EP.035 : สยองขวัญบนเครื่องบิน

เรื่องนี้เกิดมานานแล้วละครับ ตั้งแต่พ.ศ.2538 โน่น ผมไปเรียนเกี่ยวกับเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ ยู ซี อาร์ มหาวิทยาลัยของเมืองริเวอร์ไซด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คุณลุงผมเป็นแพทย์ที่ไปทำงานและมีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่น ผมก็เลยสบายแฮ



ที่ว่าสบายคือไม่ต้องเสียค่าที่ พัก แถมอาหารก็ฟรี เพราะผมเป็นหลานคนโปรด แต่ผมก็ช่วยงานบ้านคุณลุงกับคุณป้าทุกอย่าง เพราะรักและอยากจะตอบแทนความเมตตาของท่าน

แม่ผมไปเยี่ยม อยู่ด้วยกันถึง 6 เดือน แม่ยังตะลึง บอกว่าอยู่เมืองไทยน่ะผมแสนจะเป็นคุณหนูเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดฝุ่น ล้างห้องน้ำ และรีดผ้าก็เป็นด้วย

ที่อเมริกามีวิชาที่ผมชอบมาสนองความต้องการเพียบ เรียนจบ 4 ปีแล้วผมยังอยู่ต่อ สมัครเข้าเรียนคอร์สสั้นๆ เช่น กราฟิกดีไซน์ การวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคพิเศษต่างๆ

สรุปรวมแล้ว ผมเพลิดเพลินจำเจริญใจอยู่เกือบ 6 ปี และในช่วงนั้น ผมกลับมาเยี่ยมเมืองไทยแค่ครั้งเดียว


เป็นครั้งที่ผมโดนผีหลอกนี่ละครับ!

ผมกลับมาเป็นคุณหนูเทวดาอยู่กับแม่หนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นก็ถึงเวลาเหินฟ้าด้วยสายการบินของเพื่อนบ้าน ขาประจำของผม...ตรงกลับแอลเอ

การบินเที่ยวนี้ผมฉายเดี่ยว ที่นั่งในเครื่องบินเต็มทุกที่ยังกะแจกตั๋วฟรี ดีนะที่เราจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว ผมได้ที่นั่งฝั่งหน้าต่างด้านซ้าย แต่ไม่ได้นั่งชิดติดหน้าต่างนะครับ เก้าอี้แถวนี้จะมี 3 ตัว ผมนั่งริมทางเดิน นึกเสียดายเพราะผมชอบนั่งติดหน้าต่าง ดูเมฆดูดาวให้เพลิดเพลิน

ปรากฏว่าคนที่มานั่งตรงนั้นเป็น คุณตาแก่ๆ อายุสัก 70 เห็นจะได้ หน้าตาใจดี แต่เศร้าจัง แกมีอัธยาศัยไมตรีกับผมดีมาก แต่ก็ชอบนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างเงียบๆ

ที่ผมบอกว่าตะกี้ว่าที่นั่งเต็ม ทุกที่น่ะไม่จริงหรอกครับ เก้าอี้ระหว่างผมกับคุณตายังว่างอยู่ ก็แปลว่าทั้งเครื่องบินจัมโบ้ 747 ลำนี้มีว่างอยู่ที่เดียวจริงๆ

คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมโชคดีไม่ต้องนั่งเบียดกับคุณตา!

เครื่องบินแวะที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปแวะที่ไทเป ก่อนจะบินยาวตรงดิ่งไปฮาวาย ผู้โดยสารกินอาหารค่ำตามเวลาท้องถิ่น แล้วก็แย่งกันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสฉายหนังแล้วก็ปิดไฟมืด ยกเว้นบางคนอยากอ่านหนังสือก็เปิดไฟดวงเล็กๆ เหนือเก้าอี้ตัวเอง

คุณตาแกหลับไปแล้ว แหม! หลับง่ายดีจัง ส่วนตัวผมน่ะเป็นอะไรไม่รู้ซี ขึ้นเครื่องทีไรมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่มีวันหลับสนิทได้เลยซักครั้ง

คราวนี้ก็เช่นกัน! ผมหลับตานิ่งๆ เพราะอยากพักผ่อน ไม่รู้หลับหรือเปล่า แต่หนังที่ฉายก็จบไปแล้ว ไม่มีแสงวูบวาบกวนตา ทั่วทั้งลำเงียบสงบ มีแต่เสียงเครื่องยนต์กับแอร์ดังหึ่งๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รำคาญอะไร

ทันใดนั้น ผมรู้สึกดิ่งเข้าภวังค์คล้ายจะเคลิ้มหลับ แต่เอ...ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นา

ผมไม่ชอบความรู้สึกดิ่งเหมือนโดนแม่เหล็กดูดแบบนี้ ก็เลยลืมตา แต่หนังตามันหนักมาก...ได้แต่ปรือๆ คิดว่าเราคงนอนทับเส้นเลือดมั้ง เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการแบบผีอำ...ผมพยายามขยับร่างกายก็ทำไม่ได้

และแล้ว ตรงทางเดินระหว่างแถวเก้าอี้ ห่างจากผมไปราว 2-3 ก้าว ผมก็เห็นร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นพรม...หัวมาก่อนเลยครับ!

เป็นผู้หญิงแก่ๆ ผมบางๆ สีเทาเงินนั้นรวบตึงเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เธอลอยตรงๆ ขึ้นมาทั้งตัว

ในแสงสลัวๆ ผมเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงสีอ่อนๆ ยาวครึ่งแข้ง ตอนสาวๆ เธอคงหุ่นดีน่าดู เพราะสูงเพรียว คอยังระหงอยู่เลยครับ ลักษณะท่าทางก็ผู้ดี๊ผู้ดี...เสียอย่างเดียวคือผมรู้แน่ๆ ชัวร์ๆ ว่า...เธอเป็นผี!!

ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย?

เธอลอยเข้ามาใกล้อย่างน่าตกใจ เห็นเลยครับว่าเท้าเธออยู่เหนือพื้นทางเดินขึ้นมาราวคืบหนึ่ง

ที่น่าสยองสุดๆ คือ เธอลอยผ่านที่นั่งผมโดยไม่ต้องขยับขาเบี่ยงหลบให้...ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ เพราะมันขยับไม่ออก มิหนำซ้ำยังหนาวเข้ากระดูกดำ เหมือนทั้งตัวผมกลายเป็นไอติมแท่งไปแล้ว!

ผีผู้หญิงลอยลงนั่งเก้าอี้ตรงกลางระหว่างผมกับคุณตานั่นแหละ จากหางตาผมเห็นนั่งเอาแขนพาด โอบกอดร่างคุณตา ศีรษะเธอเอนซบลงช้าๆ

แล้วผมก็หลับสนิทวูบไปเลย หรือสิ้นสติเพราะความกลัวสุดขีดก็ไม่ทราบ

เครื่องลงแวะฮาวาย คุณตาบอกล่ำลาผม ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า เห็นหน้าเซียวๆ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง แต่ก็อดพูดคุยลัดเลาะถามโน่นถามนี่ จนมาถึงคำถามว่า...คุณตามาเที่ยวหรือมีลูกหลานที่ฮาวาย?

ได้เรื่องเลยครับ...คุณตาบอกว่า บ้านแกอยู่ฮาวาย ทำธุรกิจที่นี่แล้วไปเที่ยวเมืองไทยกับคุณยาย แต่คุณยายหัวใจวาย น่าเศร้ามาก...คุณตานำคุณยายใส่โลงขึ้นเครื่องบินมาทำพิธีฝังที่นี่

นั่นไง...นึกแล้วเชียว!

EP.034 : หิ้วสาวที่สนามหลวง

ผมเป็นคนค่อนข้างกลัวผีพอสมควร จะเรียกว่าครึ่ง-ครึ่งก็ได้ แม้ว่าจะยังไม่เคยโดนผีหลอกมาก่อน...จนกระทั่งถึงวันมหาซวยสุดขีดคืนก่อนนี่เอง!



สาเหตุมาจากนิสัยชอบเที่ยวเตร่เสเพล หาเงินง่าย ใช้เงินคล่อง เพื่อนฝูงอื้อซ่า แต่ที่ซี้กันพิเศษคือเจ้าโก๋ เพราะโสดกับรักสนุกเหมือนกัน ทั้งสุรานารีไม่ค่อยขาด แต่ดีอย่างที่ไม่เล่นยากับการพนัน...คนหนุ่มๆ สมัยนี้จะให้ดีเต็มร้อยคงลำบากนะครับ ผมว่า


คืนเกิดเหตุ เราไปเที่ยวโรงนวดแผนไทยที่ปิ่นเกล้า เพราะชักเบื่อโรงนวดธรรมดากับสปาแบบซ่อง เจ้าโก๋มีรถยนต์ที่พ่อซื้อให้ เผลอๆ มันก็ออกไปแรดคนเดียว เจอทีเด็ดจากด๊อกเตอร์นวดแผนไทยที่นั่น เอามาสาธยายให้เพื่อนฟัง

ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 สาวๆ นั่งสลอนเต็มตู้ ที่ผมสนใจเพราะเจ้าโก๋ยืนยันว่า นวดอย่างเดียว 2 ชั่วโมงแค่ 140 บาท ถ้าอยากเข้าห้องพิเศษมีห้องน้ำต้องจ่าย 280 บาท

ดาราที่นี่คือน้องขวัญกับน้องแนน บังเอิญเราไม่ได้โทร.ไปจอง สองสาวเพิ่งขึ้นไปทำงานหยกๆ กว่าจะครบรอบก็เกือบ 5 ทุ่ม เราซดเบียร์คนละขวดแล้วข้ามฟากไปแถวราชดำเนิน แวะร้านข้าวต้มสกายไฮ นั่งโต๊ะบนบาทวิถีจะได้สูบบุหรี่กันตามสบาย

หมดเบียร์แกล้มเป็ดพะโล้กับปลาใบขนุนทอดไปราว 3-4 ขวด ตบท้ายด้วยซูเปอร์-น่องไก่ต้มซุปรสโอชะ...ฝนปรอยมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ตัดสินกลับบ้านดีกว่า

เจ้าโก๋ขับรถข้ามสะพานเสี้ยวแทนที่จะข้ามปิ่นเกล้าไปบางพลัด เจ้าโก๋ดันเลี้ยวไปทางวัดพระแก้วโน่น บอกว่าไปดูผีขนุนยุคใหม่ดีกว่า คลั่กๆ อยู่แถวต้นมะขามรอบท้องสนามหลวงทุกคืน มีทั้งชายและหญิงเรียกว่า "ผีมะขาม" ไงล่ะ

ผมสงสัยว่าดึกดื่นฝนตกแบบนี้จะมีเรอะ? เจ้าโก๋กลับหัวเราะ...ความหิวน่ะมันไม่เลือกเวลาหรอก ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกมันก็หิวทั้งนั้นแหละ!

จริงของมันแฮะ! พอเลี้ยวไปทางฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์กับธรรมศาสตร์ หันไปมองก็เห็นสาวยืนกางร่มอยู่ใต้ต้นมะขาม ยืนเดี่ยวก็มี สองคนก็มี พอเห็นรถเราชะลอ เข้าเทียบคุณเธอก็ปราดเข้ามาหา พร้อมๆ กับผมไขกระจกลง

"เที่ยวมั้ยพี่? ห้าร้อยเองค่ะ" เธอบอกแจ๊วๆ เห็นในแสงไฟก็หน้าตาดีพอใช้ "ไปโรงแรมใกล้ๆ มหาดไทยนี่เอง"

"พี่มากันสองคน แต่น้องมีคนเดียวนี่"

"เพื่อนหนูมี จะเอากี่คนก็ได้...ว่าไงล่ะพี่? ไปเถอะ ฝนยิ่งตกๆ อยู่ด้วย"

"ขอดูไปเรื่อยๆ ก่อนนะ" ผมบอก เจ้าโก๋ออกรถไปได้หน่อยก็แวะเข้าไปอีก คราวนี้สองสาวก้าวเข้ามายืนพร้อมๆ กัน เจ้าโก๋ยื่นหน้าเข้าไปถามราคา...เท่ากับรายก่อนแฮะ คงจะเป็นมาตรฐานของที่นี่ล่ะมั้ง?

ผมสงสัยว่าเป็นกะเทยหรือเปล่า? คำตอบจากสาวร่างเล็กผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้นก็คือ....ใช่ค่ะ แต่หนูแปลงเพศมาแล้วนะ!

เจ้าโก๋ทำคอย่น ขอตัวออกรถไปแวะหาคนอื่นดูก่อน ผมสังเกตว่ามีผู้ชายยืนหลบๆ อยู่หลังโคนมะขาม คงจะเป็นแมงกะจั๊วหรือนักเลงประจำถิ่น คอยดูแลความเรียบร้อย...จนกระทั่งเราอ้อมกลับมาอีกครั้ง เพราะทางถนนราชดำเนินในสว่างเกินไป

คราวนี้ทั้งถามราคากับโรงแรมให้แน่ใจ ก็ได้รับคำตอบตรงกัน

เราปรึกษากันว่าดึกป่านนี้กลับบ้านดีกว่า ก็พอดีเจอสองสาวนุ่งกางเกงขาสั้นทั้งคู่ สวมเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง หน้าสวยสะดุดตา ปราดเข้ามาชวนเราเที่ยวแบบรายอื่นๆ แถมบอกอย่างรวบรัดว่า...ห้าร้อยเอง ไปศิริพงษ์ หนูขึ้นรถเลยนะพี่!

ผมชักอึ้ง หันไปมองเจ้าโก๋ที่กำลังพึมพำ...เอาก็เอาวะ!

สองสาวขึ้นมานั่งหลังรถแล้ว แสงไฟพุ่งตรงไปยังถนนเปียกโชกดูเป็นเงาวับ อากาศเย็นเฉียบจนน่าขนหัวลุก รถเลี้ยวไปตามข้างวัดพระแก้ว เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตั้งแต่อยู่ตรงหน้า

จู่ๆ เจ้าโก๋ก็ร้องเฮ้ย! เบรกรถพรืดแทบหัวทิ่ม เราหันขวับไปมองพร้อมๆ กันแต่ไม่เห็นสองสาวที่เพิ่งขึ้นรถมาหยกๆ ซะแล้ว!

ผมนั่งตกตะลึง ปากลิ้นแข็งจนพูดไม่ออก เรามองสบตากัน ยกมือไหว้ไปทางวัดพระแก้วกับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เจ้าโก๋เข้าเกียร์มือไม้สั่น ขับรถกลับบ้านโดยไม่ได้พูดจากันเลย...ขนหัวลุกน่ะซีครับ! บรื๋อออ...

EP.033 : หมู่บ้านผี

5 แยกที่ตัดกันกลางป่าเต็งรังค่อนข้างทึบ ไม่มีป้ายบอกว่าเส้นไหนจะไปออกที่ไหน เว้นแต่เส้นทาง 60 กิโลเมตรที่เพิ่งผ่านมาและไม่อยากย้อนกลับไปอีกเท่านั้นที่ผมรู้จัก



ตะวันลาลง แสงฟ้าลับแล้ว ความมืดขมุกขมัวคลี่คลุมป่าที่เริ่มเย็น รถเครื่องของผมครางเหมือนหมาแก่ที่หนาวและหนังเป็นเวิงเรื้อน ถ้ารถเป็นอะไรไปอีกผมก็คงต้องกินข้าวลิงแถวนี้เป็นแน่


“มีทางลัดใกล้กว่าที่คุณจะอ้อมภูลูกนั้น..” คนท้องถิ่นบอกทางแก่ผมตอนก่อนค่ำ

“ไปกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้พวกบนภูจะตีเอารถนะผมบอกไว้ก่อน คุณลัดไปทางนี้เถอะ หมู่บ้านแม้จะห่างก็ยังพออุ่นใจ”

ผมมีทางเลือกไม่มากนัก จะย้อนกลับก็ไม่มีที่จะหวังอันใดอีก หมู่บ้านเวิ้งลากรรม เท่านั้นที่ผมอาจจะพอจะฝากหัวใจร้าวได้ ผมเคยได้ยินจากพ่อว่าญาติห่าง ๆ ของเราคนหนึ่งหักร้างถางพงทำไร่อยู่ที่นั่น

ผมเลือกเส้นทางขวามือซึ่งค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับอีก 4 ทางที่เหลือ ตามคำของคนบอกทาง ความไม่คุ้นทำให้ผมผ่อนคันเร่งลงไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ไฟหน้ารถยังทำงานได้ดีแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีอยู่กี่มากน้อยเพราะบางหนมันก็เคยดับลงไปเฉย ๆ

รถห่าง 5 แยกมาไม่มากนักหูของผมก็ได้ยินเสียงกระดึงคอควายและยิ่งชัดขึ้นเหมือนพวกมันวิ่งไล่กันใกล้เข้ามา อ้าวเฮ้ย..หลบ ๆ เว้ย ความตกใจทำให้กำเบรกและบิดคันเร่ง เสียงเครื่องรถเร่งแรงหากไม่ขยับ

ล้อหลังจึงเบนออกขวา เงาตะคุ่มของควายที่พรวดออกมาอย่างน้อยคงสี่ห้าตัวจากสุมทุมข้างทางวิ่งไปตามทางแคบ ลับหายไปกับความมืด เมื่อจะออกรถอีกครั้งเครื่องยนต์ก็ดับลงกระทันหัน สตาร์ทใหม่อย่างไรก็ไร้แวว

รายรอบมีแต่ความมืด สงัด ดาวดวงเล็กๆแลเห็นริบหรี่ที่ปลายไม้ไกล นอกจากเสียงเปรี๊ยะแตกของสะเก็ดจากกองไฟที่เพิ่งเห็นทางขวามือห่างออกไปไม่มากก็แทบไม่ได้ยินเสียงใดอื่นอีก

เมื่อหมดความหวังที่จะบังคับให้รถเคลื่อนไปด้วยแรงของมันผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝ่าความมืดไปในที่ไม่รู้ กองไฟที่เห็นเป็นที่หวังที่ยังเหลือ

แสงจากกองไฟที่พวยขึ้นเป็นครั้ง ๆ ทำให้มองเห็นได้ว่ารอบ ๆ นี้เป็นที่เกือบโล่ง มีไม้ใหญ่ขึ้นรายรอบ และบ้านชาวบ้านก็น่าจะไม่ไกลจากนี้นัก ผมมัวแต่สังเกตรายรอบไม่ทันได้มองเห็นว่ามีใครนั่งเหมือนผิงไฟอยู่

“มาตามควายรึ เมื่อกี้ลุงเห็นมันไล่กันไปทางโน้น” น้ำเสียงนั้นเจืออารีฟังอุ่นใจ

“เปล่าหรอกครับ ผมจะไปหาญาติ เมื่อกี้ผมก็เกือบชนควายแหละครับ เบรกทันแต่เครื่องรถก็ดับมันสตาร์ทไม่ยอมติด”

“ลุงมานอนเฝ้าสวน บ้านของลุงอยู่ข้างในโน้น” ชายแก่บอกเหมือนรู้ว่าจะถามอะไร ผมเดินเข้าไปใกล้ชายเจ้าของเสียงที่นั่งอังมือเหมือนเอาอุ่น

“แล้วลุงรู้จักบ้านเวิ้งลากรรมไหมล่ะครับ อยู่ห่างจากนี่มากไหม”

“โห้ย รู้จักดี เอ้า..นั่งลงผิงไฟสิ ข้าเองก็มาจากนั่นก่อนมาเอาเมียอยู่ทางนี้ ว่าแต่จะไปทำอะไรที่นั่น ถามจริงๆ พวกหนีคดีมาหลบอยู่นี่ทั้งนั้น หรือว่าเอ็งก็หนีอะไรมา เออ..มันก็ข้ามเนินแบบนี้ไป 2 ลูกก็ถึงล่ะ”

“เออจะว่าหนีก็หนีแหละครับ” ผมค่อยนั่งลง ชายที่นั่งอยู่ก่อนหันมาทางผม แสงจากกองไฟทำให้เห็นได้ว่าแกไว้หนวดเครายาวแต่ไม่ถึงกับรกรุงรัง

“ลุงรู้จักความขมขื่นไหมล่ะครับ ผมหนีมันมาแหละ ไม่ต้องคดีอะไรหรอกลุงสบายใจได้”

“เอ็งว่าน่ะตลกดี เอ็งชื่อไรล่ะ เป็นคนที่ไหน”

ผมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อบ้านเกิดและชื่อญาติที่จะไปหาแก่ชายแก่จนครบถ้วนตามที่แกถาม

“เอ็งมาไกลนี่หว่า ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนก่อนข้าได้เลย จะแขวนเปลนอนก็ได้ ข้าสุมควันตะไคร้ไล่ริ้นยุงแต่หัววันแล้ว นอนได้สบาย”

ไม่สิ้นเสียงของชายแก่ดีผมก็รู้สึกง่วงงุนเสียเต็มประดา ลุกเดินตามแกอย่างว่าง่ายไปที่กระท่อม หลับไปทั้งรองเท้าอย่างนั้นมารู้สึกตัวอีกทีแสงตะวันก็แยงตายิบ ๆ แล้ว

อา..นี่มันเถียงนาร้างข้างป่าช้านี่ และกองไฟกองนั้นแท้จริงเป็นกองฟอนที่ศพเพิ่งไหม้หมดตอนหัวค่ำนั่นเอง ผมเย็นหลังวาบ คำแผ่เมตตาว่าไปโดยอัตโนมัติ ขอบคุณคุณลุงเคราดกที่ดูแลผมอย่างดี

EP.032 : ห้องน้ำนรก

นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่อง จากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง



โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำสีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด


เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!

วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้

นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลัง มีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ

มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว

จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...

รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด! อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!

เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง

เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ข้างนอก

เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง... เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ

นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่

ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?

ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง

"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."

คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องสุขาราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?

โครม! โครม!!

สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องสุขากระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา

คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!

ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตาม ด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวา กรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหูจึงได้ลืมตามอง

เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ

วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียนม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!

EP.031 : เงินใส่ปากศพ

เงินใส่ปากศพ การนำเงินใส่ปากศพ ถือว่าเป็นความเชื่อในสังคมไทย มาช้านาน แม้แต่ชาติอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่อนี้อยู่ไม่น้อย จะแตกต่างกันในข้อปฏิบัติ ซึ่งในสังคมไทยวิธีปฏิบัติก็คือ จะนำ เงินพดด้วง หรือเงินเหรียญบาทหนึ่งหรือจะเป็นเหรียญสลึงสองสลึงไม่กำหนด แล้วห่อผ้าขาว ผูกเชือกไว้หางยาว หย่อนลงในปากศพ ให้เชือกห้อยออกมานอกปาก ถ้าไม่ผูกเชือก จะห่อให้โตพอไม่ให้เลื่อลึกลงไปในลำคอ เพราะเวลานำไปเผาจะได้ เอาออกมาเพื่อเก็บเป็น ที่ระลึกหรือเครื่องรางได้ ในปัจจุบันบางทีก็ใช้ของมีราคา เช่น ทองคำ บรรจุแทนก็ได้ มีคำอธิบาย ไว้หลายเหตุผล



ประการแรก การนำเงินใส่ปากศพก็เพื่อผู้ตายจะได้เอา ทรัพย์ติดตัว ไปใช้สอย ในเมืองผี แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมจึงใส่เงินในปาก แค่เพียงหนึ่งบาทเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของคนจีน จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผู้ตายคราวละมากๆ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันระหว่างความเชื่อของคนไทยกับคนจีน


ประการที่สอง เพื่อให้พิจารณาเห็นว่า บรรดาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ แม้มากสักเท่าใด ตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควักเอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปได้ก็แต่กรรมที่ทำไว้ ซึ่งย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ได้ รับทุกข์ หรือสุขก็ตามแต่กรรมที่ตนได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาอย่าได้ ลุ่มหลงอยู่กับ ทรัพย์สมบัติ

ประการที่สาม เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ที่ต้องนำไปใส่ไว้ในปากเพราะว่าจะได้ค้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลัง เงินใส่ปากศพจะกลายเป็นเงินค่าจ้าง เพราะในสมัยก่อนเงินบาทมีค่ามาก

ตามความเชื่อ ของกรีกโบราณที่เล่าต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ตายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี ซึ่งเมืองนี้อยู่ใต้ เมืองมนุษย์ ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณจะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้างข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูกพิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส"

ในปัจจุบัน ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิคริสตัง ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรงกระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย

ชาวฮินดู ก็มีความเชื่อ ในเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยจะเอาเงินและข้าวสารเล็กน้อยใส่ปากศพ

พวกสิงโพที่เป็น ชาวป่าของพม่า เมื่อแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว จะเอาเนื้อหมูและเหล้าและข้าวเซ่นสรวง และเอาเงินใส่ปากศพ ถ้าผู้ตายเป็นหัวหน้าจะเอาเอาหินแก้วอันมีค่าใส่ไว้ใต้รักแร้ ข้างละเม็ด แล้วจึงนำใส่โลง

ชาวจีนจะเอาอีแป๊ะใส่ปากศพและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .