The Shock เรื่อง ไม่ดีต่อใจ ยังไงก็ไม่อยู่ - คุณแบงค์



เรื่องเล่าโดยคุณแบงค์

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยที่แบงค์เรียนอยู่ ซึ่งตอนนั้นแบงค์จองหอในไม่ทัน ก็เลยต้องไปหาหอนอก แล้วไปปรึกษารุ่นพี่คนนึง เขาก็แนะนำหอๆนึงเดือนละ 2000 บาท รุ่นพี่ก็ยังบอกต่ออีกว่า มันถูกจริง แต่หอนี้มีประวัตินะก็คือว่า หอนี้เป็นตึก 6 ชั้น ที่ห้อง 602 นั้นเคยมีนักศึกษาหญิงคนนึง เครียดจากผลการเรียนที่ไม่ดี โดนไทร์ แล้วผูกคอตายเสียชีวิตในห้องนั้น แต่ว่าทางหอพักก็ได้ทำการปิดชั้น 6 ไปแล้วทั้งชั้น เพราะฉะนั้นก็จะเหลือแค่ 5 ชั้น

แบงค์ก็ตัดสินใจที่จะเช่าหอนี้เพราะว่าถูก และส่วนตัวแบงค์นั้นเป็นคนที่ไม่กลัวผี ซึ่งห้องที่แบงค์ได้นั้นคือห้อง 502 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ข้างล่างห้องที่มีผู้หญิงผูกคอตายพอดี และในคืนแรกที่แบงค์นอน ก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ ครืดๆๆ ซักพักเสียงเก้าอี้ก็ล้ม อยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง ซึ่งแรกๆ แบงค์ก็รู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อย แต่หลังๆมาเริ่มไม่กลัวแล้ว เพราะเสียงนี้มาทุกวัน จนมีคืนนึง แบงค์ก็เครียดๆกับการเรียน จากที่มหาวิทยาลัย อารมณ์ไม่ค่อยดีก็กลับมานอนที่ห้อง และเสียงลากเก้าอี้เสียงเดิมก็มาเหมือนทุกๆวัน แต่ด้วยความที่แบงค์อารมณ์ไม่ค่อยดี ก็เลยตะโกนกลับไปว่า “โอ้ย อะไรนักหนาวะ กูจะนอน จะเสียงดังหาพ่อหรอ” แล้วเสียงก็เงียบไปซักพัก แล้วก็มีเสียงเก้าอี้ล้มดังมากเหมือนกับว่าไม่ค่อยพอใจ

วันต่อมา แบงค์นั้นเลิกเรียนตอนบ่าย 3 ก็จะกลับขึ้นไปนอน แบงค์ก็จะกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 5 เป็นปกติ และก็เล่นโทรศัพท์ไปด้วย พอประตูลิฟท์เปิด แบงค์ก็เดินเล่นโทรศัพท์ออกมาจากลิฟท์ แต่สิ่งที่แบงค์เห็นก็คือ ที่พื้นมีฝุ่นเยอะมาก มีกลิ่นแปลกๆ เหม็นอับ และป้ายชั้นที่ติดอยู่ที่กำแพงเป็นเลข 6 พอแบงค์เห็นก็รีบกลับไปที่ลิฟท์เพื่อที่จะลงลิฟท์ แต่ว่าลิฟท์ที่ชั้น 6 นั้นไม่ทำงาน กดที่ปุ่มลงไฟก็ไม่ติด แบงค์ก็เลยเดินไปทางบันไดที่จะลงไปชั้น 5 แต่ว่าตรงบันไดนั้นก็มีประตูเหล็กล็อคปิดอยู่ สุดท้ายแบงค์ก็เลยต้องโทรหาป้าที่คุมหอให้ขึ้นมาเปิดให้ พอโทรไป ป้าแกก็ถามว่า ขึ้นมาได้ไง แบงค์ก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ลิฟท์มันส่งขึ้นมา และป้าก็วางหูโทรศัพท์และก็มาเปิดให้

ระหว่างที่แบงค์รอป้ามาเปิดให้ แบงค์ไม่รู้นึกยังไงเดินไปที่ห้อง 602 ซึ่งทั้งชั้น 6 นั้น ประตูห้องปิดหมดทุกห้อง ยกเว้นห้อง 602 พอเดินไปถึง แบงค์ก็ได้ยินเสียงครืดๆๆๆ และเห็นผู้หญิงเดินก้มหน้ามาจากในห้อง มีเชือกคล้องที่คอ แล้วก็ลากเก้าอี้ออกมา พอแบงค์เห็นก็รีบวิ่งไปที่บันไดมาเคาะประตูเหล็ก แล้วก็มีเสียงตามหลังมาด้วย แต่ว่าป้าก็มาเปิดประตูเหล็กให้พอดี

พอแบงค์เจอเหตุการณ์นี้ก็โทรไปหาแม่ บอกว่าอยากจะย้ายหอ แต่แบงค์ก็ไม่ได้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หาข้ออ้างนู่น นี่นั่นไปต่างๆนานา แต่แม่ก็ให้อยู่ที่หอเดิมต่อ แต่ว่าแบงค์ก็ไม่อยู่ เลือกที่จะไปอยู่หอเพื่อนแทน ผ่านไปซักระยะนึง แบงค์ก็กลับมาอยู่ที่หอตัวเอง แต่ว่าคราวนี้จะไม่ใช้ลิฟท์ เลือกที่จะใช้บันได ซึ่งตอนที่แบงค์กลับมานอนที่หอ รอบ 2 นี้ ตอนนอนจะไม่มีเสียงลากเก้าอี้ หรือเสียงเก้าอี้ล้มเหมือนก่อนหน้านี้เลย จนมาถึงคืนนึง คืนนั้นแบงค์ก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ก็มีดื่มบ้างนิดหน่อย แล้วเพื่อนก็มาส่งที่หอ ตอนแรกแบงค์บอกเพื่อนว่าจะเดินขึ้นบันไป แต่เพื่อนเห็นว่าแบงค์นั้นมีอาการมึน เมา เลยบอกว่าให้ขึ้นลิฟท์ดีกว่า สุดท้ายแบงค์ก็ขึ้นลิฟท์ไป รอบนี้ลิฟท์ก็เปิดที่ชั้น 5 ปกติ ก็เดินไปที่ห้องของตัวเอง

แต่ตอนที่แบงค์กำลังจะไขกุญแจห้อง แบงค์ยังไม่ทันได้บิดกุญแจ ประตูห้องก็เปิดออกเอง ตอนนั้นแบงค์ก็คิดว่าตัวเองนั้นลืมล็อกห้อง แต่ภายในห้องนั้นก็เป็นปกติทุกอย่าง แบงค์รู้สึกมึนๆก็เลยตัดสินใจนอน แต่พอนอนไปได้ซักพัก รู้สึกว่าโดนผีอำ ขยับตัวไม่ได้ ลุกไม่ได้ แต่สายตาแบงค์นั้นก็มองไปที่กลางห้อง ก็เห็นเหมือนมีคนลากเก้าอี้เข้ามาที่กลางห้อง แล้วก็วางเก้าอี้ แล้วเอาเชือกมัดกับพัดลมเพดาน และผูกคอตัวเอง แล้วก็ทิ้งตัวลงมา เก้าอี้ก็ล้ม และก็ดิ้นๆๆๆ จนเขานั้นหายไป

พอแบงค์หลุดจากผีอำ ก็รีบหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนให้มารับ บอกว่า กูเจอดีหวะ เพื่อนก็บอกว่า โอเคเดี๋ยวขึ้นไปรับ ในระหว่างที่รอเพื่อนมา แบงค์ก็หลับไปอีกครั้งนั้น แล้วแบงค์ก็ฝันว่า ตัวเองเกรดตก ถูกรีไทร์ แล้วก็ผูกคอตายเหมือนกับที่ผู้หญิงคนนั้นทำเลย ซึ่งความรู้สึกมันเหมือนจริงมาก แต่ว่าแบงค์ก็สะดุ้งตื่นเพราะเพื่อนโทรศัพท์เข้ามาพอดี พอแบงค์รับเพื่อนก็ถามว่า อยู่ไหน แบงค์ก็บอกว่า อยู่ที่ห้อง เข้ามาเลย เพื่อนก็บอกว่า กูมารอแล้ว เคาะประตูเรียกก็ไม่ตอบ คิดว่าเป็นอะไร ก็เลยให้ป้าที่คุมหอมาเปิดประตูให้ แต่ก็ไม่เห็นอยู่ที่ห้อง ตกลงอยู่ไหน

พอเพื่อนพูดจบเท่านั้นแหละ แบงค์รีบวางโทรศัพท์แล้วเปิดโหมดไฟฉาย ซึ่งสภาพภายในห้องที่แบงค์เห็นนั้นไม่เหมือนที่เข้ามาตอนแรกที่เข้ามา เหมือนไม่ใช่ห้องคนอยู่ และจากกลิ่นปกติก็กลายเป็นกลิ่นเหม็นสาบ แบงค์ก็เลยตัดสินใจกระโดดพุ่งออกมาจากห้องนั้นทันที และแบงค์ก็เหลือบไปมองที่เลขห้องก็ปรากฎว่าเป็นห้อง 602แบงค์ก็วิ่งไปที่บันไดที่มีประตูเหล็กปิดอยู่ และในระหว่างที่วิ่ง ก็มีเสียงผู้หญิงหัวเราะตบท้ายมาด้วย แบงค์ก็เลยกระโดดฉีบประตูเหล็กจนกลอนหลุด และก็มุดออกมา และวิ่งไปกอดเพื่อนที่รอยู่หน้าห้อง 502 ทันที

หลังจากนั้น แบงค์ก็โทรเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกให้แบงค์ย้ายออกเลย ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดที่แบงค์นั้นอยู่ห้องนี้เกือบๆ 3 เดือน

และหลังจากเกิดเรื่องนี้ แบงค์ก็พักการเรียนไว้ก่อน แล้วก็ไปบวชเลย

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : ไม่เคยลืม - คุณเฟิร์น



เรื่องเล่าโดยคุณเฟิร์น

ตอนนั้นเฟิร์นอายุประมาณ 11 ขวบอยู่ชั้นป.5 ตอนนั้นก็จะเป็นช่วงที่จะต้องไปเข้าค่ายลูกเสือที่อุทยานแห่งหนึ่งที่ จ.เชียงใหม่ พอไปถึงก็มีพิธีเปิด มีกิจกรรมทั้งวัน เข้าฐาน พอถึงตอนเย็นทางโรงเรียนให้เวลาอาบน้ำ 1 ชม. ในการอาบน้ำแต่งตัว ทีนี้ห้องน้ำนั้นไม่พอ ทางโรงเรียนก็อนุญาตให้เด็กๆลงเล่นน้ำในน้ำตกได้ ซึ่งน้ำในน้ำตกนั้นก็ไม่ลึกมาก

เฟิร์นเป็นคนที่ว่ายน้ำเป็นก็จะไม่กลัวเรื่องการจมน้ำซักเท่าไร ตอนนั้นก็เล่นกับเพื่อน ตักน้ำอาบ ฟอกสบู่ไป แต่ตอนนั้นขันที่เฟิร์นใช้ตักอาบหลุดมือแล้วไหลไปกับน้ำ แล้วไปติดอยู่ที่โขดหินใหญ่ๆ ที่ห่างจากที่เฟิร์นอยู่ประมาณ 10 เมตร เฟิร์นก็เลยว่ายน้ำไปเพื่อที่จะไปเก็บ พอจับขันได้ เหมือนตัวเฟิร์นนั้นตุกหลุมหรืออะไรซักอย่างที่ทำให้ตัวเฟิร์นจมน้ำลงไป เฟิร์นก็คิดว่าเป็นเถาวัลย์หรือเปล่า ก็เลยสะบัดๆขาให้หลุด แต่ผ่านมาเกือบ 10 วิก็ยังไม่หลุด เฟิร์นก็เลยจะกลั้นใจสะบัดแรงๆอีกครั้งนึง ครั้งแรกยังไม่หลุดแต่ครั้งที่ 2 หลุด แต่พอตัวเฟิร์นกำลังจะโผล่พ้นน้ำ ก็เหมือนมีอะไรมาดึงเฟิร์นให้กลับลงไปอีก

ตอนนั้นเฟิร์นเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใช่เถาวัลย์หรือเปล่า ด้วยความกลัวจากที่เฟิร์นว่ายน้ำเป็นกลายเป็นคนว่ายน้ำไม่เป็นแล้วก็พยายามตะเกียกตะกายต่อ แต่ว่าเพื่อนๆที่อยู่แถวๆนั้นไม่มีใครมาช่วยเลย ผ่านไปซักพักก็มีมือนึงมาจับขันของเฟิร์น แล้วเฟิร์นก็จับแขนเขาไว้ พอโผล่หัวขึ้นมาก็เห็นเป็นรุ่นพี่โรงเรียน เขาก็พูดกับเฟิร์นว่า ขอยืมขันหน่อยเฟิร์นก็สงสัยทำไมถึงขอยืมขัน ไม่คิดจะช่วยก่อนหรอ และก็พยายามพูดว่าช่วยด้วย แต่ก็พูดไม่เป็นคำเพราะหัวผลุบๆโผล่ๆ อยู่ในน้ำ เฟิร์นก็พยายามดึงแขนรุ่นพี่สุดชีวิต จนรุ่นพี่เห็นว่าเริ่มแปลกๆแล้ว ก็เลยตะโกนเรียกเพื่อนมาช่วยกันดึงเฟิร์น ซึ่งจริงๆ ถ้าข้างล่างเป็นเถาวัลย์ ผู้ชาย 2 คนน่าจะดึง ผู้หญิงขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่ว่าก็ดึงไม่ขึ้น จนเพิ่มขึ้นเป็น 3 คน 4 คนก็ดึงไม่ขึ้น สุดท้ายมีอาจารย์ท่านนึงโดดลงมาช่วยดึง

ตอนนั้นเฟิร์นก็คิดว่าตัวเองควรที่จะเอาลงไปแกะเถาวัลย์เองมั๊ย เฟิร์นก็เลยก้มหัวลงไปในน้ำ ที่อยู่ตรงขาไม่ใช่เถาวัลย์ แต่น่าจะเป็นมือคนจับขาเฟิร์นไว้แน่นเลย ถัดไปอีกนิดนึงก็จะเห็นเป็นหน้าผู้หญิงคนนึงที่ผมยาวมากๆ แต่ก็เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไร เพราะผมที่ปลิวไปตามน้ำบังหน้าอยู่ แต่ที่เฟิร์นเห็นชัดที่สุดคือ ผู้หญิงคนนั้นกำลังยิ้มอยู่ พอเฟิร์นเห็นก็สำลักน้ำ น้ำเข้าจมูกเข้าปาก ไปหมด แต่ก็โชคดีที่รุ่นพี่ช่วยกันดึงขึ้นมาได้พอดี

พอถึงฝั่ง เฟิร์นก็ร้องไห้หนักมาก ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพื่อนๆที่อยู่แถวนั้นก็เข้ามาปลอบว่าอย่าไปกลัว ไม่ตายแล้วๆ ซึ่งทุกๆคนก็คิดว่าเฟิร์นกลัวเพราะการจมน้ำ ทีนี้ข่าวก็กระจายไปทั่วค่าย พอข่าวกระจายไปแทนที่เพื่อนจะจมน้ำ ต้องน่าสงสาร กลายเป็นตัวตลกในค่ายไปเลย เพราะว่าตรงที่เฟิร์นจมน้ำนั้นตื้นแบบไม่น่าจมได้ แต่เฟิร์นก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่เห็นใต้น้ำให้ใครฟัง เพราะกลัวว่าคนอื่นจะกลัวกัน แล้วก็ไม่คุยกับใครเลย

พอถึงตอนที่จะทานข้าว ก็มีอาจารย์คนที่โดดน้ำลงไปช่วยเฟิร์นมาคุยด้วย เฟิร์นแทนตัวอาจารย์ว่า อาจารย์ เอ แล้วบอกว่า เป็นยังไงบ้าง และก็ขอโทษด้วยน๊า ที่ทำให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เฟิร์นก็ตอบ ค่ะ แล้วอาจารย์ก็บอกอีกว่าขอบคุณนะ ที่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

เฟิร์นก็ถามว่า เรื่องอะไรคะ อาจารย์ก็บอกว่าเรื่องที่โดนดึงอ่ะ เฟิร์นก็ถามอีกว่า อาจารย์รู้ได้ยังไง อาจารย์ เอก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่มองอยู่ข้างบนหนะ เขามองไม่เห็นว่าเฟิร์นจมน้ำ จนเห็นคนมามุงกันเยอะๆ อาจารย์ก็เลยโดดลงมาช่วย ซึ่งอาจารย์ก็รู้ว่าเฟิร์นว่ายน้ำเป็น ก็เลยคิดว่าขาของเฟิร์นต้องติดอะไรอยู่แน่ๆ แต่พออาจารย์จะก้มลงไปแกะให้ พอเอาหัวลงไปในน้ำปุ๊ป ก็รีบดึงหัวขึ้นมาทันทีเลย เพราะว่าอาจารย์ เห็นเป็นผู้หญิงครึ่งท่อน โผล่มาจากก้อนหินแล้วเอามือดึงขาเฟิร์นไว้ แล้วเฟิร์นก็ขึ้นมาจากน้ำพอดี แต่อาจารย์ก็ไม่พูดอะไร

หลังจากนั้นเฟิร์นต้องจำใจอยู่ที่ค่ายต่อ ซึ่งกิจกรรมตอนกลางคืนก็มีอยู่เหมือนเดิม แต่เฟิร์นนั้นไม่สนุกด้วยแล้ว รู้สึกเบื่อ เหมือนอยู่ในพะวังตลอดเวลา จนกิจกรรมทุกอย่างในคืนนั้นเลิก ก็แยกย้ายกันเข้านอน ซึ่งที่นอนที่คุณเฟิร์นนอนนั้นจะเป็นเต๊นท์เล็กๆที่นอนได้แค่เต๊นท์ละ 2 คน เฟิร์นก็เข้านอน ก็เห็นเงาของเพื่อนคนอื่นเดินผ่านเต๊นท์ ได้ยินเสียงอาจารย์เดินตรวจ บอกให้เด็กๆนอนได้แล้ว แล้วเสียงก็เงียบไป แล้วเฟิร์นก็หลับไป

ในคืนนั้น เฟิร์นก็ฝันว่า ตัวเองตื่นขึ้นมาในเต๊นท์ที่นอนนั่นแหละ แต่ว่าเพื่อนที่นอนข้างๆไม่อยู่ แล้วเฟิร์นก็เห็นเป็นเงาคนเดินมาตั้งแต่ไกลๆนู่นเลย เฟิร์นก็คิดว่าคงเป็นอาจารย์เดินตรวจเด็กๆว่านอนรึยัง แล้วเงาก็เดินมาหยุดเต๊นท์นั้น เต๊นท์นี้ แล้วก็เดินมาถึงที่เต๊นท์ของเฟิร์น เงานั้นก็มาหยุด แต่ว่าหยุดนานกว่าเต๊นท์อื่นๆ แล้วซักพักเงานั้นก็รูดซิบ เฟิร์นก็เห็นเป็นผู้หญิงเสื้อฟ้า หน้าคล้ายๆ ผู้หญิงที่คุณเฟิร์นเห็นใต้น้ำ ตัวเปียกเหมือนไปตากฝนหนักๆมา แล้วก็เข้ามานอนแทนที่เพื่อนของคุณเฟิร์นที่ไม่อยู่ ซึ่งทั้งคุณเฟิร์นและผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มองกัน ต่างคนต่างนอนหงาย แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า หนาวๆ เฟิร์นก็กำลังจะเอียงหน้าไปมองเขา เขาก็กำลังจะเอียงหน้ามามองเฟิร์น แต่ว่าเพื่อนมาปลุกพอดี เฟิร์นก็สะดุ้งตื่นเพราะเหมือนเพิ่งฝันร้ายมา แล้วเพื่อนก็ถามเฟิร์นว่า เฟิร์น แกโอเคป่ะเนี่ย เหงื่อท่วมตัวเลย เฟิร์นก็บอกว่า โอเคๆ แล้วเพื่อนก็ถามว่าแล้วแกมาทำอะไรกับที่นอนชั้นอ่ะ เนี่ยดูเตียงดิมันเปียกน้ำไปหมดเลย เฟิร์นก็ไม่รู้จะอธิบายเพื่อนยังไง เพื่อนก็เหมือนโกรธๆ เฟิร์นแล้วก็ไปเอาผ้าห่มสำรองมาปูทับแล้วก็นอนไปเลย

พอวันที่ 2 เฟิร์นทำอะไรก็เหมือนคนไม่มีชีวิต กลายเป็นคนเดียวที่ไม่มีความสุขในค่าย ตอนไปเดินทางไกล คุณเฟิร์นก็เดินไปเหม่อไป ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมา และตกใจง่ายเวลามีใครมาสกิด พอตอนเย็นอาบน้ำคุณเฟิร์นก็เลือกที่จะเข้าไปอาบในห้องน้ำและไม่มองไปที่ที่เคยจมน้ำอีกเลย และในคืนนี้จะต้องมีการแสดงรอบกองไฟ แล้วด้วยความที่เฟิร์นนั้นไม่สนุกไปกับงาน ก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหมือนอยากให้งานจบไวๆ แล้วก็มองไปสะดุดคนใส่เสื้อฟ้าคนนึง แต่ไม่ใช่แค่นั้น แต่คนใส่เสื้อฟ้าที่คุณเฟิร์นเห็นคือผู้หญิงคนเดิมที่เข้ามานอนในเต๊นท์ในความฝันของเมื่อคืน เฟิร์นเห็นเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ตรงทางลงไปน้ำตก ตัวเปียกๆ แล้วเขาก็จะยิ้มให้เฟิร์นตลอดเลย แล้วตาของเฟิร์นก็ไปสบตากับเขา เฟิร์นทำอะไรไม่ถูกแล้วก็หันหน้าหนีไป และพยายามขยับไปอยู่ในวงที่อยู่กลางๆ เพื่อจะไม่ให้มองไปทางอื่น

ตอนนั้นเฟิร์นรู้สึกแย่มาก จะไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ อยากกลับบ้านมาก หลังจากกิจกรรมรอบกองไฟเสร็จ เฟิร์นก็รีบเข้าเต๊นท์เลย แต่ว่าคืนนี้เฟิร์นบอกกับตัวเองว่าจะไม่นอน จะไม่ฝันแล้ว ยังไงก็ไม่นอน ถ้ามีอะไรก็จะตะโกนให้ดังๆ ให้ตื่นกันทั้งหมดเลย พอทุกอย่างมันเงียบลง เฟิร์นก็ได้ยินเสียงเพื่อนข้างๆนอกกรน ได้ยินเสียงน้ำจากน้ำตกที่ไหล แล้วเฟิร์นก็เห็นเงาคนเดินมาไกลๆ แล้วก็มาหยุดเต๊นท์นั้น เต๊นท์นี้ เหมือนฉายภาพซ้ำกับในความฝันเมื่อคืน

ตอนนั้นเฟิร์นก็ใจเต้นมาก แต่ก็อุ่นใจว่ามีเพื่อนอยู่ข้างๆถ้ามีอะไรก็จะตะโกนให้สุดเสียง แล้วเงานั้นก็มาหยุดที่หน้าเต๊นท์เฟิร์นแล้วก็นั่งลงจะรูดเต๊นท์เหมือนเมื่อคืน เฟิร์นก็จับแขนเพื่อนแล้ว แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รูดซิบ แล้วเขาก็ยืนขึ้นและพูดว่า จะตะโกนเหรอ แล้วเฟิร์นก็เห็นเงา ค่อยๆ ดึงหัวตัวเองออกจากคอ แล้วก็ถือหัว ค่อยๆเดินวนมาทางซ๊าย ตอนนั้นเฟิร์นไม่ไหวแล้ว ร้องไห้ดังมากจนตื่นเกือบทั้งค่าย จนอาจารย์ เอ เขาก็เข้ามา เฟิร์นก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว จะกลับบ้าน อาจารย์ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจเฟิร์น

ในระหว่างที่รอรถ อาจารย์คนอื่นก็ถามว่า ไหนลองเล่ามาซิ เป็นอะไร แต่เฟิร์นก็ไม่เล่า นั่งร้องไห้อย่างเดียว พอรถมา อาจารย์เอ ก็ขับรถพาเฟิร์นไปส่งบ้าน และก็พูดกับเฟิร์นว่า ขอโทษนะ จริงๆ ควรส่งกลับตั้งแต่ตอนที่จมน้ำแล้ว เล่าให้ฟังได้มั๊ยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

เฟิร์นก็เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้ง 2 คืนให้อาจารย์ เอ ฟัง พอฟังจบ อาจารย์ก็บอกว่า อาจารย์ไปถามมาให้แล้วนะ แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวหรือเปล่า ในวันที่เฟิร์นไปเข้าค่ายเป็นวันพุธ ซึ่งปกติจะต้องจุดธูปบอกเจ้าที่ก่อน ซึ่งอาจารย์เอเป็นคนจุด แต่เจ้าหน้าที่อุทยานมาบอกกับอาจารย์เอ ว่าวันพุธห้ามจุดธูปนะครับ ก็เลยทำให้อาจารย์ไม่ได้จุดธูปบอกเจ้าที่ แล้วหลังจากนั้นเฟิร์นก็ไม่ได้เจออะไรอีกเลย

แต่ว่าเฟิร์นก็เหมือนคนเป็นบ้า นั่งร้องไห้อยู่บ้าน 2 อาทิตย์ไม่ได้ไปโรงเรียนเลย

คุณยายวัย 105 ปี ตายแล้วฟื้น หลังหยุดหายใจนานนับชั่วโมง



ปาฏิหาริย์ ! คุณยายชาว จ.พิจิตร วัย 105 ปี ตายแล้วฟื้น หลังหยุดหายใจไปนานนับชั่วโมง

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2556 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า นางบุ ขันสิงหา คุณยายวัย 105 ปี ตายแล้วฟื้นที่ ต.หนองโสน อ.สามง่าม จ.พิจิตร จึงเดินทางไปตรวจสอบ โดยลูกหลานของยายบุ เล่าว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 สิงหาคม นางบุหยุดหายใจไป ลูกหลานจึงเตรียมจัดงานศพให้ แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ ยายบุก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับเล่าให้หลาน ๆ ฟังว่า ยายฝันว่าไม่สบาย และมีคนใจดีพาไปโรงพยาบาล พร้อมกับฉีดยาให้ 1 เข็มแล้วกลับบ้าน พอลืมตามาก็เห็นลูกหลานนั่งเต็มไปหมดถึงรู้ว่า ตัวเองตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้


อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นแพทย์ได้ตรวจรักษาแล้วพบว่า ยายบุร่างกายอ่อนเพลีย ความดันต่ำ จะเหนื่อยง่าย และให้ลูกหลานดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าที่ยายบุตายแล้วฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์นั้นเป็นเพราะผลบุญที่ยายชอบทำบุญทำทาน และเคยเป็นหมอตำแยทำคลอดให้หลาย ๆ คนนั่นเอง

อึ้ง ! พบหัวกะโหลกมนุษย์วางเซ่นไหว้ศาลใต้ต้นโพธิ์ในบ้านโป่ง



พบกะโหลกมนุษย์วางเซ่นบนศาลใต้ต้นโพธิ์ในบ้านโป่ง จ.ราชบุรี มีมันสมองติดพร้อมเส้นผม และมีหมาก พลู เครื่องเซ่นไหว้สดใหม่อยู่ด้านล่าง

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหัวกะโหลกของมนุษย์ บริเวณใต้ต้นโพธิ์ ริมถนนคลองชลประทานดงยาง-นครชุมน์ ต.สวนกล้วย อ.บ้านโป่ง จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของศาลพระภูมิและศาลเจ้าเก่าที่ชาวบ้านนำมาทิ้งไว้ ส่วนหัวกะโหลกที่ชาวบ้านแจ้งนั้นอยู่บนศาลเจ้าเก่า ไม่ทราบเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย นอกจากนี้ ด้านล่างของศาลเจ้ายังมีหมาก พลู ขนมครก มาวางเป็นเครื่องเซ่นไหว้ พร้อมกับมีร่องรอยการจุดธูป เทียน คล้ายกับทำพิธีทางไสยศาสตร์บางอย่าง ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบหัวกะโหลก พบว่ายังมีมันสมองอยู่เต็ม และมีเส้นผมติดอยู่ที่กระหม่อม ขณะที่พวกหมาก พลู รอยธูป เทียน ก็ยังดูสดใหม่เช่นกัน

ด้านนายหยวนอ่อน แซ่โซ้ว ชาวบ้านผู้พบหัวกะโหลกวัย 63 ปี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันนี้ออกมาหาของเก่าที่ใต้ต้นโพธิ์ เพื่อนำไปขาย จึงได้พบหัวกะโหลกดังกล่าว ก่อนที่จะแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนี้ว่ามีใครหายตัวไปบ้าง ก็ยังไม่มีคนแจ้งแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน เมื่อเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบศาลเจ้า ก็มีชาวบ้านจำนวนมากที่ทราบข่าว เดินทางกันมาดู พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา อาทิ กะโหลกนี้อาจจะขุดขึ้นมาจากศพคนตายที่ฝังใหม่ ๆ เพื่อประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ หรือไม่ก็ต้องการเรียกดวงวิญญาณเจ้าของหัวกะโหลก เพื่อให้มาอยู่ที่ต้นโพธิ์แห่งนี้ เป็นต้น

ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นหัวกะโหลกของใคร จึงได้นำส่งสถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อพิสูจน์เอกลักษณ์เชิงซ้อนต่อ

แพทย์ผงะ ศพผู้ป่วยฟื้นระหว่างผ่าตัดบริจาคอวัยวะ



เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ เปิดเผยกรณีน่าสนใจในวงการแพทย์ เมื่อผู้ป่วยชาวอเมริกันรายหนึ่งที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย เกิดลืมตาตื่นขึ้นมาระหว่างแพทย์กำลังผ่าตัดเอาอวัยวะที่เธอบริจาคไว้ ด้านหัวหน้าทีมแพทย์ผิดเต็ม ๆ วินิจฉัยผู้ป่วยผิดพลาด

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2009 นางคอลลีน เบิร์นส์ ถูกหามส่งโรงพยาบาลในนิวยอร์ก หลังทานยาเกินขนาดและมีภาวะหัวใจวาย ซึ่งหลังจากที่ถูกส่งตัวถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์ก็ไม่สามารถทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้และประกาศว่าเธอได้เสียชีวิตลงแล้ว จากนั้น ร่างของเธอก็ส่งต่อไปยังห้องผ่าตัดผู้บริจาคร่างกาย เพื่อที่แพทย์จะได้ผ่าตัดอวัยวะสำคัญไปต่อชีวิตผู้ป่วยรายอื่น ๆ

แต่ระหว่างที่แพทย์กำลังจะลงมีดผ่าตัดร่างเธออยู่นั้น จู่ ๆ คอลลีน เบิร์นส์ ก็ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟที่กำลังส่องใบหน้า ทำเอาทีมแพทย์ตกอกตกใจกันใหญ่ แต่โชคดีที่แพทย์ยังไม่ได้ผ่าเอาอวัยวะใด ๆ ของเธอออกไป มิฉะนั้นเธออาจจะไม่มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้

หลังเกิดเหตุแพทย์ได้นำตัวเธอไปรักษาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เธอจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ขณะที่ทางด้านครอบครัวของเธอและตัวเธอเองไม่ได้คิดจะเอาผิดโรงพยาบาลแต่อย่างใด แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น จากการสอบสวนที่กินเวลานานถึง 3 ปี ล่าสุด ได้มีการตัดสินปรับเงินหัวหน้าทีมแพทย์เป็นจำนวนกว่า 200,000 บาท สำหรับความผิดพลาดในครั้งนี้

อย่างไรก็ดี หลังจากคอลลีน เบิร์นส์ ออกจากโรงพยาบาลไป เธอก็ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงหลังจากนั้นประมาณ 1 ปีเศษ เนื่องจากความเครียดส่วนตัวนั่นเอง
 

ผู้โดยสารแท็กซี่



คุณกรมีอาชีพขับรถแท็กซี่มา 4-5 ปีแล้ว ซึ่งกรจะเช่ารถแท็กซี่มาขับเป็นรายอาทิตย์จากอู่แท็กซี่แห่งหนึ่งแถวนนทบุรี และรถแท็กซี่ที่จะได้มาขับก็จะไม่ใช่คันเดิมเสมอไป..

ช่วงสายวันหนึ่งกรก็ไปรับรถแท็กซี่มาขับตามปกติ ทุกครั้งที่รับรถมาใหม่ กรก็จะจอดรถไว้หน้าบ้าน และล้างรถทำความสะอาดทั้งภายนอกภายใน แต่กรก็สะดุดกับคราบสีดำๆ ที่เบาะหลังซึ่งเช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก.. จากนั้นกรก็เข้าบ้านไปนอนเอาแรง เพื่อที่จะออกไปวิ่งรถกะกลางคืน..

คืนนั้น.. กรออกจากบ้านมาที่รถแท็กซี่ และกรก็เหลือบไปเห็นรอยคล้ายๆ มือคนที่กระจกผู้โดยสารด้านหลังฝั่งคนขับ กรจึงเอาผ้าเช็ดรอยมือนั้น แต่เช็ดไม่ออก เพราะเป็นรอยที่เกิดจากด้านในรถ กรจึงเปิดประตูออกมาเพื่อเช็ดรอยมือออกโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคงเช็ดทำความสะอาดไม่ทั่วถึงเอง

กรออกรถจากบ้านแถบนนทบุรี มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตระเวนหาผู้โดยสาร กรเล่าว่าคืนนี้มีเหตุการณ์แปลกๆ เมื่อผู้โดยสารโบกรถ กรแวะจอด แต่ผู้โดยสารกลับมองรถ และมองผ่านไปโบกรถคันหลังแทน ซึ่งเป็นแบบนี้หลายครั้งในคืนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคิดว่าคืนนี้ได้รายได้น้อยกว่าทุกครั้ง

สักประมาณตี 4 กว่า กรที่วิ่งรถเปล่าเพื่อเดินทางกลับบ้าน จู่ๆ รถก็เกิดดับกลางคัน กรหงุดหงิดมาก และลองโทรหาเพื่อนที่ขับแท็กซี่กะคืนนี้เหมือนกัน โชคดีที่เพื่อนอยู่ไม่ไกลมาก..

จากนั้นไม่เกิน 10 นาทีแท็กซี่ของเพื่อนกรก็ขับมาจอดด้านหน้า เพื่อนกรลงมาจากรถพร้อมอุปกรณ์เพื่อจั๊มพ์แบตเตอรี่ และถามกรอย่างสงสัยว่า

ผู้หญิงกับเด็กในรถเค้าจะไปลงไหนล่ะ?

นั่นใคร ...ออกมานะ! เรื่องเล่าจากในวัง


"นั่นใคร ...ออกมานะ !"
(เรื่องเล่าแสนประหลาดจาก "พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง)

พระที่นั่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระมหามณเฑียร ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเสร็จแล้ว พระองค์ท่านและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จย้ายจากที่ประทับเดิม มาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ และได้ทรงโปรดให้เขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลต่างๆ ไว้ในมุขกระสัน (มุขที่เชื่อมระหว่างพระที่นั่งองค์หนึ่ง กับอีกองค์หนึ่ง)
เวลานั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ (พระราชโอรสองค์ที่ 40 ในรัชกาลที่ 5) ยังทรงพระเยาว์และทรงซุกซนมาก


ขณะที่ประทับเล่นอยู่บริเวณห้องส่วนพระองค์และมุขกระสัน
พระองค์ทรงวิ่งเล่นไปมาภายในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน โดยที่พระพี่เลี้ยงก็ตามไม่ทัน หาพระองค์ท่านไม่เจอ โดยประมาณครู่ใหญ่พระองค์ถึงทรงกลับมาเอง พร้อมกับเล่าให้พระพี่เลี้ยงฟังว่า...
ทรงเห็นผู้ชายรูปร่างท้วมนั่งอยู่ในพระที่นั่งฯ แล้วเดินหายไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ ด้วยความที่เป็นเจ้าฟ้า ท่านจึงตะโกนเรียกว่า ...
"นั่นใคร...ออกมาเดี๋ยวนี้"

ปรากฏว่า.. ไม่มีใครออกมา ! จนมาวันหนึ่ง สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ กำลังเสด็จไปเฝ้ารัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินผ่านห้องที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ 3 แขวนอยู่ พอทอดพระเนตรก็รับสั่งว่า "นี่ไงผู้ชายอวบคนนั้น..."

จนความทราบไปถึงสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ (พระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5) พระนางจึงมีรับสั่งถามเรื่องราว และทรงเดาว่าคงเป็น รัชกาลที่ 3 ปรากฏพระองค์ให้เห็น

จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายสมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ เพื่อทรงไปขอขมาลาโทษรัชกาลที่ 3 ที่อาจทรงล่วงเกินไป เข้าไปทรงวิ่งเล่นเอะอะ ในที่ที่พระองค์เคยประทับ
การปรากฏพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ให้สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ได้ทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งองค์นี้ ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่าน ยังคงสถิตย์อยู่ที่นี่

แต่ที่รู้ก็คือ พระองค์ท่านทรงเคยประทับที่พระที่นั่งองค์นี้มาตลอดพระชนม์ชีพ และทรงเสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งองค์นี้ด้วยนั่นเอง

จูน และ เจนนิเฟอร์ กิบบอนส์ (June and Jennifer Gibbons)


ฝาแฝดจากเวลส์ที่เกิดในยุค 60 อาจเป็นฝาแฝดที่น่าขนลุกที่สุดในโลก เมื่อทั้งคู่สื่อสารกันด้วยภาษาที่เข้าใจกันเองตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งคู่ตัดการสื่อสารจากคนภายนอกและไม่สามารถเข้าสังคมได้เลย ถึงแม้พ่อแม่ของทั้งคู่จะแก้ไขด้วยการส่งให้พวกเธอไปอยู่คนละโรงเรียน แต่นั่นกลับทำให้เรื่องราวเลวร้ายมากขึ้น ทั้งคู่มีนิสัยก้าวร้าว และกลายเป็นอาชญากร จนต้องถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช พวกเธอเคยกล่าวว่า “ต้องมีใครสักคนตายไป อีกคนถึงจะเป็นอิสระ” และสุดท้าย เมื่อเจนนิเฟอร์ยอมสละชีวิตคนเองจากอาการหัวใจวายอย่างเป็นปริศนา จูนได้กลับกลายเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปอีกครั้ง

ที่มา : buzzfeed

มนุษย์ผู้กินไม่เคยอิ่ม (Tarrare)


ทาร์แรร์ ชาวนาที่เกิดในช่วงปี 1772 ที่ดูราวกับเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เหตุเพราะเขาเป็นคนที่กินไม่เคยอิ่ม แถมยังกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ก้อนหิน ช้อนส้อม ตระกร้าใส่ของ เครื่องมือต่างๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตตัวเป็นๆ โดยในขณะที่เขาเป็นทหารและถูกจับไปเป็นเชลย ทาร์แรร์ถูกจับนำไปทดลองในโรงพยาบาล และเขาต้องแอบไปดื่มเลือดของผู้ป่วยคนอื่นๆ รวมไปถึงเด็กทารกอีกด้วย

ที่มา : buzzfeed

EP.123 : ปริศนาเรือแมรี เซเลสต์ (The Mary Celeste)


ถ้าพูดถึงเรือผีสิงที่โด่งดังที่สุด จะต้องมีชื่อของเรือแมรี เซเลสต์ เป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน โดยในปี 1872 เรือแมรีได้หายไปอย่างลึกลับ และในอีก 1 เดือนต่อมา มันถูกค้นพบในสภาพที่เป็นปริศนา ลูกเรือทุกคนหายไปหมด ข้าวของทุกอย่างที่ทำเอาไว้ถูกทิ้งไว้อย่างนั้น ราวกับว่าพวกเขารีบหนีอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่ได้เอาข้าวของไปแม้แต่น้อย จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีใครสามารถสรุปได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรือแมรี เซเลสต์กันแน่

ที่มา : buzzfeed

EP.122 : ต้นฉบับนักล่ายามวิกาล (The Original Night Stalker)


ชายผู้ก่อคดีมากมายตั้งแต่ปี 1979 โดยมีคดีย่องเบา 120 ครั้ง ข่มขืน 45 คน และฆาตกรรมถึง 12 คน ตำรวจได้สันนิษฐานว่า เขาเป็นชายผิวขาวอายุราว 26-30 ปี แต่งตัวดี ดูไม่เป็นอันตราย แต่เขาก็ไม่เคยถูกจับได้เลย ถึงแม้จะมีฆาตกรที่ก่อคดีเลียนแบบเขา แต่ก็ถูกจับไปหมด จนเขาได้ฉายาว่าเป็นต้นฉบับนักล่ายามวิกาลตัวจริงเสียงจริง

ที่มา : buzzfeed

EP.121 : ฆาตกรรมลึกลับในฮินเตอร์เคเฟก (Hinterkaifeck Murders)


ฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมและลึกลับที่สุดใน ฟาร์มฮินเตอร์เคเฟก โดยในปี 1922 ผู้อยู่อาศัยทั้ง 6 คนในฟาร์มที่ห่างไกล ถูกฆาตกรรมสังหารด้วยจอบเพียงด้ามเดียว โดย 2 ใน 6 คน เป็นเด็กอายุ 7 และ 2 ขวบ จาการสืบสวน ตำรวจเชื่อว่าฆาตกรแอบเข้าไปอยู่ในห้องใต้หลังคา เป็นเวลาไม่กี่วัน ก่อนที่จะออกมาฆ่าทุกคนในตอนหลับ และเขายังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นต่ออีกหลายวัน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ฆาตกรคือใครกันแน่

ที่มา : buzzfeed

EP.120 : คดีการตายปริศนาที่เขายัตลอฟ (The Dyatlov Pass incident)


9 นักปีนเขาที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาบนเขายัตลอฟ มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้น ที่หาคำอธิบายไม่ได้ เช่น ทำไมในวันเกิดเหตุที่มีพายุหิมะรุนแรง แต่พวกเขากลับไม่กางเต็นท์ในป่า แต่ไปกลางในที่โล่ง ศพของแต่ละคนกระจายกระจายไปคนละที่ บางคนแข็งตายในสภาพเปลือยเปล่า บางคนถูกมีร่องรอยบอบช้ำอย่างรุนแรง ลิ้นบางคนหายไป และเสื้อผ้าบางคนก็มีสารกัมมันตรังสีอีกด้วย คดีนี้ถูกสรุปว่า ทั้ง 9 คนเสียชีวิตจาก “พลังงานลึกลับบางอย่าง”

ที่มา : buzzfeed
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .