม่มีอะไร ห้องนั้นลมพัดเย็นดี…” หลวงพี่ตอบ

คุณเบนรู้สึกผิดปกติและเริ่มรู้สึกกลัว ก็เลยเค้นกับหลวงพี่อีกที “หลวงพี่ครับ ห้องนั้นมันมีอะไรกันแน่ บอกผมมาเถอะ เพราะว่าถ้าเกิดผมกับน้องชายผมเจอ ช็อคทั้งคู่เลยนะ!”

“ถ้าเล่าแล้วอย่ากลัวนะ ทำใจให้ได้ล่ะ”

แล้วหลวงพี่ก็เล่าว่า ห้องนั้นพระเจ้ากุฏิคนเก่าเขาเอาไว้ทำพิธี แล้วก็เอาศพตายโหงไว้ในนั้นก่อนที่ท่านจะมรณภาพ แล้วโต๊ะที่น้องชายของคุณเบนไปนั่ง ก็เป็นโต๊ะที่เอาไว้ตั้งศพผีตายโหง…

เมื่อได้ยินดังนั้น คุณเบนและน้องชายก็กลัว และคิดว่าคงจะไม่สามารถนอนที่กุฏิชั้นบนห้องนี้ได้อีกแล้ว
พอตกกลางคืน พระใหม่ทั้งสองรูปก็ได้เอาหมอนกับผ้าห่มลงมา และบอกหลวงพี่ว่าจะนอนข้างล่าง ซึ่งห้องข้างล่างก็มีหลวงพี่นอนอยู่แล้วสองรูป ปกติแล้วห้องข้างบนนั้นจะมีหลวงพี่นอนอยู่รูปนึง แต่ว่าก็หนีลงมานอนห้องข้างล่างเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเพราะอะไร

พอคุณเบนและน้องชายสวดมนต์ก่อนนอนจบก็เข้านอนเลย พอตกกลางดึก หลวงพี่ที่นอนอยู่ห้องนี้ก่อนแล้วก็ได้หลับไปแล้ว เหลือเพียงพระใหม่สองรูปที่นอนมองหน้ากัน เพราะแปลกที่จึงนอนไม่หลับ

จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง คุณเบนก็เห็นว่าน้องชายได้หลับไปแล้ว แต่คุณเบนก็ยังนอนไม่หลับ ข่มตานอนยังไงก็นอนไม่หลับ จนได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างบนห้องที่คุณเบนและน้อยชายอยู่เมื่อตอนกลางวัน ซึ่งขณะนี้มันไม่น่าจะมีใครอยู่ในนั้น สักพักพอเสียงเดินหยุด คุณเบนก็คิดว่าจะปลุกน้อง แต่ก็กลัวว่าน้องจะกลัวจนนอนไม่หลับ จะปลุกหลวงพี่แต่ก็เกรงใจ ก็เลยลองไปสะกิดน้องชายดูว่าหลับหรือยัง

น้องชายก็ลืมตาแล้วมองหน้าคุณเบน ปรากฏว่าน้องชายรีบดีดตัว ผละออกทันที เหมือนคนตกใจกลัวสุดขีด จนหลวงพี่ที่นอนอยู่ด้วยตื่นแล้วเปิดไฟดู คุณเบนก็ตกใจและแปลกใจ เลยถามว่าเป็นอะไร น้องชายก็มองหน้าคุณเบน ขมวดคิ้ว ก่อนจะตอบว่า “ไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร” แล้วล้มตัวลงนอนต่อ หลวงพี่เห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็เลยปิดไฟและพากันนอน

พอไฟถูกปิดลง น้องชายก็ได้พูดกระซิบบอกคุณเบนว่า “พี่เบน…แบล็คเจอแล้วว่ะ!” คุณเบนก็ถามว่าเจออะไร น้องชายบอกว่า ตอนที่ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณเบน แต่หน้านั้นไม่ใช่หน้าของคุณเบน เป็นหน้าใครก็ไม่รู้ แล้วยิ้มให้ คุณเบนคิดในใจว่าน้องเจอแล้ว แล้วต่อไปเราจะเจออะไรอีก หลวงพี่ที่นอนอยู่ข้างๆ แอบได้ยินจึงบอกว่า “มันไม่มีอะไรหรอก คิดกันไปเอง” แล้วหลวงพี่ก็บอกให้คุณเบนและน้องนอน แล้วท่านจะนั่งเฝ้าให้เองเพื่อความสบายใจ

พอยิ่งดึกคุณเบนและน้องชายก็ยังนอนไม่หลับ คุณเบนก็เลยหันไปมองหลวงพี่ที่นั่งเฝ้าอยู่ เห็นหลวงพี่นั่งหลับตาท่องคาถาพึมพำอยู่ตลอดเวลา คุณเบนก็เลยรู้สึกอุ่นใจแล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาก็ทำวัดเช้าแล้วออกไปบิณฑบาตตามปกติ

พอตอนกลางคืน คุณเบนและน้องชายก็สวดมนต์ ทำกิจของสงฆ์ทุกอย่างจนเรียบร้อยและเข้านอน สักพักคุณเบนก็เริ่มได้ยินเสียงเดินไปเดินมาอยู่ห้องข้างบนอีกแล้ว จากนั้นเสียงนั้นก็เดินลงบันได พอยิ่งดึกก็รู้สึกว่ามาเดินผ่านขา และรอบตัว ความรู้สึกเหมือนจะมีมากกว่าสามคน จนคุณเบนรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็เลยสะกิดหลวงพี่แล้วถามว่า

“หลวงพี่…ทำไมมันมีเสียงเดินอยู่รอบตัวเลย”

“มันเป็นเรื่องปกติ” หลวงพี่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

คุณเบนก็คิดว่ามันไม่ไหวแล้ว ถ้าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกคืน จนคืนถัดๆ ไปถึงกับต้องหายานอนหลับมากิน

ประมาณวันที่เก้าของการบวช ยานอนหลับที่กินอยู่ก็ดันหมดพอดี ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ต้องใช้แล้วก็ได้ เพราะบวชมาก็หลายวันแล้ว จิตอาจจะเริ่มแข็งขึ้นมาบ้าง แต่วันนั้นก็ได้มีหลวงพี่เข้ามาใหม่อีกรูปหนึ่ง แล้วได้ขึ้นไปนอนห้องข้างบน

พอตกดึก คุณเบนและน้องชายก็ได้นั่งสวดมนต์อยู่ห้องข้างล่าง สักพักก็ได้ยินเสียงเดินลงมาจากห้องข้างบน แล้วก็เดินกลับขึ้นไปอีก วนไปวนมาอยู่เป็นแบบนี้สี่-ห้ารอบ แล้วก็มีเสียงเคาะประตู ปรากฏว่าเป็นหลวงพี่ที่เข้ามาใหม่ หลวงพี่รูปนั้นถามว่า

“มีใครมาแกล้งเคาะประตูห้องผมหรือเปล่า?” คุณเบนก็ตอบว่าไม่มีใครทำ แล้วถามกลับไปว่า “หลวงพี่เดินลงมาข้างล่างนี่กี่รอบแล้วครับ” หลวงพี่ก็ตอบว่า “ผมก็เพิ่งลงมานี่แหละ” คุณเบนบอกว่า “ผมได้ยินเสียงเดินขึ้นเดินลงสี่-ห้ารอบแล้วหลวงพี่!” หลวงพี่ก็บอกว่า “ผมก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องอยู่เหมือนกัน” หลวงพี่รูปนั้นเลยตัดสินใจขนของลงมานอนห้องข้างล่างด้วยกัน

จนถึงวันที่คุณเบนและน้อยชายสึกออกมา จากนั้นไม่นานวัดนี้ก็ได้เปลี่ยนเจ้าอาวาสรูปใหม่ แล้วคุณเบนก็ได้สืบทราบมาว่า ห้องบนชั้นสอง เมื่อก่อนเป็นห้องที่เจ้ากุฏิเอาไว้ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำกับศพ และปัจจุบันร่างของเจ้ากุฏิก็ยังถูกเก็บเอาไว้ในห้องหนึ่งภายในกุฏิหลังนั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

ตำนานหลอน : หลวงปู่กาหลงปราบผีปอบชั้นครู จ.เพชรบุรี




ผีปอบเป็นผีชนิดหนึ่งที่เกิดจากคนเล่นคุณไสยมนต์ดำแล้วเข้าตัว โดนครูบาอาจารย์สาปแช่ง จากคนธรรมดาๆ เลยกลายเป็นผีปอบ เที่ยวเข้าสิงชาวบ้าน กินของสดของคาว

ในตามชนบทไกลๆ นั้น บางครั้งผีปอบจะเข้าไปกินควาย ทำให้ควายทั้งตัวล้มทั้งยืนและขาดใจตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากจะกินควายแล้วผีปอบยังกินหมูดิบ ไก่ตัวเป็นๆ และยังกินคนด้วย เล่าว่าบางครั้งในร่างกายของคนเพียงคนเดียว มีผีปอบเข้ามาสิงสู่เพื่อกินตับไตไส้พุงถึง ๗ ตัว เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับคนต่างจังหวัด

หลวงปู่กาหลง นอกจากท่านจะเก่งเรื่องการสักยันต์หนังเหนียวและทำเครื่องรางของขลังแล้ว เรื่องปราบผีปอบนั้นเป็นอีกหนึ่งวิชาที่ท่านเก่งจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา สำหรับคนแถบปราจีนและสระแก้ว

เรื่องนี้ผู้เขียนได้ฟังจากศิษย์ของท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนั้นเวลามีคนโดนผีปอบเข้าก็จะลากมาที่วัด เมื่อผีปอบเข้ามาในเขตวัดจะแสดงอาการกลัวเกรงบารมีของหลวงปู่ทันที ตามปกติหลวงปู่ใช้น้ำมนต์ไล่มันก็ไปแล้ว แต่มีบางครั้งที่ผีมันมีฤทธิ์ไม่ออกด้วยน้ำมนต์ ท่านก็จะไล่ด้วยมีดหมอ เคาะไปตามร่างกาย
ที่น่าสนใจคือ ท่านจะมีกระบอกไม้ไผ่หนึ่งอัน อุดไว้ที่ปลายหัวนิ้วโป้งเท้า หลวงปู่จะทำการเคาะไล่ไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดลงที่ปลายหัวแม่โป้งเท้านี่แหละ ท่านว่าดวงวิญญาณของผีปอบมันจะเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่หลวงปู่ท่านเสกเอาไว้ จากนั้นท่านนำเอาผ้ายันต์มาอุดไว้ที่ปากกระบอก เป็นอันเสร็จพิธี

ใครที่เคยไปวัดเขาแหลมคงได้เคยเห็นกระบอกไม้ไผ่นี่บ้าง ผู้เขียนสอบถามจากหลวงปู่ท่านว่า แล้วกระบอกไม้ไผ่ที่มีผีปอบอยู่ข้างในจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่า ผีปอบบางตัวที่ละทิฐิมันก็ไปเกิดตามวาระของมันก็มี บางตัวไม่ยอมละทิฐิเดิมท่านก็เก็บเอาไว้ บางครั้งก็ฝังดินฝากไว้กับแม่ธรณี และบางครั้งท่านก็เผาส่งเพื่อให้ไปผุดไปเกิดตามสมควรแห่งกรรมที่มันได้ทำมา

ท่านเล่าว่าสมัยก่อนเคยไปปราบผีปอบตัวครู อยู่เขตเขาย้อย จ.เพชรบุรี มันชื่อว่าเขียว ผีปอบตัวนี้มันเก่งมาก เป็นผีปอบพันปี ผีปอบตัวนี้เกิดจากคนเล่นวิชาไสยศาสตร์แล้วของเข้าตัว โดนครูบาอาจารย์สาปแช่งให้กลายเป็นปอบไป หมอผีที่ไหนมามันปราบได้หมด หมอผีบางคนถึงกับคอหักตาย บางคนก็กระเจิงด้วยฤทธิ์เดชของมัน บางคนพอเริ่มจะเสกน้ำมนต์เท่านั้นแหละ เจ้าผีปอบตัวนี้มันปรี่เข้ามาเตะขันน้ำมนต์กระจาย เที่ยวไล่ทำร้ายหมอผีกระเจิงไปหมด

ปอบตัวนี้ท่านว่ามันเก่งนัก ใครท่องคาถาอะไรมันท่องได้หมด รู้จิตคนได้ด้วย ใครคิดอะไรมันก็รู้ มันปราบหมอผีที่ว่าเก่งๆ ได้ทั่ว ที่สุดชาวบ้านที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่กาหลงก็มานิมนต์ท่านไปปราบ

ท่านว่าตอนที่เหยียบหัวบันไดบ้านมันก็รู้ เราก็รู้ ท่านก็เตรียมไว้พร้อมเหมือนกันเพราะรู้กิตติศัพท์ปอบตัวนี้ดี มันเห็นท่านมันก็ด่าเลยว่า ขนาดหัวหงอกมันยังไล่กระเจิงมาหมดแล้ว นี่เพิ่งมาบวชจะไหวเร้อ! ท่านว่าพอถึงที่เท่านั้นแหละ ท่านไม่ทำน้ำมนต์เหมือนคนอื่นหรอก พอเข้าบ้านได้ท่านเตะเจ้าผีปอบนั้นก่อนเลย จากนั้นหยิบไม้เรียวลงอาคมขึ้นมาตีมันไม่ยั้ง เรียกว่าไม่ให้มันตั้งตัวได้

ผีปอบมันก็ไม่ได้ตั้งตัวจริงๆ แต่มันก็ไม่ออกต้องสู้กับมันอยู่นานมันก็ไม่ออก ในที่สุดท่านเลยใช้อำนาจเขี้ยวแก้วประกาศิตของท่าน โดยนำหัวแม่โป้งแตะที่เขี้ยวแก้ว แล้วลองจับที่หัวของคนไข้ เท่านั้นแหละเจ้าเขียวปอบพันปีดิ้นพล่านเลย ที่สุดมันทนไม่ไหวก็ออกจากร่างของคนผู้นั้น


หลวงปู่กาหลง เตชวัณโณ วัดเขาแหลม จ.สระแก้ว

ก่อนออกมันยอมบอกชื่อของมัน มันว่ามันชื่อเขียว ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยแพ้ใคร มาเสียท่าแพ้หลวงปู่กาหลงนี่แหละ แต่พอมันออกแล้วหลวงปู่กาหลงรู้ว่ามันไม่ไปไหนไกลหรอก เข้าไปสิงต้นกระบอกใหญ่แถวนั้น มีคนโดนผีปอบเขียวนี่หลอกบ่อยครั้ง ท่านว่าให้เผาต้นกระบอกนั้นเสียก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง จนเดี๋ยวนี้ท่านเองก็ไม่ได้ไปสืบดูว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

ผีปอบบางตัวบางพวกก็เจ้าเล่ห์ ท่านเล่าให้ฟังว่าบางครั้งคนถูกผีปอบเข้า พวกญาติๆ พากันลากตัวเข้ามาในวัด พอถึงหน้าวัดเท่านั้นแหละผีปอบมันออก คนก็หายเป็นปกติ พวกญาติๆ วางใจว่าหายแล้วก็เอากลับบ้าน เจ้าผีปอบมันรอที่หน้าวัดนี่ พอออกจากวัดเท่านั้นผีปอบก็เข้าสิงเหมือนเดิม ต้องลากเข้ามาใหม่ หรือหาของกันเช่น สายสิญจน์เสก ตะกรุดกันผี ให้ติดตัวเข้าไว้ผีปอบจึงไม่ได้มากวน

คนที่ถูกผีปอบเข้าสิงจะมีอายุสั้นกว่ากำหนด เพราะพลังชีวิตหายไป ที่สำคัญคือผีปอบมันไม่ได้เข้าสิงเฉยๆ แต่มันกินอวัยวะภายในด้วย คนที่โดนผีปอบเข้าสิง
จนตาย ยามตายจะเน่าทันทีเพราะในความจริงคนนั้นตายนานแล้ว แต่โดนผีปอบสิงเพื่อกินตับไตไส้พุง

สมัยก่อนต่างจังหวัดมีผีปอบมาก แต่เดี๋ยวนี้ท่านว่า มันไม่มีวัวควายให้ปอบกิน ผีมันเข้ามาหากินในกรุงเทพหมด คนบ้าบางคนเกิดจากผีปอบเข้า แต่ไม่มีใครรู้ รักษาไม่หาย ไม่นานก็ตายเป็นแบบนี้ก็มาก เพราะคนสมัยใหม่ไม่มีความรู้ มีแต่ตายกับตายเท่านั้น

เรื่องประเภทนี้จึงเข้าลักษณะไม่เชื่ออย่าลบหลู่ และหากมีโอกาสก็หาของดีกันตัวไว้ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันตัวไว้เลย

ขอขอบคุณที่มา: ทีนิวส์

ประสบการณ์ขนหัวลุก : ภาพถ่ายหน้าโกศ





เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณหรั่งและเพื่อนอีกสองคนมีพฤติกรรมสุดแปลก ทั้งสามเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี แต่กลับชอบดูภาพผี และภาพผีที่ว่านี่คือภาพคนตายที่อยู่ตามโกศในวัดนั่นเอง โดยจะดูวันชาตะ-มรณะ ที่เขียนไว้ แล้วก็พากันวิจารณ์ประมาณว่า ตายตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่เลย อะไรทำนองนี้

วันหนึ่งทั้งสามก็มีโอกาสไปดูอีกครั้ง เดียร์ หนึ่งในเพื่อนของหรั่งได้ยืนดูภาพๆ หนึ่งอยู่นานมาก จนหรั่งและเพื่อนอีกคนสงสัยจึงเดินตามเข้าไปดู ปรากฏเป็นภาพของเด็กสาวที่มีหน้าตาที่สวยมาก ใต้รูประบุปีที่เสียชีวิตคือตอนปี พ.ศ.2509 ซึ่งตอนเสียชีวิตเธอมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น

สักพักเดียร์ก็ก้มลงแล้วเอามือไปลูบบริเวณรูปถ่ายของหญิงสาว แล้วพูดขึ้นมาว่า “ขอแค่กูได้ดมผมสักทีนึง กูก็ชื่นใจแล้ว…” จากนั้นเดียร์ก็วางนามบัตรของตัวเองไว้ที่หน้าโกศนั่น

หลังจากกลับไป เดียร์ก็ไปอยู่คอนโดตามปกติ ซึ่งคอนโดของเดียร์เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องรับแขก ขวามือก็เป็นห้องนอนกับห้องน้ำ เดียร์เล่าให้ฟังว่า มีคืนหนึ่งในขณะที่เดียร์นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ โดยเปิดประตูห้องทิ้งไว้ แล้วสักพักก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย แล้วเดียร์ก็ฝันว่ามีโทรศัพท์ดังขึ้นและเขาก็รับโทรศัพท์ โดยที่ปลายสายเป็นเสียงของเด็กสาวและเธอก็พูดว่า

“พี่…นี่หนูเอง จำหนูได้ไหม…”

เดียร์รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ตอบกลับไปว่าจำได้ แล้วผู้หญิงในสายก็บอกว่า “หนูขอขึ้นไปได้ไหม…”

ด้วยความที่สาวจะขึ้นมาหา ใครล่ะจะปฏิเสธ แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เดียร์ก็ตอบตกลงไปทันทีว่า “ขึ้นมาเลย” แล้วเขาก็ลุกไปจัดแจงแต่งผมในห้องน้ำ แล้วกลับมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ต่อ สักพักเขาเห็นผู้หญิงชะโงกหน้าเข้ามาครึ่งหน้าที่ประตูที่ติดมุ้งลวด เขาเลยพูดออกไปว่า

“เข้ามาสิ เข้ามาเลยน้อง” ระหว่างนั้นเขาก็ได้กลิ่นยาสระผมหอมอ่อนๆ ตลอดเวลา

“เข้าได้นะพี่…” หญิงสาวถามอีกครั้ง

เดียร์ยืนยันและเมื่อหญิงสาวเข้ามา เขาก็จำได้ทันที ว่าคือผู้หญิงที่อยู่ในรูปในโกศนั้น ที่เขาเอานามบัตรไปวางไว้
“พี่จะไปหรือยัง” หญิงสาวถาม
“ไปไหนเหรอ” เดียร์ถามกลับ
“เข้าห้องไง”

หญิงสาวคงหมายถึงห้องนอน เดียร์ก็เลยว่า “ไปสิ” มีสาวมาขนาดนี้ก็เป็นธรรมดาของชายหนุ่ม แล้วเขาก็เดินนำไป แต่ลืมว่าต้องปิดคอมก็เลยเดินกลับมาปิด เขาไม่ได้มองหญิงสาวที่ตามมาเลย แล้วเมื่อปิดคอมเสร็จก็นึกได้ว่าต้องไปเอาน้ำกับหนังสือก่อน เขาจึงบอก

“เดี๋ยวพี่ไปเอาหนังสือมาอ่านก่อนนะ” และจังหวะที่เขากำลังเดินไปนั้น
“จะไปได้หรือยัง!!!”

หญิงสาวตะโกนถามเสียงโมโห เดียร์รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที แล้วอยู่ๆ เขาก็หันไปเห็นชายสูงใหญ่ที่ประตูห้อง แล้วชายคนนั้นก็ถามเขาว่า

“หนุ่ม…รู้จักเขาเหรอ”

ยังไม่ทันได้ตอบ ก็มียายคนหนึ่งโผล่มาข้างๆ ผู้ชายคนนั้นแล้วพูดว่า

“หนุ่ม…ให้เขาออกไป อย่าให้เขาเข้ามา!”

จังหวะนั้นหญิงสาวได้ผลักเขาเข้าไปในห้อง เดียร์ตกใจมากรีบดันปิดประตูและรีบคล้องสายยูทันที
สักพักเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เดียร์ตกใจมากที่ฝันแบบนั้นและเขาจะลุกไปเอาน้ำข้างนอก แต่เอะใจขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้นอนอยู่โซฟาห้องโถง แล้วตอนนี้มาอยู่ในห้องได้ยังไง?

เขากำลังจะเดินไปจับลูกบิดประตูและกำลังจะเปิดออก จังหวะนั้นก็มีแรงกระแทกเหมือนมีคนจะเข้ามา แล้วมีเสียงร้องถามว่า “จะเปิดได้หรือยัง เปิดได้หรือยัง ห๊ะ!” เดียร์มั่นใจตอนนั้นว่าไม่ได้ฝัน เขาจึงกระโดดกลับขึ้นเตียง ห้องนอนเขาเปิดม่านทิ้งไว้ เขามองออกไปก็เห็นยายแก่ๆ คนนั้นอยู่ตรงระเบียง
“อย่าเปิดนะ…อย่าเปิดนะ…”

ยายคนนั้นร้องบอก เดียร์กลัวมาก ทางซ้ายก็กลัว ทางขวาก็กลัว ไม่รู้จะยังไงเลยกระโดดมากลางห้อง นอนคลุมโปงและผล็อยหลับไปจนเช้า

ผ่านไปเป็นอาทิตย์เดียร์ไม่ได้เล่าอะไรให้หรั่งและเพื่อนฟัง วันหนึ่งเพื่อนมาหาที่คอนโด ตอนที่นั่งคุยกันอยู่ล๊อบบี้ มีป้าคนหนึ่งเป็นคนชอบร้องคาราโอเกะ แกซื้อทีวีมาแต่ไม่มีใครช่วยยกขึ้นไปบนห้อง ทั้งหมดจึงอาสาที่จะช่วย

พอขึ้นไปถึงแล้วเปิดประตูห้องป้า เดียร์ปล่อยทีวีหลุดมือตกใส่เท้าจนนิ้วเท้าแตกเลือดนองพื้น ทุกคนตกใจมาก ป้าใจนึงก็โกรธแต่อีกใจนึงก็งง และสิ่งที่เดียร์เห็นก็คือ รูปถ่ายของหญิงสาวคนหนึ่งในกรอบรูปสีชมพู ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับรูปที่โกศนั่น! ป้าก็เลยบอกว่า

“นั่นน่ะน้องสาวป้าเอง…”

มันเป็นความบังเอิญจนน่าขนลุก ที่รูปคนตายในโกศที่เห็นวันนั้น คือน้องสาวของป้าคนนี้!

ป้าเก็บทีวีเครื่องเก่าพร้อมกรอบรูปที่ว่านั่นไว้ แล้วตั้งแทนที่ด้วยทีวีเครื่องใหม่ โดยก่อนจะเก็บของเก่าไว้ ป้ายังพูดขึ้นมาว่า “รูปถ่ายนี่ จะเอาสักใบไหมล่ะ” ทุกหมดปฏิเสธและขอตัวกลับไปทันที ต่อมาภายหลัง เดียร์จึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง

หลังจากนั้นเดียร์ตัดสินใจย้ายออกจากคอนโด ระหว่างที่หาที่อยู่ใหม่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งโทรมาบอกหรั่งว่า “เดียร์ตายแล้วนะ!” ซึ่งเพื่อนๆ ก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเพิ่งเห็นเดียร์เร็วๆ นี้เอง

งานศพของเดียร์ หรั่งได้เจอเพื่อนของเดียร์ที่ทำงานอยู่มูลนิธิและเป็นคนไปเก็บศพเดียร์ด้วยตัวเอง เขาเล่าให้ฟังว่า เดียร์มันตายน่าสงสารมากเลยนะ ตาเหลือก มือหงิก แต่น่าแปลกตอนมันตาย มันอมเหรียญห้าบาทสมัยเก่าไว้ในปากด้วย และที่แปลกไปกว่านั้นคือ ในปากยังมีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ด้วย!

หลังจากนั้นด้วยความสงสัยหรั่งจึงไปขอตำรวจดูรูปถ่ายที่ว่านั่น ซึ่งปรากฏว่ามันก็คือรูปถ่ายใบนั้นในห้องของป้านั่นเอง

หลังจากงานศพ หรั่งกับเพื่อนอีกคนจึงกลับไปขอดูรูปนั้นในห้องป้าอีกครั้ง ป้าก็ยืนยันว่ารูปยังอยู่ แต่พอไปรื้อดูกลับกลายเป็นว่าไม่มีรูปอยู่ในกรอบนั่นแล้ว และหรั่งก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า เพื่อนเขาไม่ได้เป็นคนดึงรูปออกไปอย่างแน่นอน มันไม่มีเหตุผลเลย เพราะว่าเดียร์เองก็กลัวและไม่ได้อยากได้รูปนั้นอยู่แล้ว

การตายของเดียร์ได้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก หรือ เดลินิวส์ หรืออะไรสักอย่าง ซึ่งคุณหรั่งเองก็ไม่แน่ใจ ชื่อ คอลัมน์ตายพิสดาร และปัจจุบัน เพื่อนอีกคนของคุณหรั่งก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยคุณหรั่งเคยเล่าเรื่องนี้ไว้กับรายการเดอะช็อค ชื่อเรื่องว่า โค้งนี้ที่ชลบุรี

ขอบคุณรายการ The Shock เรื่องเล่าจากความฝัน โดย คุณหรั่ง

ประสบการณ์ขนหัวลุก : เตียงมือสอง





เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยคุณเบลส์เรียนอยู่ชั้น ป.5 โดยคุณเบลส์เล่าว่า

ช่วงนั้นพ่อแม่ผมทำงานที่จังหวัดพะเยา เป็นผู้จัดการร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ต์ที่นั่น พ่อแม่ผมตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่แถวหน้าวัดชื่อดังของจังหวัด สมัยนั้นยังไม่ค่อยเจริญมากนัก ไม่มีตึกสูงใหญ่ บ้านที่เช่าอยู่จะเป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ รอบๆ นั้น จะมีบ้านแบบเดียวกันอีก รวมเป็น 5 หลัง บ้านพ่อแม่ผมเป็นหลังในสุด จึงโดน 4 หลังนั้นบดบังแสงแดดและทัศนียภาพหมด

ชั้นบนที่เป็นไม้ ค่อนข้างมืดมีกลิ่นอับๆ กลิ่นไม้เก่าๆ ค่อนข้างหลอนเลยทีเดียวครับ จำได้ว่าวันแรกที่เข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น เป็นบ้านเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย พวกเราเลยไปหาซื้อของใช้กันในเมือง พ่อผมก็ไปสะดุดตาเข้ากับเตียงหลังหนึ่ง เป็นเตียงไม้มือ 2 สภาพดี ดูสวยเชียว แต่ผมกับแม่กลับรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าทำไม ประเด็นคือมันขายราคาถูกมาก แม่เลยไม่ขัดใจพ่อ

วันนั้นเองช่วงเย็น ทางร้านก็ขนเตียงมาส่งที่บ้าน ตอนที่รถมาส่งเตียง พนักงานก็ขนเตียงขึ้นมาที่ชั้น 2 แม่ก็ถามพนักงานว่า เจ๊มาด้วยเหรอ (เจ๊เจ้าของร้านเตียง) พนักงานก็ทำหน้างงๆ แล้วก็รีบขนของ ไม่พูดไม่จารีบวาง แล้วก็รีบไป นับตั้งแต่เตียงหลังนี้มาอยู่ที่บ้าน ผมมีความรู้สึกแปลกไป มันรู้สึกเย็นยะเยือก และอึดอัดกว่าเดิม

ชั้น 2 ทั้งชั้น จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ โล่งๆ เลย พ่อผมจัดการเอาเตียงไว้ติดผนัง ส่วนผมปูฟูกนอนพื้นกับน้องชาย อยู่ข้างๆ เตียงเลย

คืนนั้นเราลงมากินข้าวกันข้างล่าง ระหว่างกินข้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรครูดกับแผ่นไม้ ดัง ครืดคราด ครืดคราด ผมเลยมองขึ้นไปข้างบน พ่อก็ไม่ได้พูดอะไร แต่แม่ส่งสายตามาทางผม เหมือนเรารู้กัน เสียงนั้นดังอยู่สักพักก็หายไป

พอกินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นข้างบนกัน เปิดทีวีดูหนัง ผมนั่งข้างล่างเอาหลังพิงเตียง เพราะทีวีอยู่ปลายเตียงเลย พ่อ แม่ และน้องชายอยู่บนเตียง ดูไปสักพัก แม่ก็ลงจากเตียงมานั่งกับผม และบอกผมว่ารู้สึกอึดอัด สักพักได้ยินเสียง ครืดคราด ครืดคราด อีกแล้ว พ่อเลยปิดเสียงทีวี เพื่อจะฟังเสียงชัดๆ แต่มันก็เงียบไป
พอเริ่มดูหนังอีก เสียงนั้นก็มาอีก! ผมกับแม่เลยตั้งใจหาแหล่งที่มา เพราะรู้สึกได้ว่าเสียงมันอยู่ใกล้มาก แต่ก็หาไม่เจอ จนเราดูหนังจบ ก็ปิดไฟนอนกัน คืนนั้นน้องชายผมนอนกับพ่อบนเตียง ส่วนแม่นอนกับผม ผมนอนฝั่งติดเตียง ฟูกอยู่ห่างจากเตียงไม่เกิน 1 เมตร

ทุกอย่างเงียบกริบ ไฟจากข้างนอกส่องมาสลัวๆ ผมเคลิ้มๆ จะหลับ อยู่ๆ เสียง ครืดคราด ครืดคราด ก็ดังขึ้นอีก ขนมันเริ่มลุกตอนนี้ล่ะครับ เสียงมันดังใกล้มากๆ ผมเลยหันไปหาแม่จะกอดแม่ ก็เห็นว่าแม่ผมยังไม่หลับเหมือนกัน เลยกระซิบกับแม่

“ได้ยินไหมแม่ เสียงนี่อีกแล้ว…” ผมว่า

“อย่าทักสิลูก มันไม่ดี!” แม่ผมทำคิ้วย่น

ผมเลยข่มตานอน พอมันเคลิ้มกำลังจะหลับ ผมก็พลิกตัวไปทางเตียงโดยอัตโนมัติ เพราะผมถนัดตะแคงฝั่งนี้ จังหวะที่เปลี่ยนท่านอน ชัดเจนมากครับ เห็นเป็นตัวคนเลย เป็นผู้หญิงแก่นอนอยู่ใต้เตียง ใช้เล็บมือครูดเตียงอยู่ ตอนนั้นทำไมผมถึงขยับตัวไม่ได้ก็ไม่รู้ ช็อคและสั่นมากๆ อธิษฐานในใจว่า

‘มึงอย่าหันมานะ!’

แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลครับ มันหยุดเอาเล็บตะกุยเตียง แล้วมันหันมาทางผมแทน!

ผมอยากจะตะโกนมาก แต่เหมือนผมทำอะไรไม่ได้เลย และมันเริ่มขยับมาหาผมครับ นึกภาพมันนอนหงาย แล้วใช้ไหล่กับหลังในการเคลื่อนตัวออกมาจากใต้เตียง ตอนนั้นผมกลัวมาก ท่องอะไรในใจไม่ออกเลย พอมันใกล้ผมสุดๆ เท่านั้นล่ะ อยู่ๆ ผมก็ร้องออกมาสุดเสียงเลยครับ จนแม่กับพ่อผมตื่น

ผมร้องไห้แบบจะเป็นจะตายเลยครับ ผมเล่าให้แม่ฟัง แม่กอดผมใหญ่ ส่วนพ่อกลับบอกผมไร้สาระ ดูหนังมากไป สักพักก็นอนกันต่อ โดยผมเปลี่ยนที่นอนกับแม่ คือน่ากลัวมากจริงๆ

ผมนอนหลับไปสักพัก คราวนี้เป็นแม่ผมเองที่ร้องกรี๊ดขึ้นมา ตื่นกันของจริงทั้งบ้านเลยครับ แม่ไม่พูดอะไร รีบอุ้มน้องออกจากเตียง แล้วบอกให้ลงไปนอนชั้นล่างกัน ผมก็ตามลงไปครับ ส่วนพ่อจะนอนข้างบนต่อ และหาว่าผมกับแม่คิดมากไปเอง

พอลงมาข้างล่าง แม่เล่าว่า ตอนที่แม่นอนหันไปทางเตียง พอตามันเริ่มชินกับความมืด ก็เริ่มจะเห็นลางๆ แม่เห็น ผู้หญิงผมกระเซิงนั่งคร่อมน้องอยู่ ทำท่าเหมือนเอามือครูดตัวน้อง ทีนี้แม่เลยลองเปิดเสื้อน้องดู ก็เห็นเป็นรอยแดงๆ ที่ท้องจริงๆ ด้วย! ผมกับแม่นี่อึ้งไปเลย

ผม น้อง และแม่ นอนกันชั้นล่างถึงประมาณตี 4 ก็ต้องตื่นครับ เพราะพ่อตะโกนดังลั่นเลย ร้องให้ช่วยด้วยๆ ผมกับแม่รีบขึ้นไปข้างบน เห็นพ่อเอามือบีบคอตัวเอง แม่ไม่รู้จะทำยังไง เลยถอดสร้อยพระคล้องคอให้พ่อ แล้วพ่อก็สงบลง พวกเรารีบวิ่งลงมาชั้นล่าง โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ครับ

พอพ่อเริ่มหายหอบและตั้งสติได้ พ่อก็เล่าให้ฟังว่า นอนอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมานอนข้างๆ ทีแรกพ่อนึกว่าเป็นแม่ เลยหันมากอด ถามแม่ว่าลูกๆ นอนข้างล่างเหรอ? แต่พอกอดก็ได้กลิ่นเหม็น พอพ่อลืมตาเท่านั้นแหละ เห็นเป็นผู้หญิงแห้งๆ เบ้าตาลึกๆ พ่อตกใจเลยร้องออกมา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนแม่ขึ้นมานี่ล่ะ
คืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนต่อเลย ยกเว้นน้องชายผมที่ยังเล็ก เรารอจนถึงเช้า ก็รีบโทรไปร้านขนเตียงให้มารับเตียงคืนทันที

พอประมาณ 8 โมงเช้า พนักงานกลุ่มเดิมก็มาที่บ้าน ทำหน้าแบบแหยงๆ แล้วพูดว่า “เจอกันแล้วใช่ไหม?!” แม่ผมเลยถามความจริง ทีแรกเค้าก็ไม่ยอมบอก จนแม่ผมจะเอาเรื่องให้ได้ แถมควักเงินให้อีกคนละ 100 คาดคั้นให้บอกมา

พนักงานเลยขึ้นไปชั้น 2 พลิกเตียงให้ดู เท่านั้นแหละ ชัดเลยครับ รอยแป้งสีขาวๆ กรังๆ เป็นรูปยันต์ที่ใต้เตียง แถมมีคราบน้ำสีเหลืองๆ แห้งๆ ติดอีก นี่มันฝาโลงศพชัดๆ พนักงานบอกว่า

“จริงๆ อยากจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่กลัวเจ๊เจ้าของร้านด่าเอา ที่จริงแล้ว เตียงนี้เป็นเตียงประกอบเอง ที่เจ๊ไปซื้อไม้ที่วัดมา เพราะมันถูกกว่ามาก…”

วันนั้นแม่ผมก็ตรงไปหาอีเจ๊นั่นทันที คงไม่ต้องเล่าต่อนะครับ ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้

ขอขอบคุณ : คุณเบลส์

กระทู้ผีพันทิป : ตอแม่ตะเคียน จ.อุบลราชธานี





เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดอุบลราชธานี คุณประสิทธิ์เล่าว่า ช่วงที่ทำงานเป็นคนขับรถทัวร์อยู่ที่สมุทรปราการ บริษัทได้แจ้งกับคุณประสิทธิ์ว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้ให้คุณประสิทธิ์ไปส่งคนที่จะเหมารถไปจังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปรับคนขึ้นรถตามจุดต่างๆ ตามที่ระบุไว้ให้ คุณประสิทธิ์จึงได้ไปรับผู้โดยสารแล้ววิ่งรถไปที่อุบลราชธานี

เมื่อไปถึงที่หมายประมาณสี่โมงเย็น คุณประสิทธิ์ก็ได้เอารถเข้าไปจอดในวัด หลังจากคนลงหมดแล้ว คุณประสิทธิ์ก็ได้พักทานข้าว เสร็จแล้วตั้งใจว่าจะนอนพัก แต่ในวัดมีงาน คุณประสิทธิ์จึงคิดว่าคงจะนอนไม่หลับแน่ ก็เลยขับรถเข้าไปจอดที่หลังวัด ตรงจุดนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายอยู่หลายต้นเลยทีเดียว
จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม คุณประสิทธิ์ก็ได้เข้านอน และได้ตื่นขึ้นมาประมาณเที่ยงคืนเพราะปวดปัสสาวะ จึงได้ออกไปข้างนอกรถแล้วจัดการธุระส่วนตัว พลันคุณประสิทธิ์ก็สังเกตเห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง เธอนั่งร้องไห้อยู่บนต้นไม้ คุณประสิทธิ์จึงได้เดินเข้าไปถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมพูด

คุณประสิทธิ์ก็เลยไม่กล้าถามเซ้าซี้มากเพราะตนไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงได้กลับเข้ามาในรถ แล้วก็มองไปยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ คุณประสิทธิ์ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกวักมือเรียก จึงตัดสินใจถือไฟฉายแล้วลงไปหาอีกครั้ง พอคุณประสิทธิ์เดินไปถึงก็ได้ถามว่ามีอะไรหรือ แล้วก็ได้ส่องไฟขึ้นไปดู ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีแววตา เห็นแค่ลูกกะตาดำๆ คุณประสิทธิ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กำสร้อยพระในคอไว้แน่น แล้วผู้หญิงคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้ก็พูดขึ้นมาว่า

“ช่วยหน่อย ช่วยหน่อยนะ อยู่ข้างล่างนี่…”

คุณประสิทธิ์ช็อค พูดอะไรไม่ออก ทิ้งไฟฉายแล้วก็หันหลังวิ่งตรงเข้าไปทางกุฏิพระ ในกุฏิมีพระชราอยู่รูปหนึ่ง คุณประสิทธิ์ก็ได้บอกว่า “หลวงตาครับ! ผมเจอผีอยู่บนต้นไม้!” หลวงตาก็ถามว่า “แล้วโยมไปจอดรถตรงไหน?” คุณประสิทธิ์ก็ตอบว่า “หลังเมรุไปประมาณห้าสิบเมตร ตรงที่เป็นป่า ผมทิ้งไฟฉายไว้ตรงนั้นด้วย หลวงตาไปเป็นเพื่อนผมหน่อย” คุณประสิทธิ์กับหลวงตาจึงเดินไปที่หลังเมรุ แต่ก็ไม่พบผู้หญิงคนนั้นแล้ว

คุณประสิทธิ์จึงได้เดินกลับไปที่รถ แล้วกะว่าจะเอารถไปจอดที่อื่นดีกว่า แต่รถกลับสตาร์ทไม่ติด คุณประสิทธิ์ลองอยู่นานก็ยังสตาร์ทไม่ติด จึงนึกในใจว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้แม่ย่านางช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย…

พอคุณประสิทธิ์หันกลับไปดูที่นอกกระจก ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิม คุณประสิทธิ์ก็ไม่กล้าลงจากรถอีก จึงได้แต่ข่มตานอนจนถึงเช้า

พอตอนเช้าก็ได้เดินไปบอกเจ้าภาพงานวัด ว่าเมื่อคืนได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ทางเจ้าภาพจึงได้ไปคุยเรื่องนี้กับพระ คุณประสิทธิ์ก็กลับไปที่รถ แต่รถก็ยังสตาร์ทไม่ติด ทั้งๆ ที่เช็คอุปกรณ์ทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว จึงได้ขอให้ผู้โดยสารทุกคนช่วยกันเข็นรถออกไปนอกวัดแล้วลองสตาร์ทดูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ติด เรียกช่างมาช่วยดูให้ก็ยังสตาร์ทไม่ติด

คุณประสิทธิ์จึงนึกถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้น เหมือนเขาจะบอกว่าให้ช่วยเขาด้วย เขาอยู่ข้างล่างนี่ คุณประสิทธิ์จึงได้ไปบอกกับทางเจ้าภาพ เจ้าภาพก็เลยให้ทุกคนมาช่วยกันขุดดู

ประมาณชั่วโมงครึ่ง ขุดกันลงไปก็ลึกพอสมควร ก็ได้ไปเจอกับต้นตะเคียนใหญ่มาก คุณประสิทธิ์จึงได้ไปจุดธูปแล้วบอกว่า

“เจ้าแม่ ถ้าอยากขึ้นไปข้างบนนะ ขอให้ช่วยทำให้รถผมสตาร์ทติด แล้วเงินที่ผมเหมามาสี่หมื่น ผมจะเอาไปจ้างรถแม็คโครมาขุดเอาเจ้าแม่ขึ้นมา”

จากนั้นคุณประสิทธิ์จึงได้กลับไปที่รถ สตาร์ทแค่ทีเดียวรถก็ติดเลย คุณประสิทธิ์งงมาก และได้ทำตามสัญญาโดยการไปจ้างรถแม็คโครมาสองคันเพื่อที่จะได้ขุดเอาต้นตะเคียนขึ้นมา แต่ขุดยังไงก็ไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่ช่วยกันสองคัน จนสุดท้ายคณะทัวร์ที่มาด้วยต้องการจะอยู่ต่อ และจะขอเหมาต่ออีกวันหนึ่ง คุณประสิทธิ์จึงได้โทรไปคุยกับเจ้านาย จนเวลากลางคืน คุณประสิทธิ์ก็เข้าไปนอนในรถเหมือนอย่างเคย ผู้หญิงคนนั้นก็ได้มาเข้าฝันแล้วบอกว่า

“ถ้าอยากจะเอาแม่ขึ้น ให้ทำบายศรี แล้วก็เชิญแม่ขึ้น แล้วแม่จะให้โชคให้ลาภ”

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณประสิทธิ์ก็ได้ถามว่ามีใครทำบายศรีเป็นบ้าง เพราะเจ้าแม่ได้มาเข้าฝัน บอกว่าให้ทำบายศรีก่อน ทางวัดจึงได้ทำบายศรีแล้วให้รถแม็คโครลงไปขุดอีกที แต่ครั้งนี้กลับยกต้นตะเคียนขึ้นมาอย่างง่ายดาย พอเอาต้นตะเคียนขึ้นมาได้แล้ว คุณประสิทธิ์ก็ได้พูดว่า

“ผมนำเจ้าแม่ขึ้นมาแล้วนะครับ ขอให้เจ้าแม่สถิตอยู่ที่วัดนี้เลยก็แล้วกันครับ”

วัดนี้อยู่ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : พันทิปดอทคอม
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .