เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : ห้อง 320


ห้อง สามสองศูนย์
โดย คุณผึ้ง

เริ่องราวเกิดขึ้นที่หอพักแห่งนึง เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณผึ้งมีเหตุให้ต้องย้ายห้องด่วน แล้วไปเจออพาร์ทเม้นแห่งหนึ่งมีห้องว่าง แถวบางพลี สมุทรปราการ คุณผึ้งจึงได้เข้าไปดูห้อง เบอร์ห้องคือสามสองศูนย์ อยู่ห้องริมสุด สภาพห้องเก่ามาก

แล้วชั้นที่คุณผึ้งอยู่ มีคนอาศัยอยู่ประมาณสิบห้อง จากยี่สิบห้อง และห้องข้างๆห้องของคุณผึ้งจะไม่มีคนเช่าอยู่ คุณผึ้งได้ย้ายของเข้าอาศัยและจัดห้องเสร็จเรียบร้อย จนประมาณห้าทุ่ม คุณผึ้งนึกขึ้นได้ว่าลืมไหว้เจ้าที่ จึงได้จุดธูปไหว้เก้าดอก สักพักไฟดับ คุณผึ้งคิดในใจว่าไฟคงจะตก แล้วไฟมันก็ติด

คุณผึ้งผิดสังเกตุที่ธูปที่พึ่งจุดไหว้ไปเมื่อสักครู่ ตอนจุด จุดไปเก้าดอก ห้าดอกไหม้ปกติ แต่อีกสี่ดอกกลับไหม้จากตรงกลางขึ้นข้างบน ทั้งๆที่จุดจากข้างบนทั้งเก้าดอก แล้วลมพัดเข้ามาในห้องอ่อยๆ คุณผึ้งจึงคิดในใจว่า ลูกมาดีนะ ลูกมาขออาศัย

จากนั้นคุณผึ้งจึงอาบน้ำแล้วเข้านอน ตอนนอนคุณผึ้งได้เปิดประตูระเบียงและหน้าต่างบานเกล็ดเอาไว้เพราะอากาศร้อน ระหว่างที่นอนก็ได้ยินเสียงคนสวดอะไรสักอย่าง แต่ว่าดังมาก จนนอนไม่ได้

คุณผึ้งจึงได้พูดออกมาว่า ใครมาสวดบ้าอะไรตอนนี้ว๊ะ คนกำลังจะหลับจะนอน นอนไม่ได้เลยหวะ แล้วก็นอนต่อ ประมาณเที่ยงคืน คุณผึ้งรู้สึกว่ามันเย็นๆเท้า จึงหันไปดูที่ปลายเท้า ปรากฎว่า มีผู้ชาย ร่างใหญ่ เห็นเป็นเงา นั่งยองๆมองหน้าคุณผึ้ง แล้วเค้าก็เอามือทั้งสองข้างจับที่ขาของคุณผึ้ง คุณผึ้งตกใจมากและขยับตัวไม่ได้เลย คิดในใจว่ามาขออาศัยนะ ถ้าทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอโทษขออภัยไว้ ณ ที่นี้

แต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้ คุณผึ้งได้แต่นอนมองหน้าชายคนนั้นเฉยๆ เค้าก็จ้องมาที่หน้าคุณผึ้ง พักนึงเค้าค่อยๆคลานเข้ามาใกล้คุณผึ้ง เหมือนจะเข้ามานอนกับคุณผึ้ง คุณผึ้งไม่รู้จะทำยังไง แล้วที่คอของคุณผึ้งคล้องพระอยู่ คุณผึ้งจึงขอให้ช่วย แต่เงานั้นก็ยังค่อยๆคลานเข้ามา พักนึงเสียงประตูหลังห้องมันตีกลับมาปิดเองดัง ปั้ง คุณผึ้งก็เริ่มขยับตัวได้ แล้วเค้าก็หายไป แต่มันแปลกตรงที่ว่า ลมไม่ได้พัด แล้วด้านหลังประตูมันจะมีตัวล็อกประตูไม่ให้ประตูมันตีกลับ แล้วประตูมันปิดเองได้ยังไง

หลังจากที่คุณผึ้งขยับตัวได้ จึงรีบลุกขึ้นมาจับพระ แล้วหันไปมองที่ประตูหลัง เงานั้นยืนอยู่หน้าประตูแล้วมองมาทางคุณผึ้ง คุณผึ้งรีบจับพระแล้วคิดในใจว่า หนูขอโทษ ถ้าหนูทำอะไรผิดไปหรือพูดอะไรที่มันไม่ดี สักพักนึงเงานั้นก็หายไป เสียงลมพัดที่หลังห้องดัง หวีดหวิว น่าขนลุก คุณผึ้งคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้ แล้วก็ไม่ได้นอนต่อทั้งคืน

เหตุการณ์นี้คือคืนแรกที่เข้าพัก วันต่อมา คุณผึ้งจึงปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน และซื้อพวงมาลัยมาไหว้ แล้วตอนกลางคืน คุณผึ้งก็เข้านอนปกติ ได้ยินเสียง ปึ้งปั้งๆ มาจากด้านบน อีกสักพักต่อมา เสียงเหมือนของหล่น จนคุณผึ้งสะดุ้งตื่น และรู้สึกว่าทำไมมันเหมือนมีคนมานอนข้างๆ แล้วเค้าก็เข้ามากอดคุณผึ้ง คุณผึ้งคิดในใจว่าแบบนี้มันอยู่ไม่ได้แล้ว

เช้ามาคุณผึ้งรีบย้ายออกไปห้องใหม่ทันที แต่ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิม เลยลองถามป้าคนที่ดูแลตึกอยู่ว่า ห้องนั้นมีอะไรหรือป่าว ป้าตอบกลับมาว่ามันก็มีทุกห้องแหละ จะเอาอะไรมากมาย อพาร์ทเม้นเก่าๆ คุณผึ้งได้ยินแบบนั้นจึงรีบย้ายออกทันที และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ความรัก คำสัญญา ความตาย


เรื่องนี้เจ้าของกระทู้ได้ทำสัญญามีลิขสิทธิ์ตามกฏหมายแล้วนะคะ หากมีผู้ใดนำไปแก้ไขดัดแปลงหรือ กระทำเพื่อผลประโยชน์ใด โดยไม่ได้รับอนุญาติจะถือว่าผิดกฏหมายคะ  ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ ชื่อเบลนะคะ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง   ที่เพื่อนชื่ออั้มเจอมากับตัว ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึก แต่ก็ต้องขอให้ผู้อ่านใช้วิจรณญาณในการอ่านค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยืดเยื้อมากว่า 3 ปี จนเพิ่งจะมีจุดจบไปเมื่อไม่นานมานี้  เบลเลยคิดว่าน่าจะเอามาเขียนดีกว่า  เบลจะพยายามลำดับเหตุการณ์ ให้รู้เรื่องที่สุดค่ะ  จะอ่านซ้ำๆหลายๆรอบก่อนค่อยนำมาลง เรื่องนี้ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อนนะคะ  ถ้าใครไม่เชื่อก็อ่านเป็นบันเทิงไปก็แล้วกันนะคะ

เรื่องนี้มันเริ่มต้นเมื่อ 3ปีที่แล้ว...

เบล จิ๊บ อั้ม เตย เป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่สมัยม.ปลายค่ะ  เราจบมาก็เรียนมหาลัยต่างกัน เบลมาเรียนที่เชียงใหม่  จิ๊บ อั้ม เตยก็เรียนมหาลัยในกรุงเทพค่ะ แต่คนละที่กันหมดเลย เราก็ติดต่ออัพเดทเรื่องราวกันเป็นประจำ มิทติ้งกันบ่อยค่ะ 

อั้มกับเบล จะสนิทกันมากๆ  กว่าคนอื่นๆ เวลามีอะไรเราจะพูดกัน2คนก่อน  แต่จริงๆทุกๆคนมีอะไรก็มาเล่าให้เบลฟังนะ เพราะเหมือนกับว่าเรา รับฟังได้ เป็นผู้ฟังที่ดีค่ะ  ตอนนั้นอยู่ปี3  จิ๊บคบอยู่กับผู้ชายคนนึง เราเองก็เคยเจอเค้า2ครั้งตอนไปกรุงเทพหลังๆได้ข่าวมาว่า สองคนนี้ทะเลาะกันตลอด มีปัญหากันประจำเลย แต่ก็ยังคบกันอยู่

ครอบครัวจิ๊บเป็นคนจีนหัวเก่า คาดหวังกดดันจิ๊บมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แบบออกไปไหน ไม่ค่อยได้  เรียนก็ต้องได้เกรดดีๆ  จำได้ว่าตอนม.6 จิ๊บยังถูกที่บ้านตี ขึ้นแนวที่น่องอยู่เลยอ่ะ  จิ๊บเลยเป็นคนจริงจังกับทุกๆเรื่อง   เรื่องเรียนนี่ปรึกษานางได้  นางเก่งฉลาด ส่วนอั้มเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ เข้ามาอยู่หอในกรุงเทพตั้งแต่ม.ปลาย ค่อนข้างห่างๆกับที่บ้าน แล้วก็คบกับแฟนมาตั้งมอต้นแหน่ะ!!  ยาวนานมากๆ อั้มเป็นคนที่สวยนะ สวยที่สุดในกลุ่มเลย

แต่นางก็มีแฟนที่คบกันมานาน ผู้ชายที่ไหนก็เลยหมดสิทธิ์

ส่วนเตยนี่ไม่ค่อยอัพเดทค่ะ ติดเพื่อนใหม่ตอนเข้ามหาลัย  จริงๆตัดไปก็ได้นะ แต่ก็อยากเล่าจะได้ครบๆ 

วันนึงจิ๊บโทรหาเรา  ตอนดึกๆร้องไห้ใหญ่โต บอกว่าเลิกกับแฟนแล้ว  เสียใจมากแล้วก็เล่าว่า จิ๊บเอาเงินลงทะเบียนที่ ที่บ้านให้มาไปให้แฟน เพื่อช่วยเหลือเค้าเกี่ยวกับเรื่องเมาแล้วขับ แต่พอได้เงินประกันคืนมา แฟนจิ๊บก็ไม่ยอมคืนสักทีค่ะ  แล้วก็มีปัญหาเรื่องผู้หญิงคนใหม่ด้วย

สุดท้ายไปจับได้แบบค่าหนังคาเขา   จิ๊บเครียดมากๆ    เราก็ถามว่าอยู่ไหน จิ๊บบอกว่าอยู่บ้านอยู่บนห้อง  ไม่รู้จะหาเงินจากไหนลงทะเบียนด้วย  เสียใจเรื่องแฟนด้วย

เราก็ได้แต่ปลอบๆ  ตอนนั้นก็เครียดแทนเพื่อน  เราก็ไม่มีเงินเยอะๆให้ยืมหรอก   คุยกันปลอบจนนางสงบลง ก็วางสายไป  คืออีกวันนึงเรา ต้องขึ้นดอยไปค่ายอาสา โทรศัพเราจะติดต่อไม่ได้ด้วย แต่เราก็ส่งข้อความบอกให้ใจเย็นๆ ค่อยคิดนะ  แต่ก็ไม่นึกว่าเหตุการณ์ที่เราต้องไปค่ายอาสา จะเป็นจุดเปลี่ยน

เมื่ออั้ม มีปัญหากับแฟนที่คบกันมายาวนาน   ด้วยเรื่องที่ยืดเยื้อ ทั้งเรื่องที่อั้มเข้ากับครอบครัวแฟนไม่ได้เลยมานานแล้ว  แล้วก็แฟนอั้มก็มีคนใหม่เข้ามา    อั้มเองก็เสียใจ เพราะตัวเองเกิดมาก็มีแฟนมาคนเดียว  แฟนคนแรก เลยยิ่งเสียใจมาก อั้มพยายามโทรหาเราในวันนั้น แต่ไม่ติด    พอติดต่อเราไมได้ อั้มเลยโทรหาจิ๊บ     จิ๊บเองก็เศร้าอยู่ก็เลยบอกว่าให้มาหา อยู่ด้วยกันก่อน    อั้มก็ไปหาจิ๊บที่บ้าน   คนสองคนคุยกัน เล่าเรื่องราวที่เจ็บปวดของกันและกัน  ร้องไห้ด้วยกัน   มันยิ่งหดหู่  คิดกันไปต่างๆนานาๆ  ไม่มีสติกันเลย  เหตุการณ์ยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก เมื่อน้องก้อง น้องชายของจิ๊บได้ยินเรื่องเงินลงทะเบียนก็เลยเอาไปฟ้องป๊า ป๊ากับม๊าก็ขึ้นมาตะโกนด่าๆๆๆๆ  เสียหาย  ว่าเลี้ยงเสียข้าวสุกบ้าง   ใจแตกบ้าง เอาเงินไปปรนเปรอผู้ชายบ้าง ไล่ออกจากบ้านไปทั้งมุงกะเพื่อนมุงบ้าง บลาๆๆๆๆ   

จิ๊บกับอั้มกอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง     จิ๊บ บอกว่าไม่ไหวแล้ว  ไม่อยู่แล้ว   ทนไม่ไหวแล้ว 
อั้มเองก็รู้สึกน้อยใจคล้อยตามกันตอนนั้น   บอกว่าอั้มเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน   ตอนนั้นต่างคนต่างอยากตาย เหมือนกับหาทางออกไม่ได้ 

จิ๊บบอกอั้มว่า  “ดีใจนะที่เกิดมาเป็นเพื่อนแก  อย่างน้อยตอนตายก็ยังมีแกตายเป็นเพื่อนสัญญาว่าชาติหน้าจะเป็นเพื่อนแกอีก เราคงเกิดมาโชคดีกว่านี้ ”

ส่วนอั้มก็บอกไปว่า “ชั้นก็ต้องขอบใจแก เราตายไปคงจะดี เราคงจะไม่รู้สึกเสียใจอีก”  ตอนนั้นอั้มถามจิ๊บว่าเราต้องเขียนจดหมายถึงใครไว้ก่อนมั้ย จิ๊บก็บอกว่าไม่  แล้วก็เอาผ้าปูที่นอน ดึงออกมาตัดเป็น2ผืนยาวๆ  แล้วใช้เก้าอี้ปีน ขึ้นไปมัดกับ คานห้อง เป็น2 อัน ของจิ๊บกับของอั้ม

แต่ตอนนั้น ที่จิ๊บกับลังเตรียมๆ  อั้มเองก็รู้สึกหวิวใจขึ้นมาว่า  คิดถึงพ่อแม่  แล้วก็รู้สึกกลัวๆ ที่จะต้องตาย  แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร สถานการณ์ตอนนั้นดูตึงเครียดไปหมด ในห้องมีเก้าอี้ตัวเดียว  จิ๊บออกไปเอาเก้าอี้ มาอีกตัวข้างนอก  ตอนนั้น อั้มมองผ้าปูที่นอนที่แขวนอยู่ แล้วก็ยิ่งกลัว

จนจิ๊บเข้ามา ล็อคห้อง บอกว่าพร้อมแล้ว  จิ๊บกอดอั้ม    แล้วจิ๊บก็ขึ้นไปบนเก้าอี้   อั้มก็ขึ้นไปด้วย ต่างคนต่างร้องไห้ฟูมฟาย อั้มพูดไม่ออกเหมือนอะไรจุกอยู่ที่คอ  จิ๊บบอกว่า  ลาก่อนแก ลาก่อนในชาตินี้ 
อั้มก็เอาแต่ร้องไห้  จิ๊บเลยบอกว่า ไม่ต้องกลัว มันเจ็บไม่นาน   แต่ถ้าเราอยู่ต่อ เราคงเจ็บ ไปอีกไม่รู้จบ 

อั้มบอกจิ๊บว่า  “ชั้นกลัวอ่ะแก”   จิ๊บบอกว่า”อย่ากลัวเลย ชั้นไม่ทิ้งแก ตายไปแล้วเราก็อยู่ด้วยกัน ” 
หลังจากนั้น จิ๊บก็บอกว่า พร้อมนะ   ตอนนั้น ต่างคนต่างเอาคอตัวเอง  ไปที่ห่วงผ้า   อั้มเองก็คิดว่าเอาวะ  ตายดีกว่าอยู่    ตอนนั้นก่อนที่จะปล่อย มือแล้วดันเก้าอี้

จิ๊บหันมาบอกว่า”แกอย่าให้ชั้นตายคนเดียวนะ สัญญานะ”  อั้มยืนมือไปเกี่ยวก้อยสัญญา แล้วจิ๊บก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในห่วงผ้านั้นแล้วถีบเก้าอี้ออก

อั้มเองก็ทำเหมือนกัน แต่ด้วยความที่กลัวเลยเอาคางพาดผ้าแบบหมิ่นๆ มือก็เกร็งไม่กล้าปล่อยผ้า คอก็ถูกรัดตามน้ำหนังแต่ก็ยังมีมือช่วยยึดแรงไว้ อั้มเห็นจิ๊บดิ้นพลาดๆ ตาเหลือกขาถีบไปถีมมาโดนอั้มด้วย อั้มร้องไห้ไม่กล้าปล่อยมือที่สั่นๆ จะหมดแรง อั้มพยายามยึดผ้าแล้วพูดว่าจิ๊บ ไม่ไหวแล้วแกชั้นไม่ไหว ชั้นกลัว   จิ๊บเกร็งๆไปทั้งตัวแล้วละตอนนั้น  สุดท้ายอั้มเอาผ้าออกจากคอแล้วปล่อยตัวตกลงมาดังตุ๊บ!!  

แล้วก็พยายามไปช่วยจิ๊บที่นิ่งไปแล้ว  คนข้างล่างของบ้านจิ๊บได้ยินเสียง เลยขึ้นมาเคาะ อั้มรีบเปิดประตู ป๊าม๊าของจิ๊บตกใจเสียงดัง  ช่วยกันเอาตัวจิ๊บลงมา อั้มยืนตรงนั้นตัวแข็ง แว๊บที่หน้าจิ๊บนั้นน่ากลัวมากๆ จนไม่กล้ามอง

ป๊าม๊าพาจิ๊บออกไป รพ. ม๊าหันมาบอกว่าเดี๋ยว กูค่อยมาคุยกับเมิง    แล้วพากันรีบไป อั้มร้องไห้ มองห้องนั้นกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา  แล้วออกไป     ตอนนั้นอั้มพยายามโทรหาเรา ก็ติดต่อไม่ได้    อั้มไม่กล้าตามไปที่ รพ.  แล้วก็นั่งรถกลับไปที่หอตัวเอง

ตอนนั้นอั้มเครียด และกลัวมากๆ สุดท้ายเลยเลือกที่จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไม่มีใครโทรมาบอกข่าวเรื่องจิ๊บเลยในวันนั้น   พออั้มถึงบ้านก็ร้องไห้แต่ก็ไม่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ที่บ้านฟัง แม่ก็ได้แต่ปลอบๆ แบบไม่รู้เรื่องราว

เช้าของอีกวัน  ตอนนั้นเราลงมาจากดอย พอรถออกจากเขา 

สัญญาณมือถือเพิ่งจะมาได้ข้อความสายที่ไม่ได้รับเต็มเลย  ของอั้มเยอะสุด  เราก็รีบโทรหาอั้ม

อั้มรับสายแล้วร้องไห้เสียงหลงเลย  ตอนนั้นเราตกใจมากๆ  มันเป็นเสียงร้องไห้ที่ เราไม่เคยได้ยินอั้มเป็นแบบนี้มาก่อน  พอตั้งสติได้ ก็เล่าทุกอย่างให้เราฟัง   เราช็อคไปเลยตอนนั้น   แบบมือชาตัวชา  เพื่อนๆในรถตู้เงียบกันหมด

อั้มบอกว่า ให้เรามากรุงเทพได้มั้ย  อั้มเครียดมากๆ จะนั่งรถไปกรุงเทพนะเพื่อมาเจอเรา  เราก็โอเค พอเข้าตัวเมือง เราลงที่ขนส่งเลย ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไมได้พัก  ฝากกะเป๋าเสื้อผ้าที่ไปค่ายไปไว้กับเพื่อนที่มาด้วยกัน  แล้วก็นั่งรถไปกรุงเทพ  ระหว่างทางอั้มก็โทรมาตลอด    อั้มบอกให้เราโทไปหาจิ๊บให้หน่อย อยากรู้ว่า เป็นยังไงบ้าง ไม่มีใครโทรมาที่อั้มเลย    

เราก็กล้าๆกลัวๆ  แต่ก็ลองโทรไปที่เบอร์จิ๊บ   สายแรก สายที่สอง ไม่มีคนรับ  โทรไปครั้งที่สาม  มีคนรับ  เป็นเสียงม๊าจิ๊บ เราเลยถามว่า  แม่คะจิ๊บเป็นไงบ้างคะ อั้มเล่าให้ฟังแล้วคะ   ม๊าร้องไห้บอกว่าก็พวกมันพากันตายไม่ใช่หรอ  จิ๊บมันไปแล้ว  อยากตายกันนักหนิ  ได้ตายสมใจ  ถ้าจะมางานก็มาได้นะ แต่อีอั้มไม่ต้องให้มันมาไม่อยากเห็นหน้ามัน  ฮือๆๆ

ตอนนั้นเราก็ร้องไห้ น้ำตาไหลที่เพื่อนเราเสียไป ทั้งๆที่เพิ่งจะโทรคุยกันเอง เราก็บอกไปว่าคุณแม่ เบลเสียใจด้วยด้วยจริงๆค่ะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะคะ พูดไม่ทันจบม๊าก็วางสาย   เราปิดหน้าร้องไห้บนรถทัวร์ ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้

ตอนนี้นั้นไม่กล้าโทรไปบอกอั้ม  อั้มโทรเข้ามา เรายังไม่พร้อมจะรับ  เลยส่งข้อความไปบอกว่าเจอกันที่หอ แบทจะหมด แล้วเราก็นั่งรถจนถึงกรุงเทพ

พอมาถึงห้องอั้ม ก็เงียบๆ ไม่มีใครร้องไห้ ก่อน เราเลยบอกว่า  จิ๊บเสียแล้วแก  เดี๋ยวชั้นคงไปงานอ่ะ 
แกละแม่จิ๊บดูเหมือนโกรธแกมาก   อั้มน้ำตาซึมๆ  แล้วบอกว่า ชั้นไม่กล้าไป ทำไงดี  ชั้นไม่น่าคิดตายกับจิ๊บเลย

เราเลยบอกว่าเรื่องมันเกิดแล้วก็ต้องพยายามเดินไปข้างหน้า ทำบุญให้จิ๊บกันเยอะๆ ทุกคนเสียใจกันหมดแหละ

แล้วอั้มก็ไม่ไปงาน จนวันเผาที่วัดอั้มก็ไปกับเรา แต่หลีกเลี่ยงการเจอญาติของจิ๊บ  เพื่อนๆทุกคนที่รู้เรื่องก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ไม่มีใครรู้เรื่อง อั้มกับจิ๊บ  มีแค่เรากับครอบครัวจิ๊บที่รู้

เหตุการณ์คราวนั้นผ่านไปประมาณ   4เดือน  อั้มก็ใช้ชีวิตปกติ เราก็ใช้ชีวิตปกติ  แล้วอั้มก็ฝันร้ายเกือบทุกคืน นอนไม่หลับ  เวลาต้องมาเรียนตอนเช้า  อั้มจะอิดโรยมากๆ  หลายครั้งที่มีคนอื่นทักอั้มแปลกๆ  เช่นเวลาไปไหนคนเดียว  ชอบมีคนพูดมาว่า2คนบ้าง  บ้างครั้งนั่งแทกซี่ก็โดนแทกซี่แซวตอนจ่ายเงินลงรถว่า นั่งเงียบกันมาตลอดทางบ้าง   อั้มก็ไม่ได้เอ่ะใจมาก

แล้วอั้มก็มีแฟนใหม่ ชื่อยู  ยูกับอั้มก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่อพาทเม้น คืนแรกที่นอนที่นั่น อั้มอึดอัดหายใจไม่ออก ตื่นขึ้นมากลางดึก   แล้วก็เห็นเหมือนมีใครอยู่ในห้อง อั้มก็กลัวมากพอเปิดไฟก็ไม่มีอะไร ยูเองก็บอกว่ารุ้สึกแปลกๆ ยังแอบพูดเล่นๆว่าสงสัยเจ้าที่แรง   วันต่อมาเลยเอา ดอกไม้ไปไหว้ศาลที่หน้าอพาทเม้น   แต่แล้วก็เหมือนมีความไม่ปกติในห้องตลอด  เสื้อผ้าถูกรื้อ ผ้าปูที่นอนขาด บ้าง จนต้องไปขอดูวงจรปิดว่ามีใครงัดห้องรึเปล่าแต่ก็ไม่มี   ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

วันนึง อั้มไม่อยู่ห้อง ยูชวนเพื่อนมาเล่นเกมที่ห้อง  พอเพื่อนเปิดประตูเข้ามาก็พูดว่า อ้าวไหนว่าเมียเมิงไม่อยู่ไง   ยูก็บอก ก็ไม่อยู่ไง ? เพื่อนก็บอกว่าอ้าวเห็น ผญ ที่ระเบียง พอเดินไปดูก็ไม่มี   วันนึง อั้มกับยูนอนอยู่ในคืนนึง มีแสงจากข้างนอกรอดเข้ามาในห้องนิดๆ

อั้มตื่นมาเพราะนอนไม่หลับ ความรู้สึกเหมือนเห็นอะไรอยู่ที่หางตา ทำให้ขนลุกจนไม่กล้าหันไป แล้วก็ปลุกยูให้เปิดไฟนอน  อั้มกับอยู่อยู่กับความนอนไม่หลับ จนตาเป็นแพนด้าทั้งคู่  ทั้ง2คนว่าจะย้ายออกสิ้นเดือน  เพราะคิดว่า ห้องนี้คงมีประวัติไม่ดีแน่ๆ       จนร้ายแรงที่สุดในวันที่อั้มออกไปเที่ยวปาร์ตี้กับเพื่อนผญ

ยูโทรมาหาแล้วพูดแบบไม่เป็นภาษาว่าไม่อยู่แล้ว ย้ายเหอะ นี่ยูอยู่ข้างนอก เมื่อกี้เห็นผู้หญิงนั่งอยู่ บนตู้เสื้อผ้า น่ากลัวไม่ไหวแล้ว  อั้มกลับมาหายู   ทั้งสองย้ายห้องกันในตอนเช้า แต่ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอ แต่เรื่องตลอด อั้มก็แทบไม่ได้นอนเหมือนเดิม จากผญ สวยๆก็โทรม ผอม ไม่สบายบ่อย จนเพื่อนๆแปลกใจ  อั้มก็โทรมาเล่าให้เราฟังตลอด เราก็ได้แต่บอกให้ทำบุญมากๆ เดี๋ยวปิดเทอมเจอกัน 

จนอั้มถามยูถึงลักษาณะของ ผญ ที่ยูเห็น เพราะ ยูยืนยันว่า เห็นคนๆเดียวกันตลอด  พอยูอธิบายลักษณะ หน้าตา เสื้อผ้า อั้มก็ยิ่งช็อคเพราะเป็นแบบที่คิดไว้ลึกๆอยู่แล้วว่านั่นคือจิ๊บ.... 

จากนั้นไม่นาน ยูก็เลิกกับอั้ม  เพราะพอรู้เรื่องก็รับไม่ไหว อั้มถูกจิ๊บตามไปทุกที่   อั้มพยายามไปทำบุญ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ หลายต่อหลายที่  ก็ยังเหมือนเดิม  ยังคงไม่สามารถนอนหลับได้   ไม่ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน  ก็เจอเหตุการณแปลกๆ  มีแฟน แฟนก็จะโดนหลอกจนเลิกกันไป เหตุการณ์เป็นแบบนั้นอยู่นานพอดู   อั้มกลายเป็นผญโทรม ไม่มีราศีเลย  เรามาเจออั้ม ตอนช่วงปิดเทอม ของปี4เทอมแรก  ก็ยิ่งสงสาร ตอนนั้นจำได้ว่า วัดไหนดังๆ เรื่องการทำบุญ เรื่องวิญญาณก็ไปหมด

เรากับแฟนเราพาไปทุกที่   เท่าที่ทำได้ หลายๆที่ก็ทายแม่นนะ เรื่องคำสัญญา     ที่ให้เอาไว้  คือจิ๊บจะให้อั้มไปอยู่  ให้อั้มตายไปด้วยกันอย่างที่คิดไว้    สุดท้ายมีหลวงพ่อท่านนึง แนะนำให้อั้มบวช ชีอุทิศบุญให้เค้าไปเกิด พยายามทำให้เค้าเลิกยึดติดคิดแค้น    แต่อั้มก็กำลังจะจบ  ตอนนั้นเลยยังไม่ยอมบวช เพราะหลวงพ่อท่าบอกให้บวชเต็มตัวคือโกนผมเลย   แต่ไม่ถึง3วันอั้มกลับมาที่วัด ยอมบวช โกนหัว เพราะผ้าปูที่นอนขาดเป็น2ชิ้นอีกแล้ว   ตอนนั้นเราก็อยู่ด้วย ตอนแม่ชีบวช   

แม่ชีอั้มบวชอยู่เดือนแรก เรามาเยี่ยม  ท่านก็บอกว่า สุขใจดีขึ้นมาก ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย  สวดมนต์ถือศีล อุทิศให้จิ๊บทุกวัน   แล้วก็เหมือนว่าจะบวชต่อไปอีกสักระยะ   เราเองก็ดีใจด้วย  ตอนนั้นก็โทรไปบอกแม่อั้ม เรื่องอั้มบวช แม่แกก็ งง  เพราะอั้มไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังเลย    แม่อั้มก็มาเยี่ยมที่วัด  และก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด จากเราและแม่ชีอั้ม

แม่ก็เป็นห่วง แต่ก็เห็นด้วยที่จะให้บวชต่อ เพราะวิบากกรรมที่เจอมานั้น หนักเหลือเกิน  แม่ชีอั้มบอกว่ามันน่ากลัวว่าในหนังที่ดู เรื่องวิญญาณเรื่องผีสาง  เพราะ เหตุการณ์จริงความรู้สึกที่มันไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่มันแย่มาก   สิ่งที่ต้องกลัว หวาดระแวงแฟนก็อยู่ไม่ได้  มันยิ่งทรมาณ  ฝันร้าย อึดอัด  นอนร้องไห้ คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นไปมา ภาพหลอกหลอนเหมือนคนเป็นโรคจิต  บางครั้งเคยอยากระบาย เล่าให้คนอื่นๆฟัง เขียนลงในเว็บบ้าง  บ้างก็ว่าคิดไปเอง  กลัวไปเอง คิดมากเอง   บางคนก็ยังว่า ว่าคิดโง่ๆกันตั้งแต่แรก  คิดสั้นได้ไง

ชีวิตมีทางแก้ปัญหาอีกเยอะแยะ   ทำตัวทุเรศไร้สาระ   ยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่   แต่ตอนนี้ รู้สึกสงบแล้ว  หลังจากบวช  รู้สึกว่าจิ๊บคงได้รับผลบุญนี้

อั้มดรอปเรียนเทอมสุดท้ายเอาไว้  เพื่อบวชชี   อั้มบวชอยู่นานพอดู ประมาน8 เดือนค่ะ  ตอนนั้นเราก็มาอยู่กรุงเทพ รอรับปริญญาแล้ว    แล้วอั้มก็ออกมาใช้ชีวิตปกติ  เราก็เจออั้มบ้าง ช่วงนั้นเราก็หางานทำไปด้วย  คุยกันบ้าง อั้มก้ดูโอเคขึ้น  อั้มชอบเล่าเรื่องราวธรรมะ ในช่วงที่บวชให้เราฟังตลอด    แต่หลังจากเราได้งาน   เราก็ห่างๆกับอั้ม เพราะรู้ว่าอั้มกลับไปเรียนต่อ  ส่วนเราก็ทำงานเป็นกะ  เวลาเลยไม่ค่อยตรงด้วย

ห่างหายกันไปหลายเดือน  จนเข้าใจว่าเรื่องราวเลวร้ายทั้งหลายของอั้มจะจบลงด้วยดีแล้วค่ะ อยู่ๆเราก็คิดถึงอั้มขึ้นมาเลยกดโทรหาแต่ก็ไม่รับสาย  อั้มไม่ได้เล่นเฟชเราก็ไม่รู้จะติดต่อทางไหน หลังจากที่โทรไปไม่รับ แล้วก็ไม่เห็นว่าอั้มจะโทรกลับ หลายวันแล้ว เราเลยโทรไปที่แม่ของอั้ม 

เราเลยได้รู้ว่า อั้มกลับไปอยู่บ้านหลายเดือนแล้ว  ไม่ได้เรียนต่อ แม่ของอั้มบอกว่าอาการอั้มไม่ค่อยดีเลย
แย่มากมาตลอด แม่อั้มร้องไห้บอกว่าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว   อยากให้เราไปหา พอถึงวันหยุดเราก็ชวนแฟนเราขับรถไปหาอั้มที่บ้านต่างจังหวัด  ไปถึงบ้านเงียบมากๆ แม่บอกว่า อั้มอยู่ในห้อง คนอื่นๆไปสวนกันหมด   เราก็เข้าไปหาอั้มคนเดียวแฟนเราไปเดินเล่นข้างนอก

เราเห็นในห้องไม่มีผ้าปูที่นอนไม่มีเก้าอี้ ไม่มีเฟออะไรเลย มีแต่ห้องโล่งๆ  อั้มเหมือนคนบ้าไปแล้ว  พออั้มเห็นเราก็กอดเรา พูดจาก็ยังรู้เรื่องอยู่ เอาแต่ร้องไห้บอกว่าจิ๊บไม่ยอมหยุด  อั้มไม่ได้อาบน้ำแน่ๆ กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่  เราร้องไห้ไปด้วยบอกว่า ทำไมแกไม่โทรหาชั้น  ทำไมทำตัวแบบนี้ แม่เค้าทุกข์ใจมาก  อั้มบอกว่า ชั้นใช้ชีวิตไม่ได้เลย  อยู่ไม่ได้ ไม่กล้านอน นอนไม่หลับ

เราพยายามพูดว่า บวชมั้ยอั้ม บวชตลอดชีวิตไปเลยถ้ามันจะแย่ขนาดนั้น  อั้มบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ไหวแล้ว แล้วก็พูด วนๆๆๆไปๆมาๆ  จนเรากลัว เราบอกว่าอั้มว่าเดี๋ยวมานะ ขอคุยกับแม่ก่อน พอเรามาคุยกับแม่  แม่ก็บอกว่า  อั้มกลับมาจากกรุงเทพก็บอกว่าเรื่องมันไม่จบ กลัวจิ๊บ บอกว่าจิ๊บตาม จิ๊บจะฆ่าอั้ม  แล้วก็เอาแต่อยู่ในห้อง ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็กลัวกันไปหมด ว่าว่าลูกสาวบ้านนี้เพี้ยนไปแล้ว

แม่พาอั้มไปอาบน้ำมนต์ก็แล้ว ก็ไม่หาย  บางทีก็คิดว่าอั้มคิดไปเองรึเปล่า ไปปรึกษาหมอ หมอเค้าก็ให้ยาครายเครียดมากิน  อั้มบอกให้แม่เอาเตียงเอาที่นอน เอาเก้าอี้ออกจาห้องให้หมด  เพราะจิ๊บยืนบนเก้าอี้  จิ๊บเรียกให้แขวนคอบ้าง

จนทุกวันนี้พอร้องไห้จนเหนื่อยอั้มก็นอนบนพื้นปูนเย็นๆแข็งๆทุกวัน   แม่นอนเป็นเพื่อนอั้มทุกคืน  แต่อั้มไม่เคยนอนหลับได้  ตื่นมาร้องโวยวายตลอด พาทุกคนในบ้านเครียดไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง
    
เราฟังแล้วเศร้านะไม่คิดว่าจะบานปลายขนาดนี้  เราเองทุกวันนี้ก็ยังทำบุญให้จิ๊บนะ เราไม่เคยฝันไม่เคยเจออะไรแปลกๆ เกี่ยวกับจิ๊บ  มีแต่อั้มที่เจอมาตลอด    เราเชื่อเพื่อนเรา   เรารู้ว่าเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้  ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำไง

เราชวนอั้มไปบวช เป็นทางออกที่ดีที่สุด  ตอนนั้นอั้มบอกว่า ขอบใจมากแก แกกลับไปเถอะ เราบอกอั้มว่าเราอยู่ข้างๆเสมอนะ ยังไงโทรหาเราได้ตลอด   พยายามตั้งสตินะ อั้มนั่งกอดเข่าพิงกำแพงก้มหน้าร้องไห้ไม่พูดกับเราเลย  วันนั้นขากลับ เราร้องไห้กับแฟนเรา

นึกย้อนไปเมื่อเหตุการณ์นั้น  

วันนั้น ถ้าเราไม่ได้ไปค่าย ถ้าเราติดต่อได้ อั้มก็จะโทรหาเรา  เล่าเรื่องราวให้เราฟัง  เราก็จะปลอบโยนอั้ม    อั้มก็จะไม่ไปหาจิ๊บ  ผู้หญิงที่จิตใจแตกร้าวเจ็บปวดสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่คิดไม่ทำเรื่องบ้าๆ    เหตุการณ์คงไม่เป็นแบบนี้    เรารู้สึกแย่มาก  เรารักเพื่อนมากไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ชีวิตมันมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ  เรายังคิดว่า  บอกให้อั้มไปใช้ชีวิตต่างประเทศดูมั้ย    ลองเปลี่ยนสักคม อยุ่ในที่ครึกๆครื้นๆดูมั้ย อะไรทำนองนี้  บางทีอาจเป็นที่จิตใจ  ของอั้มเองที่หลอกหลอน   เราพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหา  เท่าที่พอคิดได้ก็โทรไปบอกแม่อั้มแม่แกก็ได้แต่ฟัง แล้วถอนหายใจเฮือกๆ

สุดท้ายบทสรุปก็มาถึงจริงๆ  มันเป็นจุดจบที่ทั้งตัวเราเองคิดเอาไว้ในลึกที่สุดของใจ  ใครๆก็คงคิดเอาไว้ว่าตอนจบต้องเป็นแบบไหน    แต่มันคือสิ่งที่ เรา และใครที่รู้จักอั้มไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย สุดท้ายอั้มก็จากเราไปจริงๆ  แม่โทรมาบอกข่าวร้ายเราหลังจากแม่ที่เตรียมงานกัน อยู่  เสียงแม่ดูไม่ได้ฟูมฟาย พูดกับเราว่า อั้มไปแล้วนะลูก  เค้าไปสบายแล้วละ  มันเป็นกรรมของเค้า  เค้าก็ได้ชดใช้มันจะได้จบสิ้นความทรมานกันสักที   เรานะหรอ ร้องโฮเลย 

ไม่คิดว่าจะเป็นจริง สิ่งที่คิดว่า ว่าเลวร้ายที่สุดต้องเป็นแบบนี้  ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย  รู้สึกรับไม่ได้อ่ะ  หดหู  เสียใจสุดๆ เพื่อนเรานะ อยากให้มันเป็นเรื่องไม่จริง   อยากให้เราใช้ชีวิตกับเพื่อนเราปกติ  อยากให้เรื่องราวคิดสั้นผ่านไปด้วยดี  ทุกคนยังอยู่แล้วย้อนกลับไปเล่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องขำขัน  แต่มันไม่เป็นแบบนั้น   เราไปงานอั้มกับแฟนแล้วก็เพื่อนๆที่รู้จักติดรถกันไป หลายคน เตยก็ด้วย  เตยมารับรู้เรื่องต่างๆทีเดียวก็ช็อคด้วยกันหมด   พอไปถึงเราก็ไปนั่งเป็นเพื่อนแม่ 

เราไม่กล้าถามเหตุการ์โดยละเอียดกับแม่อั้ม  เพราะเรารู้ว่าเค้าคงไม่อยากพูดถึง  เราก็อยู่ช่วยงานแล้วก็ไปค้างที่โรงแรมในตัวเมืองกับเพื่อนๆ ว่าจะอยู่กัน จนวันเผาเลยเพราะแม่ให้พระสวดแค่3คืน เพื่อนบางคนก็กลับไปก่อน  พอตอนเช้า เราตื่นแต่เช้ามาบ้านอั้มกับเตย มาทำบุญเช้าให้อั้ม  ตอนสายๆนั่นแหละ แม่อั้มถึงได้นั่งพักคุยกับเรา เล่าให้เราฟังว่า  

ก่อนที่อั้มจะจากไป  แม่จะพาอั้มไปบวชชีที่วัดในตอนเช้า เพราะไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีก  แม่ก็เตรียมชุดขาว เสื้อกางเกง ผ้าสไบไว้ให้อั้ม ในห้องนอน คืนนั้นแม่ก็นอนเป็นเพื่อนอั้มปกติ  พอตี4 แม่ก็ลุกไปเตรียมของ ที่จะไปวัดทำบุญทำพิธีบวช  แล้วนั่นแหละ พอทำอะไรเสร็จจะปลุกอั้มอาบน้ำ  เข้ามาก็ช้าไปแล้ว 
อั้มเอาชุดแม่ชีทั้งหมดผูกๆกันเป็นเชือก แล้วแขวนคอตัวเองในห้องนั้น  ตอนแม่เข้าไปอั้มยังมีลมอยู่
แม่ร้องเรียกให้คนอื่นๆเข้ามา แม่บอกว่า พยายามพยุงตัวอั้มไว้แล้วแต่มันสูง แล้วแม่ก็เอาตัวอั้มลงมาไม่ได้ด้วย 

แต่อั้มก็ตัวซีดเย็นก่อนถึง รพ.   เราเองอยากอุดหู ไม่อยากฟังเลย   แต่ก็มีคำถามว่า แล้วอั้มแขวนได้ยังไง  เอาเก้าอี้เข้าไปเองหรอ เพราะเท่าที่เราเห็นห้องอั้ม ขื่อมันไม่สูงมากก็จริง แต่ก็ต้องใช้เก้าอี้แหละ 
แม่บอกว่าแม่สาบาน ยืนยัน ถามพ่อก็ได้ว่าในห้องนั้นไม่มีเก้าอี้ ไม่มีใครเห็นเก้าอี้ในห้อง ไม่รู้ว่าอั้มทำได้ยังไง 

มันเป็นเครื่องหมายคำถาม ที่ไม่มีใครอยากหาคำตอบ   แม่ได้แต่บอกว่า  มันก็คงจบสิ้นกันเท่านี้แหละ
จะยังไงก็แล้วแต่  เค้าทำดีที่สุดแล้ว อั้มมีบุญมาเท่านี้

โดย. bobbywatster แห่งพันทิป.คอม

กระทู้ผีพันทิป เรื่อง ผีเขมรที่เกาะกูด - คุณปีกทองแท้


เรื่องมันเกิดขึ้นในปลายฤดูร้อนปีหนึ่ง เมื่อ บรรดา สจ๊วตและแอร์รุ่นเดียวกับผม นัดรวมพลพรรคที่มีเวลาว่างตรงกันประมาณ 10 คน จัดทริปไปเที่ยวเกาะกูด โดยพักที่บ้านกึ่งรีสอร์ทบนเกาะเล็กๆส่วนตัว ห่างออกมาจากชายแดนของประเทศกัมพูชาไม่มากนัก

ด้วยความที่อยากทำตัวเป็น ไฮโซติดดิน พวกเราจึงทุลักทุเลเดินทางออกจากกรุงเทพฯในตอนบ่ายโดยรถโดยสารปรับอากาศของ บขส. จากสถานีเอกมัย มาลงที่ตัวจังหวัดตราด แล้วต่อรถสองแถวไปที่ท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะที่พักอีกที ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็พลบค่ำ ทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบจะคลานขึ้นบ้านพักกันเลย

หลังจากเติมพลังงานด้วยอาหารเย็น ที่เจ้าของรีสอร์ทจัดเตรียมให้จนอิ่มหมีพีมันแล้ว พวกเราจึงออกเดินสำรวจบ้านพักและบริเวณโดยรอบ... มันมีลักษณะเหมือนบังกะโลชายหาดแบบโบราณทั่ว ไป คือ ยกพื้นสูงประมาณ เมตรกว่า ๆ ตัวเรือนทำด้วยไม้ มีหน้าต่างโดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าเป็นท้องทะเลสีครามเข้ากับสีฟ้าอ่อนของตัวบ้าน ด้านหลังอิงแอบกับเนินเขาลูกเล็ก ๆ ที่มีบรรดาพืชพันธุ์ต่าง ๆ ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มากมาย เสียงสรรพสัตว์ต่าง ๆ ร้องเบา ๆ ดังออกมาจากป่าละเมาะนั้น แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัวปนขยะแขยงมากที่สุด คือเสียงของตุ๊กแกที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามผนังบ้าน

ระหว่างทาง พวกเราได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาทำงานที่รีสอร์ทแห่งนั้น ทุกคนต่างก็มีอัธยาศัยอันดี ยกเว้นแต่พ่อแม่ลูกสามคนที่มองผมและซุบซิบกันด้วยท่าทีแปลกๆ...

คืนนั้น...พวกเรานั่งเฮฮา ตากลมริมชายหาด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน จึงเดินกลับเข้าตัวบ้านเพื่อพักผ่อน ด้วยความที่สนิทกันมาก แต่ละคนจึงลากเอาที่นอนหมอนมุ้งมานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ห้องเดียว ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน...

สักพักใหญ่ ๆ เสียงจ้อกแจ้กจึงค่อยๆลดระดับลงเป็นเสียงกระซิบ และเงียบไปในที่สุด แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเห็นเป็นเงาสลัวลาง เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ กอรปกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินตุ๊กแกร้องระงมอยู่ภายนอก เสียงนั่นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เอามืออุดหูด้วยความเกลียดกลัว...น่าแปลกที่บรรดาเพื่อนๆ ยังคงนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สักพัก เสียงตุ๊กแกก็สงบลง แต่คราวนี้กลับมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นเบาๆ ผมพยายามฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่คำเดียว...เหมือนกับเป็นภาษาเขมร

ผมค่อย ๆ พลิกตัวมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของเสียง... ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว...ภาพลางๆที่เห็นเบื้องหน้าคือ ชายหญิงและเด็กที่ผมพบตอนเดินเล่นเมื่อช่วงค่ำนั่นเอง...การสนทนาสะดุดหยุดลงทันที เหมือนรู้ว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่ ทั้งหมดหันมาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา...

“อ๋อ...พวกชาวบ้านที่ทำงานที่นี่นั่นเอง” ผมคิดในใจพร้อมกับเอ่ยถามพวกเขาเบาๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนที่นอนหลับอยู่

“มีอะไรหรือครับ...มาทำอะไรกันดึกๆดื่นๆอย่างนี้...” เสียงของผมทำให้เพื่อนบางคนเริ่มขยับพลิกตัว...เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นเงาตะคุ่มๆกำลังโงนเงนลุกขึ้นนั่ง

เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมละสายตาจากพวกเขาเหล่านั้น... พลันปรากฏภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกเมื่อสักครู่ มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน ...ถือไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งแกว่งเล่นในมือ...ผมงงงันกับภาพเบื้องหน้า ไม่เข้าใจว่าเด็กนั่นแอบปีนเข้ามาในห้องพักของพวกเราตั้งแต่เมื่อไร

โดยไม่คาดคิด...แกเริ่มออกวิ่งไปรอบๆห้อง กระโดดข้ามเพื่อนบางคนที่ยังคงนอนขวางอยู่ พลางเอาไม้ที่ถืออยู่เคาะผนังดังก๊อกๆๆ ๆพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง...มันดังโหยหวน จนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู

ถึงตอนนี้ เพื่อนๆผมก็ตื่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากันด้วยความงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น...ผมพยายามร้องห้าม แต่เด็กนรกนั่นไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งพล่านเคาะฝาผนังรอบห้องต่อไป ผมจนปัญญาจึงหันไปหาสามีภรรยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“พี่ๆ ช่วยมาเอาลูกออกไปหน่อยสิครับ ซนจริงๆ...” ผมกวักมือเรียกสองคนนั่น แต่น่าแปลกที่พวกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจใยดี ว่าลูกตัวเองกำลังรบกวนการพักผ่อนของพวกเราอยู่
“คุยกับใครที่ไหนอยู่เหรอ แอนดี้...แล้วนี่เสียงอะไรน่ะ ใครร้อง...ใครเคาะฝาบ้าน” เสียงสั่น ๆ ของเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น พร้อมหันไปมองรอบๆอย่างหวาด ๆ ราวกับว่ามันไม่เห็นใครอยู่เลย

“อ้าว...ก็เรียกให้พ่อแม่ของเด็กนี่มาเอาลูกเค้าออกไปน่ะสิ...วิ่งเล่นอยู่ได้ ไม่หลับไม่นอน...”

ผมตอบอย่างเหลืออด จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้น อาศัยแสงจันทร์ หาทางเดินไปยังแผง สวิทช์ไฟ แล้วกดปุ่มให้มันทำงาน...แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ห้องทั้งห้องยังคงมืดมิด

ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ ผมกดปุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า แข่งกับเสียงกรีดร้องและเสียงเคาะผนังห้องของเด็กนั่น ความกดดันปะทุขึ้นจนผมไม่สามารถทนได้ ผมใช้นิ้วกระแทกย้ำไปที่สวิทช์ไฟอีกหลายครั้ง พร้อมตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด

“ไอ้หนูหยุด...หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้...”

เมื่อสิ้นเสียงของผม แสงจากดวงไฟหลายดวงบนเพดานพลันสว่างขึ้น เสียงอึกทึกและภาพของเด็กน้อยคนนั้น กลับหายไปในพริบตา ห้องทั้งห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง...ผมมองไปรอบๆ เห็นบรรดาเพื่อนๆนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ด้วยความหวาดกลัว

ผมรีบสาวเท้าเดินไปที่หน้าต่างตรงหัวนอน เพื่อมองหาทั้งสามคนนั่น แต่กลับไม่พบอะไรเลย...แข็งใจมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาตะคุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งเดินอยู่ตรงท่าเรือ พวกเขาหันมามองที่ผมอีกครั้ง ด้วยแววตาเฉยชาเช่นเคย แล้วค่อยๆเดินห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตาในที่สุด

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผมเดินลงไปดูตรงบริเวณที่เห็นสามีภรรยาเมื่อคืน (เดินไปคนเดียว เพื่อนคนอื่นกำลังสาละวนเก็บของหนีกลับกรุงเทพฯ) พบว่ามีศาลเพียงตาตั้งอยู่สองหลัง...ทำไมนะ เมื่อวานพวกเราถึงไม่มีใครเห็นศาลนี้กันสักคน...สอบถามคนงานดูจึงทราบว่ามันถูกสร้างให้สามีภรรยาและลูกชายที่นั่งเรืออพยพมาจากกัมพูชาเพื่อหนีสงครามเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่โชคร้ายที่เรือมาล่มจมน้ำตายหมดทั้งครอบครัว และศพถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตรงบริเวณหาดหน้าบ้านหลังนี้

ที่น่าแปลกก็คือ ไม่เคยมีใครเคยพบวิญญาณพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้มาก่อน และไม่มีใครได้พบพวกเขาอีกเลยหลังจากคืนนั้นครับ

Cr.ปีกทองแท้ แห่งพันทิป.คอม

กระทู้ผีพันทิป เรื่อง ผีพรายทำลายชีวิตผม




สวัสดีครับ ผมเพิ่งจะตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก หลังจากที่เห็นหลายๆคนแชร์ประสบการณ์ลึกลับกันหลายกระทู้

เลยอยากแชร์ประสบการณ์ของผมบ้าง กว่าจะผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้ผมต้องเจออะไรมาเยอะพอสมควร
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ผมอาจใช้ชื่อสมมุติ เพราะกลัวจะไปพาดพิงถึงใครเข้า ขอให้ทุกคนที่อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดนึงในภาคใต้ ตอนนั้นผมอายุ 21 ปี ผมหนีออกจากบ้าน กับความรู้แค่ ม.3 ไปทำงานเองด้วยเหตุผลส่วนตัว

เมื่อก่อนบ้านผมอยู่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ผมเลยหนีเข้ามาทำงานรับจ้างอยู่ในอำเภอเมือง
ทำทุกอย่างที่ได้เงินพอประทังชีวิตไปเรื่อยๆ ผมเก็บขวดไปขาย บวกกับทำงานเป็นเด็กปั้มแห่งหนึ่ง ทำอยู่ประมาณเกือบ 3 ปี ก็เก็บเงินได้ก้อนนึง แล้วก็คิดว่าอยากจะมีที่อยู่เป็นของตัวเองบ้าง (ผมอาศัยอยู่ที่พักคนงานของเถ้าแก่ปั้ม เขาให้ผมอยู่ฟรี) ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงด้วยความที่ความรู้น้อย
ผมเลยไปปรึกษาเถ้าแก่ ผมก็บอกเขาไปว่าผมเก็บเงินได้ 2 หมื่นแล้ว เถ้าแก่ค่อนข้างมีฐานะ เขาเอ็นดูเพราะผมซื่อๆ ขยันทำงาน

เถ้าแก่เขาเลยบอกว่า “กูมีแพเหล็กเก่าๆอยู่ลำนึง จะเอาไหม? ถ้าเอาไปแล้วก็เอาไปทำมาหากินได้เลยมาเอาน้ำมันจากกูไปขายแล้วค่อยหักเอาก็ได้" (คือแพเหล็ก หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออก มันเป็นเหมือนแท้งเก็บน้ำมันเคลื่อนที่ลักษณะเหมือนแพ ลอยอยู่ในน้ำ) เถ้าแก่ให้แพผมมาฟรีๆ ตอนนั้นดีใจมาก

แพไม่ใหญ่มากขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ผมใช้เป็นทั้งบ้านเป็นทั้งที่ทำงาน เพราะด้านหน้าแพมีหัวจ่ายน้ำมันอยู่หัวนึงไว้ใช้ขายน้ำมันให้กับเรือหางยาวกับเรือประมงในแม่น้ำ กลายเป็นว่าผมจะอาศัยอยู่ริมน้ำตลอดเวลา ก็เงินดีพอสมควร จนผมก็พอจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวได้ แล้วก็ไปเจอกับเมียผม เขาทำงานเป็นเด็กเสริฟอยู่ร้านอาหารแห่งนึงคบกันได้สักพักเลยชวนกันมาอยู่กินด้วยกันจนมีลูกชายคนนึง ตอนนั้นก็เลี้ยงลูกแล้วก็ทำงานทุกอย่างอยู่บนแพนั้นแหละ

แต่ผมยอมรับว่าผมเริ่มมีนิสัยเจ้าชู้ คือจะออกไปเที่ยวคาเฟ่เกือบทุกคืน บ่อยครั้งที่ลูกกับเมียต้องอยู่กันตามลำพัง

จนมีอยู่วันนึง ผมก็ออกไปเที่ยวตามประสาของผม

ตอนนั้นลูกชายอายุ 5 ขวบได้ เด็กมันก็เอาสวิงมาช้อนปลาเล่นตามปกติของมัน แต่พลาดตกน้ำซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มจะมีแค่ไฟจากหน้าแพแค่ดวงเดียว เมียผมได้ยินเสียงก็รีบโดดลงไปช่วย เมียผมเล่าว่าตอนลงไปช่วยมันเห็นเหมือนเส้นผมดำๆ ดึงขามันไว้ (ซึ่งมันก็อาจจะเป็นสาหร่ายอะไรสักอย่างก็ได้ เวลากลางคืนมันจะมืดจนแถบมองไม่เห็นอะไร) พยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่หลุด ต้องขึ้นมาหายใจแล้วดำลงไปดึงใหม่ จนพาขึ้นมาได้ แล้วเมียผมก็อุ้มพาดบ่าให้น้ำออก

ผมกลับมาบ้านแบบเมาๆ มาเจอเมียร้องไห้ที่ผมไม่อยู่บ้านเพราะเกือบจะเสียลูกไปแล้ว ตอนนั้นรู้สึกผิดมากๆ ทั้งกลัวทั้งโล่งใจที่อย่างน้อยลูกยังไม่เป็นอะไรไป ผมเลยคิดว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่เหมาะจะเลี้ยงลูก แต่ก็ยังไม่รวยถึงขึ้นจะไปหาซื้อที่บนบกอยู่ได้ เลยพยายามสอนลูกว่ายน้ำแทน จนมันก็พอว่ายน้ำได้ เวลาผ่านไปไม่นาน ผมก็กลับไปเที่ยวเสเพลไปวันๆ เหมือนเดิมอีก

จนกระทั่งวันนึงผมกลับบ้านประมาณเที่ยงคืน ผมไม่ได้เมามาก เป็นคนที่ไม่เคยเมาขาดสติจนต้องให้ใครพากลับบ้าน

วันนั้นขณะกำลังจะเดินไปที่แพ (ปกติผมมัดแพกับเสาไว้ริมท่า) ผมก็เห็นผ้าสีขาวคล้ายชุดผู้หญิงลอยอยู่กลางแม่น้ำ ห่างจากแพผมอยู่ไม่ไกล พยายามเพ่งมองให้แน่ว่ามันคืออะไรเพราะมันค่อนข้างมืด แต่สีขาวทำให้มันยิ่งดูชัดเจนในความมืด

ผมสาบานว่าผมเห็นมันเคลี่อนที่ช้าๆ ไปที่แพ ตอนนั้นมีแต่ความสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีความกลัวใดๆ เลยเดินไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงแพ ตาของผมจ้องมองผ้าสีขาวนั้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งผมเข้าใกล้แพเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่เข้าไปใกล้แพมากขึ้นเท่านั้น

แล้วอยู่ดีๆ ผ้าขาวๆนั้นก็ลอยเข้ามาใส่หน้าผมอย่างเร็ว แว็ปสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับตาเพราะตกใจ
สาบานว่าเห็นเป็นผู้หญิงผมดำยาวมากๆใส่ชุดสีขาว แล้วก็หายไป ผมยังจำได้แม่นไม่เคยลืมมาจนถึงทุกวันนี้

แต่ก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ลูกเมียฟังเพราะไม่อยากให้คิดมากกันเปล่าๆ แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอีก

ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ผมรู้สึกได้ว่าเมียผมเปลี่ยนไป เธอชอบมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่นชอบนั่งแต่งหน้าทาปาก รักสวยรักงามผิดปกติ ตั้งแต่อยู่กินกันมาเมียผมไม่เคยอะไรเรื่องพวกนี้เลย บางคืนก็ชอบลุกขึ้นมานั่งทำนู้นทำนี้จุกจิก นั่งหวีผม แล้วก็ดูเหมอลอยๆ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ ลูกก็ไม่ค่อยสนใจ คือผมก็พยายามคิดไปว่าเธออาจจะเครียดที่ผมออกไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่ค่อยได้มาช่วยเลี้ยงลูก จนมีอยู่ครั้งนึงผมกำลังทำงานอยู่เหนื่อยๆ ลูกผมมันก็ร้องงอแงหิวข้าว ผมเลยตะโกนบอกเมียไปว่า

"เห็นไหมมันหิวข้าวเนี้ย พามันไปกินก่อนสิ" เมียผมหันมามองแบบตาขว้างมากๆ แต่ไม่พูดอะไรสักคำ
แล้วก็ไม่ยอมพาลูกไปกินข้าวด้วย ผมเลยโมโหเลยตอนนั้น เลยด่าไปเต็มๆ อยู่ดีๆเมียผมลุกขึ้นวิ่งไปตบลูกชายอย่างแรง ตบแบบหน้าหันเลยครับ ผมตกใจจนอึ้งไปเลย เมียผมไม่เคยทำแบบนี้กับลูกมาก่อน

เธอเป็นแบบนี้อยู่นานมาก คือแทบจะคุยกันไม่รู้เรื่อง พูดก็น้อยไม่ยอมสื่อสารกับผม วันๆเอาแต่นั่งเหมอลอยส่องกระจกลูปผมตัวเอง ผมลืมบอกไปว่าช่วงเวลาที่เธอเป็นแบบเนี้ย ปกติเมียผมเป็นคนรูปร่างเจ้าเนื้อนิดนึงแต่ผอมลงเยอะมาก เพราะข้าวปลาไม่ยอมกิน แล้วบางคืนผมตื่นมาเห็นเมียนั่งนิ่งๆ อยู่ริมเตียง ผมกลัวแถบจะฉี่ราด เพราะเหมือนเธอกลายไปเป็นอีกคนแล้ว

ผมเลยไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวแบบเมื่อก่อนเพราะไม่อยากทิ้งลูกเอาไว้ลำพัง ใจนึงผมคิดจริงๆว่าเธอถูกผีสิงรึเปล่า หรือเธอแค่เก็บกดที่เคยปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวแล้วผมออกไปเที่ยวเสเพล มันก็อาจจะเป็นได้ แต่มันมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้หมั่นใจว่า เธอน่าจะถูกผีสิงจริงๆ คือ วันนึงผมเครียดๆเรื่องราคาน้ำมันอยู่นาน แล้วเอาจริงๆผมก็เริ่มจะชินที่เห็นเมียเป็นแบบนี้ (เป็นอยู่เกือบปี) วันนั้นผมไม่รู้นึกยังไงที่พยายามจะทำการบ้านกับเมีย

คือผมคงเครียดๆเลยอยากจะระบาย ก็ขึ้นคร่อมแบบปกติ ทำได้สักพักเมียผมก็ร้องไห้ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไปเลยเหมือนเสียงเด็ก แบบร้องไห้แล้วก็พนมมือไหว้ ร้องว่า "อย่าทำหนูๆ" ตอนนั้นผมโคตรตกใจ หมดอารมณ์สิครับตอนนั้น แล้วเธอก็กริ้ด ดังมากกกก

ผมพยายามเอามือปิดปาก ไม่ให้เธอกริ้ดจนเธอเหนื่อยสลบไปเอง คือมันอาจจะเหมือนเรื่องตลก แต่ลองนึกว่าเกิดขึ้นจริงๆดูครับ ไม่ตลกเลยสักนิด ผมไม่รู้จะทำไงเลยไปปรึกษาเพื่อนคนนึง เขาบอกว่าเขารู้จักแม่เฒ่าที่น่าจะช่วยอะไรได้

ผมเลยพาเมียผมไป เป็นบ้านไม้เล็กๆ แม่เฒ่าเขาก็ถามว่า เมียเป็นอะไรทำไมมันตาขว้างแบบนั้น ผมก็บอกไปเลยว่าไม่รู้เหมือนกัน

อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว แม่เฒ่าแกก็ถามว่าได้ทำบุญไหว้พระบ้างรึเปล่า คือผมหนีออกจากบ้านมาตัวเปล่า

ผมเลยไม่เคยคิดถึงเรื่องทำบุญ บูชาพระอะไรอยู่ในหัวเลย แม่เฒ่าแกเอาอะไรดำๆสักอย่างที่แกบดไว้เหมือนยา มาป้ายปากผมกับเมีย แล้วก็เอาน้ำมนต์พรมใส่ ผมหันไปมองเมีย เขาก็ไม่เห็นเป็นอะไร หลังจากวันนั้นผมก็พยายามออกไปทำบุญ

ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่เมียผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่ค่อยพูดค่อยจา

แต่อยู่มาวันนึง พอดีผมพาลูกไปดูเขาแข่งนกกรงหัวจุกในตลาด เมียผมก็อยู่คนเดียวที่บ้านเพราะชวนแล้วเธอก็นั่งเงียบ กลับมาได้ประมาณ 2 ทุ่มกว่า ขณะที่กำลังจะเดินกลับแพ ผมเห็นเมียผมถือมีดอีโต้
เห็นแต่ไกล กำลังเดินมาทางผม ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ้ม ตอนนั้นผมบอกให้ลูกวิ่งไปหาเจ้ร้านขายของชำแถวนั้นก่อนเลย

แล้วเมียผมวิ่งเอาอีโต้มากะจะฟันผมแน่ๆ ผมพยายามจับแขนเอาไว้ แต่ก็พลาดฟันมาโดนต้นขาผม
ตอนนั้นตาเมียผมแทบจะถลนออกมาจากเบ้า แล้วก็พูดแค่ว่า "ไอ ยิ้มๆๆๆ" ผมก็นอนล็อคแขนขาเธอเอาไว้ แต่ไม่ไหวจริงๆ แรงเยอะมาก เลยตัดสินใจปล่อยแล้ววิ่งเลยครับ ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ แถวนั้นก็ไม่มีคนช่วย ผมหันไปดูเมียผมนอนอยู่ที่เดิมไม่ลุกขึ้นมา

ผมหันไปดูเมียผมนอนอยู่ที่เดิมไม่ลุกขึ้นมา.... เลยเดินกลับเข้าไปดูว่าเป็นอะไรรึเปล่า เธอนอนนิ่งไปเลย
ตอนนั้นตกใจมาก เพราะคิดว่าผมเผลอล็อคแรงเกินไป เลยกะจะอุ้มพาไปโรงพยาบาล แต่อุ้มได้แปปเดียว เธอก็รู้สึกตัวลงมาเดินเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยพยายามถามว่าเป็นอะไรเจ็บตรงไหนไหม ก็ไม่ตอบเหมือนเดิม

ตั้งแต่วันนั้น ผมเลยรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆแล้ว มันต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วพอดีผมก็ไม่ค่อยรู้จักพิธีกรรมอะไรเลย หรือแม้แต่พิธีในวัด จึงมีเพื่อนคนนึงเขาพาไปหาร่างทรง เขาบอกว่าเป็นพ่อปู่ฤาษีที่มีคนศรัทธากันเยอะมากๆ

ผมเลยตกลงจะพาไปเพราะไม่รู้จะให้ทำยังไงเหมือนกัน พอพาไปปุ๊บพ่อปู่เขาก็บอกเลยว่า
"เมียพาผีพรายมาด้วย" ผมขนลุกซู่เลยตอนนั้น เลยบอกให้พ่อปู่เขาช่วยที แล้วดูเหมือนพ่อปู่เขาจะรู้ทุกอย่างว่า ผมอาศัยอยู่ริมน้ำ การงานเป็นยังไงเมียผมเป็นยังไง ผมเลยเชื่อสนิทเลยว่าร่างทรงนั้นมีอยู่จริง
พ่อปู่เขาบอกว่า ต้องพาไปตรงสถานที่ที่มันอยู่ เพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้กลับไปอยู่ในภพในภมิในสถานที่ของเขา เลยพากันมาที่บ้านผม ตอนนั้นมีคนแถวๆนั้นมาดูกันเต็ม แล้วพอดีๆฝนก็ตกลงมาได้ประจวบเหมาะกับเวลาจริงๆ

พ่อปู่เขาทำพิธีเอาสายสินมาพันไว้รอบตัวเมียผม แล้วสายสินอีกด้านนึงก็โยนลงไปในน้ำ
ตอนนั้นนี่เมียผมกรีดร้องจนผมสงสารมาก พ่อปู่เขาก็ท่องบทสวดจนจบด้วยการเอาน้ำมนต์ราดตัวเพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดี

เมียผมที่กรีดร้องอยู่นานเกือบ 20 นาที พอโดนน้ำมนต์ก็เหมือนจะหวีดเฮือกสุดท้ายจนหมดสติไปเลย พอผ่านไปประมาณครึ่งชม. ก็ฟื้นขึ้นมา คือรู้สึกได้เลยว่า เขากลับมาเปิดคนเดิมแล้ว เมียผมก็เข้ามากอดแล้วก็ร้องไห้

พอถามว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นยังไง เขาก็บอกว่าเขาแทบไม่รู้สึกตัวเลย เหมือนคนไร้วิญญาณ อยู่ในภวังค์ แต่ยังไงก็ดีใจแล้วครับ ที่เขาหายสักที

ผมก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ ทุกเช้าเราก็จะไหว้พระแม่คงคาหน้าแพขอให้ช่วยคุ้มครองเรา

จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี ชีวิตดีขึ้นมากๆ แล้วเมียผมก็ท้องลูกคนที่ 2 เป็นลูกสาว ตอนนั้นเงินเก็บก็เยอะขึ้นผมเลยกะว่าจะหาซื้อ ที่อยู่ให้เป็นหลักเป็นแหล่งกว่านี้ เลยไปได้ที่ติดริมน้ำ ใช่ครับ ริมน้ำเหมือนเดิม เพราะผมไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรแล้ว เลยซื้อที่แล้วก็ย้ายไปอยู่ ทำเป็นท่าแล้วก็ขายน้ำมันให้เรือประมงเหมือนเดิมแล้วก็เพิ่มหัวจ่าย เพราะเริ่มขายน้ำมันให้กับเรือลำใหญ่ๆได้แล้ว

ทุกอย่างกำลังไปได้สวย และผมก็เลิกออกไปเที่ยวตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเมียผม ไม่นานเมียก็คลอด
(ลูกชายชื่อกร ลูกสาวชื่อเก๋) เก๋โตขึ้นมาก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆไป แต่ห้าวๆหน่อย แล้วก็ชอบทะเลาะกับพี่ชายเป็นประจำ

เมียผมต้องคอยห้ามคอยตีไม่ให้ทะเลาะกัน จนวันนึง 2 พี่น้องก็เล่นกันอยู่ตามปกติ ไอกรมันก็ชวนกันปีนขึ้นไปเล่นบนแท้งน้ำมัน ซึ่งจะมีบันไดลิงแบบเหล็กต่อขึ้นไปสูงประมาณ 3-4 เมตร แล้วกรมันก็ตกลงมา จนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ดีที่ไม่ได้กระแทกเข้ากับหัวไม่งั้นอาจตายไปเลย กรมันก็ฟ้องว่าเก๋เป็นคนถีบมันให้ตกลงมา

คือผมก็เข้าใจเด็กมันเล่นกัน แล้วเก๋มันก็ออกแนวเด็กห้าวๆ เลยแค่เก็บไว้ในใจ จนอยู่มาวันนึงที่บ้านเลี้ยงหนูตะเภาเอาไว้เป็นของลูกชาย ผมแอบเห็นเก๋ เปิดเข้าไปในกรงหนูตะเภา แล้วกำมือเหมือนค้อนแล้วก็ทุบหัวหนูอย่างแรง หนูดิ้นเลยตอนนั้น

ครั้งแรกไม่เท่าไหร่ มันยังจะทุบซ้ำอีก ผมรีบวิ่งเข้าไปห้ามแล้วก็ตีสั่งสอนครับ ไม่กี่วันต่อมาหนูตัวนั้นก็ตาย

ผมคิดในใจว่าเด็กปกติเขาไม่ทำกันแบบนี้ ตอนนั้นได้แต่โทษตัวเองว่าผมเลี้ยงลูกผิด เลี้ยงลูกไม่ดีหรือยังไง

เก๋เป็นเด็กค่อนข้างดื้อมาก สอนเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยฟัง ไม่ใช่ซึมเศร้าไม่พูดกับใคร แต่จะเถียงฉอดๆเลยหล่ะ ไปโรงเรียน ครูประจำชั้นก็มักจะมาฟ้องว่าเก๋ชอบไปเล่นกับคนอื่นแรง จนแม่นักเรียนคนอื่นต้องมาฟ้อง

พอกลับมาบ้านก็มาทะเลาะกับพี่ชายมันอีก แล้วบวกกับช่วงนั้นเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
น้ำมันก็ขายยากขึ้น ผมเครียดไปหมดทุกอย่าง จนวันนึงผมนั่งตัดบัญชีอยู่ในห้องทำงานตอนดึกๆ ประมาณเที่ยงคืนน่าจะได้ เห็นเก๋มันเดินออกมาจากห้องนอนแล้วก็เดินไปที่ห้องน้ำ (ห้องทำงานผนังเป็นกระจกบานใหญ่) ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร

สักพักเก๋มันแอบย่องออกไปนอกบ้านแต่ผมทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าทำงานต่อไป แล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าเด็ก 5 ขวบ มันทำเรื่องแบบนี้ได้แล้วหรอ เลยแอบย่องตามออกไป เห็นเก๋มันไปนั่งยองๆอยู่ที่ท่าเรือริมน้ำหน้าบ้าน

ผมแอบดูอยู่ห่างๆก็ดูไม่ออกว่ามันทำอะไรเลยเดินเข้าไปดู เห็นเหมือนหัวคนดำๆโผล่ขึ้นมาจากน้ำแค่ครึ่งเดียว แล้วก็พลุบลงไปในน้ำ

และนั้นคือสิ่งที่เก๋มันนั่งดูอยู่ ผมเสียวสั้นหลังวาบเลยตอนนั้น คือเย็นไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ผมก็ดึงแขนเก๋ให้กลับเข้าบ้านให้ไว

เก๋มันก็โวยวายไม่ยอมกลับเข้าบ้าน บอก "ไม่ไปๆๆ" คือตอนนั้นผมด่ามันค่อนข้างแรงด้วยขึ้น  ขึ้น กู เลยเพราะรู้สึกโมโหจริงๆ

แล้วก็บังคับให้มันไปอยู่ในห้องล็อคบ้านไว้อย่างดี ผมกลับเข้าห้องนอนกะจะไปปรึกษาเมีย ตอนนั้นแค่มองหน้ากันก็เหมือนจะรู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เมียผมร้องไห้ต่อมน้ำแตกเลย กลายเป็นต้องมานั่งปลอบเมีย สรุปคืนนั้นนอนไม่หลับทั้งคู่

พอรุ่งเช้าส่งเด็กไปโรงเรียนเสร็จ ผมรีบบึ่งไปหาพ่อปู่ฤาษีเลย เขาก็แนะนำผมว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวลูกนั้นแหละ

พ่อปู่เขาก็รู้ว่าเก๋มีนิสัยก้าวร้าว หัวรุนแรง แต่ไม่ใช่ผีเข้า พ่อปู่ก็เตือนว่าอย่ามัวแต่ทำงาน ให้ดูลูกบ้างวันๆทำอะไร ประคบประหงมมันหน่อย

ผมเลยกลับทำตามที่พ่อปู่บอก คอยพยายามตามดูตลอด

จนวันนึงช่วงเวลาประมาณตี 2 ผมลุกจากเตียงมาเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเก๋มันคุยอะไร งึมงัมอยู่ในห้อง (ลูกชายนอนอยู่อีกห้อง) ผมเลยเอาหูไปแนบฟังดูก็ฟังไม่รู้เรื่องไม่รู้พูดอะไรอยู่คนเดียว

ผมเลยไขห้องแล้วเปิดเข้าไปเลยครับ เห็นเก๋มันยืนส่องหน้าต่างอยู่ ผมโมโหใส่เลยตอนนั้น เพราะอยากรู้ว่ามันทำอะไรอยู่ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ เลยเอาไม้เรียวฟาด ในใจสงสารลูกจนผมร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะทำไง จนมันยอมบอกว่ามันเห็นเขามานานแล้ว เขาเป็นเพื่อนมัน เขาช่วยมัน ผมก็ถามว่าใครพร้อมฟาดมันจนเลือดออก (แต่ในใจผมรู้เลยว่าคงจะเป็นผีพรายอีกแล้ว)

คืนนั้นผมเข้าใจคำว่าหัวอกพ่อเวลาที่ลูกเจ็บมันจะเจ็บขนาดไหน คือคิดว่าจะต้องทำยังไงกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะถึงผีจะเข้ามาไม่ได้ ไม่ได้สิงใคร แต่ตอนนั้นเก๋มันคงเด็กเกินไปที่จะแยกแยะอะไรเป็นอะไร หลังจากนี้ไม่นาน ผมกับเมียก็พยายามดูแลเก๋กันอย่างใกล้ชิด ไม่ห่วงแต่งานเหมือนเมื่อก่อน แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันนึงที่ท่าเรือหน้าบ้าน ผมกำลังทำงานอยู่ เรือประมงที่มาซื้อน้ำมันกำลังเข้ามาจอด
ก็โยนเชือกให้ไปคล้องกับหลักไว้ เพื่อจอดเรือ แล้วพอดีเก๋กับกรมันก็เล่นกันอยู่แถวๆนั้นพอดี เชือกของเรือนั้นยาวๆมาก ลูกน้องเรือก็จะดึงเชือกเพื่อให้เรือนั้นแนบชิดกับท่า แต่เชือกดันไปเกี่ยวกับขาของเก๋ ลากเก๋ตกลงไปในน้ำ ตอนนั้นผมตกใจมาก รีบโดดลงไปช่วยลูกก่อนเลย แล้วน้ำก็กำลังสูงอยู่ด้วย ลูกน้องเรือที่เป็นพม่า 2-3 คนก็โดดลงมาช่วย เพราะผมพยายามเท่าไหร่ก็หาลูกไม่เจอ ผ่านไปประมาน 3 นาที

ความรู้สึกผมมันเหมือน 3 ชั่วโมง ช่วยกันหาอยู่ จนประมาน 5 นาทีตอนนั้นผมคิดว่าลูกผมไม่รอดแน่ๆ น้ำตามันไหลออกมาแบบหยุดไม่ได้ จนสุดท้ายลูกน้องพม่าคนนึงที่ดำลงไปนานกว่าคนอื่นก็เจอลูกผม มันบอกว่าไม่รู้ติดอะไร ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ยอมหลุด

ผมสรุปไปในใจเรียบร้อยเลยว่าผีพรายอีกแล้วใช่ไหม พอพาเก๋ขึ้นมาได้ก็พยายามช่วยให้ฟื้นทำทุกอย่างแล้วยังไงก็ยังไม่ยอมฟื้น แต่ก็ยังหายใจอยู่ เลยรีบพาไปโรงพยาบาล พอหมอออกมาบอกว่า ลูกผมสมองขาดออกซิเจนนานเกินไป เด็กอาจจะกลายสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรา

เก๋เป็นเจ้าหญิงนิทราต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ได้ไม่นาน ก็ต้องออกมาเพราะเราสู้ค่ารักษากันไม่ไหว ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวผมมีฐานะการเงินค่อนตกต่ำที่สุด เลยต้องพามาอยู่บ้าน เมียผมคอยดูแลลูกทุกอย่าง ต้องเจาะช่องที่ท้องแล้วให้อาหารทางสาย คอยดูดเสมหะในคอ

ช่วงแรกๆกอดคอกันร้องไห้ทุกคืน ผมก็ต้องทำงานอยู่คนเดียว ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายเงินที่ได้มาต้องเอาไปรักษาลูกหมด บวกกับช่วงนั้นราคาต้นทุนน้ำมันก็สูง เลยต้องตัดสินใจเลิกขายน้ำมัน ผมกับเมียแทบคิดจะอยากจบชีวิตทั้งครอบครัวไปตั้งแต่ตอนนั้น แต่พอมาเห็นลูกชายอีกคนที่ยังสู้ ออกไปช่วยทำงานแกะกุ้งแลกเงินแถวแพปลาข้างๆบ้าน ทำให้ยังสู้ต่อไปได้ 

สุดท้ายผมปรึกษาเพื่อนๆ เขาก็แนะให้มาทำเรือประมง แต่ก็ต้องใช้เงินทุนเยอะมากๆ ผมรู้ตัวเองว่าทำงานนี้ได้ เพราะระหว่างที่ขายน้ำมันผมก็เก็บเกี่ยวความรู้การทำเรือประมงมาจากลูกค้า ตอนนั้นไม่รู้จะพึ่งใครเลยกลับไปหาเถ้าแก่ปั้ม เพื่อขอกู้เงิน ซึ่งแกใจดีมากๆ ชีวิตนี้ผมไม่รู้จะขอบคุณแกยังไง พอได้เงินมาก็เอาไปซื้อเรือมือสองมาบูรณะใหม่หมด ทำอยู่ประมาณ 6 เดือนก็พร้อมจะออกทะเล ช่วงแรกก็พอได้ไม่ถึงกับดีมากๆ ผมเป็นไต๋เรือขับออกไปหาปลาเอง เวลาออกเรือไปทีนึงก็ประมาน 5-6 วัน ช่วงนั้นก็เลยต้องฝากให้ลูกชายคอยดูแลแม่กับน้อง ส่วนผมต้องออกเรือแทบจะไม่ได้หยุดพัก แต่ก็คุ้มค่ากับที่ลงทุนลงแรงไป

จนวันนึงในกลางทะเลผมก็ทิ้งสมอจอดเรือไว้ ตอนประมาณ ตี 2 มีลูกน้องเรือคนนึงที่เป็นพม่า (มีทั้งหมด 4 คน คนไทย 3 พม่า 1) มันก็โวยวายมาจากห้องเครื่องใต้ท้องเรือ ลูกน้องที่เหลือเลยลงไปดู คือสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะส่วนใหญ่ใช้กันแต่แรงงานแล้วชี้บอกให้มันทำนู้นนี้ง่ายๆ แต่มันโวยวายเป็นภาษาพม่า แล้วก็ร้องไห้ไม่ยอมออกมาจากห้องเครื่อง

จนผมต้องลงไปดูเอง จะว่าเป็นอาการเมาเรือคงไม่ใช่เพราะก็เห็นมันออกเรือด้วยกันมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมีอาการแบบนี้ แล้วอยู่ดีๆมันก็เอาหัวโคกกับฝาเรือซึ่งเป็นไม้ โคกแรงมาก แบบไม่ยั้งกำลังเลย เลือดพุ่งแบบกระเด็นออกไปเต็มฝาเรือ ลูกน้องที่เหลือช่วยกันหามมันขึ้นมาด้านบน มันก็ร้องไม่ยอมไปไหน แต่ตอนนั้นผมคิดในใจอยู่แล้วว่าเป็นพวกผีวิญญาณอีกแล้ว เลยเอาพระของผมไปห้อยคอมัน มันก็ไม่ได้กรี๊ดเหมือนผีเข้าอะไร แต่ก็ค่อยๆเย็นลง

ผมก็ให้พระมันยืมใส่ไปก่อนแล้วก็ช่วยกันทำแผลเพราะเลือดไหลแทบไม่หยุด อุปกรณ์ยารักษาอะไรก็ไม่ค่อยพร้อม เลยตัดสินใจว่าคงต้องกลับเข้าฝั่ง ตอนนั้นอยู่กันกลางอ่าวไทย คงอีกคืนนึงกว่าจะถึงท่าเรือ พอคืนที่ 2 ลูกน้องพม่าอาการก็แย่ลงเพราะเสียเลือดไปเยอะ ตกกลางดึกมันก็เพ้อเป็นภาษาพม่า ซึ่งก็ไม่มีใครเข้าใจมันสักคน บางทีก็เห็นมันร้อง ลูกน้องที่เหลือรวมทั้งผมเองก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน จนสักเวลา ตี 3 ครึ่ง ผมเห็นเป็นฟองอากาศขึ้นอยู่รอบเรือ

ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไร สักพักเริ่มรู้สึกได้ว่าฟองอากาศนั้นตามมาเรื่อยๆ จนมีลูกน้องคนนึงมันตะโกน เห้ย! เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง แล้วตกลงไปในน้ำ ลูกน้องคนที่เหลือก็ไม่ลงไปช่วย คิดว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเอง เพราะพวกนี้ว่ายน้ำแข็งมากๆ หลายนาทีผ่านไปก็ไม่ขึ้นมา เลยพากันโดดลงไปช่วย ตอนผมดำลงไปเห็นมันโดนลากอยู่กับหางเสือใต้ท้องเรือ ขาถูกพันไปด้วยเส้นผมที่ยาวมากๆ ทุกคนบนเรือยืนยันได้ว่ามันคือเส้นผมไม่ใช่สาหร่าย เพราะผมเอาขึ้นมาดูให้ชัดบนเรือด้วย แต่ละคนขนลุกจนอยากจะกลับบ้านเลยเดี๋ยวนั้น

ส่วนลูกน้องที่ตกลงไปมันรอดมาแบบหวุดหวิด แล้วมันก็มาเล่าให้ทุกคนฟังว่าก่อนมันตกลงไป มันเห็นผู้หญิงอืดๆ ลอยคออยู่ข้างเรือ ตอนนั้นพอกลับไปถึงท่าเรือแล้ว แต่ละคนแยกย้ายขอลาออกแบบไม่ต้องบอกกล่าว เหลือลูกน้องไทยอีกคนที่ยังอยู่กับผม แต่พอผมกลับไปบ้านก็พบว่า ช่วงเวลาที่ผมออกเรือไปแค่ไม่กี่วัน เก๋ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยังกับโดนผีมาสูบไปจนหมด

หลังจากที่กลับมาเจอลูกแขนขาลีบ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมก็พาไปโรงพยาบาล แต่หมอก็บอกว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะสมองฟ่อ อะไรประมาณนี้แหละ ผมก็พยายามอธิบายว่าเมื่อ 5-6 วันที่แล้วลูกผมยังไม่แย่ขนาดนี้

แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครเชื่อ ผมเลยต้องจำใจกลับมาดูแลลูกเหมือนเดิม ต้องนั้นท้อจริงๆ ที่ทุกอย่างโถมเข้าใส่ขนาดนี้

ออกเรือก็ไม่ได้เพราะลูกน้องเรือก็ออกกันไปหมด เหมือนอุปทานหมู่พอคนแรกออกก็ออกตามกันไปผมเลยจอดเรือทิ้งไว้รอลูกน้องทีมใหม่ (ตอนนั้นเหลือแค่ลูกน้องคนไทยคนเดียว) ระหว่างนั้นผมก็ไปรับจ้างทำงานอยู่ในอู่ต่อเรือไปพลางๆ

ทำอยู่ได้ 2 สัปดาร์ก็มีอุบัติเกิดขึ้นกับช่างคนนึงในอู่คือช่างคนนี้

เขาขึ้นไปทาสีบนห้องบังคับเรือซึ่งสูงประมาณ 4-5 เมตรเห็นจะได้ ช่วงนี้เราก็ทำงานกันจนค่ำเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ส่วนผมกำลังขนไม้อยู่ด้านล่าง อยู่ดีๆช่างที่ทาสีข้างบนก็ตกลงมากระแทกกับพื้นบริเวณนั้นก็มีพวกถังสีอยู่จึงทำให้เกิดเสียงดังทุกคนเลยรีบวิ่งไปดูเห็นช่าง ขาหักจนเห็นกระดูกแทงออกมาอย่างชัดเจนทุกคนตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ช่างก็ร้องโวยวาย

พอตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปยกเพื่อพาไปโรงพยาบาลแต่ก็เคลื่อนตัวไม่ได้เลยเพราะช่างเจ็บร้องจนเสียงหลงเลยรีบไปเรียกรถพยาบาลมาแทนระหว่างที่รอนั้นผมก็อยู่ด้านนอกไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับช่างคือ นั่งร้านที่อยู่บริเวณนั้นอยู่ดีๆ ก็หักลงมาทับช่างอีกที ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปช่วยแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีหวัง เพราะเหมือนช่างจะเสียชีวิตไปแล้ว

ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปดูว่าจะมีอะไรตกลงมาอีกไหม ผมก็เห็นเงาคนตะคุ้มๆอยู่บนนั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นอีกหลายคนก็เห็นเหมือนกับผม หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราก็ได้มานั่งคุย แต่ละคนก็มีตวามเชื่อแตกต่างกันไป แต่สิ่งนึงที่เหมือนกันคือ เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ มีคนนึงพูดขึ้นมาว่า ข้างบนนั้นสิ่งที่มันเห็นคือผีพราย ผมได้ยินคำนี้ที่ไรก็ถึงกับสะดุ้งทุกที วันนั้นคุยกันไปคุยกันมาผมก็ได้ลูกเรือมาช่วย 3-4 คนซึ่งก็พอที่จะออกเรือกันได้

แต่ก่อนหน้านั้นผมก็ได้ไปหาพ่อปูาฤาษีให้มาช่วยปัดเป่าลูกสาว แล้วทำพีธีอะไรของแกเนี้ยแหละเพื่อคุ้มครองเอาไว้ พ่อปู่แกบอกว่าลูกสาวดวงอ่อนตั้งแต่เกิดแล้ว สิ่งไม่ดีทั้งหลายมันก็เข้ามาง่าย แกก็บอกกับผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาว "ห่วงแต่ตัวเถอะ" ผมได้ยินก็ไม่ได้เอะใจอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็กลับมาออกเรือ ช่วงไม่กี่วันแรกฝนก็ตกบ้างมีพายุเล็กน้อย แต่วันที่ 4 เรือผมบรรทุกปลามาเยอะพอสมควรทำเรือช้าลง บังคับยากขึ้น จึงพยายามไปเรื่อยๆแบบไม่เร่งเข้าฝั่ง

จนมีอยู่คืนนี้ที่ผมก็จอดเรือพักอยู่ฝนก็ตก ตัวผมอยู่ในลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ฝันถึงลูกสาวที่สุขภาพแข็งแรงกลับมาวิ่งเล่นมีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆทั่วไป จนลูกน้องผมมาปลุก ให้ผมตื่นเพราะอยู่ดีๆก็มีพายุแรงมาก มากับคลื่นที่ใหญ่จนเห็นแล้วขนลุก ผมพยายามสู้กับคลื่นและพายุได้ไม่นาน เรือผมก็ล่มลงกลางอ่าวไทยและออกข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์.

ขอเท้าความไปนิดนึงก่อนเรือผมจะล่ม...

ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะลูกน้องปลุก คนอื่นๆก็กำลังวิดน้ำอยู่ในห้องใต้ท้องเรือ มันพยายามวิดอยู่นานมาก ยังไงน้ำก็ไม่น้อยลง เลยมีลูกน้องคนนึงสังเกตุเห็นรอยรั่ว เหมือนมีอะไรมากระแทกจากข้างนอก ซึ่งตอนแรกคิดกันไปว่าคลื่นซัดน้ำเข้ามาจากจากด้านบน เลยคุยกันว่าต้องมีคนนึงดำไปดูว่าเสียหายมากแค่ไหน ส่วนคนที่เหลือจะพยายามผนึกรอยรั่วไว้ ตอนนั้นแต่ละคนค่อนข้างเกี่ยงกันเพราะ พายุข้างนอกแรงมากๆ อาจถูกคลื่นกลืนหายไปเลยก็ได้ ลูกน้องคนไทยที่เคยออกเรือกับผมคราวที่แล้วอาสาโดดลงไปดู เลยเอาเชือกมามัดเอวมันไว้เพื่อความปลอดภัย แต่พอลงไปได้ประมาณ 2-3 นาทีแล้วไม่กลับขึ้นมา ผมเลยดึงเชือกกลับมาดู ก็พบว่าเขาหายไปแล้ว และเชือกก็เหมือนถูกแก้ออกไปเองทั้งๆที่ผูกเป็นเงื่อนไว้อย่างดี สุดท้ายผมเลยพยายามประคองเรือไปให้ใกล้ฝั่งมากที่สุด เพราะยังไงก็สู้พายุไม่ไหวแน่ๆ แล้วกะว่าจะสละเรือทิ้ง พอตอนน้ำเข้ามาในเรือมากๆจนเรือใกล้จะล่ม แต่ละคนก็คว้าแกลลอนน้ำมันเครื่องกันคนละ 2-3 ถังแล้วโดดลงทะเล ในช่วงเวลาที่ลอยคออยู่กลางพายุ ไม่รู้ช่วงไหนก็มีลูกน้องอีกคนนึงที่ถูกกลืนหายไปกับคลื่น แต่สุดท้ายผมกับลูกน้องอีก 2 คนรอดมาได้

หลังจากที่ลอยคออยู่กลางทะเลจนเกือบเที่ยง (พระอาทิตย์อยู่ตรงหัว) ก็มีเรือประมงลำอื่นมาเจอเข้า เราเลยรอดมาได้ เขาพาพวกผมไปส่งเข้าฝั่ง แต่ตอนนั้นผมอยู่จังหวัดที่ไกลจากบ้านมากๆ เงินก็ไม่มีสักบาท สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซื้อง่ายแบบสมัยนี้ ตอนนั้นรู้สึกจริงๆว่าไม่เหลืออะไรแล้ว มีแค่ตัวเปล่า เลยเตร็ดเตร่หางานทำ เพื่อหาเงินกลับบ้าน เลยไปเจอร้านอาหารตามสั่งแห่งนึง ผมเลยไปขอเขาล้างจาน แต่เขาไม่มีที่อยู่ให้ ก็เลยอาศัยนอนใต้ต้นไม้แถวๆนั้นไปวันๆ ลืมเล่าไปว่าลูกน้องคนอื่นๆที่รอดมาได้ แยกย้ายกันไปตั้งแต่ขึ้นฝั่ง เพราะต่างคนต่างมาจากคนละจังหวัดอยู่แล้ว

ส่วนผมต้องลำบากตรากตรำมาก เพราะเขาให้ผมแค่วันละ 16 บาท จะหางานอื่นทำเรี่ยวแรงแถบจะไม่เหลือ สภาพจิตใจตอนนั้นก็ค่อนข้างแย่ จนคืนนึงที่ผมนอนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเดินเหยียบกิ่งไม้อยู่แถวนั้น ปกติบริเวณนั้นจะเงียบๆไม่ค่อยมีใคร เลยลุกขึ้นมาดู เห็นผู้หญิงเดินอยู่ไกลๆใต้ต้นมะพร้าว ในใจคิดอยู่แล้วว่าอาจจะเป็นผีก็ได้เพราะ ผมเชื่อเรื่องพวกนี้แบบฝั่งใจ เลยตัดสินใจไม่ไปยุ่งกลับมานอนเหมือนเดิม สักพักก็ได้ยินเสียงเดินไปเดินมาใกล้ๆอีก

ผมรำคานใจแต่ก็ยังไม่ได้ลืมตา สักพักกลิ่นก็มา เป็นกลิ่นคาว เหมือนกลิ่นปลาไก่ (เศษปลาตายที่กองรวมๆกัน เพื่อนำไปทำเป็นอาหารไก่) ซึ่งมันจะเหม็นมากๆๆ ผมเลยลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิงนั่งหยองๆ แล้วมองมาที่ผม ผมยาวดำรุงรังจนไม่เห็นใบหน้า แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น

ผมเห็นแล้วก็รีบหยีตาหนีเพราะสัญชาตญาณ แต่กลิ่นก็ยังอยู่ จนรู้สึกเหมือนเขามาสัมผัสที่ขาผม แล้วสักพักก็หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำอยู่ ผมเลยตั้งสติอยู่สักพักแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีเลยตอนนั้น วิ่งแบบไม่คิดชีวิต พอหันกลับมองก็ไม่เจออะไรแล้ว พอเช้ามา ก็หิวมากๆ ต้องไปคุ้ยหาของกินในถังขยะคุ้ยไปทั้งน้ำตา เพราะคิดถึงลูกคิดถึงเมีย ชีวิตไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อน ตอนหนีออกจากบ้านมาตอนนั้นก็ยังพอมีเงินติดตัวมา บวกกับอยู่ในเมือง มีงาน มีโอกาสที่จะสร้างตัว

ผมก็เดินไปเรื่อยๆจนผ่านร้านขายของชำแห่งนึง เลยเห็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเรือที่อับปางในอ่าวไทย เลยพยายามอธิบายกับพ่อค้าร้านขายของชำว่า เรือในข่าวเนี้ยของผม คุยไปคุยมาเขาก็เชื่อเลยพาไปหาเพื่อนของเขา เขาจะให้ผมติดรถเข้าไปในเมือง แล้วเขาก็ให้ข้าวให้น้ำผมมา ต่อรถไปที่จังหวัดบ้านเกิด สุดท้ายผมก็กลับมาถึงบ้านจนได้ เมียผมรู้ข่าวเรือล่มแล้วคิดว่าผมจะไม่รอด เพราะหาศพไม่เจอ ก็ร้องไห้ดีใจ ผมเลยรีบเข้าดูลูกก่อนเลย ก็พบว่า ลูกสาวอาการดีขึ้นมาก ตัวไม่ลีบเหมือนคราวที่แล้วผมที่เจอ

ผมกลับมาเจอลูกสาวอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าลูกในตอนนั้น ได้กลับมาอยู่บ้าน พร้อมหน้าพร้อมตาก็ดีใจมากแล้ว ตั้งแต่นั้นผมกับเมียก็คอยสลับกันดูแลลูกอยู่ไม่ห่าง เมียผมรับผ้ามาซัก ช่วยหาเงินเข้าบ้าน ส่วนผมหลังจากที่เสียเรือไปแล้ว ตอนนั้นจิตใจค่อนข้างแย่เพราะมันท้อไปหมด เลยต้องหาที่พึ่งทางใจ ก็จะมีกลุ่มป้าๆ เพื่อนละแวกข้างเคียงชวนเข้าวัดไปทำบุญบ่อยๆ ผมก็จะตามเขาไปด้วย ตอนไปวัดก็ไม่มีแบบว่าไปหาพระแล้ว พระท่านทักว่ามีผีตามหรือต้องสะเดาะเคราะห์อะไรอย่างนั้นนะครับ เราไปทำเพราะอยากจะทำ ด้วยใจที่อยากสร้างบุณกุศลเพียงแค่นั้น ไม่เคยมีเรื่องราวแปลกประหลาดหรือเห็นอะไรตอนอยู่ที่วัดเลย

ตอนนั้นผมรับจ้างจิปาถะไปเรื่อย ไม่ได้มีกิจการเหมือนแต่ก่อน แต่ก็พออยู่กันได้ จะมีก็แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายคือที่ดิน ที่ที่ผมใช้ปลูกบ้านอยู่เนี้ยแหละ ประมาณ 7 ไร่ ซึ่งช่วงนั้นมีเทศบาลเข้ามาคุยว่าอยากจะจัดงานประจำปีของชุมชนแถวนั้นในพื้นที่บ้านผม ซึ่งมันเป็นที่โล่งกว้างๆติดแม่น้ำ ตัวบ้านผมนั้นเป็นบ้านไม้หนึ่งชั้น กินพื้นที่ไม่ถึงไร่ ผมเลยตอบตกลงไป เพราะเขาให้ค่าเช่าด้วย ถือว่าอยู่ๆก็ได้เงิน พอถึงวันงานปีใหม่ก็มีคนมากมายแห่กันมาเที่ยว มีคอนเสิร์ทวงลูกทุ่งมาเล่น มีชิงช้า ม้าหมุน สารพัด ผมเลยถือโอกาสเดินเที่ยวในงานตามสบายใจ เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆไม่ต้องเป็นห่วงลูกมาก เมียก็คอยดูให้อยู่

ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เสียงเพลงก็ดังมีผู้คนมาเที่ยวงานมากมาย ผมที่กำลังยืนดูดนตรีอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน เราก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่ท่าน้ำ มีเพื่อนคนนึงกำลังยืนฉี่ลงในแม่น้ำอยู่ มันบอกว่ามันเห็นใครยืนอยู่ตรงเสากระโดงเรือ ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยู่บนเรือ ทุกคนออกไปเที่ยวงานกันหมด แล้วเสากะโดงนั้นมันก็ไม่ได้ยืนกันได้ แต่ผมกับเพื่อนอีกคนเห็นไม่ทัน ตอนนั้นก็รู้สึกกลัวอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก

จนกลับไปที่เวทีคอนเสิร์ท มันก็ชี้ให้ผมดูข้างบนเวทีตรงมุมเวที จะมีฉากหลังที่เป็นรูอยู่ เป็นรูที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป มันก็ให้ผมและเพื่อนมองผ่านรูเข้าไป ก็เห็นเป็นหัวคนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนแล้วจ้องมองมาทางเรา ซึ่งมันบอกว่าเหมือนกับคนๆเดียวที่มันเห็นบนเสากระโดงเรือ คือเราทั้ง 3 คนมองเห็นแบบเดียวกัน เป็นหน้าคนซีดๆ น่าจะเป็นผู้หญิง เหมือนมีแต่หัว แล้วจ้องมาทางนี้ ในขณะที่เสียงเพลงก็กำลังดัง ทุกคนกำลังสนุกไปกับงาน

สิ่งที่เราเห็นทั้งสามคนเห็นก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เพื่อนผมพยายามชี้ให้คนแถวนั้นมอง เขาก็ไม่เห็นอะไร ไอเพื่อนคนนี้มันก็สงสัยเลยวิ่งไปดูหลังเวที เห็นเขากำลังแต่งหน้าอะไรกันอยู่ เลยพยายามคิดในแง่ดีว่าคงไม่ใช่หรอกมั้ง น่าจะเป็นหน้าของใครสักคนที่กำลังแต่งหน้าดูกระจกอยู่ แล้วเราก็มองเห็นผ่านรูพอดี (แต่พวกผมลองกันแล้ว ทำยังไงก็ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกัน) เลยไม่สนใจอะไร ไปหาเหล้ามากินจนเมาได้ที่ เราทั้ง 3 คนก็เดินไปฉี่ที่ริมน้ำเหมือนเดิม ด้วยความที่เมาพอสมควรเดินก็แถบจะไม่ตรง ไอเพื่อนคนที่เคยฉี่ไปครั้งแรกเผลอพลัดตกน้ำลงไป ตอนนั้นตกใจนิดหน่อยแต่ยังติดตลกกันอยู่ เพื่อนอีกคนเลยโดดตามลงไปช่วย

ส่วนผมค่อนข้างมีปมเรื่องน้ำอยู่ในใจพอสมควร เลยยืนนิ่งๆ รอดูสถาณการณ์ (เพื่อนที่เมาตกน้ำคนแรกขอเรียกมันว่า ยอด แล้วกัน ส่วนอีกคนเรียกว่า ชัย) จนไอชัยมันขึ้นมาจากน้ำแล้วตะโกนมาว่า "ไอเชี้ยกูหามันไม่เจอ ช่วยที" แล้วมันก็ดำลงไปต่อ ส่วนผมก็ยืนหงึกๆหงักๆอยู่สักพัก ก็ยอมโดดตามลงไปช่วย ด้วยไฟสีสันหลากหลายที่ติดอยู่ด้านบนบริเวณนั้น ทำให้ผมมองเห็นอะไรในน้ำค่อนข้างชัด สิ่งแรกที่เห็นคือไอยอดเหมือนกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว นอนแน่นิ่งอยู่ตรงผืนน้ำ ไม่ไกลจากตรงนั้นก็เห็นไอชัยพยายามตะเกียกตะกายสู้กับอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นอยู่

ผมเลยพยายามว่ายไปช่วยไอชัยก่อน แต่พยายามดึงมันเท่าไหร่ก็ดึงไม่ขึ้น เหมือนตัวมันหนักมาก ทั้งๆที่น้ำหนักไม่น่าจะมีผลในน้ำ ผมเลยไม่รู้ทำไง ลมก็กำลังจะหมด เลยเปลี่ยนไปช่วยไอยอดแทน ก็พามันขึ้นมาได้แต่ก็รีบกลับลงไปช่วยไอชัยต่อเลย ตอนกลับลงไปตอนนั้นเห็นมันแน่นิ่งไปแล้ว แต่ก็ช่วยมันขึ้นมาสำเร็จเหมือนกัน

พอดีตอนนั้นก็มีคนผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเลยช่วยกันปฐมพยาบาลจนรอดทั้งคู่ แต่ไอชัยคนเดียวที่เพ้อถึงหัวที่มันเห็นผ่านรูตรงเวที จำได้มันร้องแค่ว่า "อย่ามายุ่งกับกูๆ" แล้วก็สบถต่างๆนาๆ แต่ขณะนั้นเองผมยังไม่ทันหายเหนื่อย เมียก็วิ่งมาบอกว่า "ช่วยมาดูลูกที" ผมเลยรีบวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิต ไปเจอลูกอยู่ในสภาพเหมือนสำลักน้ำ มีน้ำออกมาจากปากเป็นจำนวนมากผสมกับเสมหะที่เป็นสีเหลืองๆเขียวๆ ผมไม่รู้จะทำไงเลยอุ้มลูกรีบพาไปโรงพยาบาล ระหว่างทางลูกสำลักน้ำออกมาตลอดเวลา แล้วเหมือนไม่มีทีท่าจะเบาลงเลย จนพอไปถึงหมอลูกก็เสียชีวิตแล้ว

คืนนั้นกลายเป็นคืนปีใหม่ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม หมอก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงมีน้ำออกมามากมายขนาดนั้น บอกแค่ว่าลูกติดเชื้อไวรัสในสมองเหมือนคนจมน้ำทะเล แล้วก็บอกประมาณว่าถ้ามาเร็วกว่านี้อาจจะช่วยทัน คือโรงพยาบาลก็ไม่ได้อยู่ไกลบ้านนะ ผมใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ รู้สึกอยากจะซัดหมอให้ลงไปกองกับพื้นสักหมัด ส่วนตอนนั้นเมียผมทำใจไม่ได้ร้องไห้ทุกวัน ร้องตลอดเวลาจนไม่เหลือน้ำตาออกมาแล้ว คือถ้าผมอ่อนแออีกคนชีวิตครอบครัวก็คงไม่เหลือ เพราะยังมีลูกชายอีกคนที่เราต้องดูแล เลยพยายามหางานทำเยอะๆ จะได้ไม่ฟุ่งซ่าน ส่วนเมียผมพอเริ่มดีขึ้นก็ออกไปทำงานเหมือนกัน

หลังจากนั้นเรา พ่อ แม่ ลูก จะออกไปทำบุญด้วยกันทุกเช้า อุทิศส่วนกุศลให้น้องไปสู่สุขติ แม้เรื่องราวมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว แต่เราก็ยังคงจำน้องได้เสมอ ส่วนพี่ชายตอนนี้ก็มีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังทำบุญให้น้องทุกวัน พอครบ 100 วันก็จะกลับมารวมตัวกันทุกครั้ง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านแล้วเป็นกำลังใจให้ครับ

สมาชิกหมายเลข 1480808 

ตำนานนางเงือกและคำสาปสยอง


ในนิทานก่อนนอนที่คุ้นเคยกันอย่างเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อยของฮานคริสเตียนแอนเดอร์สันนางเงือกคือสาวน้อยน่ารักที่มีท่อนล่างเป็นปลาแหวกว่ายในท้องทะเลทว่าในอีกหลายตำนานโดยเฉพาะในแถบเอเชียเรื่องราวของนางเงือกกลับถูกกล่าวขานในรูปแบบที่ดูจะน่าหวาดกลัวกว่าซึ่งเราจะนำมาเล่าให้ฟังกันสักสองสามเรื่อง

เริ่มจากตำนานของแถบอินโดจีนซึ่งรวมทั้งไทยเราด้วยนางเงือกคือสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวโดยเงือกในแถบนี้จะปรากฏกายในรูปของหญิงสาวที่มีใบหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อย(เป็นอาหารอย่างหนึ่งทำจากน้ำอ้อยที่แข็งเป็นแผ่นขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย)ซึ่งเงือกเหล่านี้จะขึ้นมาอาบแสงจันทร์ในยามค่ำคืนโดยนางเงือกจะมีกระจกที่ทำด้วยทองคำสำหรับส่องดูหน้าของนางและในเวลาที่นางเงือกเหล่านี้ขึ้นมาส่งกระจกอาบแสงจันทร์อยู่นั้นหากมีมนุษย์มาแอบเฝ้าดูและส่งเสียงดังพวกเงือกจะตกใจกระโดดลงน้ำและมักจะทิ้งกระจกเอาไว้ทว่าหากมนุษย์ผู้ใดนำกระจกทองคำของนางเงือกไปเขาผู้นั้นจะถูกนางติดตามล่าและสุดท้ายเงือกจะฉุดมนุษย์ผู้นั้นลงไปสู่ความตายใต้ผืนน้ำ

ตำนานเรื่องนางเงือกเรื่องต่อมาเล่าขานกันในญี่ปุ่นโดยเล่ามาว่าในสมัยโบราณมีชาวประมงผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับลูกๆชายหญิงสามคนที่ริมทะเลสาปบิวะส่วนภรรยาของเขานั้นได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ววันหนึ่งขณะที่เขาออกไปทอดแหในทะเลสาปเขาจับนางเงือกได้ตนหนึ่งเงือกตนนั้นได้ร้องขอให้เขาปล่อยนางลงน้ำก่อนที่นางจะแห้งตายเพราะขาดน้ำทว่าชายผู้นั้นกลับไม่ไยดีต่อคำขอร้องของเงือกจนทำให้นางเงือกตนนั้นขาดใจตายหลังจากนางเงือกตายแล้วชาวประมงได้แล่เนื้อของนางหมักเกลือไว้เพื่อใช้เป็นเหยื่อปลาทว่าวันหนึ่งขณะที่เขาไม่อยู่บ้านลูกๆทั้งสามซึ่งยังเด็กอยู่ได้มาเจอถังหมักเนื้อเงือกเข้าพวกเด็กๆได้กินเนื้อในถังจนหมดและจากนั้นก็เกิดเกล็ดปลาขึ้นตามตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ขาทั้งสองก็กลายสภาพเป็นครีบพวกเด็กๆเจ็บปวดและกระหายน้ำอย่างรุนแรงไม่ผิดกับเงือกที่พ่อของพวกเขาจับมาจนกระทั่งเมื่อชาวประมงผู้เป็นพ่อกลับมาในตอนเย็นก็พบว่าลูกๆทั้งสามได้แห้งตายแล้วชาวประมงเศร้าเสียใจที่ความโง่และความโลภของตนได้ทำให้ลูกๆต้องพบจุดจบจากนั้นด้วยความสำนึกในบาปที่ก่อเขาจึงออกบวชเพื่ออุทิศบุญให้ลูกๆทั้งสามและนางเงือกที่ตายเพราะเขา

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องเล่าของจีนโดยเล่ากันว่าในสมัยโบราณมีแม่ทัพผู้หนึ่งชื่อซ่งหยูเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ทวนอย่างหาผู้เทียบไม่ได้คืนหนึ่งขณะที่นอนหลับซ่งหยูฝันว่ามีนางเงือกตนหนึ่งมาขอร้องว่าเมื่อเขาออกไปตกปลาในวันรุ่งขึ้นลูกของนางจะว่ายน้ำผ่านเรือไปนางเงือกบอกกับแม่ทัพว่าขอให้เขาอย่าได้ทำร้ายลูกของนางวันรุ่งขึ้นเมื่อแม่ทัพซ่งไปตกปลาก็ได้พบกับลูกเงือกตนหนึ่งว่ายน้ำผ่านเรือไปทว่าเขากลับลืมคำขอร้องของแม่เงือกในฝันเนื่องจากเกิดความโลภที่จะจับลูกเงือกนั้นซ่งหยูจึงใช้ทวนพุ่งใส่เงือกจนจมหายไปแม่ทัพซ่งสั่งให้คนออกงมหาร่างของลูกเงือกแต่ไม่พบจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมเรื่องนี้ไป

วันหนี่งมีน้ำท่วมสูงจนปริ่มริมท่าน้ำหน้าบ้านแม่ทัพซ่งได้พาบุตรชายวัยห้าขวบไปยืนดูกระแสน้ำที่ริมท่าหน้าบ้านขณะที่เขาและลูกกำลังดูสายน้ำที่ไหลผ่านไปอยู่นั้นเองทวนเล่มหนึ่งก็พุ่งมาเสียบร่างเด็กชายล้มลงสิ้นใจต่อหน้าผู้เป็นพ่อทันทีแม่ทัพซ่งทรุดลงพลางคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าเสียใจและเมื่อเขาได้เห็นทวนลึกลับที่สังหารบุตรชายของเขาอย่างชัดเจนแล้วแม่ทัพซ่งก็ถึงกับตกตะลึงเพราะทวนเล่มนั้นก็คือทวนเล่มเดียวกันกับที่ปลิดชีวิตลูกเงือกนั่นเอง

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .