EP.119 : ลองของบ้านร้าง ผีตามจองเวร 5 ศพ


วันที่ 30 ส.ค. 2560

หนุ่ม นศ. กฎหมายเล่าประสบการณ์ร้ายหลังไปดูบ้านร้างผีดุ ย่านถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก เพื่อนร่วมชะตากรรมรวม 7 คน ตายสยองไล่เลี่ย รวมกันแล้ว 5 ศพ ทุกครั้งมีพยานเห็นหญิงสาวผมยาวใส่ชุดขาวอยู่รวมในเหตุการณ์ทุกครั้ง เจ้าตัวและเพื่อนอีกคนที่ยังรอดชีวิตอยู่แบบหวาดผวา ไม่รู้วิญญาณร้ายจะมาเอาชีวิตเมื่อไร ต้องตระเวนทำบุญถวายสังฆทาน 9 วัด อุทิศส่วนกุศลผู้ล่วงลับ คนดูแลหมู่บ้านเผยไม่มีบ้านร้าง แต่มีคนถูกฆ่าโหดถูกเอามาทิ้ง เด็กจมน้ำตาย 5 คน เพราะความประมาท วัยโจ๋มาบุกดูผีมั่วสุมทุกคืน ต้องแจ้งตำรวจมาไล่
เหตุการณ์ร้ายที่เกิดกับกลุ่มวัยโจ๋หลังเข้าไปท้าทายบ้านร้าง เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 30 ส.ค. 2560 มีข่าวลือสะพัดหนาหูว่ามีกลุ่มวัยรุ่น 7 คน ที่เข้าไปท้าทายบ้านผีสิง ย่านถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก เขตทวีวัฒนา กทม. หลังจากกลับออกไปไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนตายบ้าง ไฟไหม้บ้านตายบ้าง รวม 5 ศพแล้ว เหลืออีก 2 คน

แต่หมอดูทักว่าจะถูกตามมาเอาชีวิตไปให้ครบทุกคนที่เข้าไปลบหลู่บ้านร้าง ทำให้ผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่แบบหวาดผวา ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงพบนายนนทวัฒน์ หรือนนท์ บัวธรรม อายุ 20 ปี นศ.ปี 2 เอกรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ อยู่บ้านเลขที่ 119 ซอยเพชรเกษม 96 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. ผู้ร่วมเข้าไปท้าทายบ้านผีสิง และมีเพื่อนทยอยตายอย่างเป็นปริศนา

นายนนทวัฒน์กล่าวด้วยใบหน้าสลดว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นมานาน 2 ปีแล้ว จำวันที่ไม่ได้ เวลาประมาณ 23.00 น. ขณะที่ตน นายอภิชาติ หรือตูน ชูชาติ น.ส.ขนมปัง (จำชื่อและนามสกุลไม่ได้) แฟนสาว นายตูน นายเอกสิทธิ์ หรือเอ ตันติเสรีพัฒนา นายพัชรพล หรือไอซ์ บุญเกตุ นายธนา หรือแบงก์ เขียนถนอม และนายศรัญ หรือหมึก กันแก้ว อายุไล่เลี่ยกัน 17-19 ปี รวม 7 คน กินเหล้าอยู่หน้าปากซอยเพชรเกษม 96 เมาแล้วชวนกันไปดูบ้านร้างผีดุ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านร้าง ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม. แต่ น.ส.ขนมปังไม่กล้าไปขอนั่งรออยู่ที่เดิม อีก 6 คน ใช้รถ จยย. 3 คัน ซ้อน 2 ไปดู ตนกำชับเข้าไปดูอย่างเดียวห้ามลบหลู่ ขี่รถเข้าไปท้ายหมู่บ้านพบไฟหน้าบ้านเปิดทิ้งไว้ 2 หลัง พอผ่านไฟหน้าบ้านดับทันที คิดว่าน่าจะมีคนอยู่ พวกตนรีบขี่รถแข่งกันออกมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้วยกมือไหว้ขอขมา

นายนนทวัฒน์เผยด้วยอาการหวาดผวาอีกว่า ผ่านไป 3 เดือน นายตูนกับ น.ส.ขนมปังแฟนสาวเสียชีวิตทั้งคู่ เพราะขี่รถ จยย.ถูกรถเก๋งแข่งมากับรถกระบะชน บริเวณปากซอยเพชรเกษม 94 แต่สิ่งที่แปลกใจมีพยานหลายคนเห็นว่านายตูน ขี่รถซ้อนท้ายมากับ น.ส.ขนมปัง และยังมีหญิงสาวผมยาวใส่ชุดสีขาวอีกคนที่ซ้อนท้ายมาด้วย หลังเกิดเหตุหายตัวไป

ต่อมาอีกประมาณ 1 ปี นายเอขี่รถ จยย. จะเลี้ยวเข้าซอยเพชรเกษม 94 ถูกรถเก๋งปาดหน้า รถ จยย.เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง นายเอคอหักตายคาที่ พยานยืนยันอีกว่ามีผู้หญิงผมยาวชุดขาวซ้อนท้ายมาด้วยแต่ไม่ทราบหายไปไหน พวกตนเริ่มสงสัยว่าอาจจะเป็นวิญญาณที่ตามมาจากบ้านร้าง

หลังจากที่เสียเพื่อนไปแล้ว 3 คน คนที่เหลือก็เริ่มคิดว่าอาจเป็นเพราะพวกเราไปลบหลู่บ้านร้างหรือเปล่า ผ่านมาอีกปีเศษ นายไอซ์และนายแบงก์ ไฟไหม้บ้านถูกไฟคลอกตายทั้งคู่ หลังจากเลี้ยงส่งนายหมึกไปเป็นทหารเกณฑ์ มีพยานอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวเข้าไปในบ้านก่อนเกิดเหตุด้วย

นายนนทวัฒน์ผู้ที่ต้องสูญเสียเพื่อน 5 คน ในระยะเวลาไม่นานเล่าด้วยน้ำตาคลอต่ออีกว่า แม่นายไอซ์ไปหาหมอดูท่านหนึ่ง หมอดูบอกว่าพวกตนไปลบหลู่และท้าทายวิญญาณที่อยู่ที่บ้านร้างหลังนั้น และจะตามเอาชีวิตไปให้ครบทุกคน โดยบอกลักษณะของคนที่ถูกจะมาเอาวิญญาณลักษณะตรงกับตนกับนายหมึกทุกประการ ทำให้ตนกับนายหมึกหวาดผวา เหมารถตู้ทำบุญถวายสังฆทาน 9 วัด แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อนที่เสียชีวิตไป และอุทิศให้กับวิญญาณที่ตามจ้องจะเอาชีวิตด้วย

ด้านนายอนันต์ เย็นสุจิตร์ อายุ 64 ปี ผู้ดูแลหมู่บ้านที่กลุ่มของนายนนทวัฒน์เข้าไปพิสูจน์บ้านผีสิง กล่าวว่า หมู่บ้านนี้มีเนื้อที่มากกว่า 200ไร่ อยู่มา 14 ปี ไม่เคยเจอผี ที่ดินทุกแปลงมีเจ้าของ แต่ไม่มีใครมาปลูกบ้าน มีเพียง 2 หลัง หลังแรกอยู่ห่างจากซุ้มประตูหมู่บ้านประมาณ 100 เมตร แต่เจ้าของบ้านเสียชีวิตทำให้เป็นบ้านร้าง และอีกหลังคือบ้านตน ที่ผ่านมาเกือบทุกคืนจะมีกลุ่มวัยรุ่นขี่รถ จยย. รถเก๋งเข้ามาดูผีและมั่วสุมกัน ต้องแจ้งตำรวจ สน.ศาลาแดง มาไล่ และยังมีผู้ชายถูกฆ่านำศพมาทิ้งไว้ในป่าหญ้าไม่มีหลักฐานระบุว่าเป็นใคร ใกล้กับจุดที่กลุ่มวัยรุ่นอ้างว่าเจอบ้านร้าง 2 หลัง และยังมีเด็ก 5 ราย ลงเล่นน้ำใต้สะพานข้ามคลองติดกับบ้านตนเสียชีวิต แต่คงจะไม่ใช่เรื่องอาถรรพณ์อะไร เป็นความประมาทมากกว่า

ส่วนกลุ่มวัยรุ่นอ้างว่ามีบ้านร้าง 2 หลังอยู่ท้ายหมู่บ้านก็ไม่มีอยู่จริง อาจเป็นเพราะตาฝาดหรืออุปาทานหมู่จนทำให้เห็นบ้าน 2 หลัง หากใครที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้แล้วรู้สึกกลัว ไม่สบายใจต้องการที่จะมาขอขมาหรือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้าที่เจ้าทาง หรือวิญญาณเร่ร่อนที่นี่ ตนก็พร้อมที่จะพาไป

Cr. ไทยรัฐออนไลน์

เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : เพื่อนร่วมลิฟท์



เบล ได้งานใหม่เป็นพนักงานฝ่ายการตลาด และอีเว้นท์ ของบริษัทแห่งหนึ่งในเมือง เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่เปิดกิจการมาหลายสิบปีแล้ว ออฟฟิศของเบลอยู่ที่ชั้น 27 การจะขึ้นลงลิฟท์ของตึกนี้ จะต้องใช้บัตรพนักงานก่อนแล้วจึงกดชั้นเท่านั้น

วันที่เกิดเรื่อง เป็นวันที่บริษัทต้องไปออกบูธขายของ เป็นเวลา 3 วัน เมื่อจบงานในแต่ละวัน ก็จะต้องมีการขนของกลับมาไว้ที่ออฟฟิศ

หลังจบงานวันสุดท้ายของการออกบูธ เบลกับเพื่อนๆ แวะกินข้าวกันจนดึก และทั้งหมด ก็ได้กลับมาเก็บของจากการจัดงานที่ออฟฟิศเหมือนทุกวัน เมื่อเก็บของเรียบร้อย ประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็ลงลิฟท์กลับพร้อมกัน ระหว่างลิฟท์กำลังลงมาได้ไม่กี่ชั้น เบลนึกขึ้นได้ว่าวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะ เบลจึงกดชั้น 18 เพื่อเปลี่ยนลิฟท์กลับไปเอากุญแจ และบอกเพื่อนว่าให้กลับกันก่อนเลย

เมื่อได้กุญแจแล้ว เบลก็กดลิฟท์ลง เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ด้านในมีคนผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งลงมาด้วย เบลเข้ามากดชั้น 1 โดยที่ ปุ่มชั้น 18 ก็ติดอยู่เช่นกัน เมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้น 18 ประตูเปิดออก เบลก็กดปุ่มเปิดค้างไว้เพื่อให้ชายคนนั้นออก แต่ชายคนนั้นก็ไม่เห็นเดินออกไป เบลจึงหันไป สิ่งที่เบลเห็นคือ.. ลิฟท์ว่างเปล่า

เมื่อลงมาถึงชั้น 1 ด้วยความช็อค เบลไม่เห็นใครนอกจากยามเฝ้าตึก เบลรีบเล่าเรื่องนี้ให้ยามด้านล่างฟัง

ยามจึงบอกให้เบลฟังว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว มีเจ้าของบริษัทหนึ่งในตึกนี้ แกเป็นหนี้ท่วมหัว คืนนึง แกลงลิฟท์มาชั้น 18 แล้วก็กระโดดตึกลงมาตาย เวลาประมาณนี้เลยล่ะ

บางคนที่นี่ก็เคยเล่าว่า เวลาลงลิฟท์มาดึกๆ กดชั้น 1 อยู่ๆ ไฟปุ่มชั้น 18 ก็ติดทั้งที่ไม่มีใครในลิฟท์เลย

EP.118 : ร.ด. สยองขวัญ


นัท และ วิน เรียนอยู่ชั้น ม.6 ทั้งคู่ลงเรียน รด. และวันมะรืนนี้ก็จะต้องไปเขาชนไก่เพื่อฝึกภาคสนามเป็นเวลา 5 วัน 5 คืน

วินซึ่งติดธุระด่วนกับทางบ้าน จึงได้ทำเรื่องแจ้งขอไม่เดินทางไปพร้อมกับทุกคนในช่วงเช้า แต่จะเดินทางตามไปด้วยตนเองในช่วงเย็นแทน

เมื่อถึงวันเดินทาง รถออกเดินทางจากกองพันทหารราบที่ 11 เวลา 8 โมงเช้า และไปถึงเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี เวลาเที่ยงกว่าๆ ซึ่งนัทและเพื่อนๆ ร่วมชั้นทั้งหมดก็ต้องจัดข้าวของ และทำการฝึกในทันที ใครที่เคยมาฝึกจะรู้ดีว่าทั้งร้อน และทั้งฝุ่นเยอะมาก เมื่อการฝึกต่างๆ ผ่านไปจนถึงช่วงทานอาหารเย็น นัทซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้ เริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลม หน้าซีด เพื่อนที่เห็นเลยไปแจ้งครูฝึก ทำให้นัทต้องถูกแยกไปพักที่ห้องพยาบาลจนกว่าอาการจะดีขึ้น

คืนนั้น.. ทุกคนกางเต๊นท์นอนในสนาม ส่วนนัทนอนที่ห้องพยาบาล โดยที่ข้างเตียงนัทคือเพื่อนจากอีกโรงเรียนหนึ่งที่ป่วยจากการฝึกเช่นกัน

เวลาประมาณ 5 ทุ่ม นัทตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำข้างห้องพยาบาล ซึ่งห้องน้ำตรงนี้มีอยู่ห้องเดียว และมีคนกำลังเข้าอยู่ นัทรอสักพักประตูก็เปิดออก เป็นวินเดินออกมา นัททักทายวินที่เพิ่งเดินทางตามมาถึง และบอกว่า กูสบายเลยได้นอนเตียง วินก็หัวเราะตอบ และบอกว่า กูมาถึงซักพักแล้ว ข้างนอกนี่มืด และเงียบมากเลยว่ะ ..จากนั้นทั้งคู่ก็แยกกันไป

นัทเดินกลับมาที่เตียง เพื่อนข้างเตียงเข้ามากระซิบถามนัทว่า เมื่อกี้นายคุยอยู่กับใคร นัทบอกว่าเพื่อนสนิทเราเอง มันติดธุระเพิ่งตามมาถึง.. เพื่อนข้างเตียงนัทสีหน้าเปลี่ยนทันที ก่อนจะพูดขึ้นว่า

ทำไมเพื่อนเลือดเต็มตัวยังงั้นล่ะ
 

EP.117 : กว่าจะหาเจอ


ชาย และ อิม เพิ่งคบกัน ทั้งคู่กำลังจะเข้าปี 1 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต ชายตัดสินใจออกจากบ้านมาเช่าหอพักติดกับมหาวิทยาลัย ทั้งที่บ้านชายก็ไม่ได้อยู่ไกลมากนัก เพื่อจะได้อยู่กับอิมที่ย้ายมาจากเชียงใหม่

ชายเป็นคนที่หวงอิมมาก แต่อิมก็ไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีเช่นกัน และถึงแม้จะเรียนคนละคณะกัน แต่ทุกวันหลังเลิกเรียน ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่หอพัก

ทุกๆ คืนอิมจะบอกรักชาย และพูดกับชายเสมอว่า อยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกวันนะ

เช้าวันหนึ่งกลางเทอม 2 ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ ทำให้อิมไม่สบาย ชายออกไปซื้อยาให้อิมแต่ชายก็ไม่กลับมาอีกเลย เสียงโทรศัพท์อิมดังขึ้น เป็นเบอร์ชายโทรเข้า แต่เสียงนั้นกลับเป็นคนอื่น และบอกกับอิมว่า น้องผู้ชายคนนี้ถูกรถชนตายแล้ว.. ทุกอย่างกระทันหันมาก อิมได้แต่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

หลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนั้น อิมก็ได้ย้ายห้องไปอยู่ห้องอื่น

1 เดือนผ่านไป อิมเริ่มรู้สึกว่าทุกครั้งที่กลับมาอยู่คนเดียวในห้อง จะรู้สึกเหมือนมีคนเรียกชื่อ คล้ายหูแว่วตลอดเวลา จนคืนหนึ่ง อิมเปิดทีวี และเผลอหลับไป พอรู้สึกตัวกลางดึกเพราะทีวีซ่าเนื่องจากหมดผังรายการ อิมจึงลุกขึ้นมาหยิบรีโมทกดปิดทีวี จอทีวีสีดำเงาสะท้อนให้เห็นห้อง และตัวเอง และเมื่ออิมเพ่งดีๆ อิมเห็นเงาของชายที่กำลังร้องไห้ซบอยู่ที่ไหล่..

พร้อมกับเสียงพูดข้างหูเบาๆ ปนสะอื้นว่า

“กว่าจะหาเจอ.. อยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกวันนะ..”
 

EP.116 : พริตตี้เจอผี


เรื่องนี้เป็นเรื่องจากคุณหมี่เกี๊ยว

หมี่เกี๊ยวเคยรับงานพริตตี้ และต้องมีออกเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด เพื่อเป็นการประหยัดค่าโรงแรม ออแกไนเซอร์ส่วนมากจะใช้วิธีเดินทางหัวค่ำไปหลับในรถเอา ถึงเช้าอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวก็เริ่มงานได้เลย ขากลับก็เช่นเดียวกัน เข้าโรงแรมแพ็คของ ขึ้นมาหลับบนรถ ถึงกรุงเทพเช้าพอดี

ครั้งที่เกิดเรื่อง ตอนนั้นเดินทางกลับจากภูเก็ตด้วยรถตู้ เรานั่งหลังคนขับและแง้มม่านไว้ เวลาประมาณตี 3 กว่า ทุกคนกำลังหลับสนิท จู่ๆ รถก็หยุดกระทันหัน ทุกคนตกใจตื่นกันหมด แต่คนขับรถออกรถอย่างเร็ว บางคนตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แกไม่ยอมตอบ และเหยียบเร็วมาก ประมาณ 150 ได้ หลังจากนั้นทุกคนในรถก็กรี๊ดกันสนั่นแล้วชี้มาทางหน้าต่างข้างที่เราเปิดม่านทิ้งไว้ น้องพริตตี้บางคนกอดกันร้องไห้แบบเสียสติ เราก็หันไปมองนะ แต่ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ

พี่คนขับรถขับมาจนเกือบสว่าง รีบเลี้ยวเข้าวัดเลย ทุกคนลงไปไหว้พระรดน้ำมนต์กันใหญ่ เราก็ตามลงไปแบบงงๆ ถามใครก็ไม่มีใครตอบ

หลายเดือนต่อมาได้มีโอกาสวนมาทำงานกับน้องพริตตี้ 1 ในทริปภูเก็ตครั้งนั้น เลยถามว่าเห็นอะไรกัน

น้องเล่าว่า หลังจากที่รถเบรคหัวทิ่มก็เลยสะดุ้งตื่น แต่พอพี่คนขับกระชากออกรถอย่างเร็ว สัญชาตญาณมันทำให้ต้องมองออกไปข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่น้องเห็นคือ ชายแก่สวมเสื้อผ้ามอมแมมสกปรกวิ่งอยู่ข้างรถ วิ่งแบบไม่เหนื่อย และใช้มือข้างหนึ่งทาบกระจกตรงที่เราเปิดม่านไว้

เราก็บอกน้องไปว่า แค่คนบ้าวิ่งตามรถเฉยๆ มั้ง แต่น้องมันกลับน้ำตาคลอเบ้า และบอกว่า "พี่.. รถมันวิ่งเกือบ 160 เลยนะ ลืมไปแล้วหรอ"

น้องเล่าต่อว่า วัดที่เราแวะไป มีพระท่านหนึ่งบอกว่า ถนนเส้นนั้นมีคนเก็บขยะถูกรถชนตายตอนตี 3 เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนนั้นนี่เอง..

เราได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ตกใจ และขนนี่ลุกไปหมดทั้งตัวเลย

EP.115 : ผีมาเกิด


เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงชื่อปลา ปลาแต่งงานมา 2 ปี และตั้งท้องได้ 5 เดือน ปลามีสามีเป็นนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ปลากับสามีจึงไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่

ปลาเริ่มรู้สึกว่าพักหลังมานี้ตนเองกลัวการนอนหลับ เพราะทุกครั้งที่นอนหลับจะรู้สึกเหมือนมีคนมาอยู่ในห้องด้วยเสมอ ปลาต้องแอบกินยานอนหลับเป็นประจำทุกครั้งที่เธอต้องนอนคนเดียว

ปลาเล่าให้สามีฟัง สามีปลาได้แต่แนะนำให้ปลาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ศพไม่มีญาติ ซึ่งปลาก็ทำตาม และก็รู้สึกดีขึ้น

วันหนึ่งปลาต้องเดินทางไปต่างจังหวัดกับสามีของเธอเป็นเวลา 2 คืน และในงานเลี้ยงที่โรงแรมในคืนแรกนั้น ปลาขอตัวกลับขึ้นห้องมาก่อนเพราะรู้สึกปวดหัว ปลาล้มตัวนอนหลับไปบนเตียง สักพักใหญ่ปลาได้ยินเสียงคนพูดกระซิบเบาๆ ทั้งเสียงผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เสียงนั้นก้องอยู่รอบตัว และปลาลืมตาขึ้นมา

สิ่งที่ปลาเห็นคือ เงาดำทะมึนคล้ายร่างคนนับ 10 ยืนล้อมเตียงเธออยู่.. ปลาตกใจมากจนสลบไป..

หลังจากนั้นปลาได้ไปหาหมอด้านไสยศาสตร์ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง หมอท่านนั้นหัวเราะเบาๆ และบอกกับปลาว่า..

“เพราะว่ากำลังท้องไง.. พวกผีไม่มีญาติเลยตามมา อยากจะมาเกิด..”

EP.114 : ผีเข้ากลางดึก


ขวัญกับกลุ่มเพื่อนอีก 4 คน เดินทางมาต่างจังหวัดเพื่อทำงานของมหาวิทยาลัย เพื่อนขวัญทั้ง 4 คน เป็นแฟนกัน คือคู่นัท กับโจ้ และคู่เนย กับเอก ทั้ง 5 คนได้เดินทางมาพักยังโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งหมดแบ่งห้องกันทั้ง 3 ห้องโดยที่จะนอนเป็นคู่ ส่วนขวัญนอนคนเดียว แต่ขวัญเป็นคนที่ขี้กลัวมากจึงบอกเพื่อนว่า ไม่กล้านอนคนเดียว ขอไปนอนรวมด้วยแล้วกัน สุดท้ายก็ตกลงคืนห้องไป และย้ายไปนอนกับคู่นัท กับโจ้ โดยที่โจ้เสียสละนอนพื้น และให้ขวัญกับนัทนอนบนเตียง

กลางดึกคืนนั้น ขวัญนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเสียงแอร์ค่อนข้างดังเนื่องจากเป็นแอร์เก่าๆ สักพักขวัญได้ยินเสียงลูกปิดประตูหมุนช้าๆ และเปิดออก จากนั้นมีเสียงเหมือนเครื่องดนตรีไทยเล่นอยู่เบาๆ มาจากนอกห้อง และหายไป และค่อยๆ ดังขึ้นอีก ขวัญตัวแข็งไม่กล้าลืมตาหรือขยับตัวไปไหนเลย

เมื่อเสียงเงียบลง


ขวัญตัดสินใจพลิกตัวเพื่อหันไปเรียกนัทที่นอนข้างๆ แต่สิ่งที่ขวัญเห็นคือ นัท ที่หน้าซีด และไม่มีแววตา ยืนฟ้อนรำอยู่ที่ปลายเตียง...

EP.113 : สายตาคู่นั้น


เจ้าของเรื่องนี้คือคุณกุ้ง

กุ้งเป็นคนทำงานกลางคืน ต้องกลับห้องดึกๆ เป็นประจำ

คืนหนึ่งกุ้งกลับมาที่ห้องตามปกติ ก็เปลี่ยนชุดเตรียมตัวอาบน้ำ นั่งล้างเครื่องสำอางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ สายตากุ้งเหลือบมองสะท้อนกระจกไปที่ช่องลมบนผนังด้านหลัง ก็เห็นมีสายตาคู่หนึ่ง กำลังแอบมองลอดมาจากห้องเช่าห้องข้างๆ เลยคิดในใจว่าเป็นพวกโรคจิตบ้ากามจะแอบดู แต่ก็ไม่อยากไปยุ่ง เลยทำเป็นไม่เห็น และระมัดระวังตัว ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ

พอกุ้งอาบน้ำเสร็จ ออกมาเป่าผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก็ยังคงเห็นสายตานั้นแอบมองลอดมาอยู่ แต่ด้วยความเหนื่อยล้า กุ้งเลยปิดไฟเข้านอนตามปกติ

จนเช้าวันรุ่งขึ้น...

กุ้งตื่นมาเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่สายตานั้นก็ยังคงมองมาอยู่ ทำให้กุ้งรู้สึกหงุดหงิดใจมาก จนต้องออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ แต่ก็เขาไม่ยอมเปิดประตู กุ้งจึงตัดสินใจไปเรียก รปภ. ของตึกมาจัดการ และใช้กุญแจสำรองเปิดห้องนั้นเข้าไป สิ่งที่พบคือ..

ชายวัยรุ่น ผูกคอตายใต้ช่องลม สภาพลิ้นจุกปาก ตัวซีดขาว และสายตาของเขานั้นอยู่ตรงกับช่องลมระหว่างห้องพอดี!

สายตาที่มองกุ้งเมื่อคืน คือสายตาของคนตาย!!!

EP.112 : หญิงท้องแก่ที่บันได


เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณภีม

สวัสดีค่ะเราชื่อภีม เป็นทอมนะคะ ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน เรากับแฟนทำงานกันที่โรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เลยตัดสินใจหาอพาร์ทเม้นท์อยู่ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน ก็ไปเจอที่นึง ด้วยความที่ค่าห้องถูก และสะอาด ก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่ พอเคลียร์ค่ามัดจำเสร็จสับ ก็ขนของเข้าอยู่เลย อพาร์ทเม้นท์ที่เราพักอยู่จะมีทั้งหมด 6 ชั้น เราได้ห้องอยู่ชั้น 5 ซึ่งเหลือว่างอยู่เพียงห้องเดียว

เราเข้าอยู่ได้ 1 อาทิตย์ ก็ไม่มีอะไร พออาทิตย์ที่ 2 ก่อนจะออกไปทำงาน ช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เรากับแฟนกำลังจะเดินลงบันได จู่ๆ ก็มีผู้หญิงท้องแก่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเเซงลงไป เราก็แปลกใจนิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน? ถ้าอยู่ห้องติดบันได ทำไมไม่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินลงบันไดมาจนถึงชั้น 2 ก็เห็นผู้หญิงท้องแก่คนเดิมนั่งร้องไห้อยู่ที่บันได เราจะเข้าไปถามก็กลัวจะถูกหาว่ายุ่ง เลยเดินผ่านเขาไป

พอผ่านไปอีกวันหนึ่ง ช่วงเวลาเดิมที่เรากับแฟนกำลังจะเดินลงบันไดเพื่อไปทำงาน เราก็เจอผู้หญิงท้องคนเดิมวิ่งแซงลงไป แล้วไปนั่งร้องไห้ที่บันไดชั้น 2 เหมือนเดิม เรากับแฟนเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ ประมาณ 4 วัน

จนเช้าวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด เราลงไปหาข้าวกินกับแฟนที่ร้านอาหารตามสั่งใต้อพาร์ทเม้นท์ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เจอให้ป้าร้านข้าวฟัง

ป้าร้านข้าวได้ฟังปุ๊บก็พูดว่า "อ้าว ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย?"

เราก็งง เลยถามกลับด้วยความอยากรู้ว่า "มีอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเหรอป้า?"

ป้าเลยเล่าให้ฟังว่า "ผู้หญิงท้องแก่คนนั้นพักอยู่ที่ชั้น 6 กับแฟน แล้วมีอยู่วันหนึ่ง เธอทะเลาะกับแฟนแรงมาก ทั้งด่าทอ และพังข้าวของ แฟนเธอทนไม่ไหวคว้ากุญแจรถได้ก็วิ่งออกจากห้องไป เพื่อจะขับหนีเธอไปข้างนอก ผู้หญิงจึงวิ่งตามแฟนไป แต่ด้วยความที่ท้องแก่ ก็เลยพลาดตกบันไดจากชั้น 3 ลงมาที่ชั้น 2 ตายคาที่ทั้งแม่และลูกในท้อง 

ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ทำให้คนที่เช่าอยู่เกิดกลัว และต่างย้ายออกไปกันแทบหมด จนเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ต้องนิมนต์พระมาสวด 9 วันติดเลยทีเดียว"

ป้ายังบอกอีกว่า "หลังจากนั้น 3 ปีก็ไม่มีไครเคยเจอผู้หญิงท้องแก่คนนั้นอีกเลยนะ คนก็กลับมาอยู่กันเต็ม ป้าคิดว่าเธอคงไปเกิดแล้ว จนพวกหนูได้เจอนี่แหละ!"

เรากับแฟนได้ยินแบบนั้น ถึงกับต้องรีบย้ายออกเลยค่ะ
ขืนอยู่ต่อคงจะเจอหนักกว่านี้แน่ๆ

EP.111 : ยายสีดา


เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณหาญ ใจสิงห์  คุณหาญเล่าว่า..

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมเมื่อปีที่แล้วนี่เอง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งผมไม่มีงานโอทีต้องไปทำ ผมเลยไปเยี่ยมเพื่อนสมัยเรียน ปวช. ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปถึงที่นั่น 8 โมงเช้า ก็นั่งคุยกับเพื่อนผม กับพ่อแม่ และญาติๆ ของมัน.. สักประมาณ 9 โมงเช้า ยายของเพื่อนผมก็ชวนไปวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน ผมก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว เลยตกลงไปกับครอบครัวของเพื่อนผม

ไปถึงวัดก็เดินไปกราบไหว้พระในโบสถ์ เนื่องจากครอบครัวของเพื่อนผมรู้จักกับพระอาจารย์ เลยสนทนาธรรมกันนาน ผมจึงขอตัวลงมาเดินเล่นข้างล่างโบสถ์ แล้วผมก็มองไปเห็นคุณยายคนหนึ่ง ผมสีดอกเลาทั้งหัว อายุน่าจะเกิน 90 ปีแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหิน สายตาของคุณยายแกเหม่อมองไปที่ประตูทางเข้าวัด และไม่รู้ผมคิดยังไง

ผมเดินตรงไปหาคุณยายพร้อมกับทักแกว่า ‘ยายครับ ผมนั่งคุยด้วยได้ไหมครับ?’ ยายแกก็ตอบมาว่า ‘ได้สิลูก ว่าแต่หนูเป็นใคร ทำไมยายไม่เคยเห็นเลยลูก?’ ผมตอบแกไปว่า ‘อ๋อ..ผมมาจากกรุงเทพฯ ครับยาย มาเยี่ยมเพื่อนที่นี่..’ ระหว่างที่คุณยายแกคุยกับผม สายตาของแกก็เอาแต่มองไปที่ประตูทางเข้าวัด ผมเลยถาม ‘ยายมองหาใครอยู่หรือเปล่าครับ?’ ยายบอกผมว่า ‘ยายมองหาลูกหลานจ้ะ ยายมาอยู่วัดนานแล้ว ลูกหลานไม่ค่อยมาเยี่ยมเลย..’ แกพูดไปแล้วก็น้ำตาคลอ 

ผมได้แต่คิดในใจว่าทำไมถึงใจร้ายจัง เอาคนแก่มาทิ้งไว้ที่วัดแบบนี้

จังหวะนั้น รถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ผ่านมาหน้าวัดพอดี ผมหันไปบอกท่าน ‘ยายรอผมอยู่นี้นะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้กิน’ คุณยายแกยิ้มให้ผม ก่อนที่ผมจะวิ่งออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวน้ำมาถุงนึง แล้วเอามาให้แก คุณยายแกยิ้มใหญ่ บอกว่า ‘ยายไม่ได้กินนานแล้ว ก๋วยเตี๋ยวน้ำเนี่ย ขอบใจมากนะ งั้นยายไปก่อนนะลูก..’ ผมเลยถามยายว่า ‘แล้วบ้านยายอยู่ไหนครับ?’ ยายบอกว่า ‘อยู่หลังโบสถ์นี่ล่ะลูก..’ แล้วผมก็ยกมือไหว้คุณยาย พอดีกับโทรศัพท์ผมสั่น แต่เปิดดูกลับเป็นข้อความทั่วไปเข้ามา แล้วตอนนั้นผมก็คิดได้ว่า ผมก็พอมีเงินติดกระเป๋าอยู่ 600 บาท เอาให้คุณยายแกซื้อข้าวกินสัก 300 ก็น่าจะดี แต่พอผมหันกลับไป คุณยายแกก็เดินหายไปซะแล้ว.. คิดว่าอายุแกก็มากขนาดนั้น ทำไมเดินไวจัง?

ผมเดินตามหาคุณยายไปตามข้างกำแพงโบสถ์ ที่เต็มไปด้วยโกศเก็บกระดูกคนตาย เดินไปจนสุดทางเดินกำแพงโบสถ์ ด้านนอกเป็นคลอง และป่ารกทึบ ซึ่งไม่น่าจะมีที่ให้อยู่อาศัยได้เลย ผมคิดในใจ ‘นี่กูโดนอีกแล้วเหรอวะ กลางวันแสกๆ เลยนะ..’ ผมเดินย้อนกลับมาด้วยความสงสัย 


พอกำลังจะพ้นกำแพง สายตาก็ไปสะดุดที่ตรงฐานโกศแรก สิ่งที่เห็นคือถุงก๋วยเตี๋ยวน้ำวางอยู่! ผมจำได้ว่าเป็นถุงที่ผมซื้อให้คุณยายเมื่อสักครู่ พอมองไปที่รูปบนโกศ ผมนี่ถึงกับขาอ่อนพับอยู่ตรงนั้นเลย มันคือรูปของคุณยายคนที่ผมนั่งคุยด้วยเมื่อกี้นี้ แกชื่อว่า “สีดา” นามสกุลอ่านไม่ชัด เพราะโดนลมฝนลบเลือนไปหมด

แต่อีกอย่างหนึ่งที่อ่านได้ก็คือ “ชาตะ พศ. ๒๔๓๘” ผมเลยรีบยกมือไหว้โกศคุณยาย คิดในใจว่า เอาเงิน 300 ที่จะให้ท่าน ไปทำสังฆทานให้ท่านแล้วกัน.. เรื่องมีเท่านี้ครับ อาจจะไม่น่ากลัวเท่าไร แต่น่าสงสารคุณยายแกมากกว่า แกคงเหงาคิดถึงลูกหลาน รอให้มาเยี่ยม ผ่านไปนานขนาดนี้ ก็ยังไม่ไปไหนเสียที.

EP.110 : พยาบาลกับเด็ก


เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณกุล คุณกุลเล่าว่า..

คืนวันที่เกิดเหตุเราอยู่ที่บ้านค่ะ เพราะมีกินเลี้ยงเล็กๆ กันระหว่างญาติพี่น้อง ขณะที่กำลังคุยไปกินไปนั้น พวกเด็กเล็กๆ ก็วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แตงกวา น้องผู้หญิงคนเล็กสุดก็ถือแก้วเดินไปเดินมา สักพักก็ไปหยิบเอาปากขวดที่แตกเป็นปากฉลามแหลมๆ ขึ้นมา แล้วถือเดินไปเดินมา พอแม่ของน้องแตงกวา (พี่สะใภ้เรา) เห็นก็กลัวอันตราย รีบวิ่งไปจะเอาเศษขวดออกจากมือลูก จังหวะเดียวกันกับน้องแตงกวาปล่อยมือจากเศษขวด ซึ่งมันกำลังจะหล่นจากมือพอดี แม่เลยเอามือไปรองรับ ก่อนที่มันจะตกลงทิ่มเท้าน้อง ปรากฏว่าขวดมันบาดมือแม่น้องแตงกวา เลือดออกเต็มมือ เป็นแผลยาวพอสมควร ไม่สามารถจะทำแผลกันเองได้ ก็เลยต้องไปโรงพยาบาลกันตอนกลางคืนนั้นเลย โดยเราก็ไปกับเค้าด้วย

พอถึงโรงพยาบาลเข้าแผนกฉุกเฉิน ทำแผลเย็บหลายเข็มมาก หมอดูแล้วบอกให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ กลัวว่าแผลจะอักเสบติดเชื้อ เพราะพี่สะใภ้มีไข้ขึ้น ..และเราเป็นผู้โชคดีที่ได้อยู่เฝ้าพี่สะใภ้ค่ะ! คืนแรกได้นอนห้องรวม เนื่องจากไม่มีห้องว่างเลย จนช่วงเย็นของอีกวัน เจ้าหน้าที่มาบอกว่าได้ห้องแล้ว ก็เลยได้ย้ายไปเข้าห้องเดี่ยว ลักษณะห้องคือเปิดประตูเข้าไปจะตรงกับประตูห้องน้ำพอดี มีทีวี ตู้เย็น ระเบียงจะอยู่ข้างหัวนอน.. เราจัดแจงเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็ขออาบน้ำก่อน พอค่ำๆ ญาติก็พาน้องแตงกวามาหาแม่ แต่พอตอนจะกลับนางงอแง ขออยู่ที่โรงพยาบาลด้วยด้วย ก็เลยปล่อยเลยตามเลย คืนนั้น เรากับน้องแตงกวาก็ปูผ้านอนกันข้างๆ เตียงพี่สะใภ้นั่นล่ะ.. ช่วงดึกๆ เรากำลังเคลิ้มๆ จะหลับ ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาเคาะห้องเพื่อขอวัดไข้ เค้าบอกพี่สะใภ้ว่า ‘ไม่มีไข้แล้ว พรุ่งนี้ได้กลับบ้านแน่นอน..’ แต่เรารู้สึกว่าพยาบาลเค้ามองน้องแตงกวาอยู่พักนึง ก่อนจะออกจากห้องไป

แล้วพอเราเตรียมตัวจะนอนอีกรอบ อยู่ๆ น้องแตงกวาก็ลุกขึ้นมาทำท่าเล่นจ๊ะเอ๋ เราก็คิดว่านางคงเล่นกับเรา เลยดุไปว่า ‘นอนๆ เดี๋ยวให้พยาบาลมาฉีดยานะ!’ ผ่านไปจนเราใกล้จะหลับละ พี่สะใภ้ก็เรียกเราอีก ว่าให้ดูน้องแตงกวาหน่อย เห็นน้องเดินเข้าห้องน้ำไป เราก็เลยลุกไปดู แอบได้ยินนางคุยกับใครก็ไม่รู้ในห้องน้ำ พอออกมาก็หันมาบอกเราว่า ‘พี่เค้าพาหนูมาฉี่แล้ว..’ เรานี่งงเลย!? ในใจก็เริ่มหลอนๆ ละ แล้วพอน้องออกมาน้องก็ไม่นอน เอาแต่เล่นจ๊ะเอ๋ พอถามว่าเล่นอะไรอยู่คนเดียว ทำไมไม่นอน? น้องแตงกวากลับบอกว่า ‘เล่นกับพี่เค้า..’ ถึงตรงนี้เรานี่ขนลุกขึ้นมาเลยค่ะ ตอนนั้นเลยต้องพูดออกไปลอยๆ ว่า ‘แค่มารักษาตัวนะ ไม่ได้มาแย่งที่ทางอะไร พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว..’ จากนั้นน้องก็นอน เราก็หลับ ส่วนพี่สะใภ้หลับยาว คงเพราะฤทธิ์ยาด้วยละมั้ง

แล้วเราก็ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เห็นพี่สะใภ้ลงจากเตียงมานั่งกอดน้องแตงกวา และร้อง ‘กรี๊ดๆๆ’ เสียงดังลั่นตึกเลย เราตกใจมากว่าพี่สะใภ้เป็นอะไร? พยาบาลแตกตื่นวิ่งเข้ามา มือพี่สะใภ้เลือดเต็มไปหมดเลย แผลที่เย็บเหมือนมันฉีกขาด พยาบาลจะทำแผล และห้ามเลือดให้ แต่พี่สะใภ้ไม่ยอมปล่อยน้องเลย กอดไว้อยู่ตลอด เราต้องไปแกะไปแยกเอาน้องออกมา พอน้องมาอยู่กับเรา พี่สะใภ้ก็ยังบอกอีกว่าอย่าปล่อยตัวน้องนะ กอดเอาไว้ แล้วให้เราโทรหาสามีของแกให้มาที จะย้ายโรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นน้องแตงกวาตายแน่ๆ เราก็ตกใจว่ามันเรื่องอะไร แต่ก็โทรหาสามีแกให้ (พี่ชายลูกพี่ลูกน้องเรา) ประมาณ 40 นาที สามีพี่สะใภ้เราถึงจะมาถึง แต่ก็ยังย้ายออกทันทีไม่ได้ ต้องรอหมอเจ้าของไข้ก่อน พี่สะใภ้ไม่ขอเข้าไปรอที่ห้องนั้นอีก ต้องออกมารอตรงแถวเคาน์เตอร์พยาบาลแทน

ระหว่างที่รอหมอ พี่สะใภ้ถึงยอมเล่าให้เราฟังว่า ‘ตอนกุลหลับ พี่ได้ยินเสียงแตงกวามันหัวเราะ ก็เลยลืมตามาดู เห็นแตงกวานอนอยู่บนโซฟา แต่นอนบนตักผู้หญิงคนหนึ่ง ผมซอยสั้น มีแผลเป็นยาวใหญ่บนใบหน้า ดูยังไงก็ไม่ใช่คนแน่ๆ แล้วกุลนอนอยู่ที่พื้นข้างโซฟา ข้างเท้าของผู้หญิงคนนั้นเลย พี่เรียกกุลยังไงกุลก็ไม่ตื่น เรียกแตงกวาก็ไม่สนใจ เอาแต่นอนหัวเราะ พอพี่เรียกบ่อยๆ เข้า ผู้หญิงคนนั้นก็หันมามองหน้า พี่นี่แทบช็อค หน้าซีกที่หันมายุบหายไปทั้งแถบเลย พร้อมกับแสยะยิ้ม แล้วมีเสียงพูดออกมาโดยที่พี่ไม่เห็นว่าเขาขยับปากเลยแม้แต่น้อย เขาบอกว่า ‘เด็กคนนี้น่ารัก ขอเอาไปเลี้ยงนะ..’ แล้วเห็นผู้หญิงคนนั้นก็เอาผ้าเหมือนจะเป็นผ้าของโรงพยาบาลจะมารัดคอแตงกวา พี่เลยกระโดดจากเตียงจะไปดึง แต่คว้าเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงตัวแตงกวาสักที คว้าโดนแต่เสาน้ำเกลือ จนพี่เห็นแตงกวาเริ่มจะดิ้นๆ พี่เลยนึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย นึกบทสวดอันไหนได้พี่ท่องหมด แต่ก็ไม่ไป

จนท้ายสุดพี่โมโหเลยบอกไปว่า ถ้าไม่ปล่อยลูกกูจะแช่งให้มึงทุกข์ทรมานมากกว่าที่เป็นอยู่ร้อยเท่าพันเท่า จะแช่งให้ตกนรกขุมที่ลึกและทรมานที่สุด พอพี่พูดจบก็คว้าตัวแตงกวามากอดไว้ได้ แล้วก็ร้องกรี๊ดอย่างที่กุลเห็นนั่นล่ะ..’ พอหันมาถามแตงกวา แตงกวาบอก ‘พี่คนนั้นใจดี เล่นกับหนู เล่านิทานให้ฟัง และเอาสร้อยดอกไม้สวยๆ มาใส่คอให้หนูด้วย แต่กลิ่นมันแรงมาก แล้วก็แน่นจนเกือบหายใจไม่ออก..’

พี่ๆ ผู้ช่วยพยาบาลที่นั่งฟังอยู่ถึงกับหน้าเสียเลย แถมยังบอกว่า.. ‘คนที่พี่สะใภ้เราเจอน่ะ น่าจะเป็นหัวหน้าผู้ช่วยคนเก่า แกขึ้นไปตากผ้าช่วงที่มารับเวรบนดาดฟ้าชั้น 7 ของตึก แล้วไปเจอเด็กเล็กลูกแม่บ้านที่ขึ้นมากับแม่ กำลังจะไปเก็บของเล่นข้างนอกระเบียงดาดฟ้า แกเลยอาสาปีนออกไปเก็บให้ แต่เกิดพลัดตกลงมา หน้ากระแทกลูกกรงชั้น 5 4 และ 3 จนร่างมาค้างอยู่กับเหล็กแหลมลูกกรงระเบียงชั้น 2 ห้องที่พี่สะใภ้เรานอนนั่นล่ะ.. คนป่วยทั่วไปถ้าไม่มีเด็ก ก็ไม่เคยเจออะไร แต่ถ้ามีเด็กมาอยู่ด้วย ก็มักจะเจอแบบนี้ทุกราย และที่ให้พี่สะใภ้เราอยู่ก็เพราะเห็นว่าตอนแรกไม่มีเด็ก เลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร..’ เราได้ฟังนี่หลอนเลยค่ะ ไม่กล้าเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือทำอะไรเลย รอจนพี่สะใภ้ย้ายโรงพยาบาลเลยค่ะ

EP.109 : เรื่องสยองที่ชั้น 9


เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณกุล คุณกุลเล่าว่า..

ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปี ก่อนเราจะมารับราชการ เราทำงานกับเอกชนมาก่อนค่ะ ทำที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ นี่ล่ะ ในตำแหน่งพนักงานบัญชี ซึ่งออฟฟิศของแผนกบัญชีจะอยู่ติดกับลานจอดรถชั้น 3 ของโรงแรม ส่วนลานจอดรถชั้น 2 จะเป็นทางเชื่อมเข้าสู่ตัวโรงแรม เราทำงานที่นี่ไปตามปกติ 

วันหนึ่ง เรา กับน้องในแผนกได้เดินลงมาชั้น 2 เพื่อจะไปทานข้าวที่แคนทีนของพนักงาน ระหว่างเดินอยู่ น้องก็บอก ‘พี่ๆ หนูว่าหนูได้กลิ่นเหม็นๆ อะไรก็ไม่รู้..’ ซึ่งเราก็ได้กลิ่นนะ แต่ก็บอกน้องไปว่า ‘สงสัยหนูตายมั้ง เดี๋ยวค่อยแจ้งแม่บ้านแล้วกัน’ แล้วก็ไปทานข้าวกันตามปกติ พอทานข้าวเสร็จเดินกลับมาทางเดิม ไปเจอพี่คนขับรถของเจ้านาย พี่คนขับรถก็บอกเหมือนกันว่า ‘เหม็นเน่ามากเลยตรงนี้ กลิ่นมาจากไหน?’ พี่เขาพยายามเดินตามหากลิ่นนั้น แต่ก็ไม่เจออะไร จนตอนเย็นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

พอวันรุ่งขึ้นมาทำงานตามปกติ โหยยย..กลิ่นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว เหม็นมาก กลิ่นทะลุมาถึงชั้น 3 แผนกบัญชีเลยทีเดียว เจ้านายเองลงรถมาก็ได้กลิ่น คราวนี้ต้องเรียก รปภ. ของโรงแรมหลายคนมาช่วยกันหาเลย ผ่านไปสักพัก เริ่มรู้ว่ากลิ่นมันรุนแรงตรงด้านบนบริเวณระเบียงลานจอดรถชั้น 2 นั่นล่ะ เลยให้แผนกช่างปีนขึ้นไปดู ลักษณะระเบียงลานจอดรถมันไม่ได้กว้างนะ เหมือนกระดานครึ่งแผ่น แค่เอาไว้พอให้ช่างเดินได้เท่านั้นเอง และอาคารที่จอดจะติดอยู่กับบ้านร้าง ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย เก่า สกปรก.. ช่างก็ปีนขึ้นไปสำรวจ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าช่าง เมื่อมองทะลุกระจกที่ฝุ่นเกาะเต็ม พอเห็นได้ลางๆ มันคือศพ! ศพที่ขึ้นอืดเต็มที่ หนอนไชยั้วเยี้ยะ ช่างถึงกับร้องเสียงหลงเลยค่ะ

จากนั้นก็แจ้งตำรวจ และมูลนิธิ ให้มาเก็บไปตามระเบียบ แต่กลิ่นมันยังไม่ค่อยหายเท่าไร แค่ดีขึ้นหน่อย สรุปสาเหตุที่ตายเนื่องจากตกตึก ผู้ตายเป็นคนในพื้นที่ ที่ขึ้นไปยังลานจอดรถชั้น 10 ของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องสนุ๊กเกอร์ และมีเครื่องดื่มต่างๆ ผู้ตายเป็นโรคซึมเศร้า แต่จะชอบเล่นพนันสนุ๊กเกอร์ วันนั้นเล่นจนเกือบตี 2 แล้วเสียหมดตัว คงเกิดอาการเครียด เลยเดินลงมาสูบบุหรี่ที่ระเบียงลานจอดรถชั้น 9 แล้วคงคิดสั้นกระโดดลงไป ฝั่งที่ผู้ตายกระโดดลงไปจะอยู่ด้านหลังติดกับบ้านร้าง เลยไม่มีใครสังเกตเห็น มีเพียงก้นบุหรี่ กับรองเท้าของผู้ตายที่กองไว้อยู่ชั้น 9

1 เดือนผ่านไป จนเกือบจะลืมเหตุการณ์นั้น วันนั้นออดิตฯ เข้ามาตรวจสอบบัญชี เรา และพนักงานคนอื่นๆ ก็เลยต้องทำงานล่วงเวลาจนดึก เรียกว่าโต้รุ่งก็ได้ ประมาณเกือบ 4 ทุ่ม มีพี่คนหนึ่งเขาท้องอ่อนๆ ทำล่วงเวลาไปได้หน่อยเดียวก็ขอกลับก่อน พี่เขาออกไปได้สัก 10 นาที ก็วิ่งหน้าตาตื่น น้ำตาคลอ กลับเข้ามาที่ออฟฟิศ เราเลยถามว่าเป็นอะไร? เขาก็ไม่ตอบ ได้แต่วุ่นวายโทรให้แฟนมารับ แล้วก็ไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งร้องไห้ รอแฟนมารับกลับไป.. พวกเรายังแปลกใจว่าพี่เขาเป็นอะไร? 

จนเวลาผ่านไปถึงตี 1 เรา กับน้อง ต้องขึ้นไปเอาบิลเก่าจากแคชเชียร์ที่ห้องสนุ๊กเกอร์ แน่นอนค่ะ มันอยู่ชั้น 10 ..แล้วเรื่องนั้นมันก็ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ สรุปขึ้นไป 3 คนเลย ชวนพี่อีกคนไปด้วย จากลิฟท์ชั้น 3 ขึ้นไปชั้น 10 รู้สึกเหมือนเวลามันช่างยาวนาน พอลิฟท์เปิดนี่แทบจะกระโดดออกเลย กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องสนุ๊กเกอร์ทันที พอไปถึง แคชเชียร์ก็หาคูปองเอกสารให้เรา แต่มันยังไม่ครบ ก็ต้องเอาเท่าที่ได้มาก่อน เพราะฉะนั้นมี 1 คนที่ต้องรอ ส่วนอีก 2 คนขนเอกสารลงไปก่อน พี่ที่มาด้วยอาสารอ ให้เรากับน้องลงไปก่อน เรายืนกดลิฟท์ที่ชั้น 10 เพื่อลง พอลิฟท์มา เรากับน้องก็เข้าไป บอกตรงๆ ว่ากลัวมาก กลัวแบบสั่นจริงจัง พอลิฟท์ปิด ลิฟท์เจ้ากรรมก็ดันมาเปิดที่ชั้น 9!! น้องนี่หน้าเสียเลยค่ะ พยายามกดปิดรัวๆ แต่มันก็ไม่ปิดให้ เหมือนค้างอยู่ที่ชั้น 9 เราเลยบอกน้อง ‘วิ่งลงไหม?’ น้องก็โอเค พอเดินออกมาจากลิฟท์ ลิฟท์แม่งปิดทันที แล้วก็ลงไปซะงั้น.. หลอนสิคะ

เรากับน้องรีบจ้ำไปที่บันไดหนีไฟ เพื่อจะเดินลงไปชั้น 3 มือก็ถือลังเอกสาร ช่วงเดินลง อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนไอกระแอมขึ้นมา ‘อะฮึ่ม..’ น้องรีบบอกว่า ‘อย่าหันนะพี่ อย่าหัน!’ ตอนนั้นเราสองคนน้ำตาไหลพรากๆ เลย ขานี่แทบก้าวไม่ออก มันสั่นไปหมดทั้งตัว แล้วเสียงไอเหมือนมันค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนมาอยู่ชิดข้างหลังเรานี่เอง!! เราไม่กล้าหันไปมองเลย บอกน้อง ‘ทิ้งงานไว้ตรงนี้ก่อน แล้ววิ่งไหม?’ แต่น้องบอก ‘พี่ เราสัพเพสัพตาให้เขาดีไหม?’ แล้วเรากับน้องเลยยืนท่อง สัพเพสัพตา ไปเรื่อย จนเสียงไอหยุดไป เราเริ่มโล่งใจขึ้นหน่อย แต่แล้วชั่วอึดใจเดียว เราก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า ‘กูไม่อยากได้บุญ กูอยากได้ของกิน..’ เรากับน้องหันไปตามเสียง เจอเต็มๆ เลยค่ะ! สภาพเหมือนตอนที่เขาโดนเก็บศพไปยังงั้นเลย ขึ้นอืดเต็มที่ เท่านั้นล่ะ เราสองคนช็อคหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย..

มาตื่นอีกทีตอนตี 4 ผู้จัดการบอกเรากับน้องหายไปนาน จนพี่คนที่รออยู่คนเดียวไม่กล้าลงมา พี่เขาเลยแจ้ง รปภ. เล่นเอาต้องยกโขยงกันมาตามหา แล้วมาเจอพวกเราที่บันไดหนีไฟชั้น 9 เราเล่าให้ผู้จัดการฟัง พร้อมกับเพื่อนๆ ในออฟฟิศ ถึงกับกลัวกันทุกคนเลย แถมผู้จัดการยังเล่าอีกว่า ‘พี่คนที่ท้องที่กลับไปก่อน เขาก็กดลิฟท์จะลง แต่พอเข้าลิฟท์ไปปรากฏว่าลิฟท์พาขึ้นไปที่ชั้น 9 แล้วเปิดออก ได้ยินเสียงคนพูดว่า หิว หิว หิวจัง.. แล้วก็ไอๆ พี่เขากดปิดลิฟท์รัวๆ ลงมาที่ชั้น 3 และวิ่งกลับเข้ามาในแผนก

ตอนนั้นพี่เขายังไม่กล้าเล่าเพราะยังกลัวมาก นี่แฟนมารับไปนานละ’ ..พอตอนเช้า หลังจากการตรวจบัญชีจากออดิตฯ เสร็จเรียบร้อย เจ้านายเลยให้ร่วมกันทำบุญทำทานไปให้เขาคนนั้น หลังจากนั้นมา เคยมีคนเจออีกไหมเราไม่รู้แล้ว เพราะเราลาออกจากที่นั่นทันทีเลยค่ะ..

EP.108 : คืนหลอนในหมู่บ้าน


เรื่องนี้ส่งมาจากคุณตั๊ก คุณตั๊กเล่าว่า..

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สมัยเรายังเรียนชั้นประถมค่ะ ถึงจะผ่านมานาน แต่ยังจำได้แม่น และฝังใจมาจนทุกวันนี้.. 

บ้านเราอยู่จังหวัดมุกดาหาร สมัยนั้นบ้านชาวอีสานส่วนมากจะเป็นบ้านแบบมีใต้ถุนโล่ง มีแคร่ไว้นั่งพักผ่อนพูดคุยกันตามประสาญาติพี่น้อง หมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีประมาณ 50 หลังคาเรือน บ้านที่เป็นญาติกันก็จะสร้างติดกัน มีรั้วไม้ไผ่เป็นเส้นแบ่งอาณาเขตเท่านั้น ตกเย็นหลังทานข้าวกันเสร็จ ก็จะมารวมตัวกันที่บ้านญาติข้างๆ กัน เพื่อพูดคุยสนทนาเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละวัน มีหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงคนแก่ค่ะ ใครบ้านไกลก็ปั่นจักรยานมา มีฐานะหน่อยก็ขี่มอเตอร์ไซค์

มีวันหนึ่ง ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับหนึ่งในญาติผู้ใหญ่ของเรา ซึ่งอายุค่อนข้างมากแล้ว เราเรียกแกว่า พ่อใหญ่ ซึ่งทางภาคอีสานหมายถึงคุณตานั่นเอง แกประสบอุบัติเหตุขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปถูกรถยนต์ชน ทำให้แกเสียชีวิตคาที่ทันที 

ญาติๆ ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะแกเป็นคนใจดี และชอบมานั่งพูดคุยกับพวกเราเป็นประจำ.. และเช่นเคยค่ะ วันนั้น พวกเราก็รวมตัวที่บ้านญาติกันเหมือนปกติ เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่วันนั้นใช้เวลาน้อยกว่าปกติ เพราะญาติๆ ต้องไปช่วยงานศพพ่อใหญ่ และวันนั้นพ่อเราก็ไม่สบายมากด้วย เป็นไข้หวัดใหญ่ นอนซมไม่รู้สึกตัว ไข้ขึ้นสูง ทำให้ยาย ย่า น้า อา ต้องมานอนรวมตัวกันที่บ้านเรา ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องมากันเยอะ จนมารู้ทีหลังจากย่าว่า ‘พ่อหนูจะจิตอ่อนช่วงนี้ แถมยังมีคนตายโหงในหมู่บ้านอีก เขาอาจจะมาเรียกพ่อไปอยู่ด้วยง่ายๆ ก็เป็นได้..’

ตกเย็นวันนั้น ซึ่งเป็นวันแรกที่พ่อใหญ่เสียชีวิต บรรยากาศทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด วังเวง ไม่มีใครออกมานั่งเล่นเหมือนเคย หมาก็ต่างเห่าหอนเป็นระยะๆ สังเกตเห็นเพียงแม่ และญาติๆ นั่งคุยกันหน้าตาเคร่งเครียด และเป็นกังวลเรื่องพ่อเรา กับพ่อใหญ่ที่เสียชีวิตไป เราแอบไปฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เราไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะมัวแต่เล่นกับพี่ๆ น้องๆ ตามประสาเด็ก

จนกระทั่งถึงเวลานอน จำได้ว่าตอนนั้นน่าจะประมาณ 4 ทุ่มได้ ตามบ้านนอกถือว่าดึกมากแล้ว ญาติๆ ทุกคนนอนรวมกันที่โถงบ้านเรา พ่อเรานอนกลางวงล้อมของญาติๆ ส่วนตัวเรานอนข้างยาย.. นอนไปได้สักพักเราก็เกิดปวดฉี่ขึ้นมา จะไปเองก็กลัว เพราะห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง จึงปลุกยายให้พาไปฉี่ ยายก็งัวเงียตื่นพาเราไปฉี่ แต่ตอนนั้นคือปวดมากละ ทนไปฉี่ที่ห้องน้ำไม่ไหว เลยขอยายนั่งฉี่ข้างบันไดใต้ถุนบ้านแล้วกัน ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ให้เราขยับไปอีกหน่อย ไปตรงใกล้รั้ว พอเราได้ที่ก็จัดการนั่งเลย ยายก็นั่งหลับรอที่บันได แล้ววันนั้นเป็นอะไรไม่รู้ ดันฉี่เยอะกว่าปกติ นานเลย แถมบรรยากาศก็เงียบสงัด เย็นยะเยือก สักพักสายตามันเหลือบไปเห็นคนยืนอยู่ที่ใต้ถุนบ้านญาติฝั่งติดกัน ระยะห่างประมาณ 5 เมตรได้ มองเห็นชัดเจนมาก เพราะบ้านเราเปิดไฟใต้ถุนไว้ แถมรั้วก็เป็นรั้วโปร่ง มีไม้ไผ่แค่ 2 ท่อนพาด เราจ้องอยู่สักพัก นึกในใจว่าเป็นน้าชาย แต่เฮ้ย! ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่น้า ไม่ใช่ใครทั้งนั้น แต่คือพ่อใหญ่ที่ตายไปแล้วนี่หว่า!!!

ลักษณะที่เห็นในตอนนั้นคือ แกใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ เป็นชุดที่แกชอบใส่ และเป็นชุดที่แกใส่ในวันตาย ชิบหายละ! ฉี่ก็ยังไม่สุด ตาก็จ้องมองไปที่พ่อใหญ่ ชัดเลย ใช่แน่ๆ แถมแกยังใกล้เข้ามาด้วย ..แต่ทำไมขาลอยวะ!? คือจากส่วนหัวเข่าลงไปเรามองไม่เห็นเลย ว่างเปล่า และส่วนใบหน้านั้นกลับไม่มีตา จมูก ปาก มันเกลี้ยงมันโล้นเลย กลางหน้าอกมีคราบเลือดเปื้อนเสื้อเต็มไปหมด..

เราแบบ เฮ้ย..นี่คืออะไร? จากที่เห็นแกยืนที่บันได ก็มาใกล้รั้วขึ้น สักพักไปตรงโอ่งน้ำ ไม่ได้เดินนะ แต่ทำไมขยับได้ ตอนนั้นไม่ได้กลัวนะ แต่งงกับสิ่งที่เห็นมาก เรานั่งมองอยู่สักพักเพื่อทบทวนตัวเองว่าเห็นจริงๆ ใช่ไหม? เลยหันไปหายาย กะว่าจะเรียกยายเพราะกลัวยายยังหลับอยู่ แต่ทันทีที่เราเห็นหน้ายาย คือหน้ายายนิ่ง ตาเบิกโพลง จ้องไปในทางเดียวกัน เรารู้ทันทีเลยว่ายายก็เห็นเหมือนกัน! ยายเหลือบมามองเรานิดนึงแล้วถามว่า ‘เยี่ยวแล้วล่ะเบาะ ไวๆ ลูก!’

เรายังไม่ทันตอบยาย หันหน้ากลับมาทางเดิม กะว่าคงไม่เห็นแล้ว ‘เชี่ยยยยยย!!!’ ติดเลย มายืนติดรั้วเลย ห่างกับเราแค่เอื้อมมือได้!!! แต่คราวนี้กลับกลายเป็นเงามัวๆ ที่เห็นแค่ส่วนบน เรารีบใส่กางเกงทันที ในใจอยากวิ่งมาก แต่ขามันก้าวขาไม่ออก ระยะทางที่เดินไปหายายเหมือนมันไกลจริงๆ ยายจับมือเราแล้วพูดกับเราว่า ‘อย่าฟ้าวเว้าหยัง ไปนอน!’ เราพยักหน้ารับ มือยายนี่เย็นเฉียบ เสียงหมาหอนก็มาไม่หยุด คืนนั้นยายนอนกอดเราแน่น จนเราเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้..

ตื่นเช้ามาเห็นญาติๆ นั่งจับกลุ่มคุยกันว่า สิ่งที่ยายกับเราเห็นเมื่อคืน แกคงมาหาพ่อเรา อาจจะเพราะเป็นห่วงพ่อ หรือเป็นช่วงจิตพ่ออ่อนก็ไม่รู้ แกเลยมาหาคนไปอยู่ด้วย ผ่านมา 20 ปีแล้ว จนทุกวันนี้ภาพนั้นยังติดตาเราอยู่เลย และคงไม่มีวันลืมเหตุการณ์วันนั้นได้แน่นอน เคยไปถามคนแก่คนเฒ่ามา ว่าทำไมเราถึงมองไม่เห็นหน้าคนตาย? คำตอบที่ได้คือ ‘เพราะเขากลัวว่าเราจะจำหน้าได้ และกลัวเราสาปแช่งเขา.

EP.107 : เสน่ห์ยาแฝด


เรื่องนี้เป็นเรื่องจากคุณหาญ ใจสิงห์ เล่าว่า..

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมที่ชื่อว่า เบียร์ ย้อนกลับไปเมื่อปี พศ.2541 ตอนเรียนอยู่ ปวช. ปี 2 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เวลาเลิกเรียน ก่อนกลับบ้านผมกับเพื่อนๆ ก็จะพากันไปนั่งกินข้าวที่ตลาดเป็นประจำ ในกลุ่มพวกผมจะมีแฟนของแต่ละคนมานั่งกินข้าวด้วย (แต่ผมไม่มีนะครับ) รวมทั้งแฟนของเบียร์ที่สวยมาก เป็นระดับดาวอาชีวะเลย แล้วในกลุ่มเพื่อนของแฟนเบียร์ จะมีน้องผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ผิวสองสี เรียนอาชีวะเหมือนกัน นั่งโต๊ะในสุดมองเบียร์ด้วยสายตาเสน่หามาก 

ด้วยความที่เบียร์เป็นคนปากไว เจ้าชู้ เลยแซวไปเรื่อย รวมถึงน้องคนนี้ก็เช่นกัน พวกผมมองตามเห็นน้องคนนี้ยิ้มดูมีความสุขมากที่ถูกเบียร์แซว.. จนวันหนึ่ง แฟนเบียร์ไม่สบาย แต่พวกผมก็ไปกินข้าวร้านเดิม แน่นอนว่าน้องคนนั้นก็มารอเบียร์อยู่ น้องเดินตรงมานั่งตรงข้ามกับเบียร์ ซึ่งมีผม และไอ้พันนั่งอยู่ด้วย น้องพูดกับเบียร์ว่า ‘พี่คะ หนูชอบพี่มาก หนูรักพี่ พี่เลิกกับแฟนพี่แล้วมาอยู่กับหนูได้ไหม?’ เบียร์ตอบกลับไปว่า ‘พี่มีแฟนแล้วน้องก็รู้ สวยกว่าน้องอีก ไปหาคนอื่นเถอะนะ..’ น้องหน้าเสีย มองหน้าเบียร์เหมือนจะร้องไห้ก่อนจะลุกเดินจากไป

ผ่านไป 2-3 วัน น้องคนนั้นไม่มากินข้าวที่ร้านเลยครับ พวกผมก็บ่นเบียร์มันว่าพูดแรงไป จนตอนจะไปขึ้นรถกลับบ้าน น้องคนนั้นก็มารอเบียร์ที่รถ บอกว่า ‘พี่ไม่ชอบหนูไม่เป็นไร หนูคงจะกลับบ้านที่สุรินทร์ อาจจะย้ายที่เรียนด้วย..’ แล้วน้องก็จับมือเบียร์ พร้อมกับยื่นน้ำเปล่าให้เบียร์ เบียร์มันก็เปิดดื่มทันที แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน.. หลังจากเหตุการณ์นั้น เบียร์มันก็เปลี่ยนไปเลยครับ ตอนอยู่ที่โรงเรียน ก็บ่นหาแต่น้องคนนั้น บอกอยากจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับน้องเขา ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือมันบอกเลิกกับแฟนมันดื้อๆ แล้วกลับบ้านไปทะเลาะกับพ่อแม่ เก็บข้าวของไปอยู่บ้านน้องคนนั้น พวกผมห้ามก็ไม่ฟัง จนเกือบวางมวยกับไอ้พันด้วยซ้ำ

ผมกับเพื่อนๆ เฝ้าคอยดูพฤติกรรมเบียร์ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ หน้าตาดำคล้ำ ปากซีด ผอมซูบลงเหมือนศพ เคยตามไปดูที่บ้านของน้องคนนั้น ก็เห็นมันอยู่กับน้องเขา กอดจูบน้องตลอดเวลา ทีนี้มาเริ่มคิดว่าไอ้เบียร์มันต้องโดนของแน่ๆ และของคงแรงมากด้วย เพราะผมเคยแอบเอาสร้อยพระไปใส่คอมัน ก็ยังไม่หาย..

ผ่านไป 2 สัปดาห์ ที่โรงเรียนมีจัดไปเข้าค่ายลูกเสือที่แปลงยาว เบียร์มันก็ไม่อยากไป อยากอยู่กับน้องคนนั้น แต่ทางอาจารย์บังคับเลยจำใจไป.. วันเข้าค่ายต้องเข้าซุ้มต่างๆ ซึ่งอาจารย์จัดไว้ตามภูเขา ระหว่างที่พวกผมเดินไปบนเขา สายตาผมกับพันก็ไปเจอกลดพระธุดงค์ เหมือนนัดกัน ผมกับพันเดินไปนั่งคุกเข่ากราบหน้ากลด มีหลวงพ่อรูปหนึ่งเดินออกมา ท่านยิ้มแล้วบอกว่า ‘เพื่อนโยมคนนั้นกำลังอยู่ในอันตราย คืนนี้พาเขามาหาอาตมา จะทำพิธีถอนให้..’ ท่านพูดแต่สายตามองผ่านหลังพวกผมไป พอหันไปดู ก็เห็นเบียร์มันกำลังเดินผ่านไป..

เวลาผ่านไปจนถึงเวลา 3 ทุ่ม พวกผมออกอุบายชวนเบียร์มันไปเดินเล่นบนเขาแก้เบื่อ เดินไปจะถึงกลดหลวงพ่อแล้ว เบียร์มันก็สะดุ้งแล้วกำลังจะหันหลังวิ่ง พันรีบกอดตัวมันไว้ ส่วนผมเอาสายสิญจน์ที่หลวงพ่อให้มามัดมือมัดตัวเบียร์ ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้หญิงออกจากปากเบียร์ ผมกับพันอุ้มมันมาวางลงหน้ากลดหลวงพ่อด้วยความกลัว หลวงพ่อท่านจุดเทียน 1 เล่มส่องให้เห็นหน้าเบียร์ที่ตาเหลือก น้ำลายไหลออกปากตลอดเวลา และที่น่าขนลุกคือเหมือนมีลูกอะไรปูดนูนวิ่งไปมาทั่วร่างกายเบียร์

หลวงพ่อบอกเป็นผีตายโหงที่อยู่ในร่างมันจะวิ่งหนีออกไป แล้วท่านก็สวดคาถาบทหนึ่งให้ผีตายโหงนั้นมาคุยกับท่าน จึงได้รู้ว่าน้องผู้หญิงคนนั้นทำคุณไสยใส่เบียร์ โดยใส่ลงในน้ำวันนั้นที่มันกิน ซึ่งน้องต้องไปเสพสมกับหมอผี เขาถึงจะทำให้ ส่วนที่หน้าบ้านน้องเขา หมอผีคนนั้นก็เอาดิน 7 ป่าช้ามัดใส่บาตรแตกฝังไว้ ที่เลวร้ายที่สุด น้องเขาเอากางเกงในเปื้อนประจำเดือนไว้ใต้หมอนที่เบียร์นอน ส่วนข้าวที่ทำให้เบียร์กิน ก็เอาผ้าอนามัยเปื้อนเลือดมาเผาไหม้เกรียม แล้วป่นคลุกใส่จาน น้ำก็เป็นน้ำที่ล้าง ‘น้องสาว’ ตัวเอง

พวกผมทั้งกลัวทั้งสงสารเพื่อนจนน้ำตาซึม จากนั้นท่านเอาสายสิญจน์มาปั้นให้เหมือนลูกกลอน แล้วยัดใส่ปากเบียร์ ไม่ถึง 5 นาที มันอ้วกออกมามีแต่น้ำคร่ำดำๆ เหม็นมาก และยังมีเส้นผมอีกกระจุกใหญ่ออกมาด้วย แล้วท่านก็ให้พวกผมเอาน้ำมนต์อาบให้มัน ท่านยิ้มแล้วบอกให้พากลับได้ หายแล้ว..

พอเช้ามา เบียร์ก็กลับเป็นคนเดิมอีกครั้ง เข้าค่ายกลับมาได้ยินข่าวว่าน้องคนที่ทำของใส่ กลายเป็นคนเสียสติ เดินแก้ผ้าออกจากบ้านไปถึงปากซอยเลย ส่วนพวกผมลองไปขุดหน้าบ้านน้องดู ก็เจอรูปปั้นดินกับบาตรแตกจริงๆ ผ่านเรื่องนี้ไปพอถึงช่วงปิดเทอม เบียร์ก็ไปบวชให้พระธุดงค์รูปนั้น เรื่องก็มีเท่านี้ครับ.

EP.106 : คู่ผัวเมียตายโหง


เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณชัย (นามสมมติ) ครับ คุณชัยเล่าว่า.. ผมเป็นคนลาวโดยกำเนิด บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามชายแดนไทย-ลาว ตรงอำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านผมเองครับ ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน บ้านผมเป็นหมู่บ้านชนบท ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาใช้ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางป่า ชาวบ้านเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ไถนา เก็บผัก ล่าสัตว์ เรียกว่าหาเช้ากินค่ำครับ.. 

ในหมู่บ้านมีผัวเมียคู่หนึ่ง ผัวชื่อ น้อย เมียชื่อ เพา มีลูกด้วยกัน 2 คน อยู่กินกันมาหลายปี ไม่เคยมีผิดใจจนต้องทะเลาะกันร้ายแรง จะมีก็เล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยลงไม้ลงมือ แต่แล้ววันหนึ่ง มีหมอดูมาทักพี่น้อยว่าแกจะมีเคราะห์ในเร็ววันนี้ ร้ายแรงถึงชีวิต และไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ คำพูดของหมอดูทำให้พี่น้อยคิดหนัก ถึงกับไม่เป็นอันทำอะไร ด้วยเพราะรักเมียมาก กลัวว่าถ้าตายไปแล้วเมียจะมีสามีใหม่

แล้ววันเกิดเหตุก็มาถึง วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว พี่เพาเกี่ยวข้าวอยู่กลางนา ส่วนพี่น้อยลับมีดพล้าอยู่เถียงนา ลับเสร็จแกก็ถือมีดไปหาเมีย เดินเข้าไปข้างหลัง แล้วฟันลงไปที่กลางหัว!! พี่เพาล้มลงทันที แกฟันซ้ำไปที่คออีกหนึ่งแผล คอแทบขาด เลือดไหลนองเต็มไปหมด จากนั้นก็เดินกลับมาที่เถียงนา มานอนกอดปืนยาว แล้วเอาปากอมปลายปืน ใช้นิ้วเท้าเหนี่ยวไกยิงตัวตายตามเมียที่รักไป ลูกๆ ที่ก็ยังเล็กไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็ร้องไห้กอดศพแม่ ชาวบ้านมาพบเห็นเป็นภาพที่ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน..

จากนั้นชาวบ้านก็พากันนำศพคู่ผัวเมียไปฝัง ซึ่งคนตายโหงเขาจะฝังดิน 3 ปีก่อน จึงขุดขึ้นมาเผา ส่วนลูก 2 คนพ่อแม่พี่เพาเอาไปเลี้ยงต่อ.. หลังจากที่ฝังศพเสร็จเรื่องก็น่าจะจบ แต่ทว่า กลับมีพวกชาวบ้านที่บ้าหวย พาหมอผีมาทำพิธีขอหวยในคืนวันพระใหญ่ (ฝั่งลาวจะมีเยอะครับ พวกที่ทำพิธีแบบนี้) พากันไปที่หลุมฝังศพคู่ผัวเมีย โดยทำพิธีปลุกผีพี่น้อยขึ้นมาก่อน เพื่อจะถามเรื่องหวย แต่พี่น้อยบอกไม่รู้ ให้ไปถามพี่เพา พอเรียกผีพี่เพาขึ้นมาเท่านั้นล่ะ พวกชาวบ้านที่ไปด้วยบอกว่า สภาพดูไม่ได้เลย หัวนี่ผ่าครึ่งฉีกแยกออกจากกัน คอก็พับห้อยลงมาที่ไหล่ จนพวกที่อยู่ในวงสายสิญจน์พากันลุกวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง พอกลับไปถึงบ้านก็ไข้ขึ้นทันที กว่าจะหายเป็นแรมเดือน ที่แย่กว่าใครเห็นจะเป็นหมอผี ที่อาการไม่ดีขึ้น แถมเสียสติ และเสียชีวิตลงหลังจากนั้นไม่นาน ได้ยินว่าสภาพศพคือตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง ตัวเกรงหงิก เหมือนกลัวอะไรแบบสุดๆ ก่อนตาย

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผีคู่ผัวเมียออกอาละวาดในหมู่บ้าน จากการที่หมอผีปลุกพวกเขาขึ้นมาแล้วไม่ได้เอากลับ ทำให้ทุกคืนหลังเที่ยงคืน คู่ผัวเมียจะออกมาเดินร้องไห้วนไปทุกซอยในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน หมาก็จะตามไปเห่าหอนกันเป็นฝูงเลย ช่วงนั้นเล่นเอาชาวบ้านไม่เป็นอันทำอะไรเลยครับ พอตะวันตกดินเมื่อไหร่ ต่างก็พากันปิดประตูบ้าน ดับไฟนอน การทำมาหากินช่วงกลางคืนงดหมด เดือดร้อนกันถ้วนหน้า 

แต่ที่ซวยสุดเห็นจะเป็นหนุ่มเวียดนามคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แกปั่นจักรยานมาขายไอศกรีม แกตื่นแต่เช้าปั่นจากตัวเมืองเพื่อมาขายที่หมู่บ้านผม มาถึงก็เกือบเที่ยง ชาวบ้านเกี่ยวข้าวร้อนแดด กินไอศกรีมเย็นๆ มันช่างเข้ากันเสียจริงๆ พอแกมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ทางด้านขวามือจะเป็นป่าช้าที่ฝังศพคู่ผัวเมียตายโหง แกก็เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกให้จอดเพื่อขอชื้อไอศกรีม 2 แท่ง บอกว่าอยู่กับสามี 2 คน แกก็ขายให้ แต่พอตอนจ่ายเงิน ผู้หญิงคนนั้นยื่นเงินมาให้ปึกใหญ่ แกก็งงๆ ว่าทำไมให้เยอะจัง? พอเงยหน้าจะเรียก เธอกลับเดินไปไกลแล้ว แกเลยคิดว่าช่างมันเถอะ ถือว่าเป็นกำไร.. แล้วแกก็ปั่นเข้ามาขายในหมู่บ้านผมต่อ พอจะทอนเงินให้ลูกค้า เปิดกระเป๋าเงินกลับเจอแต่เศษใบไม้แห้งเต็มกระเป๋าไปหมด แกร้องตกใจจนชาวบ้านถามว่า ‘ไปขายที่ไหนมาบ้าง?’ แกบอกไม่ได้ขายที่ไหนเลย นอกจากตรงทางเข้าหมู่บ้าน มีผู้หญิงที่เอาผ้าขาวม้าพันหน้า สวมกุบ (หมวกของชาวนา) มาชื้อ ชาวบ้านจึงบอกแกไปว่า ‘เจอดีเข้าแล้วละ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มีผัวเมียฆ่ากันตาย ศพฝังไว้ที่ป่าช้าตรงนั้นล่ะ..’ พอแกได้ยินอย่างนั้นถึงกับเข่าอ่อนเป็นลมพับตรงนั้นเลย ต้องพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านผม

ได้ยินมาว่า หลังจากแกกลับบ้านไปแล้วก็เกิดล้มป่วย อาการทรุดลงเรื่อยๆ จนเสียชีวิตในที่สุด ที่น่าแปลกคือ สภาพศพเหมือนเดิมเลย คือตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง ตัวเกรงหงิก เหมือนกลัวอะไรสุดขีด ..น่าสงสารครับ แกไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย แต่กลับต้องมาตาย

EP.105 : The Shock เรื่อง ยายไอ้แผน - คุณลพ



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา แผนกับโพธิ์เป็นพี่น้องกัน ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ไม่ว่าจะไปปักเบ็ด ดักหนูที่ทุ่งนา บ้านของทั้งสองคนจะอยู่ติดเขา

พ่อแม่ของแผนกับโพธิ์จะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะต้องไปเฝ้าไร่ที่อยู่ติดกับชายเขา คอยไล่พวกสัตว์ป่าที่ลงมากินพืชผล ปล่อยให้แผนโพธิ์อยู่กับคุณยาย

ปกติลพเป็นคนชอบปักเบ็ดหาปลา จึงมักจะไปกับแผนกับโพธิ์อยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง แผนได้ไปเหยียบหอย จนเลือดไหลนองเต็มเท้า จึงช่วยกันพยุงกลับมาบ้าน

โพธิ์อาสาจะไปซื้อยามาล้างแผล แล้วให้ลพอยู่เป็นเพื่อนแผน พอโพธิ์ออกไปได้สักพัก แผนก็นอนหลับไป ส่วนลพก็จัดการเอาผ้าพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อน

แต่อยู่ๆ คุณยายที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ข้างๆ ก็กระโดดลุกขึ้นนั่งยองๆ แล้วพูดว่า "เป็นอะไร ไปไหนกันมา" ทำให้ลพตกใจมาก เพราะปกติ ยายจะเป็นอํามพฤกอัมพาต นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ พูดจาไม่ได้ ตัวผอม ผมขาวไปทั้งศีรษะ

ลพก็ตอบกลับไปว่า "แผนโดนหอยบาดครับ ผมห้ามเลือดให้อยู่" แล้วยายก็กวักมือเรียกพร้อมกับพูดว่า "ไอ้หนูมานี่ซิ" ลพจึงลุกขึ้นเดินไปหายายด้วยอาการงงๆ

แล้วยายก็บอกให้ลพขึ้นมานั่งใกล้ๆ ลพก็ไปนั่งข้างๆอยู่ยาย แต่อยู่ๆคุณยายก็ผลักตัวลพจนล้มลง แล้วก็ไล่ลพเสียงดังว่า "ไป!! เอ็งอะไป ร้อน อยู่แล้วร้อน ไป!!"

ทำให้ลพรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ จึงตอบกลับไปว่า "เดี๋ยวรอให้โพธิ์มันกลับมาก่อนได้มั้ยครับ จะได้อยู่ห้ามเลือดให้ไอ้แผนมันก่อน" ยายไม่ฟัง เอาแต่ตะโกนไล่ลพอย่างเดียว "ไปเลย เอ็งอะไป ออกจากบ้านข้าไปเลย"

ลพได้แต่คิดว่าตนเองทำอะไรผิด หรือเพราะว่าพาแผนไปเที่ยวกันจนได้รับบาดเจ็บ สักพักคุณโพธิ์ก็วิ่งกลับมา แต่อยู่ๆคุณยายก็ล้มตัวลงนอนทันที เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลพจึงบอกกับโพธิ์ว่า

คุณลพ : เฮ้ยโพธิ์ ข้ากลับก่อนนะ
คุณโพธิ์ : เฮ้ยเอ็งจะรีบไปไหน อยู่ด้วยกันก่อนดิ ช่วยกันทำแผลก่อน
คุณลพ : ยายเอ็งไล่ข้า
คุณโพธิ์ : จะบ้าเรอะ ยายข้าพูดไม่ได้จะเป็นปีสองปีแล้ว
คุณลพ : ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งแล้วไล่ข้า จริงๆ
คุณโพธิ์ : โกหกเหรอวะ จะเป็นไปได้ยังไง ทุกวันนี้กุยังต้องป้อนข้าวเช็ดตัวให้อยู่เลย
คุณลพ : จริงๆ ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งยองๆ แล้วผลักข้า
คุณโพธิ์ : เออๆ ถ้าจะไปก็ไป


ลพก็เลยเดินกลับบ้าน หลังจากวันนั้นแผนก็มาโรงเรียนไม่ได้ ส่วนโพธิ์ก็ต้องอยู่ดูแลแผน จนผ่านมาสองวัน โพธิ์มาบอกกับลพว่า "ลพ ไปนอนเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย"

ลพก็ตอบแบบเคืองๆว่า "แล้วยายเอ็งจะไม่ด่าข้าเหรอวะ" โพธิ์ตอบกลับมาว่า "จะด่าได้ยังไง ยายข้าพูดไม่ได้" ลพเถียงกลับไปว่า "พูดได้จริงๆ" แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง โพธิ์ก็ไม่เชื่อ แต่สุดท้ายลพก็ยอมตามโพธิ์กลับไป

ลักษณะจะเป็นบ้านไม้สองระดับ คุณยายจะนอนอยู่ชั้นล่าง ส่วนคุณลพและคนอื่นๆจะนอนตรงพื้นยกระดับสูงขึ้นมาหน่อย ช่วงหัวค่ำ ลพก็นั่งมองโพธิ์ที่กำลังป้อนข้าวเช็ดตัวให้คุณยาย ซึ่งดูแล้วมันขัดใจคลพมาก เพราะหลายวันก่อน คุณยายยังกระโดดลุกขึ้นนั่ง ไล่ลพอยู่เลย

จนตกดึกก็ได้เข้านอน แผนจะนอนริมสุด โพธิ์จะนอนตรงกลาง ส่วนลพนอนอีกริมหนึ่ง ลพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียง "คลืดด..พรืดด" เสียงมันมาจากทางมุ้งของคุณยาย

ลพจึงผงกหัวขึ้นมาดู ภายในบ้านค่อนข้างมืด เห็นเพียงมุ้งสีขาวๆลางๆ ปลิวเป็นคลื่นเบาๆเพราะแรงลม แต่พอลพลองเพ่งมองดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นคุณยายกำลังคลานออกมาจากมุ้ง

ลักษณะคลานสี่ขา จนไปถึงหัวบันไดหน้าบ้าน แล้วอยู่ๆคุณยายก็กระโดดพรวดลงไปข้างล่าง ลพเห็นแบบนี้ก็รู้สึกตกใจปนสยอง รีบหันไปเขย่าโพธิ์ที่นอนอยู่ข้างๆ ปากก็พยายามพูดให้เสียงลอดออกมาเบาๆ แต่ให้ชัดเจนที่สุด เพราะกลัวว่าคุณยายจะได้ยิน "ไอ้โพธิ์ ตื่นก่อนเร็ว ยายเอ็งกระโดดลงจากบ้านว่ะ"

แต่ไม่ว่าจะเขย่าแรงแค่ไหน โพธิ์ก็เหมือนว่าจะไม่รู้สึกตัว จนลพไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยล้มตัวลงนอน พยายามเพ่งมองไปที่ประตูหน้าบ้าน ระวังตัวแจ เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ จะได้รีบมือได้ทันท่วงที

จนผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ ลพทนความสงสัยที่เล้าหลืออยู่ในใจไม่ไหว จึงได้คลานออกจากมุ้งไปดูที่หน้าประตู มองลงไปที่ล่างบันได ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า บริเวณด้านล่างและรอบๆของบ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืด จนยากที่จะสังเกตอะไรได้

ลพจึงหันกลับแล้วเดินเข้ามุ้ง จังหวะนั้นหางตาก็เหลือบไปที่มุ้งของคุณยาย ปรากฏว่าเห็นคุณยายนอนขดเอาผ้าคลุมหัวอยู่ในมุ้ง เหมือนกับว่ายังไม่ได้ลุกออกไปไหน ลพยืนงงอยู่กับที่ ในหัวตีกันจนมั่วซั่ว แล้วสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้มันคืออะไร

ในระหว่างนั้น ลพสังเกตเห็นว่าคุณยายค่อยๆดึงเอาผ้าที่คลุมหัวอยู่ ลงทีละนิดๆ จนทำให้คุณลพเห็นใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในความมืด แล้วคุณยายก็ดึงผ้าขึ้นคลุมใบหน้าตามเดิม

ลพยืนตัวชา งงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณยายทำไมถึงทำอะไรแปลกๆแบบนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ คุณยายก็ดึงผ้าที่คลุมใบหน้าลงมา เหมือนพยายามจะแอบดูคุณลพ สายตาที่จ้องมองมา ทำให้รู้สึกเย็นวูบวาบ จนมือไม้กระตุกเป็นช่วงๆ

ลพคิดว่ายืนอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ จึงพยายามลากขาทั้งสองข้างกลับเข้ามุ้งตามเดิม พยายามข่มตาให้หลับ ระหว่างนั้นก็มีเสียง 'ก๊อกๆแก๊กๆ" อยู่แถวๆนอกมุ้ง แต่คุณลพคิดในใจว่ายังไงก็จะไม่ลืมตาขึ้นมาดูเด็ดขาด จนเผลอหลับไป

รุ่งเช้า ลพรีบเล่าเหตุการณ์ให้คุณโพธิ์ฟังทันที แต่โพธิ์ก็ยังเถียงขาดใจ จนคืนที่สอง หลังจากที่นกกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้อง ลพก็เห็นคุณยายค่อยๆคลานออกมาจากมุ้ง แต่คราวนี้กลับคลานเข้ามาในมุ้งของลพ

ลพเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่าผวาจนตัวเกร็ง อยากจะลุกออกวิ่งไปจากที่นี่ แต่ก็ขยับตัวไปไหนไม่ได้ เพราะความกลัวมันบังคับให้นอนอยู่นิ่งๆ คุณยายค่อยๆคลานไปทางคุณแผน แล้วก้มหัวลงเลียแผลที่เท้าของแผน

ลพทนมองภาพที่น่าขนลุกแบบนี้ไม่ไหว พยายามสะกิดคุณโพธิ์ แต่ก็ไม่เป็นผลอีกเหมือนเดิม ทั้งๆที่อากาศหนาวเย็นจนตัวแทบสั่น แต่เหงื่อกาฬกับผุดออกมาเป็นเม็ดๆจนทั่วตัวของคุณลพ

ลพไม่มีทางเลือก ได้แต่นอนตัวสั่นฟังเสีบงดูดเลียดัง "แจ๊บๆๆ" อยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วคุณยายก็คลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม มีเสียงเบาๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากในมุ้งว่า "อึ้ม อร่อยดีนะ" คุณลพได้ยินเช่นนั้นก็แทบอยากจะร้องไห้ จนรุ่งเช้ามา คุณโพธิ์บ่นว่า

คุณโพธิ์ : ทำไมข้ารู้เจ็บแขนจังวะ
คุณลพ : ข้าหยิกแขนเอ็งเมื่อคืนเนี้ย ไม่รู้เรื่องเลยหรอ
คุณโพธิ์ : ไม่รู้อ่ะ แล้วเอ็งหยิกข้าทำไม
คุณลพ : ข้าเห็นยายเอ็งมาเลียแผลไอ้แผน

โพธิ์ก็รู้สึกโมโห เพราะคิดว่าลพพูดจาใส่ร้ายคุณยาย แต่ปรากฏว่าแผลของคุณแผนบวมเป่ง เขียวช้ำไปทั้งขา เอาแต่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด คุณลพก็คิดว่าคงไม่นอนที่นี่ต่อแล้ว เพราะไม่อยากเจอภาพที่น่าขนลุกเหมือนคืนก่อนๆ ประกอบกับที่คุณแผนเอาแต่นอนร้องครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

ลพจึงบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่สวน แต่โพธิ์บอกว่าไปไม่ได้ เพราะต้องดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำคุณยาย จนเข้าคืนที่สาม คุณแผนเอาแต่นอนร้องด้วยความเจ็บปวด

ลพจึงตัดสินใจบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่ แล้วเดี๋ยวคุณลพจะอยู่เฝ้าให้เอง ส่วยคุณยายเดี๋ยวจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้ โพธิ์จึงรีบออกไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่

พอคุณโพธิ์ออกไปได้สักพัก คุณลพก็วิ่งกลับบ้านทันที เพื่อที่จะไปตามคุณพ่อมาอยู่เป็นเพื่อนก่อน แต่เวลานั้นคุณพ่อไม่อยู่บ้านพอดี จึงวิ่งกลับมาดูคุณแผน ตอนนั้นโพธิ์ก็ยังไม่กลับมาสักที

ลพจึงเข้าไปนอนคลุมโปงอยู่ในมุ้ง จนเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง คุณโพธิ์ก็ยังไม่กลับมา แต่จังหวะนั้นคุณลพได้ยินเสียงคุณแผนร้อง "แค๊กๆ อ๊อคๆ" เหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบคอจนหายใจไม่ออก

ลพจึงแง้มผ้าห่มดู ปรากฏว่าเห็นคุณยายนั่งยองๆอยู่บนหน้าอกของคุณแผน แต่ที่ทำให้คุณลพตกใจกลัวจนแทบหยุดหายใจก็คือ คุณยายใช้มือช้อนศีรษะของคุณแผนให้โน้มขึ้นมา แล้วใช้ลิ้นที่ยาวจนผิดปกติ แยงเข้าไปในปากของคุณแผน

ลพไม่กล้าที่จะมองภาพอันน่าสยดสยองนี้ต่อ และกลัวเกินกว่าที่จะขยับตัววิ่งหนี จึงได้แต่นอนตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห้ม เสียงของคุณแผนร้องเหมือนคนกำลังสำลักน้ำอยู่สักพักก็เงียบไป แต่ก็ยังได้ยินเสียง "สวบสาบ" อยู่ข้างๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังขยับเขยื่อนอยู่ ไม่กี่อึดใจต่อมา คุณลพได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมา

จึงได้เปิดผ้าห้มออก เห็นคุณยายรีบคลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม แล้วคุณโพธิ์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ก็มาถึง คุณลพรีบเล่าเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อ หาว่าคุณลพเพ้อเจ้อ

คุณพ่อจึงได้เข้าไปเขย่าตัวคุณแผน แต่ตอนนั้นคุณแผนได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการเอาศพไปชันสูตรดู ผลออกมาว่าขาดอากาศหายใจ ทุกคนต่างเค้นถามคุณลพถึงการตายของคุณแผน แต่คุณลพก็เล่าไปตามที่ตนเองเห็นมา แต่กลับไม่มีใครเชื่อ

ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณลพเล่า แต่ทุกคนต่างก็เริ่มจับพิรุธ ทุกๆคืน คุณพ่อของคุณโพธิ์แทบจะไม่ได้นอน เพราะต้องอยู่ดูพฤติกรรมของคุณยาย

ปรากฏว่าเห็นอย่างที่คุณลพเล่ามาจริงๆ กลางดึกของคืนหนึ่ง คุณพ่อเห็นคุณยายคลานออกจากมุ้ง แล้วกระโดดออกจากบ้าน เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน จึงได้ไปปรึกษาพระที่วัด ท่านก็บอกว่าคุณยายน่าจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่มีอย่างอื่นแฝงอยู่

พอรู้แบบนั้น จึงได้พาหมอที่แก้คุณไสยมาดูคุณยายที่บ้าน หมอใช้ว่านชนิดหนึ่ง แตะลงที่ตัวของคุณยาย ปรากฏว่าคุณยายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หมอก็พูดขึ้นมาว่า "ต้องตัดกรรมนะ ถ้าไม่ตัดกรรมก็ไม่ตายสักที แล้วนี่ไปกินลูกหลานของคนอื่นมันบาปกรรมมากนะ"
 
หมอจึงได้ทำพิธีตัดกรรม พอจบพิธี คุณยายก็เสียชีวิตลงทันที ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเหมือนกับศพที่ตายมาแล้วเป็นเวลาหลายวัน โพธิ์เคยถามลพในเรื่องที่ลพเคยโดนคุณยายผลักจนล้ม ลพจึงเล่าว่า ตอนนั้นคุณยายคงคิดจะกินลพ ถึงได้เรียกให้ไปนั่งใกล้ๆ แต่ว่าในตัวคุณลพมีตะกรุดหลวงพ่อเงินอยู่ คุณยายจึงรู้สึกร้อน

และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


ขอขอบคุณ : คุณลพ

EP.104 : The Shock เรื่อง คุณยายสปีด - คุณอานนท์



เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณอานนท์ เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นคุณอานนท์ เดินทางไปเที่ยวหาเพื่อนสนิท ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาทางภาคใต้ คุณอานนท์เล่าว่า.. ผมขับรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปคนเดียว พอไปถึงบ้านเพื่อนที่หาดใหญ่ ก็เป็นช่วงบ่าย กินข้าวกันเสร็จ ด้วยความเพลีย ผมก็นอนหลับไปยาวเลย ตื่นมาอีกที ก็กินข้าวเย็นต่อเลย

เพื่อนผมคนนี้เป็นคนหาดใหญ่ ที่เคยไปเรียนที่กรุงเทพฯ พอมันกลับมาหาดใหญ่ หลังจากเรียนจบ เราก็เพิ่งจะได้เจอกันนี่เอง ก็เลยคุยกันไป กินเหล้าไป ตามประสาเพื่อนสนิท.. พอสักช่วงประมาณ 2 ทุ่มกว่า โซดาน้ำแข็งเริ่มหมด ผมก็อาสาออกไปซื้อให้ โดยยืมมอเตอร์ไซค์มันไป.. ผมขี่รถออกไปเรื่อยๆ ตามทางเพื่อหาร้านโชห่วยใกล้ๆ ที่ยังพอเปิดให้ซื้อของได้ แต่ก็ไม่ยักมีร้านข้างทางเท่าไหร่ เลยขี่ลัดเลาะหาร้านค้าตามซอยต่างๆ ไปเรื่อย..

จนผมขี่รถเข้ามาในซอยๆ นึง ก็เห็นยายแก่ๆ ผมหงอกทั้งหัว นั่งอยู่ริมทางเท้า ตอนนั้นผมก็งง คิดในใจว่า ดึกแล้วทำไมไม่กลับบ้าน ยังมาขายอะไรอยู่ข้างทางอีก ใครจะไปซื้อ ด้วยความที่ซอยนี้ค่อนข้างมืด และทางก็โล่ง ผมก็บิดเต็มที่เลย (ผมก็เด็กแว้นเก่า) ระหว่างนั้นก็เริ่มเอะใจ เห็นศาลเจ้า ศาลพระภูมิเก่าๆ สีแดงอยู่เต็ม 2 ข้างทาง และอากาศก็เย็นยะเยือกแปลกๆ.. ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียง ‘ตึก..ตึกๆๆ’ ดังตามมาจากข้างหลัง ผมเหลือบมองดูกระจกมองหลัง ภาพที่เห็นคือ คุณยายผมขาวคนเมื่อกี้ คลานด้วยมืออย่างรวดเร็ว พุ่งตามรถของผมมา หน้าตาของคุณยายดูบิดเบี้ยวเหยเก ลิ้นสีแดงห้อยออกมายาว ดวงตาปูดโปนจ้องมา อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่คุณยายกลับไม่มีท่อนล่าง! ผมเห็นได้ชัด จำขึ้นใจ แม้มองผ่านกระจกหลัง!

ผมบิดรถเร่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ไม่กล้าหันกลับไปมองเลยครับ แต่เสียง ‘ตึก..ตึกๆๆ’ กลับรัวขึ้น ดังขึ้น มันบอกได้ชัดเลยว่า คุณยายยังตามผมมาอยู่.. จนเสียงเงียบลงไป.. แต่ความรู้สึก มันกลับมาอยู่ที่เอวผมครับ ผมรู้สึกถึงมือ มาโอบเอวผมไว้ ผมขนลุกซู่ เหมือนหนาวจัด ผมไม่กล้ามองข้างหลัง รีบรวบรวมสติ และรีบบิดไป ไปพร้อมกับคุณยาย ที่โอบเอวผมอยู่นี่แหละครับ จนพ้นซอย ตรงแถวหน้า ม.อ. ความรู้สึกนั้นก็หายไปทันที มองกระจกหลังก็ไม่มีใครเลย..


ผมจอดรถพักสักครู่ เพราะมือผมสั่นไปหมด ขี่ต่อไม่น่าจะไหว.. พอพักจนมือเริ่มมีกำลัง ผมขี่รถกลับบ้านเพื่อนผมทันที ไม่กินมันแล้วเหล้า โดยผมยอมอ้อมไปทางอื่น.. พอกลับไปถึงบ้าน ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพื่อนผมก็ตกใจ เพราะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าที่คนพูดต่อๆ กันมา เพราะเพื่อนผมก็ผ่านซอยนั้นบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน

วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้ไปสอบถามประวัติของยายคนนั้น จากคนแถวนั้นครับ.. คนแถวนั้นรู้จักเป็นอย่างดีเลย เรียกคุณยายท่านนี้ว่า ‘คุณยายสปีด’ ครับ ว่ากันว่า เมื่อนานมาแล้ว มีอยู่คืนหนึ่ง คุณยายที่ผมหงอกทั้งหัว ถูกแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ซิ่งชน บริเวณกลางตัว จนขาดเป็น 2 ท่อนตามแรงอัดของรถ คุณยายจึงกลายเป็นผีตายโหง อยู่บริเวณดังกล่าว.. เล่าลือกันในหมู่พวกเด็กขี่รถซิ่ง ว่าเจอคุณยายสปีดกันนับครั้งไม่ถ้วน เชื่อกันว่า หากแก๊งค์รถซิ่งคันไหนขับรถผ่านเข้ามา ในบริเวณซอยดังกล่าว ตอนกลางคืน หลัง 3 ทุ่มไป จะถูกผี ‘คุณยายสปีด’ หลอกเอา โดยจะเห็นเป็นร่างหญิงชรา มีผมหงอกเต็มหัว พุ่ง และลอย คล้ายคนตะกายตัวไปด้วยมือ 2 ข้าง ขนานกับพื้นถนนด้วยความเร็วสูง แลบลิ้นยาวแดงเป็นเมตร บ้างก็ว่ากระโจนขึ้นมาเกาะหลังคนขี่มอเตอร์ไซค์ บางรายเชื่อว่าหากดวงชะตาไม่ดี สติไม่ดี ก็อาจถึงชีวิตเลยก็ว่าได้..

ปัจจุบัน ซอย ‘คุณยายสปีด’ ตั้งอยู่กั้นกลางระหว่าง วัดโคกนาว กับ ห้าง Tesco Lotus สาขาหาดใหญ่ ตรงข้าง ม.อ. รอให้คุณไปท้าพิสูจน์กัน

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .