EP.020 : วิญญาณในตึกคณะพยาบาลศาสตร์

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริง ของคนใกล้ตัวผู้เขียน ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เขียนนั่นเอง เขาได้นำเรื่องมาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกทีหนึ่งมาฟังเรื่องของเขากันเถอะ




ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น เมื่อคืนวันอาทิตย์ พ.ศ. 2529 น้องสาวของผู้เขียนศึกษาอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในขณะนั้นอยู่ชั้นปีที่ 3 ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์

ใครจะรู้ว่าในคืนวันที่เกิดเหตุ อันน่าขนลุกคืนนั้น จะกลายเป็นคืนที่ทำให้น้องสาวของผู้เขียนซึ่งเรียนทางด้านการแพทย์ หันมาเชื่อเรื่อง ภูติผี วิญญาณ อย่างจริงๆ จังๆ

คืนวันนั้น เป็นช่วงใกล้สอบปลายปี นักศึกษาส่วนมากจะหาจับจองที่ ที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เป็นที่อ่านหนังสือ เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือ

ในคืนวันที่เกิดเหตุ ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ น้องสาวของผู้เขียนเขาได้ตระเตรียมหนังสือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมารอเพื่อนที่นัดกันไว้ เพื่อที่จะไปหาที่อ่านหนังสือด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย เพื่อนของเขา ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะดีนัก มารับที่หน้าหอหญิง (สมัยนั้นนักศึกษายังไม่ค่อยมีรถคันสวยๆ รุ่นใหม่ๆ ใช้เหมือนสมัยปัจจุบันนี้) จากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถตระเวนหาที่อ่านหนังสือ จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของทั้งคู่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่ก็มาเจอที่เหมาะๆ ที่จะอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ โดยไม่มีใครรบกวน มันเป็นศาลาไม้หลังเล็กๆ ยกพื้นสูงจากระดับพื้นดินนิดหน่อย มีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ มีแสงไฟเปิดสว่างไว้ อยู่ติดกับข้างๆ ตึกของคณะพยาบาลนั่นเอง บรรยากาศรอบๆ ถูกขนาบข้างด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ซึ่งเขาเล่าว่าปกติแล้วศาลาแห่งนี้จะไม่ค่อยว่างเลย ในวันอื่นๆ ที่ผ่านมาเขาเคยขับรถแวะเวียนมาหลายครั้งไม่เคยได้นั่งสักที จะมีคนนั่งอยู่ก่อนเสมอเพราะบรรยากาศดี สงบเงียบ เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างดี

เมื่อทั้งคู่มาถึงศาลา ก็จอดรถไว้ใต้ต้นหูกวางข้างถนนแล้วก็เดินขึ้นไปบนศาลา พร้อมกับพูดคุยกันว่า " วันนี้โชคดีจังไม่มีใครมานั่งที่ศาลาก่อนเรา" เมื่อหาที่นั่งเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ต่างก็นั่งอ่านหนังสือของแต่และคน โดยไม่พูดคุยกัน จะมีนานๆครั้งที่พูดคุยกัน ซักถามกันในเนื้อหาบทเรียนของหนังสือที่อ่าน บางครั้งเขาก็ละสายตาจากหนังสือมองไปรอบๆ เขาก็เห็นนักศึกษาอีกคู่หนึ่ง นั่งอ่านหนังสือ อยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆ ตึกคณะพยาบาล ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก เขาก็ใจชื้นขึ้นมาว่า ยังพอมีเพื่อนอยู่บ้าง

ทั้งคู่นั่งอ่านหนังสือจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร ขณะนั้นเขามองดูนาฬิกาในข้อมือ เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ทั้งคู่ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า จะเกิดเหตุการณ์อันน่าขวัญผวาขึ้นกับพวกเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนที่ใส่รองเท้าส้นสูง เดินดัง ก๊อก! ก๊อก! ไปมาหลายครั้งในห้องเรียนที่มืดสนิท บนตึกคณะพยาบาลซึ่งอยู่ข้างๆ ศาลาที่เขานั่งนั่นเอง

ทั้งคู่มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างคนต่างก็ก้มหน้าฝืนอ่านหนังสือต่อไป ซึ่งเริ่มจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือแล้ว เสียงจากบนตึกไม่หยุดเพียงเท่านั้น จากเสียงคนเดิน เริ่มมีเสียง ลากเก้าอี้ ดังแกรก กราก ครืดคราด ไปมา ดังขึ้น! ดังขึ้น! และดังขึ้น!

ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง แต่มิกล้าแม้จะเอ่ยปากพูดคุยกัน บรรยากาศตอนนั้น น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเย็นยะเยือก หนาวสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ ขึ้นมาทันที ทำให้ทั้งคู่ ขนลุก ซู่! ขึ้นมาพร้อมๆกัน ต่างคนต่างเก็บหนังสือของตัวใส่กระเป๋า โดยไม่มีการพูดคุยกัน

และขณะที่ทั้งคู่เก็บหนังสืออยู่นั้น เสียงลากเก้าอี้ก็ยังไม่หายไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังแว่วมาจากห้องเดียวกันนั่นเอง ทั้งคู่ได้ยินเหมือนกัน เป็นเสียงเพลงร้องออกมาด้วยเสียงอันโหยหวน เยือกเย็น และลากเสียงยาวๆ ผิดจากเสียงของคนธรรมดา ว่า "บอกว่า...ฉานนน...เสียจาย.....ด้าย....ยีน.....หมายยยย..." ชวนให้ขนลุก ขนพองยิ่งนัก ทั้งคู่ทวีความกลัวขึ้นอย่างสุดขีด โดยไม่มีการรอช้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่หยิบกระเป๋าหนังสือได้ แทบจะกระโดดลงจากศาลา

ทั้งคู่ยังวางฟอร์ม ไม่กล้าวิ่ง แต่ในใจอยากจะวิ่งเต็มทนแล้ว ขณะที่ทั้งคู่เดินโกยแนบมาที่จอดรถ เสียงเพลงนั้นยังดังไล่หลังอยู่เรื่อยๆ และก็ร้องอยู่แต่ วรรคเดิมวรรคเดียว กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นตลอด
ทั้งคู่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่รถ ในใจก็ภาวนาให้รถสตาร์ทติดง่ายๆด้วยเถิด..ปกติแล้วรถจะสตาร์ทติดยาก ดังที่ผู้เขียนได้บอกแต่แรกแล้วว่า รถอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งคู่คิดในใจว่าถ้ารถไม่ติดก็จะทิ้งรถไว้ตรงนั้น และก็จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลย แต่ด้วยเดชะบุญ รถคู่ชีพมันช่วยชีวิตในยามคับขัน หรือจะเป็นด้วยความกลัวทำให้รวบรวมพลัง สตาร์ทรถ เพียงครั้งเดียว เครื่องก็ติดขึ้นมาทันที

ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถ และบิดคันเร่งอย่างสุด สุด เพื่อออกจากที่ตรงนั้นอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ โดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย..

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะคะ วันรุ่งขึ้นของคืนวันนั้น ตอนเวลาประมาณ 3 โมงเช้า เขาก็ได้รับข่าวร้ายจากทางมหาวิทยาลัยว่า มีนักศึกษารุ่นน้องชั้นปีที่ 2 ของคณะพยาบาลได้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนวัว ระหว่างทางจากบ้านมามหาวิทยาลัย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน คือคนขับ ส่วนคนซ้อนท้าย บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวที่โรงพยาบาล

ทราบเรื่องภายหลังว่าน้องนักศึกษาพยาบาลปีที่ 2 พร้อมกับเพื่อน 1 คน ซึ่งพักอยู่ในหอของทางมหาวิทยาลัยได้เดินทางกลับบ้าน ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในวันที่เกิดเเหตุ คือวันอาทิตย์

ผู้เป็นพ่อและแม่ ได้พาลูกสาวไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยม เพื่อจะให้ลูกสาวนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย
กว่าจะทำเรื่องซื้อ-ขายกันเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว พ่อได้บอกกับลูกสาวว่า พรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันจันทร์ พ่อจะเอารถมอเตอร์ไซค์ใส่รถกระบะ แล้วขับไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัย แต่ลูกสาวกำลังเห่อรถคันใหม่ ประกอบกับไม่อยากกลับในวันจันทร์ เพราะจะไม่ทันเข้าเรียน จึงไม่เชื่อฟังพ่อ และขอพ่อกับแม่ว่าจะกลับในวันอาทิตย์ให้ได้ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ พร้อมกับเพื่อนไปมหาวิทยาลัยเอง

ผู้เป็นพ่อกับแม่ก็มิอาจจะทนคำขอของลูกสาวได้ จึงปล่อยให้ลูกสาว ขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ออกจากบ้านพร้อมกับเพื่อน เดินทางกลับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หรือเราเรียกว่า เวลาโพล้เพล้ นั่นเอง

ในระหว่างทาง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เมื่อมีวัววิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด และรถได้พุ่งชนวัวเข้าอย่างจัง ทำให้รถเสียหลัก น้องนักศึกษาซึ่งเป็นคนขับกระเด็นตกข้างทาง คอหักและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนเพื่อนก็บาดเจ็บสาหัสดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ ได้รับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น หัวใจแทบแตกสลาย เป็นลมล้มพับไปตามกัน

ท่านผู้อ่านที่เคารพคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของผู้เขียน และเพื่อนของเขาในคืนวันนั้น มันจะเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่ได้รับอุบัติเหตุ ในวันเดียวกันนี้หรือไม่ ก็มิอาจจะพิสูจน์ได้แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ทั้งสองขวัญผวา และไม่กล้าที่จะไปอ่านหนังสือตรงศาลาข้างตึกนั้นอีกเลย..

หลายวันผ่านไป ทั้งคู่ก็มักจะนำเรื่องเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเล่าให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นว่า เขาก็เจอ เหตุการณ์นั้นเหมือนกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย มีเสียงคนเดินบนตึก มีเสียงลากเก้าอี้ มีเสียงร้องเพลง และก็เป็นเพลงเดียวกัน ในคืนวันเดียวกันด้วย

สรุปแล้วในคืนวันนั้น เจอเหตุการณ์ ขวัญผวา ไป สองคู่ 4 คน ท่านผู้อ่านจำสองคน ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจากคู่ของน้องสาวผู้เขียนได้ไหมคะ คู่นั้นแหละค่ะ ก็โดนเหมือนกัน ทั้งคู่ก็วิ่งหนีอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ ในเวลาไล่เลี่ยกัน

เขาทั้ง 4 คน คิดว่า เสียงต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น มันเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่เสียชิวิตจากอุบัติเหตุคนนั้น คงเป็นวิญญาณของน้องมาวนเวียนอยู่บนตึกที่เคยเรียน และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แล้วท่านผู้อ่านล่ะคะ คิดว่าเสียงบนตึกคณะพยาบาลนั้นเป็น เสียง..ของใคร?

EP.019 : คนเล่นของถึงฆาต

สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไป



ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ


ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระบูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย

"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก

พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่าสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมียของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า

อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!

EP.018 : เขาอยู่ห้องถัดไป

ดิฉันเพิ่งซื้อคอนโดมิเนียมสวยหรูอยู่แถวพระราม 3 ปกติอยู่กับพี่สาวค่ะ แต่ส่วนใหญ่พี่สาวจะทิ้งดิฉันไว้ลำพังเพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตส ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆ ด้วย



เราอยู่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว ดิฉันเจอเรื่องสยอง ซึ่งทีแรกไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคืออะไรแน่?


บนชั้น 25 นี้มีห้องชุดว่างอยู่ 2 ห้องค่ะ ห้องหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก เห็นวิวยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่จริงมันสวยมาก ดิฉันชอบ แต่พี่สาวบอกว่าอย่าอยู่เลย มันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้

เป็นอันว่าเราซื้อห้องชุดที่อยู่ติดกัน แต่หันหน้าไปทางทิศเหนือ และมีหน้าต่างมองเห็นวิวยามพระอาทิตย์ขึ้นด้วย เออ...มันดีกว่าจริงๆ แหละ! ห้องที่พี่สาวเลือกนี้ดูสดชื่นรื่นรมย์ บรรยากาศแตกต่างกันลิบลับ แม้จะไม่ได้เห็นลำแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตาม


ตอนที่เราตกลงใจเลือกซื้อห้องนี้ คนที่ขายห้องดูผิดหวังยังไงๆ อยู่...เห็นเธอแอบถอนใจเฮือกเลยค่ะ

ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั่นคงขายไม่ออกสักที แต่ดิฉันอยากปลอบใจเธอว่า อีกไม่นานก็คงขายได้หรอกน่า เพราะมีคนต้องการ...เห็นมีมาดูบ่อยๆ ทั้งคนไทยและพวกเกาหลี

ห้องนอนดิฉันมีผนังเดียวกับห้องชุดที่ว่างอยู่นั้น คืนหนึ่ง หลังจากเข้ามาอยู่ได้แค่ 2-3 วัน พี่สาวต้องไปบิน ตอนดึกดิฉันได้ยินเสียงคนอยู่ในห้องข้างๆ


ที่จริงมันแปลกมาก เราไม่น่าได้ยินเสียงลอดออกมาได้ชัดเจนขนาดนั้นเลย!

จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม ดิฉันอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย ดันไฟกลางห้องแล้วขึ้นเตียง ซุกผ้านวมอย่างแสนสบาย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิด มีเสียงเด็กผู้หญิงเล็กๆ 2 คน เสียงผู้ชายกับผู้หญิงซึ่งคงเป็นพ่อแม่...พวกเขาดูราวกับเพิ่งกลับจากไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์

เมื่อได้ยินดิฉันก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะหงุดหงิด ...คอนโดฯ ดีๆ ทำไมผนังกั้นห้องบางจนเสียงจากห้องอื่นดังมารบกวนเราได้นะ?

ดิฉันหลับตา นึกเห็นภาพครอบครัวเล็กๆ ที่น่ารักในห้องข้างๆ แล้วก็เพลินจนไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ...และฝันไปว่าตัวเองเดินเข้าไปอยู่ในห้องนั้น

ในฝัน ดิฉันเห็นสภาพภายในห้อง มันมีบรรยากาศน่าอบอุ่น เขาจัดแต่งห้องอย่างน่ารัก มีโซฟาหนานุ่มสีเนื้ออ่อนๆ วางหมอนสีต่างๆ เรียงราย ด้านหนึ่งมีโต๊ะเรียนของเด็กๆ 2 โต๊ะ....

นั่นไง! เด็กผู้หญิงอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ 2 คน น่าเอ็นดูมาก พวกเธอตัวเล็กบอบบาง มีรูปร่างเพรียวราวกับนักระบำบัลเล่ต์ตัวน้อยๆ เธอสบตากับดิฉัน ดวงตากลมโตจ้องแป๋ว...และแล้ว ดิฉันก็เห็นผู้เป็นพ่อเดินมาเปิดทีวี...เขายิ้มให้ดิฉันด้วย ขณะที่ผู้เป็นภรรยาเดินถือถาดอาหารว่างออกมาจากห้องครัวเล็กๆ

ดิฉันรู้สึกราวกับเป็นแขกผู้ได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมสถานที่นั้น...ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่อย่างเป็นกันเองที่สุด

ทันใดนั้นเอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...

ไฟสลัวลง ห้องเก่าโทรม ฝุ่นและหยากไย่ใยแมงมุมเกาะเต็ม โซฟาฉีกขาดจนเห็นฟองน้ำข้างใน...และมีคราบเลือดเกรอะกรัง

เด็กผู้หญิงทั้งสองเปลี่ยนสภาพเป็นซากศพแห้งๆ ที่ยังยืนจ้องดิฉันในท่าเดิม ผู้เป็นพ่อแม่ก็เช่นกัน เขาเป็นศพยับเยินเปรอะเลือด กะโหลกยุบ ใบหน้าเหวอะหวะ และมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยองสิ้นดี!

ดิฉันถอยกรูดและพยายามจะหนี แต่วิ่งไม่ออกค่ะ...

ตกใจผวาตื่น เหนื่อยใจแทบขาด เหงื่อผุดพราวเต็มตัวทั้งๆ ที่แอร์เย็นฉ่ำ

ฝันร้ายอะไรจะน่ากลัวขนาดนั้น? ฉับพลัน เสียงเด็กหญิงหัวเราะร่วนก็ดังประสานมาจากข้างห้อง เล่นเอาขนลุกซ่า จากนั้นทุกอย่างก็เงียบกริบลง!

ถัดจากคืนนั้น ดิฉันยังได้ยินเสียงเหมือนเดิมทุกค่ำ ตอนราว 4 ทุ่ม และฝันร้ายเป็นประจำ...ฝันว่าหลุดเข้าไปอยู่ในห้องนั้นกับพ่อแม่ลูกที่เป็นผี บางคืนก็น่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ...เพราะในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ดิฉันได้ยินเสียงเด็กหญิง 2 คนเล่นกัน และแล้ว ร่างของเธอก็ทะลุผนังมาอยู่บนเตียงในพริบตา

เตียงสั่นและไหวยวบจนสะดุ้งตื่น แต่เมื่อตื่นเต็มตามันก็ไม่มีอะไร...เสียงจากห้องข้างๆ ก็เงียบกริบ

ที่น่าแปลกใจอีกอย่างก็คือ เมื่อใดที่พี่สาวอยู่ด้วย ดิฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ แม้จะเอาหูแนบผนังแอบฟังก็ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น!

วันหนึ่ง ดิฉันอดรนทนไม่ไหวก็เลยเล่าให้พี่สาวฟัง

เธอไม่ยักหัวเราะ แต่ดูครุ่นคิดและกังวล

ในที่สุด เราก็แกล้งถามเจ้าหน้าที่ของคอนโดฯ ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าลิฟต์ชั้นล่าง เธออึ้งไปนาน ทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แถมมีท่าทางตื่นกลัวหน่อยๆ ด้วย ดิฉันบอกว่าอยากเห็นและอยากรู้จักเพื่อนข้างห้องจังเลย

เธออุบๆ อิบๆ ว่าห้องนั้นยังว่างอยู่! ว่างจริงๆ ว่างมานานแล้ว ก่อนที่เราจะมาซื้อที่นี่ เจ้าของห้องนั้นเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก อย่างที่ดิฉันพูดถึง แต่พวกเขาประสบอุบัติเหตุ รถชนกันอย่างรุนแรง และตายยกครอบครัว...มันน่าเศร้าจริงๆ

คราวนี้ดิฉันกลับเป็นฝ่ายอึ้ง พอได้สติก็รบเร้าพี่สาวให้ไปหาที่อยู่ใหม่กันดีกว่า เธอก็เห็นด้วย ดิฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ คิดดูสิคะ ดิฉันต้องอยู่คนเดียวนะ..อำลาดีกว่าค่ะงานนี้!

EP.17 : คุณแม่ผู้ดีถ่ายภาพติดวิญญาณ "ผีเพื่อนลูก"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 7 เม.ย.เกิดเหตุระทึกสร้างความฮือฮาไปทั่วเมืองเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ เมื่อนางซาราห์ สมิธ แม่ลูกหนึ่งได้ถ่ายติดวิญญาณเด็ก โดยเป็นภาพเด็กชายซิริอุส ลูกชายของเธอ และวิญญาณเด็กอายุน้อยอยู่ข้างๆ ภาพดังกล่าวถูกบันทึกบ้านของนางซาราห์ ในเมืองเซอร์เรย์ ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นเมืองที่มีเสียงร่ำลือว่า มักเกิดเหตุการณ์ประหลาดๆ อยู่บ่อยครั้ง





รายงานระบุว่า นางจูเลีย แม่ของซาราห์และยายของด.ช.ซิริอุส ยืนยันว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพจริง ไม่ใช่ภาพปลอมตบแต่ง แต่เธอก็ไม่รู้ตกใจจากการปรากฎตัวของผีเด็กดังกล่าว เนื่องจากด.ช.ซิริอุส สามารถเข้ากับวิญญาณเด็กดังกล่าวได้อย่างดี และว่าเบื้่องหลังภาพถ่ายนี้มาจากการที่ลูกสาวของเธอได้ถ่ายภาพลูกชาย แต่ปรากฎว่าเกิดภาพรัศมีสองดวงขึ้นในภาพ ทำให้เธอลบภาพดังกล่าว และถ่ายภาพใหม่ ก่อนจะกลายเป็นภาพดังกล่าวที่มีวิญญาณเด็กปรากฎอยู่ข้างด.ช.ซิริอุส

นางจูเลีย กล่าวว่า เธอยังไม่รู้สึกตื่่นกลัวจากการเห็นผีเด็กจากภาพดังกล่าว เนื่องจากครอบครัวเธอมีเพื่อนซึ่งก่อนหน้านี้เคยบอกว่า บ้านของเธอมีวิญญาณอยู่ รวมทั้งวิญญาณเด็กหญิงที่เล่นกับด.ช.ซิริอุส หลานของเธอด้วย นอกจากนี้ เธอบอกว่า ครอบครัวเธอประสบเหตุการณ์ผีเด็กเล่นตั้งแต่ช่วงด.ช.ซุรุอุส เกิดใหม่ๆ โดยในขณะที่หลานของเธอนอนอยู่ในเปล ปรากฎว่า เปลเกิดแกว่งเองโดยไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว

EP.016 : หัวที่มีชีวิต (The Living Severed Head)

เรื่องเล่า เมื่อโดนตัดหัว หัวของผู้ตายหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!



เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม จากหลักฐานและผลวิจัย ผมขอบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ!! เหลือเชื่อครับ ว่าหัวเราแม้จะโดนตัดคอแต่เรายังมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง โดยสมองสามารถสั่งการได้ประมาณ 15 วินาทีหลังถูกตัดคอครับ


1794 เพชฌฆาตคนหนึ่ง ตัดคอนักโทษโจรกรรม Paul Marat จากนั้นเขาก็หยิบหัวเธอชูสูงขึ้นและตบแก้ม และแล้วหัวที่ถูกตัดนั้นได้พูดคำว่า “ไม่ได้”(couldn)

1836 เพชฌฆาตชื่อคนหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเห็นหัวของนักโทษชื่อ Prunier กะพริบตามายังเขา

ใน 1879 แพทย์ทำการทดลองสูบเลือดสุนัขใส่เข้าไปในหัวฆาตกรชื่อ Menesclou หลังจากเขาโดนตัดหัวนานสามชั่วโมง แต่แล้วเขาก็พบว่าหัวนั้นมีชีวิตอยู่ มันสั่นริมฝีปาก, ดึงหนังตา, และหัวทำท่าทางพูดแม้จะไม่มีคำออกมาก็ตาม

ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา

แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า

"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”

ขอบคุณ : http://www.straightdope.com/columns/read/1172/does-the-head-remain-briefly-conscious-after-decapitation

EP.015 : ความตายในกลหลบหนี The Not-So-Death Defying Escapist

เรื่องเล่า มีนักมายากลคนหนึ่งคิดกลหลบหนีโดยให้คนอื่นมัดเขาใส่กุญแจมือแล้วหย่อนให้ฉลามกิน แต่แล้วเมื่อถึงเวลาแสดงจริงเขากลับลืมกุญแจ ส่งผลให้เขากลายเป็นเหยื่อฉลามในที่สุด



แน่นอนกลการหลบหนีนั้นมันเป็นกลอันตราย นักมายากลหลายรายมักบาดเจ็บและเสียชีวิตจากกลนี้เสมอ แต่เจ้าหมอนี้นั้นทำให้เราประหลาดใจ ชายที่ชื่อ เบอร์รุส (Burrus)

เบอร์รุสเป็นศิลปินกลหลบหนี แต่หมองูก็ตายเพราะงูเมื่อเขาทำการแสดงกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา “กลฝังทั้งเป็น” โดยเขาจะทำหลบหนีจากหลุมฝังศพด้วยตัวเองของ ในโลงศพแก้งในขณะที่ตัวเขาสวมกุญแจมือและคล้องโซ่อย่างหนาแน่นจากนั้นโรงศพนั้นถูกหย่อนลงในหลุมลึกถึงเจ็ดฟุต-สามฟิท และมันก็ถูกกลบเหมือนครีมโรยหน้าขนมบนเค้ก


ไม่รู้เคล็ดลับของกลนี้เป็นอย่างไร แต่ที่นี้หลายๆ คนก็ประหลาดใจเมื่อเบอร์รุสไม่ปรากฏตัวให้คนอื่นเห็น หลายฝ่ายเห็นท่าไม่ดี พวกเขาเลยต้องรีบขุดโลงศพของนักมายากลคนนั้นออกมาดู ก็พบว่าเขาตายคาที่เนื่องจากโลงศพของเขาแตก ดินหนักกว่า7ตันทะลักทับตัวเขาจนขาดอาการหายใจ

มีการสอบสวนในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าเขาอาจถูกฆาตกรรม มีใครบางคนสับเปลี่ยนโลงให้มันเบาะบางลง เพื่อเป็นการดับดาวรุ่ง แต่ปริศนาก็เป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน

ขอบคุณ : http://www.aintnowaytogo.com/burrus.htm

EP.014 : ชู้รักไร้หัว (The Headless Lover)

เรื่องเล่า หญิงท้องคนนึง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ แต่หลักๆแล้วมันก็แนวนี้แหละ



จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt Stephen Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมัน.......(ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ) ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์


โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก

ธันวาคมตอนเย็น ไดแอนตั้งครรภ์ในเตียงโรงพยาบาลเธอโทรศัพท์ถึงชู้รักเธอเกรกอรี่ และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาด ไดแอนไม่รู้อะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้นแต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า

"ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว

ขอบคุณ : http://www.snopes.com/horrors/gruesome/headless.asp

EP.013 : ผู้หญิงพิษ (The Toxic Woman)


เรื่องเล่า ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรองกับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส-ดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา..

เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ Gloria Ramirez อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทางใต้ของRiverside ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูดตะกุตะกะ โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ



คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดให้กับ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่น ของผลไม้ออกจากปากของเธอ

แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาล Susan Kaneทำการแนบกระบอกฉีดยา และเธอเลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น คลื่นเยนอาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชักอีกคน จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมานและตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาที หลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ(แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดสามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรมาถึงเกิดเลือดพิษแบบนี้ ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

ขอบคุณ : http://discovermagazine.com/1995/apr/analysisofatoxic493

EP.012 : ศพในพรม (The Corpse in the Carpet)


เรื่องเล่า มีชายคนหนึ่งพบพรมปูพื้นเก่าๆ ในซอย เขาชอบพรมนี้เลยเอากลับบ้านเพื่อปูพื้นบ้านแบบฟรีๆ แต่เมื่อเขาคลี่พรมออกเขากลับพบสิ่งหน้ากลัวที่อยู่ในพรม มันคือศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆ ของชายคนหนึ่ง และตู้เย็นและตู้เสื้อผ้าของเขาเก็บมาได้ก็เช่นกันเมื่อเขาเปิดออกมามีศพเป็นชิ้นส่วนถูกสับทิ้งราวกับขยะไม่ปาน มันเป็นเครื่องเตือนความจำว่าอย่าเก็บของเก่ามาใช้ใหม่เด็ดขาดไม่งั้นคุณอาจเจอดี





ในปี ค.ศ. 1984 สามนักเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบการม้วนพรมบนทางเดินริมถนน จากนั้นพวกเขาก็ลากมันกลับบ้าน(จะบ้าเรอะพรมของใครก็ไม่รู้) และเมื่อเขาลากพรมเข้าห้องนอนรวม พวกเขาก็ม้วนพรมออกและค้นพบศพที่เน่าเหม็นนานแล้วของผู้ชายไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง เขาตายด้วยกระสุนปืนสองนัดในกะโหลกศีรษะของเขา

และคดีนี้เป็นคดีปริศนาไม่มีใครรู้ตัวฆาตกร แต่ที่แน่ๆ สามนักเรียนคนนั้นโดนปรับเงินกว่า 50 พันดอลลาร์ฐานทำลายหลักฐาน เคลื่อนย้ายศพออกจากที่เกิดเหตุ(สม ขี้เหนียวดีนัก โดนซะ)

ขอบคุณ : http://www.angelfire.com/hiphop2/crazyeri/urban.html#under

EP.011 : บางสิ่งในภาพนั้น (Something Off About That Picture)

เรื่องเล่า มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถามหญิงชราว่านี่ใครกัน



“โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”


มีประเพณีประหลาดๆ เกิดขึ้นในประเทศยุโรปตะวันออกและบางที่ในสหรัฐครับ มันถูกเรียกว่า Post-mortem photography หมายถึงภาพหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต(ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก)ก่อนนำไปฝัง ซึ่งมีคนดังหลายคนได้รับการบริการแบบนี้เช่น ซีเรีย(Church) หัวหน้าบาทหลวงหลังตายก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น

ในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียศิลปะแบบนี้นิยมกับมาก ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาวหรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว เด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บ่อยบางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ

ศิลปะนี้สาปสูญในศตวรรษที่ 19 แต่กระนั้นมันก็ยังมีให้เห็นอยู่ศตวรรษ 20 ในราชวงศ์ชั้นสูงบางแห่ง

ขอบคุณ : http://en.wikipedia.org/wiki/Post-mortem_photography
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .