EP.035 : สยองขวัญบนเครื่องบิน

เรื่องนี้เกิดมานานแล้วละครับ ตั้งแต่พ.ศ.2538 โน่น ผมไปเรียนเกี่ยวกับเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ ยู ซี อาร์ มหาวิทยาลัยของเมืองริเวอร์ไซด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คุณลุงผมเป็นแพทย์ที่ไปทำงานและมีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่น ผมก็เลยสบายแฮ



ที่ว่าสบายคือไม่ต้องเสียค่าที่ พัก แถมอาหารก็ฟรี เพราะผมเป็นหลานคนโปรด แต่ผมก็ช่วยงานบ้านคุณลุงกับคุณป้าทุกอย่าง เพราะรักและอยากจะตอบแทนความเมตตาของท่าน

แม่ผมไปเยี่ยม อยู่ด้วยกันถึง 6 เดือน แม่ยังตะลึง บอกว่าอยู่เมืองไทยน่ะผมแสนจะเป็นคุณหนูเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดฝุ่น ล้างห้องน้ำ และรีดผ้าก็เป็นด้วย

ที่อเมริกามีวิชาที่ผมชอบมาสนองความต้องการเพียบ เรียนจบ 4 ปีแล้วผมยังอยู่ต่อ สมัครเข้าเรียนคอร์สสั้นๆ เช่น กราฟิกดีไซน์ การวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคพิเศษต่างๆ

สรุปรวมแล้ว ผมเพลิดเพลินจำเจริญใจอยู่เกือบ 6 ปี และในช่วงนั้น ผมกลับมาเยี่ยมเมืองไทยแค่ครั้งเดียว


เป็นครั้งที่ผมโดนผีหลอกนี่ละครับ!

ผมกลับมาเป็นคุณหนูเทวดาอยู่กับแม่หนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นก็ถึงเวลาเหินฟ้าด้วยสายการบินของเพื่อนบ้าน ขาประจำของผม...ตรงกลับแอลเอ

การบินเที่ยวนี้ผมฉายเดี่ยว ที่นั่งในเครื่องบินเต็มทุกที่ยังกะแจกตั๋วฟรี ดีนะที่เราจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว ผมได้ที่นั่งฝั่งหน้าต่างด้านซ้าย แต่ไม่ได้นั่งชิดติดหน้าต่างนะครับ เก้าอี้แถวนี้จะมี 3 ตัว ผมนั่งริมทางเดิน นึกเสียดายเพราะผมชอบนั่งติดหน้าต่าง ดูเมฆดูดาวให้เพลิดเพลิน

ปรากฏว่าคนที่มานั่งตรงนั้นเป็น คุณตาแก่ๆ อายุสัก 70 เห็นจะได้ หน้าตาใจดี แต่เศร้าจัง แกมีอัธยาศัยไมตรีกับผมดีมาก แต่ก็ชอบนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างเงียบๆ

ที่ผมบอกว่าตะกี้ว่าที่นั่งเต็ม ทุกที่น่ะไม่จริงหรอกครับ เก้าอี้ระหว่างผมกับคุณตายังว่างอยู่ ก็แปลว่าทั้งเครื่องบินจัมโบ้ 747 ลำนี้มีว่างอยู่ที่เดียวจริงๆ

คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมโชคดีไม่ต้องนั่งเบียดกับคุณตา!

เครื่องบินแวะที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปแวะที่ไทเป ก่อนจะบินยาวตรงดิ่งไปฮาวาย ผู้โดยสารกินอาหารค่ำตามเวลาท้องถิ่น แล้วก็แย่งกันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสฉายหนังแล้วก็ปิดไฟมืด ยกเว้นบางคนอยากอ่านหนังสือก็เปิดไฟดวงเล็กๆ เหนือเก้าอี้ตัวเอง

คุณตาแกหลับไปแล้ว แหม! หลับง่ายดีจัง ส่วนตัวผมน่ะเป็นอะไรไม่รู้ซี ขึ้นเครื่องทีไรมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่มีวันหลับสนิทได้เลยซักครั้ง

คราวนี้ก็เช่นกัน! ผมหลับตานิ่งๆ เพราะอยากพักผ่อน ไม่รู้หลับหรือเปล่า แต่หนังที่ฉายก็จบไปแล้ว ไม่มีแสงวูบวาบกวนตา ทั่วทั้งลำเงียบสงบ มีแต่เสียงเครื่องยนต์กับแอร์ดังหึ่งๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รำคาญอะไร

ทันใดนั้น ผมรู้สึกดิ่งเข้าภวังค์คล้ายจะเคลิ้มหลับ แต่เอ...ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นา

ผมไม่ชอบความรู้สึกดิ่งเหมือนโดนแม่เหล็กดูดแบบนี้ ก็เลยลืมตา แต่หนังตามันหนักมาก...ได้แต่ปรือๆ คิดว่าเราคงนอนทับเส้นเลือดมั้ง เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการแบบผีอำ...ผมพยายามขยับร่างกายก็ทำไม่ได้

และแล้ว ตรงทางเดินระหว่างแถวเก้าอี้ ห่างจากผมไปราว 2-3 ก้าว ผมก็เห็นร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นพรม...หัวมาก่อนเลยครับ!

เป็นผู้หญิงแก่ๆ ผมบางๆ สีเทาเงินนั้นรวบตึงเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เธอลอยตรงๆ ขึ้นมาทั้งตัว

ในแสงสลัวๆ ผมเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงสีอ่อนๆ ยาวครึ่งแข้ง ตอนสาวๆ เธอคงหุ่นดีน่าดู เพราะสูงเพรียว คอยังระหงอยู่เลยครับ ลักษณะท่าทางก็ผู้ดี๊ผู้ดี...เสียอย่างเดียวคือผมรู้แน่ๆ ชัวร์ๆ ว่า...เธอเป็นผี!!

ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย?

เธอลอยเข้ามาใกล้อย่างน่าตกใจ เห็นเลยครับว่าเท้าเธออยู่เหนือพื้นทางเดินขึ้นมาราวคืบหนึ่ง

ที่น่าสยองสุดๆ คือ เธอลอยผ่านที่นั่งผมโดยไม่ต้องขยับขาเบี่ยงหลบให้...ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ เพราะมันขยับไม่ออก มิหนำซ้ำยังหนาวเข้ากระดูกดำ เหมือนทั้งตัวผมกลายเป็นไอติมแท่งไปแล้ว!

ผีผู้หญิงลอยลงนั่งเก้าอี้ตรงกลางระหว่างผมกับคุณตานั่นแหละ จากหางตาผมเห็นนั่งเอาแขนพาด โอบกอดร่างคุณตา ศีรษะเธอเอนซบลงช้าๆ

แล้วผมก็หลับสนิทวูบไปเลย หรือสิ้นสติเพราะความกลัวสุดขีดก็ไม่ทราบ

เครื่องลงแวะฮาวาย คุณตาบอกล่ำลาผม ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า เห็นหน้าเซียวๆ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง แต่ก็อดพูดคุยลัดเลาะถามโน่นถามนี่ จนมาถึงคำถามว่า...คุณตามาเที่ยวหรือมีลูกหลานที่ฮาวาย?

ได้เรื่องเลยครับ...คุณตาบอกว่า บ้านแกอยู่ฮาวาย ทำธุรกิจที่นี่แล้วไปเที่ยวเมืองไทยกับคุณยาย แต่คุณยายหัวใจวาย น่าเศร้ามาก...คุณตานำคุณยายใส่โลงขึ้นเครื่องบินมาทำพิธีฝังที่นี่

นั่นไง...นึกแล้วเชียว!

EP.034 : หิ้วสาวที่สนามหลวง

ผมเป็นคนค่อนข้างกลัวผีพอสมควร จะเรียกว่าครึ่ง-ครึ่งก็ได้ แม้ว่าจะยังไม่เคยโดนผีหลอกมาก่อน...จนกระทั่งถึงวันมหาซวยสุดขีดคืนก่อนนี่เอง!



สาเหตุมาจากนิสัยชอบเที่ยวเตร่เสเพล หาเงินง่าย ใช้เงินคล่อง เพื่อนฝูงอื้อซ่า แต่ที่ซี้กันพิเศษคือเจ้าโก๋ เพราะโสดกับรักสนุกเหมือนกัน ทั้งสุรานารีไม่ค่อยขาด แต่ดีอย่างที่ไม่เล่นยากับการพนัน...คนหนุ่มๆ สมัยนี้จะให้ดีเต็มร้อยคงลำบากนะครับ ผมว่า


คืนเกิดเหตุ เราไปเที่ยวโรงนวดแผนไทยที่ปิ่นเกล้า เพราะชักเบื่อโรงนวดธรรมดากับสปาแบบซ่อง เจ้าโก๋มีรถยนต์ที่พ่อซื้อให้ เผลอๆ มันก็ออกไปแรดคนเดียว เจอทีเด็ดจากด๊อกเตอร์นวดแผนไทยที่นั่น เอามาสาธยายให้เพื่อนฟัง

ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 สาวๆ นั่งสลอนเต็มตู้ ที่ผมสนใจเพราะเจ้าโก๋ยืนยันว่า นวดอย่างเดียว 2 ชั่วโมงแค่ 140 บาท ถ้าอยากเข้าห้องพิเศษมีห้องน้ำต้องจ่าย 280 บาท

ดาราที่นี่คือน้องขวัญกับน้องแนน บังเอิญเราไม่ได้โทร.ไปจอง สองสาวเพิ่งขึ้นไปทำงานหยกๆ กว่าจะครบรอบก็เกือบ 5 ทุ่ม เราซดเบียร์คนละขวดแล้วข้ามฟากไปแถวราชดำเนิน แวะร้านข้าวต้มสกายไฮ นั่งโต๊ะบนบาทวิถีจะได้สูบบุหรี่กันตามสบาย

หมดเบียร์แกล้มเป็ดพะโล้กับปลาใบขนุนทอดไปราว 3-4 ขวด ตบท้ายด้วยซูเปอร์-น่องไก่ต้มซุปรสโอชะ...ฝนปรอยมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ตัดสินกลับบ้านดีกว่า

เจ้าโก๋ขับรถข้ามสะพานเสี้ยวแทนที่จะข้ามปิ่นเกล้าไปบางพลัด เจ้าโก๋ดันเลี้ยวไปทางวัดพระแก้วโน่น บอกว่าไปดูผีขนุนยุคใหม่ดีกว่า คลั่กๆ อยู่แถวต้นมะขามรอบท้องสนามหลวงทุกคืน มีทั้งชายและหญิงเรียกว่า "ผีมะขาม" ไงล่ะ

ผมสงสัยว่าดึกดื่นฝนตกแบบนี้จะมีเรอะ? เจ้าโก๋กลับหัวเราะ...ความหิวน่ะมันไม่เลือกเวลาหรอก ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกมันก็หิวทั้งนั้นแหละ!

จริงของมันแฮะ! พอเลี้ยวไปทางฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์กับธรรมศาสตร์ หันไปมองก็เห็นสาวยืนกางร่มอยู่ใต้ต้นมะขาม ยืนเดี่ยวก็มี สองคนก็มี พอเห็นรถเราชะลอ เข้าเทียบคุณเธอก็ปราดเข้ามาหา พร้อมๆ กับผมไขกระจกลง

"เที่ยวมั้ยพี่? ห้าร้อยเองค่ะ" เธอบอกแจ๊วๆ เห็นในแสงไฟก็หน้าตาดีพอใช้ "ไปโรงแรมใกล้ๆ มหาดไทยนี่เอง"

"พี่มากันสองคน แต่น้องมีคนเดียวนี่"

"เพื่อนหนูมี จะเอากี่คนก็ได้...ว่าไงล่ะพี่? ไปเถอะ ฝนยิ่งตกๆ อยู่ด้วย"

"ขอดูไปเรื่อยๆ ก่อนนะ" ผมบอก เจ้าโก๋ออกรถไปได้หน่อยก็แวะเข้าไปอีก คราวนี้สองสาวก้าวเข้ามายืนพร้อมๆ กัน เจ้าโก๋ยื่นหน้าเข้าไปถามราคา...เท่ากับรายก่อนแฮะ คงจะเป็นมาตรฐานของที่นี่ล่ะมั้ง?

ผมสงสัยว่าเป็นกะเทยหรือเปล่า? คำตอบจากสาวร่างเล็กผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้นก็คือ....ใช่ค่ะ แต่หนูแปลงเพศมาแล้วนะ!

เจ้าโก๋ทำคอย่น ขอตัวออกรถไปแวะหาคนอื่นดูก่อน ผมสังเกตว่ามีผู้ชายยืนหลบๆ อยู่หลังโคนมะขาม คงจะเป็นแมงกะจั๊วหรือนักเลงประจำถิ่น คอยดูแลความเรียบร้อย...จนกระทั่งเราอ้อมกลับมาอีกครั้ง เพราะทางถนนราชดำเนินในสว่างเกินไป

คราวนี้ทั้งถามราคากับโรงแรมให้แน่ใจ ก็ได้รับคำตอบตรงกัน

เราปรึกษากันว่าดึกป่านนี้กลับบ้านดีกว่า ก็พอดีเจอสองสาวนุ่งกางเกงขาสั้นทั้งคู่ สวมเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง หน้าสวยสะดุดตา ปราดเข้ามาชวนเราเที่ยวแบบรายอื่นๆ แถมบอกอย่างรวบรัดว่า...ห้าร้อยเอง ไปศิริพงษ์ หนูขึ้นรถเลยนะพี่!

ผมชักอึ้ง หันไปมองเจ้าโก๋ที่กำลังพึมพำ...เอาก็เอาวะ!

สองสาวขึ้นมานั่งหลังรถแล้ว แสงไฟพุ่งตรงไปยังถนนเปียกโชกดูเป็นเงาวับ อากาศเย็นเฉียบจนน่าขนหัวลุก รถเลี้ยวไปตามข้างวัดพระแก้ว เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตั้งแต่อยู่ตรงหน้า

จู่ๆ เจ้าโก๋ก็ร้องเฮ้ย! เบรกรถพรืดแทบหัวทิ่ม เราหันขวับไปมองพร้อมๆ กันแต่ไม่เห็นสองสาวที่เพิ่งขึ้นรถมาหยกๆ ซะแล้ว!

ผมนั่งตกตะลึง ปากลิ้นแข็งจนพูดไม่ออก เรามองสบตากัน ยกมือไหว้ไปทางวัดพระแก้วกับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เจ้าโก๋เข้าเกียร์มือไม้สั่น ขับรถกลับบ้านโดยไม่ได้พูดจากันเลย...ขนหัวลุกน่ะซีครับ! บรื๋อออ...

EP.033 : หมู่บ้านผี

5 แยกที่ตัดกันกลางป่าเต็งรังค่อนข้างทึบ ไม่มีป้ายบอกว่าเส้นไหนจะไปออกที่ไหน เว้นแต่เส้นทาง 60 กิโลเมตรที่เพิ่งผ่านมาและไม่อยากย้อนกลับไปอีกเท่านั้นที่ผมรู้จัก



ตะวันลาลง แสงฟ้าลับแล้ว ความมืดขมุกขมัวคลี่คลุมป่าที่เริ่มเย็น รถเครื่องของผมครางเหมือนหมาแก่ที่หนาวและหนังเป็นเวิงเรื้อน ถ้ารถเป็นอะไรไปอีกผมก็คงต้องกินข้าวลิงแถวนี้เป็นแน่


“มีทางลัดใกล้กว่าที่คุณจะอ้อมภูลูกนั้น..” คนท้องถิ่นบอกทางแก่ผมตอนก่อนค่ำ

“ไปกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้พวกบนภูจะตีเอารถนะผมบอกไว้ก่อน คุณลัดไปทางนี้เถอะ หมู่บ้านแม้จะห่างก็ยังพออุ่นใจ”

ผมมีทางเลือกไม่มากนัก จะย้อนกลับก็ไม่มีที่จะหวังอันใดอีก หมู่บ้านเวิ้งลากรรม เท่านั้นที่ผมอาจจะพอจะฝากหัวใจร้าวได้ ผมเคยได้ยินจากพ่อว่าญาติห่าง ๆ ของเราคนหนึ่งหักร้างถางพงทำไร่อยู่ที่นั่น

ผมเลือกเส้นทางขวามือซึ่งค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับอีก 4 ทางที่เหลือ ตามคำของคนบอกทาง ความไม่คุ้นทำให้ผมผ่อนคันเร่งลงไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ไฟหน้ารถยังทำงานได้ดีแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีอยู่กี่มากน้อยเพราะบางหนมันก็เคยดับลงไปเฉย ๆ

รถห่าง 5 แยกมาไม่มากนักหูของผมก็ได้ยินเสียงกระดึงคอควายและยิ่งชัดขึ้นเหมือนพวกมันวิ่งไล่กันใกล้เข้ามา อ้าวเฮ้ย..หลบ ๆ เว้ย ความตกใจทำให้กำเบรกและบิดคันเร่ง เสียงเครื่องรถเร่งแรงหากไม่ขยับ

ล้อหลังจึงเบนออกขวา เงาตะคุ่มของควายที่พรวดออกมาอย่างน้อยคงสี่ห้าตัวจากสุมทุมข้างทางวิ่งไปตามทางแคบ ลับหายไปกับความมืด เมื่อจะออกรถอีกครั้งเครื่องยนต์ก็ดับลงกระทันหัน สตาร์ทใหม่อย่างไรก็ไร้แวว

รายรอบมีแต่ความมืด สงัด ดาวดวงเล็กๆแลเห็นริบหรี่ที่ปลายไม้ไกล นอกจากเสียงเปรี๊ยะแตกของสะเก็ดจากกองไฟที่เพิ่งเห็นทางขวามือห่างออกไปไม่มากก็แทบไม่ได้ยินเสียงใดอื่นอีก

เมื่อหมดความหวังที่จะบังคับให้รถเคลื่อนไปด้วยแรงของมันผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝ่าความมืดไปในที่ไม่รู้ กองไฟที่เห็นเป็นที่หวังที่ยังเหลือ

แสงจากกองไฟที่พวยขึ้นเป็นครั้ง ๆ ทำให้มองเห็นได้ว่ารอบ ๆ นี้เป็นที่เกือบโล่ง มีไม้ใหญ่ขึ้นรายรอบ และบ้านชาวบ้านก็น่าจะไม่ไกลจากนี้นัก ผมมัวแต่สังเกตรายรอบไม่ทันได้มองเห็นว่ามีใครนั่งเหมือนผิงไฟอยู่

“มาตามควายรึ เมื่อกี้ลุงเห็นมันไล่กันไปทางโน้น” น้ำเสียงนั้นเจืออารีฟังอุ่นใจ

“เปล่าหรอกครับ ผมจะไปหาญาติ เมื่อกี้ผมก็เกือบชนควายแหละครับ เบรกทันแต่เครื่องรถก็ดับมันสตาร์ทไม่ยอมติด”

“ลุงมานอนเฝ้าสวน บ้านของลุงอยู่ข้างในโน้น” ชายแก่บอกเหมือนรู้ว่าจะถามอะไร ผมเดินเข้าไปใกล้ชายเจ้าของเสียงที่นั่งอังมือเหมือนเอาอุ่น

“แล้วลุงรู้จักบ้านเวิ้งลากรรมไหมล่ะครับ อยู่ห่างจากนี่มากไหม”

“โห้ย รู้จักดี เอ้า..นั่งลงผิงไฟสิ ข้าเองก็มาจากนั่นก่อนมาเอาเมียอยู่ทางนี้ ว่าแต่จะไปทำอะไรที่นั่น ถามจริงๆ พวกหนีคดีมาหลบอยู่นี่ทั้งนั้น หรือว่าเอ็งก็หนีอะไรมา เออ..มันก็ข้ามเนินแบบนี้ไป 2 ลูกก็ถึงล่ะ”

“เออจะว่าหนีก็หนีแหละครับ” ผมค่อยนั่งลง ชายที่นั่งอยู่ก่อนหันมาทางผม แสงจากกองไฟทำให้เห็นได้ว่าแกไว้หนวดเครายาวแต่ไม่ถึงกับรกรุงรัง

“ลุงรู้จักความขมขื่นไหมล่ะครับ ผมหนีมันมาแหละ ไม่ต้องคดีอะไรหรอกลุงสบายใจได้”

“เอ็งว่าน่ะตลกดี เอ็งชื่อไรล่ะ เป็นคนที่ไหน”

ผมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อบ้านเกิดและชื่อญาติที่จะไปหาแก่ชายแก่จนครบถ้วนตามที่แกถาม

“เอ็งมาไกลนี่หว่า ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนก่อนข้าได้เลย จะแขวนเปลนอนก็ได้ ข้าสุมควันตะไคร้ไล่ริ้นยุงแต่หัววันแล้ว นอนได้สบาย”

ไม่สิ้นเสียงของชายแก่ดีผมก็รู้สึกง่วงงุนเสียเต็มประดา ลุกเดินตามแกอย่างว่าง่ายไปที่กระท่อม หลับไปทั้งรองเท้าอย่างนั้นมารู้สึกตัวอีกทีแสงตะวันก็แยงตายิบ ๆ แล้ว

อา..นี่มันเถียงนาร้างข้างป่าช้านี่ และกองไฟกองนั้นแท้จริงเป็นกองฟอนที่ศพเพิ่งไหม้หมดตอนหัวค่ำนั่นเอง ผมเย็นหลังวาบ คำแผ่เมตตาว่าไปโดยอัตโนมัติ ขอบคุณคุณลุงเคราดกที่ดูแลผมอย่างดี

EP.032 : ห้องน้ำนรก

นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่อง จากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง



โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำสีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด


เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!

วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้

นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลัง มีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ

มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว

จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...

รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด! อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!

เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง

เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ข้างนอก

เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง... เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ

นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่

ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?

ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง

"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."

คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องสุขาราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?

โครม! โครม!!

สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องสุขากระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา

คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!

ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตาม ด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวา กรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหูจึงได้ลืมตามอง

เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ

วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียนม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!

EP.031 : เงินใส่ปากศพ

เงินใส่ปากศพ การนำเงินใส่ปากศพ ถือว่าเป็นความเชื่อในสังคมไทย มาช้านาน แม้แต่ชาติอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่อนี้อยู่ไม่น้อย จะแตกต่างกันในข้อปฏิบัติ ซึ่งในสังคมไทยวิธีปฏิบัติก็คือ จะนำ เงินพดด้วง หรือเงินเหรียญบาทหนึ่งหรือจะเป็นเหรียญสลึงสองสลึงไม่กำหนด แล้วห่อผ้าขาว ผูกเชือกไว้หางยาว หย่อนลงในปากศพ ให้เชือกห้อยออกมานอกปาก ถ้าไม่ผูกเชือก จะห่อให้โตพอไม่ให้เลื่อลึกลงไปในลำคอ เพราะเวลานำไปเผาจะได้ เอาออกมาเพื่อเก็บเป็น ที่ระลึกหรือเครื่องรางได้ ในปัจจุบันบางทีก็ใช้ของมีราคา เช่น ทองคำ บรรจุแทนก็ได้ มีคำอธิบาย ไว้หลายเหตุผล



ประการแรก การนำเงินใส่ปากศพก็เพื่อผู้ตายจะได้เอา ทรัพย์ติดตัว ไปใช้สอย ในเมืองผี แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมจึงใส่เงินในปาก แค่เพียงหนึ่งบาทเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของคนจีน จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผู้ตายคราวละมากๆ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันระหว่างความเชื่อของคนไทยกับคนจีน


ประการที่สอง เพื่อให้พิจารณาเห็นว่า บรรดาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ แม้มากสักเท่าใด ตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควักเอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปได้ก็แต่กรรมที่ทำไว้ ซึ่งย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ได้ รับทุกข์ หรือสุขก็ตามแต่กรรมที่ตนได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาอย่าได้ ลุ่มหลงอยู่กับ ทรัพย์สมบัติ

ประการที่สาม เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ที่ต้องนำไปใส่ไว้ในปากเพราะว่าจะได้ค้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลัง เงินใส่ปากศพจะกลายเป็นเงินค่าจ้าง เพราะในสมัยก่อนเงินบาทมีค่ามาก

ตามความเชื่อ ของกรีกโบราณที่เล่าต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ตายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี ซึ่งเมืองนี้อยู่ใต้ เมืองมนุษย์ ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณจะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้างข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูกพิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส"

ในปัจจุบัน ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิคริสตัง ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรงกระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย

ชาวฮินดู ก็มีความเชื่อ ในเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยจะเอาเงินและข้าวสารเล็กน้อยใส่ปากศพ

พวกสิงโพที่เป็น ชาวป่าของพม่า เมื่อแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว จะเอาเนื้อหมูและเหล้าและข้าวเซ่นสรวง และเอาเงินใส่ปากศพ ถ้าผู้ตายเป็นหัวหน้าจะเอาเอาหินแก้วอันมีค่าใส่ไว้ใต้รักแร้ ข้างละเม็ด แล้วจึงนำใส่โลง

ชาวจีนจะเอาอีแป๊ะใส่ปากศพและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย

EP.030 : 10 เรื่องตำนานเมืองขนหัวลุกของญี่ปุ่น

10. Nure-Onna


นูเระ อนนะ (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ผู้หญิงเปียก”) เป็นสัตว์สะเทือนน้ำสะเทินบก(ปีศาจ?) ที่ ตำนานของญี่ปุ่นที่มีหัวเป็นหญิงสาวลำตัว (ร่างกาย) เป็นงู รายละเอียดของรูปร่างหน้าตาของเธอจะแตกต่างเล็กน้อยไปตามเรื่องเล่า โดยตัวเธอยาว 300 เมคร มีผมสวย (บางตำนานก็มีลำตัวเป็นผู้หญิงมีแขนและหน้าอก) มักอาศัยตามชายฝั่งทะเล ตำนานที่มาของเธอนั้นไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่หลายคนรู้แน่นอนคือมันเป็นสิ่งอันตรายสำหรับมนุษย์ ที่เธอสามารถรัดมนุษย์ด้วยพลังมหาศาลที่สามารถบดขยี้ต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย บางตำนานกล่าวว่าเธอมักพาลูกน้อยมาด้วยเพื่อล่อเหยื่อเข้ามาหา จากนั้นก็ใช้ลิ้นงูพันตัวเหยื่อและดูดเลือดออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตามเธอเป็นปีศาจที่สันโดษ และจะทำร้ายมนุษย์หากรบกวนเธอเท่านั้น นูเระ อนนะในตำนานเมืองปัจจุบัน มีความเชื่อว่าเกิดจากวิญญาณแค้นของผู้หญิงตามน้ำ และมักอยู่สระว่ายน้ำหรือชายหาดที่เงียบสงบ หากใครที่ลงไปในน้ำจะถูกปีศาจงูลากเหยื่อให้จมน้ำตาย ซึ่งผู้ปกครองมักเตือนบุตรหลานไม่ให้ไปว่ายน้ำคนเดียว



9. Hitobashira





ฮิโตบาชิระ หมายถึง เสามนุษย์หรือเสาหลักเมืองในตำนานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสังเวยหรือบวงสรวงมนุษย์ที่ใช้มนุษย์ทั้งเป็นฝังไว้ใต้หรือใกล้อาคารใหญ่ จำพวกเขื่อน, สะพาน และปราสาท ซึ่งเพื่อเป็นคำอธิษฐานต่อเทพเจ้าเพื่อก่อสร้างเสร็จลุล่วงและไม่ให้อาคารโดนทำลายจากธรรมชาติหรือการโจมตีของศัตรู เชื่อว่าเสามนุษย์เริ่มขึ้นในสมัยระหว่างก่อสร้างสุสานโบราณของชนชั้นสูงและได้กลายเป็นประเพณีที่อยู่ในท้องถิ่นและเมืองหลายแห่งในญี่ปุ่นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีตำนานเสาหลักเมืองพบเห็นในสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีหลักฐานยืนยัน

8. Gozu (Cow Head)



โกซูเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้าวัวซึ่งเป็นตำนานเมืองของญี่ปุ่น โดยตำนานเล่าว่ามีกลุ่มเด็กและอาจารย์แห่งหนึ่งกำลังเบื่อในระหว่างเดินทาง ทำให้คุณครูรู้สึกกังวัลใจกับนักเรียนของเขา จึงตัดสินใจเล่าเรื่องผี ซึ่งสำหรับเด็กแล้วชอบเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว และแล้วคุณรู้ก็ถามนักเรียนพวกเขาว่าในที่นี้มีใครเคยได้ยิน “หัววัวบ้าง” นักเรียนได้ฟังก็ตอบว่าไม่เพราะไม่เคยคุ้นเคยกับเรื่องดังกล่าวเลย จากนั้นครูก็เราเรื่องซึ่งเรื่องน่าสนใจมากจนนักเรียนเหมือนต้องมนต์สะกด จากนั้นเรื่องของครูก็เริ่มน่ากลัวขึ้น น่ากลัวขึ้น จนเด็กนักเรียนหลายคนบอกว่าให้ครูหยุด แต่ปรากฏว่าครูไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ จนกระทั้งต่อมาจู่ๆ รถก็หยุดกลางถนน เด็กเอนลงเบาะและก็พบว่าเด็กและคนขับรถตั้งกล่าวไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดอะไรได้เลย เนื่องจากเขาได้ยินเรื่องสยองขวัญของครูและเกิดอาการหวาดกลัวมากนั้นเอง จนกระทั้งต่อมาเมื่อทั้งหมดเคลื่อนไหวได้ ก็พบเรื่องแปลกคือพวกเขาจำเรื่องสยองขวัญน่ากลัวนั้นไม่ได้ อีกทั้งคุณครูก็ไม่สามารถจำได้เรื่องเล่า “หัววัว” ที่เขาเล่าได้เด็กได้เลย ซึ่งเรื่องสยองขวัญน่ากลัวดังกล่าวเขาได้ลืมไปหมดสิ้น ตำนานเรื่องสยองขวัญของหัววัวนั้นมีรูปแบบแตกต่างไปตามแต่ละท้องที่ บางท้องที่ถึงขั้นเป็นคำสาปว่าหากใครฟังเรื่องสยองขวัญดังกล่าวพวกเขาจะตายไม่นานหลังจากนั้น ทำให้ไม่มีใครที่รู้เนื้อหาว่าเรื่องมันน่ากลัวขนาดไหน

7. Jinmenken (Human Faced Dog)



หรือสุนัขหน้าคน เป็นเรื่องเล่าที่ฮิตมาในญี่ปุ่นช่วงหนึ่ง ในปลายศตวรรษที่ 1980 และ 1990 (แต่ตำนานเก่าแก่ที่สุดพบว่ามันมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ 1603-1868) โดยเป็นรายงานการพบสุนัขที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ มักปรากฏตัวในกลางคืน บนถนนทางหลวงเขตเมืองของญี่ปุ่น หรือไม่ก็ตามเมืองตอนกลางคืนในขณะคุ้ยถังขยะ ซึ่งมันวิ่งเร็วมากประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้มันยังสามารถพูดคุยเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย แต่ส่วนมากมักพูดเป็นประโยคไม่กี่คำส่วนมากเป็นคำหยาบซึ่งส่วนมากพูดว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน” หรือไม่ก็ขอของกิน มีเรื่องเล่าว่ามีเด็กสาวประถมคนหนึ่งนั่งทางไอศกรีมที่สวนสาธารณะบนมานั่ง และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “กินมั้ง กินมั้ง” เมื่อเธอหัสกลับไปก็พบสุนัขหน้าชายวัยกลางคนน่ากลัวกำลังแลบลิ้นกระดิกหาง ส่งผลทำให้เธอตกใจสุดขีด ส่วนที่มาของสุนัขหน้าคนนั้นมีความแตกต่างกันตาม บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของเหล่าคนบาปที่ทำกรรมเอาไว้อดีตชาติ หรือเป็นวิญญาณของคนที่ตายบนท้องถนน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ที่หนีจากการทดลองวิทยาศาสตร์ลับๆ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือที่สุดคือมันน่าจะเป็นลิงญี่ปุ่นที่เคลื่อนไหวแบบสี่เท้าของสุนัขทำให้เหมือนสุนัขหน้าคนอีกทั้งเสียงร้องของมันก็เหมือนคำพูดของมนุษย์นั่นเอง

6. Kokkuri-San



แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศขึ้นชื่อว่ากลัวผีมากที่สุด แต่กระนั้นญี่ปุ่นกับชื่นชอบเล่นคกคุริซัง(คล้ายกับผีถ้วยแก้วบ้านเรา) อยู่ไม่น้อย โดยเป็นเกมญี่ปุ่นในช่วงยุคเมจิซึ่งคล้ายๆ กับการทำนาย โดยวิธีเล่นจะใช้กระดานที่เรียกว่า Ouija (หรือจะเป็นกระดาษ ซึ่งเขียนรูปประตูตรงกลางหัวกระดาษและพยัญชนะญี่ปุ่น) และใช้เหรียญสิบเยนเรียกวิญญาณเลื่อนไปมาสร้างคำเพื่อตอบคำถาม โดยผุ้เล่นต้องมีสองคนขึ้นไป และให้ทุกคนวางนิ้วบนเหรียญสิบเยนแล้วท่องว่า “คกคุริซัง คกคุริซังที่นี้คือโลกดาวเคราะห์ดวงที่สามแห่งระบบสุริยะ (ที่อยู่) กรุณามาที่นี่ด้วย ถ้าหากมาแล้วละก็ช่วยกรุณาเคลื่อนไปยังคำว่า ใช่ ที่เถิด” หากเหรียญเคลื่อนไปคำว่าใช่ก็สามารถตอบคำถามได้ตามชอบใจ ซึ่งเชื่อว่าวิญญาณดังกล่าวคือสุนัขจิ้งจอก อย่างไรก็ตามถ้าใครถอดนิ้วออกกลางคันจะถูกเข้าสิงและฆ่าคนนั้นตาย ซึ่งตำนานเมืองได้กล่าวว่ามีผู้คิดจะเลิกคกคุริซังกลางคันและถูกวิญาณเข้าสิงจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากมักมีอาการโรคจิต

5. Hanako-San of the Toilet


คุณฮานาโกะแห่งห้องน้ำ ฮานาโกะซัง เป็นชื่อวิญญาณที่เป็นความเชื่อของนักเรียนในประเทศญี่ปุ่นที่ฮิตญี่ปุ่นในปี 1980 ในหมู่เด็กประถมทั่วประเทศ โดยเล่าว่ามีวิญญาณเด็กนักเรียนหญิงที่เสียชีวิตในห้องน้ำ ซึ่งนักเรียนลือกันให้ทั่วว่าฮานาโกะซังจะอยู่ในห้องน้ำห้องสุดท้ายทางขวามือ ถ้าอยากเจอเธอ จะต้องเคาะประตูห้องนั้นสามครั้งแล้วเรียกชื่อเธอตอนกลางคืน ตำนานของฮานาโกะมีอยู่หลากหลาย บ้างก็ว่ามีมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก มีเด็กหญิงคนหนึ่งพลัดหลงจากมือแม่ยามที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ผู้คนต่างหนีตายกันแบบมั่วไปหมด เธอผู้นั้นกลัวมากเลยเข้าไปหลบในห้องน้ำสาธารณะ แต่แล้วห้องน้ำถูกไฟไหม้ เธอเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ประตูเกิดเสียเลยเปิดไม่ออก เธอร้องไห้ทรมานอยู่ในนั้น แล้วลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอ เธอร้องหาแม่คำสุดท้ายจนไฟก็ลามมาถึง เธอเลยถูกไฟคลอกตายในนั้น ตั้งแต่นั้นมาหลายสมัย วิญญาณของเธอไม่ได้อยู่กับที่ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะเลือกสิงห้องน้ำใดห้องน้ำหนึ่ง เธอล่องลอยไปทั่งญี่ปุ่นแล้วเข้าไปในห้องน้ำต่างๆ พอเข้าไปแล้วก็เปิดประตูไม่ออก ร้องให้คนช่วยเป็นอย่างงี้มาเรื่อยๆ ถ้าบังเอิญใครไปเข้าห้องน้ำสาธารณะยามวิกาลคนเดียว ก็จะมีเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้อยู่ห้องข้างๆ เสียงนั้นทรมาน ร้องว่า เปิดไม่ออก เปิดไม่ออก อย่างไรก็ตามตำนานที่ฮิตที่สุดของฮานาโกะก็คือ ตำนานน้ำหมึกสีแดง เป็นความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่ามีกลุ่มเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เป็นพวกท้าทาย ได้เข้าไปพิสูจน์ความกล้าในโรงเรียนยามวิกาล ที่ห้องน้ำซึ่งเชื่อกันว่ามีฮานาโกะสิงสถิตอยู่ หนึ่งในกลุ่มเด็กหญิงเห็นหมึกสีแดงวางอยู่ในห้องน้ำจึงคิดพิเรนท์เอาหมึกสีแดงมาทาตัวราวกับตัวโชกเลือด และเข้าไปหลอกทุกคน เพื่อนๆตกใจจนสั่งให้เธอคนนี้ลบหมึกสีแดงบนตัวออก วันต่อมา เด็กหญิงที่แกล้งเอาหมึกสีแดงมาทาตัว ได้ถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิต ในสภาพมีเลือดโชกตัวเหมือนที่เธอแกล้งเพื่อนในคืนนั้นเอง

4. Gashadokuro


กาซาโดคุโระเป็นชื่อของปีศาจโครงกระดูกยักษ์ใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า มีนิสัยชั่วร้ายอำมหิตโหดร้าย ชอบปรากฏตัวกลางป่าเปลี่ยวหลังเที่ยงคืน วิธีที่ทำให้รู้ว่ามันจะปรากฏตัวคือจะได้ยินเสียงแปลกๆ ในรูหูของเรา เมื่อเจอมนุษย์จะคว้ามนุษย์คนนั้นและพยายามกัดหัวจนตาย ที่มาของโครงกระดูกยักษ์นั้นมีหลากหลาย บ้างก็ว่าเกิดจากการรวบรวมกระดูกของคนตายเพราะความอดอยาก ที่ไม่ได้ถูกเผา และวิญญาณของศพจึงรวมกันเป็นกระดูกยักษ์ นอกจากนี้ยังมีตำนานกล่าวว่าสมัยก่อนปีศาจโครงกระดูกยักษ์เคยเป็นแม่ทัพนำกองทหารบุกฆ่าและผ่านศึกสงครามมามากมาย จนในที่สุดได้จิตใจที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์ เขาได้ฆ่าจักรพรรดิโชกุนของตนเองตายและขึ้นเป็นประมุขแทน ด้วยบาปกรรมนี้เองเมื่อเขาตายไปจึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นคาชาโดคุโระ เฝ้าสุสานอยู่จนกว่าจะหมดกรรม... กาชาโคโระมีพลังพิเศษสามารถเข้าครอบงำจิตใจมนุษย์ได้แต่จิตใจนั้นต้องเป็นจิตที่ชั่วช้า และจิตใจด้านมืดของมนุษย์เมื่อมนุษย์หลงทางผิด มักมุ่นอยู่ในโมหะและกิเลศตัณหา เมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะเข้าครอบงำจิตใจและสิงร่างอาศัยไปก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

3. Aka Manto


เสื้อคลุมแดงเป็นตำนานเมืองของญี่ปุ่นว่าหากคุณกำลังนั่งชักโครกในห้องน้ำสาธารณะหรือโรงเรียน หากมีเสียงลึกลับถามคุฯว่าต้องการกระดาษสีแดงหรือกระดาษสีฟ้า ถ้าคุณตอบว่ากระดาษสีแดงคุณจะถูกหั่นออกจากกันจนเสื้อผ้าของคุณถูกย้อมเป็นสีแดง ถ้าคุณเลือกกระดาษสีฟ้าคุณจะถูกรัดคอจนผิวหนังของคุณเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ดังนั้นหากคุณที่คิดจะรอดล่ะก็ควรตอบไม่เอาทั้งสองอย่าง แต่ส่วนมากหลายคนมักตอบกระดาษสีใดสีหนึ่งเนื่องจากเป็นคำถามกระทันหันทำให้หลายคนตอบอย่างไม่รู้ตัว ตัวที่มาของเสียงนั้นกล่าวกันว่าเป็นมนุษย์ที่อยู่ในเสื้อคลุมสีแดง ซึ่งไม่ทราบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเพราะสวมหน้ากากมิดชิด แต่ตำนานที่เชื่อกันคือเป็นผู้หญิงสาวสวยที่กลายเป็นวิญญาณหลอกหลอน เสื้อคลุมสีแดงก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่มีหลายเวอร์ชั่นบางเรื่องก็เปลี่ยนจากกระดาษสีแดงเป็นเสื้อกั๊กสีแดง โดยเล่ากันว่ามีตำรวจหญิงคนหนึ่งถูกเรียกตัวไปที่โรงเรียนหลังจากได้รับรายงานว่าได้ยินเสียงผู้ชายในห้องน้ำหญิง เมื่อตำรวจหญิงเข้าไป (โดยให้คู่หูที่มีตำรวจชายอยู่ข้างนอก) และจู่ๆ ก็มีเสียงถามกะทันหันวา “เธอจะใส่เสือสีแดงได้หรือไม่” เมื่อเธอได้ยินก็เผลอตอบว่าใช่ และแล้วเสียงกรีดร้องของตำรวจหญิงก็ดังขึ้น เมื่อตำรวจชายด้านนอกได้ยินจึงรีบเข้าไปข้างในและเปิดประตูห้องน้ำก็พบศพตำรวจหญิงไร้หัว เลือดของเธอได้เลอะเสื้อของเธอจนเสื้อเปลี่ยนเป็นสีแดง

2. Teke-Teke



เทเค-เทเค เป็นตำนานเมืองญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องของหญิงสาวหรือนักเรียนหญิงที่เกิดอุบัติเหตุหล่นลงไปทางรถไฟและร่างกายของเธอก็ถูกตัดครึ่งโดยรถไฟที่แล่นมาทับ และเธอก็กลายเป็นวิญญาณพยาบาล ถือเคียวหรือเลื่อยและเดินทางโดยใช้ข้อศอกเคลื่อนตัวไปคลานไปมาโดยขณะที่เธอลากตัวเธอจะเกิดเสียง ทัคเค-ทัคเค อันเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว แม้ว่าจะคลานแต่มีความเร็วมาก หากใครพบเห็นเธอและหนีเธอไม่พ้นจะถูกเชือด และตัดครึ่งตัวของเหยื่อเพื่อเป็นเทเคตัวใหม่ต่อไป อย่างไรก็ตามตำนานดังกล่าวมีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือตำนานเกี่ยวกับผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายจากการโดดรางรถไฟ จนร่างกายขาดเป็นสองท่อน แต่เธอไม่ตายทันที โดยเธอใช้ข้อศอกคลานพร้อมร้องเรียกว่าโดยเสียงโหยหวนว่า “ขาของฉันอยู่ไหน”

1. Kuchisake-onna




ผีสาวปากฉีกเป็นตำนานที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะปากฉีกถึงใบหู โดยผีปากฉีกเป็นตำนานผีพยาบาลที่อยู่ในสมัยเฮฮัน หากแต่ปัจจุบันผีสาวปากฉีดได้กลายเป็นตำนานเมืองที่มีพฤติกรรมน่ากลัว ที่เล่าลือในกลุ่มเด็กที่เล่าว่า มันมักจะยืนอยู่ตรงริมถนนในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยไหม? ถ้าตอบกลับไปว่าสวย แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี ผีสาวปากฉีกเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมและตื่นตระหนกในประเทศญี่ปุ่นในระหว่างปี 1980 ซึ่งในเวลานั้นทางการถึงขั้นประกาศให้โรงเรียนระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

ขอบคุณ : Dek-D.com

EP.029 : ตึกร้างสยองขวัญ

เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว เอ่ยชื่อรามคำแหงซอย 7 คนในละแวกนั้นเป็นขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เพราะมีกิตติศัพท์ว่าผีดุเหลือกำลัง ไม่ว่าในซอยหรือในตึกร้างล้วนแต่มีผีสิงทั้งนั้น ลือกันว่าเฮี้ยนนักหนา ขนาดหลอกหลอนกลางวันแสกๆ ก็แล้วกันครับ



เพราะอะไร? หลอกยังไงล่ะ?

คือยังงี้ครับ ที่ซอยนั้นมีตึกร้างหลายห้อง ขึ้นชื่อว่าบ้านร้าง ตึกร้าง รวมทั้งวัดร้างน่ะ ล้วนแต่น่ากลัวทั้งนั้น จริงไหมครับ? เพราะเมื่อไม่มีคนอาศัยอยู่ พวกภูตผีปีศาจก็ฉวยโอกาสเข้าไปสิงสู่อยู่กันเฉยน่ะซี


เรื่องตึกร้างนี่มีสองแบบใหญ่ๆ น่าหวาดเสียวกันไปคนละแบบ

เช่นแบบแรกก็คือยังคงรูปตึกแถวอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครอยู่เลย แต่ว่าใส่กุญแจเอาไว้แน่นหนา ประตูหน้าต่างทุกบานปิดสนิท ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่นานแล้วมีคนเข้ามาอยู่อาศัยตามเดิมก็แล้วไป แต่ส่วนมากน่ะมักจะปิดตายหลายๆ ปี ไม่เห็นมีใครมาอยู่เลย...ไม่เห็นแม้แต่เจ้าของจะมาไขกุญแจเข้าไปตรวจตราอะไรด้วยซ้ำ

ไม่ว่าบ้านหรือตึกแถว ห้องแถว ยิ่งไม่มีคนอยู่ยิ่งเก่าแก่ทรุดโทรมเร็วนะครับ แถมน่าสะพรึงกลัวอีกต่างหาก...เวลาเราเดินผ่านตอนกลางวัน หันไปมองยังอดนึกเสียวๆ ไม่ได้ว่า ถ้ามีหน้าต่างเปิดผางขึ้นดื้อๆ หรือได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินไปเดินมาเราคงขนหัวลุกน่าดู...แค่มีเสียงกระแอมกระไอดังออกมาก็สะดุ้งโหยงแล้วครับ

ตอนกลางค่ำกลางคืนยิ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก

บ้านอื่นๆ เขายังเปิดไฟสว่างจ้า บางทีก็ได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังแว่วออกมาให้อุ่นใจ แต่ตึกร้าง 2-3 ชั้นนั่นดูเปล่าเปลี่ยว ทึบทึม มองเห็นแล้วนึกถึงแต่เรื่องน่าสยดสยองทั้งเพ!

มีใครฆ่าแกงกันแล้วหมกศพไว้ในนั้นหรือเปล่า? แบบขุดหลุมฝังไว้น่ะ!

มีวิญญาณใครสิงสู่วนเวียนไปมา โดยเฉพาะที่ชั้นบน อาจจะแอบมองลงมาด้วยสายตาเร้นลับ หรือมุ่งร้ายหมายขวัญ...นับวันวิญญาณก็ยิ่งแรงหรือเฮี้ยนมากขึ้นทุกที

เวลาเดินผ่าน ถ้าเกิดได้ยินเสียงใครหัวเราะคิกคักดังแว่วออกมา มีหวังเผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตแน่ๆ ขนาดได้ยินเสียงแมวร้องแป๊วมาจากระเบียงหรือหลังคายังเล่นเอาสะดุ้งเฮือก ใจคอแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

บางทีเห็นไฟสว่างพรึ่บมาจากตึกร้างก็ร้องจ๊ากกันแล้วครับ...ไม่ว่าใครก็คิดตรงกันว่าโดนผีหลอก

ตึกร้างอีกแบบน่าจะเรียกว่าซากตึกมากกว่า! คือเจ้าของตึกรื้อทิ้งทั้งแถวราว 6-7 ห้อง แต่รื้อไม่หมดชนิดที่เหลือแต่พื้นดินว่างเปล่า พร้อมที่ปลูกสร้างตึกแถวขึ้นมาใหม่

...ยังเหลือซากอิฐปูนระเกะระกะ มีทั้งเสาโด่เด่ ผนังหักพังสูงราว 2-3 ศอก แหว่งๆ วิ่นๆ ตั้งหลายแห่ง ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง มีเศษอิฐเศษปูนตกหล่นเกลื่อนกลาด ทิ้งไว้นานๆ จนมีหญ้าขึ้นรกครึ้ม ไม้เล็กๆ งอกงาม ตอนกลางคืนดูเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจสิ้นดี

อ๋อ! ไม่ต้องบอกก็คงเดาออกนะครับ ว่ากลายเป็นทำเลแสนวิเศษของพวกขี้ยาทั้งหลายแหล่ ตั้งแต่พวกเด็กดมกาวไปจนถึงพวกเสพยาบ้า ฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นจนมีคนช็อกตายเพราะเสพยาเกินขนาดมาแล้ว

หนุ่มสาวบางคู่ก็คิดผิด หลบมุมเข้าไปจู๋จี๋กันในนั้น คิดว่าลับตาคนกับเหมาะเจาะที่สุด...บางคู่ต้องลงเอยด้วยผู้ชายโดนฆ่า ผู้หญิงโดนกลุ้มรุมข่มขืนแล้วฆ่าตายตามคนรักไปด้วย

ผีหลอกกลางวันแสกๆ ที่นั่นแหละครับ!

ลุงโก๋ - ภารโรงที่หอพักละแวกนั้นกำลังจะไปเข้าเวรตอนเย็น จู่ๆ ก็เห็นสาวหุ่นเซ็กซี่ เดินบิดสะโพกอยู่ข้างหน้า นุ่งยีนส์เอวต่ำลงมาเกือบถึงแก้มก้นตามแฟชั่น ทำท่าจะหลุดมิหลุดแหล่ แถมข้างบนยังสวมเสื้อยืดบางๆ เหลืองอ๋อยแนบเนื้อ เห็นขอบบราเซียร์เส้นเท่านิ้วก้อยนูนเด่น

สะโพกกลมกลึงงอนงามยั่วใจอย่างวายร้าย แถมคุณเธอยังค่อยๆ หันมามองยิ้มๆ ในท่าเอี้ยวตัวอีกต่างหาก เห็นหน้าอกหน้าใจพุ่งโชนปานภูเขาเลากาโน่นแน่ะ

ทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กชัดๆ รายการนี้น่ะ!

ลุงโก๋ลืมแก่ลืมตาย ยอมรับว่าเลือดลมของชายวัยสี่สิบเศษฉีดซ่าน แล่นซู่ซ่าไปทั้งตัว หน้าตางี้ร้อนผะผ่าวเหมือนไปตากแดดมาทั้งวัน..ลืมเลือนไปหมดว่ากำลังจะไปเข้าเวรที่หอพักข้างหน้า

ทันใดนั้น สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ คุณเธอเลี้ยวขวับเข้าไปในซากตึกเงียบเชียบ แถมทิ้งหางตามาให้อีกฉับ...เท่านั้นลุงโก๋ก็ลืมแก่ลืมตาย รีบเลี้ยวตามทันที...ก่อนจะยืนตะลึงจังงัง

ขยะสารพัดชนิดเกลื่อนกลาด กลิ่นอับๆ สาบสางอวลกรุ่น กลิ่นฉี่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคละคลุ้งเตะจมูก แต่ยังมองไม่เห็นสาวเซ็กซี่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยกๆ สรรพสิ่งดูเงียบเชียบ แม้แต่เสียงรถราแล่นคึ่กๆ ก็ราวจะห่างไปไกลลิบ

"แป๊ว.." จู่ๆ เสียงแมวร้องอยู่ตรงหน้า เล่นเอาหนุ่มใหญ่สะดุ้งโหยง เงย หน้าขึ้นเห็นแมวดำปลอดตัวเขื่อง นัยน์ตาเหลืองจ้ายืนอยู่บนผนังหักพังเป็นอิฐสีแดงๆ กำลังจ้องเขม็ง ลิ้นสีแดงแจ๋แลบเข้าแลบออกระหว่างเขี้ยวขาววับ ทำให้ลุงโก๋ถอยหลังช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว

เสียงแมวร้องขึ้นอีก...นรกเป็นพยาน! คราวนี้กลายเป็นสาวหุ่นเซ็กซี่ที่ยืนเด่นอยู่แทนที่ ใบหน้าแสนสวยเปรอะเลือดกำลังยิ้มหวาน กวักมือเรียกช้าๆ บอกว่ามาซี่...

โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ลุงโก๋ร้องจ้าสุดเสียง เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตออกมาชนผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ข้างถนน ก่อนจะสลบคาที่...บรื๋ออออ ขนหัวลุกน่ะซีครับ!

EP.028 : สื่อเรียกวิญญาณ

ผมกับพี่ๆ และเพื่อนๆ มักจะถูกผู้ใหญ่บ่นอยู่เสมอว่าซุกซนผิดผู้ผิดคน พวกผมก็พยายามเพลาๆ ลงหน่อย แต่บางทีก็อดไม่ได้ ที่จริงผมรู้ว่าผู้ใหญ่...หมายถึงคุณย่าคุณยายและป้า ๆ ทั้งหลายแกล้งบ่นไปยังงั้นเอง ท่านเอ็นดูพวกผมออกจะตาย



สิ่งที่ผมเล่นซนกันก็เป็นเรื่องแสวงหาความรู้ทั้งนั้น อย่างการทดลองว่าผีมีจริงหรือเปล่า? เอง...อันนี้ก็น่าโดนดุอยู่หรอก เพราะมันทำท่าจะได้ผลแฮะ!

บ้านผมกว้างขวางอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เพื่อนๆ ชอบมาเที่ยวหลังโรงเรียนเลิกตอนเย็นๆ สักชั่วโมงสองชั่วโมงก็กลับกันหมด คุณยายจะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้เลี้ยงเป็นอาหารว่าง บางทีก็ใส่ถุงกลับไปบ้านด้วย ดังนั้นบ้านเราจึงเป็นที่รู้จักและไว้ใจของบรรดาคุณแม่ทั้งหลายของเพื่อนผม


ยิ่งวันเสาร์-อาทิตย์นี่ยิ่งครึกครื้นอย่าบอกใคร!

นั่นคือคุณป้าคุณอาจะพาลูกๆ มาเยี่ยมคุณปู่คุณย่ากัน ผมมีพี่สาวน้องสาวเยอะ ทั้งที่ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ แถมเป็นหัวแก้วหัวแหวนด้วย เพราะคุณป้าคุณอามีแต่ลูกสาวกันหมด

วันที่เกิดเรื่องเป็นวันเสาร์ครับ ราวๆ สามทุ่มเห็นจะได้

พวกลูกพี่ลูกน้องผมมาเยี่ยมคุณย่าคุณยายกันตามปกติ เพื่อนๆ ผมสามคนก็อยู่ด้วย และขออนุญาตแม่ว่ามาค้างบ้านผมกัน พวกผู้ใหญ่กินข้าวเสร็จก็คุยกันติดลม เราเลยเล่นกันอยู่อีกห้องหนึ่ง...เราเล่นผีถ้วยแก้วกันครับ!

พี่สาวผมที่อยู่ม.5 เป็นคนชำนาญเรื่องนี้ดี เราทำตาราง เขียนตัวอักษร แล้วเอาแก้วใบเล็กๆ หนาๆ จากในครัวมาคว่ำลง เพื่อนผมจุดธูปเชิญผีมาลงถ้วย เรากิ๊กกั๊กกันใหญ่ ตื่นเต้นดีออกครับ...ไม่เชื่อหรอก แต่ก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน

มันแปลกดีพิลึก แก้วมันเลื่อนเองได้ เราแค่เอานิ้วแตะมันเบาๆ มันก็เหมือนมีแรงแม่เหล็ก ดึงไปทางโน้นทางนี้

เมื่อเราถามว่าผีที่มาแก้วชื่ออะไร? แก้วก็เลื่อนไปที่ ก.ไก่ สระอีและไม้โท เป็นอันว่าเป็นผีผู้หญิงชื่อ "กี้" เราถามว่าเป็นอะไรตาย เธอตอบว่า "ถู-ก-ฆ่-า"

จากนั้นแก้วก็วิ่งเร็วมาก ไม่ว่าจะถามอะไรก็ไม่ได้คำตอบแล้ว มันวิ่งวนไปรอบๆ กระดาษ แรงขึ้นๆ เพื่อนตกใจ ร้องว่า "เฮ้ย! ใครแกล้งวะ?" เราร้องด่ากันหลายคำ ตามประสาวัยรุ่นที่ต้องยอมรับว่า ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งตกใจ

ในที่สุด แก้วที่คว่ำอยู่ก็หลุดจากขอบโต๊ะ ตกลงกับพื้นพรม!

ทุกคนตกตะลึงกันหมด พี่สาวผมหน้าเสีย พอดีคุณอาผม-แม่ของเธอน่ะครับ เรียกให้ไปลาคุณย่าคุณยายกลับบ้าน มันดึกแล้ว

ผมถามพี่สาวว่า มันจะมีอะไรไหมเนี่ย? เธออ้อมแอ้มตอบว่า...คงไม่มีมั้ง?

ถึงไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีแต่ผมก็ไม่ประมาทนะครับ กลัวน่าดูเลยล่ะ! บรรยากาศของบ้านมันไม่เหมือนเดิมเลยจริงๆ บ้านที่อบอุ่นของผมกลายเป็นแดนสนธยาในความรู้สึกของผมเอง เพราะไม่รู้ว่านับตั้งแต่นี้ไปจะมีอะไรมาแอบแฝงสิงสู่อยู่กับเรามั่ง?

เพื่อนๆ ผมมันก็แหยงๆ วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ว่ามันน่าจะเป็นอาถรรพณ์อาเพศอะไรสักอย่าง เพราะการเล่นผีถ้วยแก้วของเราจบลงอย่างกะทันหัน ไม่มีการส่งวิญญาณ ไม่มีการยุติ!

คืนนั้นแหละครับ คุณยายผมทักว่าในห้องที่ผมเล่นกันมันมีกลิ่นอะไรเน่า ๆ เหมือนปลาเค็มค้างปี ใครเอาอะไรมากินแล้วซุกไว้ที่ไหนหรือเปล่า?

พวกสาวใช้มาหาตามใต้โต๊ะใต้ตู้ว่ามีหนูหรือตัวอะไรมา ตายหรือไม่ ก็ไม่มี

วันต่อๆ มาทั้งสัปดาห์ ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีใครบางคนที่ไม่มีตัวตน จ้องมองผมและเดินตามไปทั่วบ้าน ถ้าออกจากบ้านไปโรงเรียนผมจะไม่รู้สึกหวาดระแวงแบบนี้ แต่พอกลับเข้าบ้านก็กลับรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อีก

บางทีขนลุกซ่าไปทั้งตัว เหมือนมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้ามา แบบเราเอามือไปจ่อทีวีตอนจะปิดจะเปิดมันน่ะครับ ผมชอบเล่น มันจะดังเผียะๆ เบาๆ และจั๊กจี้นิดๆ

ชักแน่ใจแล้วซิว่าผียัยกี้ยังสิงสถิตอยู่ในบ้านนี้ไม่ยอมไปไหน!

เธอเป็นวิญญาณผีตายโหงเสียด้วย ผมอดนึกถึงหนังเรื่อง "จูออน" ไม่ได้...ขนลุกอีกแล้วไง! ผีแบบนี้ดุจะตาย มันอาฆาตด้วย...ตายละ! ถ้ามันมาทำอะไรผม หรือคุณย่าคุณยาย หรือพ่อแม่ จะทำยังไงล่ะ?

ผมไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งจ่อย สาวใช้ของคุณยายร้องกรี๊ดๆ ทำจานชามหลุดมือแตกโพล้งเพล้ง เมื่อเธอเห็นผีผู้หญิงยืนเน่าเฟะอยู่ในครัว

เป็นอันว่าผมต้องสารภาพว่าพวกผมทำอะไรลงไป

คุณย่าคุณยายถอนใจเฮือกใหญ่ รุ่งขึ้นท่านทั้งสองต้องให้นายจวบคนขับรถพาท่านไปถึงอยุธยา ไปกราบขอคำปรึกษากับพระรูปหนึ่ง ที่ท่านเคารพและรู้จักกันมานาน ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ

พอกลับถึงบ้าน ท่านก็ถามว่าแก้วกับกระดาษเขียนอักษรพวกนั้นยังอยู่ไหม? ผมไปหยิบมาให้ท่าน...ก็ซุกไว้ในลิ้นชักห้องนั้นล่ะครับ ท่านให้ผมเอาแก้วกับกระดาษไปทิ้งซะ เพราะมันเป็นสื่อเรียกวิญญาณ

ท่านให้ผมจุดธูป 1 ดอกปักลงในดินกลางสนามหญ้า และสัญญาว่าจะบวชเณรพร้อมเพื่อนสามคนตอนปิดเทอมกลางนี้ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ "คุณกี้" เธอ

เรื่องนี้ผมไม่ยักถูกดุมากมายอะไร คุณย่าบอกว่าแค่นี้ผมก็แย่แล้ว ท่านหวังว่าผมคงเข็ด ดีเหมือนกันที่ต้องบวชเณรจะได้หายซนซะบ้าง และผมกับเพื่อนๆ ก็สรุปว่าการทดลองเล่นผีถ้วยแก้วนี้ได้ผล...คือเราได้คำตอบว่าผีมีจริงไงครับ!

EP.027 : ตู้นี้ผีอยู่

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ดิฉันได้ซื้อตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่มา เนื้อไม้สีน้ำตาลแก่ ลงแล็กสวยงาม



หลังจากที่เคลื่อยย้ายเอาตู้ใบเก่าออกไป ตู้ไม้ใหม่เอี่ยมนี้ก็ตั้งเด่นอยู่ปลายเตียง ดูมันเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนอนอย่างมาก เพราะว่าดิฉันชอบของอะไรๆ ที่ทำด้วยไม้ แถมยังใส่ของได้เยอะอีกด้วย มีช่องเล็กช่องน้อยเต็มไปหมด


แต่สิ่งที่เริ่มจะแปลกๆ ก็คือถ้าไปยืนใกล้ๆ ตู้ จะได้กลิ่นเหมือนน้ำอบไทยลอยมาเข้าจมูก บางทีก็ได้กลิ่นเหมือนน้ำหอมอะไรสักอย่าง มันเหมือนหอมออกมาจากเนื้อไม้เลยด้วยซ้ำ

ซื้อมาวันแรก หลังจากที่เอาบรรดาเสื้อผ้าชุดสวยทั้งหลายใส่ในตู้เรียบร้อย ดิฉันก็ไปอาบน้ำ ขณะกำลังสระผมอยู่นั้นดิฉันได้ยินเสียงเหมือนใครมาเปิดตู้แล้วปิดเล่น คือมันจะดังกุกกักๆ ซ้ำไปซ้ำมา ดิฉันก็คิดว่าคงเป็นน้องชายมาค้นของรื้อของเล่น

พออาบน้ำเสร็จก็ได้ไปถามน้องชายว่าเมื่อกี้มาค้นของพี่หรือเปล่า ปรากฏว่ามันกำลังช่วยพ่อซ่อมรถอยู่ ส่วนแม่ก็กำลังทำกับข้าวในครัว

ทีแรกคิดว่าเราคงหูฝาดไปเอง ถึงตอนกลางคืนดิฉันนอนคนเดียวอยู่แล้ว แถมยังนอนปิดไฟด้วยเพราะเป็นคนไม่กลัวและไม่เชื่อเรื่องผีเลย ตอนนั้นประมาณตี 2 กว่าๆ ดิฉันนอนไม่หลับ เพราะได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากตู้เสื้อผ้าเป็นระยะๆ

พอเงี่ยหูจะตั้งใจฟังเสียงนั้นก็หายไป พอนอนใหม่กำลังเคลิ้มจะหลับ เอาอีกแล้ว...ได้ยินอีกแล้ว! เสียงกุกกักๆ เหมือนตู้มันเปิดปิดเอง บางทีก็เหมือนเสียงตัวอะไรวิ่งอยู่ในนั้น พอลุกไปเปิดไฟ เปิดตู้ดูก็ไม่เห็นจะมีอะไร ดิฉันเลยปิดไฟกลับมานอนต่อ

ไม่ทันจะหลับ กลิ่นดอกไม้แห้งๆ มาจากไหนไม่รู้ กลิ่นฉุนมาก มีกลิ่นน้ำอบไทยด้วย ชักจะประหลาดแล้ว ทั้งๆ ที่ในห้องก็ไม่ได้มีดอกไม้แห้งหรือน้ำอบอะไรพวกนี้เลย

พอดิฉันเคลิ้มหลับไปสักพักก็ฝันเลยค่ะ ฝันเห็นคน เหมือนเงามากกว่า เดินไปเดินมาอยู่หน้าตู้เต็มไปหมด บางคนก็หยุดมองเรา บางคนก็กำลังคลานไปมารอบๆ เตียง ส่งเสียงคล้ายสวดมนต์พึมพัมๆ

พอตอนเช้าตื่นมาก็เริ่มหวาดๆ ตู้นั่นแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก อาจเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันเลยฝันบ้าบอคอแตก แถมยังหูแว่วอีก

พอถึงคืนที่สองก็เข้านอนตามปกติ ปิดไฟนอนเหมือนเดิม คราวนี้แปลกมากๆ พอดับไฟปุ๊บ ในความรู้สึกมันเหมือนมีคนมายืนรอบๆ เตียงเต็มไปหมด มองไม่เห็นนะ แต่รู้สึกได้เลยว่าพวกเขากำลังยืนจ้องเราอยู่ แล้วก็มีเสียงสวดมนต์แว่วมาเบาๆ

ดิฉันคว้าผ้าห่มมากอดด้วยความมึนงงและสับสน ก็ไม่เชื่อว่าผีอีกน่ะแหละ ตอนแรกคิดว่าเราคงเหนื่อยเกินไปอีกแล้ว เพราะกลางวันไปรับน้องที่มหาวิทยาลัยมาทั้งวันเลย เราอาจเพลียเกินไปก็ได้เลยทำให้ประสาทไปเอง

ในวินาทีนั้น ดิฉันได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าที่ปลายเตียงเปิดเบาๆ ดัง แอ๊ดดดด...

เราไม่ได้คิดไปเองแน่นอนคราวนี้ ได้ยินเต็มสองหูเลย ตู้เปิดเบาๆ แล้วก็เงียบไป คราวนี้ดิฉันทำอะไรไม่ถูกแล้วได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนหนูตายมาจากไหนไม่รู้เหม็นไปหมดเลย กลิ่นมันฉุนมากๆ

ดิฉันเริ่มกลัวแล้ว ก็เลยจะลุกขึ้นเอื้อมมือไปเปิดไฟห้องนอน ยังไม่ทันที่จะลุกไปไหนก็มีเสียงไอแหบๆ เหมือนคนไม่สบายหนักมากดังขึ้นที่ปลายเตียง!

พอดีข้างๆ ตัวมีมือถืออยู่ค่ะ มือถือจะมีไฟฉายด้วย ก็เลยกดปุ่มไฟฉาย แล้วฉายไปตรงตู้ที่ปลายเตียง

นาทีนั้น ดิฉันแทบจะช็อกตายกับภาพที่แสงไฟส่องไปเห็นท่ามกลางความมืด ร่างคนกึ่งยืนกึ่งนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้า ลักษณะรูปร่างหน้าตาเขาเหมือนศพทั่วไป ที่เคยเห็นในภาพของมูลนิธิร่วมกตัญญูไม่มีผิด ใบหน้าซีดๆ บวมๆ เหมือนจะขึ้นอืดแล้ว ผิวเป็นสีเขียวคล้ำๆ ในมือเขามัดตราสังด้วย ถือดอกบัวอยู่เลย

เห็นเท่านั้นดิฉันก็ขว้างมือถือไปไหนไม่รู้ค่ะ แหกปากโวยวายตะโกนลั่นบ้าน พ่อ แม่ น้อง ตกใจนึกว่าเราเป็นอะไรรีบวิ่งเข้ามาเปิดไฟ แล้วเขย่าตัวเรากันใหญ่

ตอนนั้นกลัวไปนานเลยค่ะ คือหลอนไปเลย! พอเล่าให้ครอบครัวฟังตอนแรกๆ เขาก็ไม่เชื่อนะ แต่พอบอกให้ลองมานอนดูกลับไม่มีใครกล้ามานอนสักคน! รุ่งเช้าดิฉันรีบไปถามที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อตู้นี้มา เจ้าของร้านและพนักงานเขาบอกไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ประวัติตู้นี่ด้วย เขาแค่สั่งสินค้าไปแล้วมีโรงงานนำมาส่งให้

ตอนบ่ายจึงไปวัดแถวๆ บ้าน ไปให้พระท่านพรมน้ำมนต์ แล้วเอาตู้ใบนี้ถวายวัดซะ!

"เขาแค่มาขอส่วนบุญน่ะโยม" หลวงตาพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะกำลังเดินดูรอบๆ ตู้ ดิฉันยังไม่ได้เล่าอะไรเลยนะ ได้ฟังแค่นั้นก็ขนลุกเกรียวไปทั้งแขนเลย

หลวงตาท่านไม่ยอมบอกอะไร แต่ดิฉันก็พอจะเดาออกค่ะ ตู้เสื้อผ้าใบนี้คงจะเคยเป็นโลงศพมาก่อนแน่ๆ แล้วโดนมือดีขโมยเอาไปทำเป็นตู้เสื้อผ้า...แค่คิดก็สยองแล้ว

พอกลับบ้านดิฉันก็ไม่กล้าปิดไฟแล้วนอนคนเดียวอีกเลย คืนนั้นต้องไปนอนกับแม่ค่ะ

ในห้องแม่ก็มีตู้เสื้อผ้าเหมือนกัน เป็นไม้ด้วย! ไม่รู้ว่าตู้นี้จะมีอะไรหรือเปล่า? บรื๋อออ...

EP.026 : กะโหลกวัดร้าง

ผมเป็นเด็กอุทัยธานีครับ เห็นใครๆ เขาอวดจังหวัดของเขามานานแล้ว วันนี้ผมขออวดจังหวัดตัวเองสักครั้งเถอะน่า



ชื่อจังหวัดลงท้ายว่าธานีนี่มีไม่กี่จังหวัดนะครับ พอได้ยินก็พอจะนึกภาพได้ว่าเป็นเมืองใหญ่โต เก่าแก่ และมีความสำคัญมากมายในอดีต บ้านผมน่ะขนาดมีหลักฐานยืนยัน ว่าจังหวัดนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว


กรมศิลปากรขุดพบทั้งโครงกระดูก และเครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ไหนจะพบภาพเขียนบนหน้าผา ที่เขาปลาร้าอีกล่ะ

ที่น่าขนลุกขนพองพอสมควรก็คือโครงกระดูกนี่แหละครับ!

เรื่องโครงกระดูกกับเรื่องผีๆ สางๆ น่ะมันหนีกันไม่พ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะเด็กๆ เห็นโครงกระดูกก็นึกถึง..ผีมาตากลวงโบ๋! วิ่งกันป่าราบหรือแหกป่า วิ่งจนปอดอ้าแทบไม่คิดชีวิตกันเลยซีน่า

บอกตรงๆ ว่าบ้านผมผีดุนะ! ไม่ต้องไปถึงทุ่งนาป่าเขาหรอกครับ ในตัวเมืองนั่นแหละ มีทั้งวัดร้างทั้งป่าช้าเก่า เอ่ยชื่อวัดโคกซึ่งเป็นวัดร้างขึ้นมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนแต่ส่ายหน้าสั่นหัว ย่อมกลัวกันทุกคน บอกไม่เชื่อ!

วัดนี้อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังครับ เขาว่าเป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีโน่นแน่ะ ต่อมาก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงทุกที จนล้มตายไปบ้าง อพยพไปอยู่วัดอื่นบ้าง ในที่สุดวัดโคกก็กลายเป็นวัดร้าง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้ม ไหนจะพวกพงอ้อกอหญ้ากับไม้เลื้อยต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด

ผู้ใหญ่เตือนนักว่าอย่าไปวิ่งเล่นแถวนั้น เคราะห์หามซวยจะโดนผีหลอกได้

สมัยเด็กๆ ผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไปวิ่งเล่นครืนๆ คนเยอะเลยไม่ค่อยกลัวผี แถมเป็นกลางวันแสกๆ อีกด้วย นอกจากจะหยุดมองเจดีย์หักๆ มีกองอิฐสีแดงกองเกลื่อนโบสถ์แทบไม่เหลือรูปทรงแล้ว ศาลาการเปรียญก็ผุพังจนลงมากองกับพื้นดิน

เห็นแล้วรู้สึกสันหลังเย็นวาบๆ ชอบกลครับ

เพื่อนบางคนมันบอกว่าเคยเห็นพระแก่ๆ โผล่จากต้นไทรมายืนมองมันนิ่งๆ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรมาก มีวัดก็ต้องมีพระเป็นธรรมดา แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นวัดร้างมาหลายสิบปีแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าผีดุ มันเลยหันมาบอกเพื่อนๆ ให้ดูพระที่ต้นไทร

แหม! ลำพังต้นไทรอย่างเดียวก็น่ากลัวแล้วนะครับ รากห้อยระย้าที่เขาเรียกว่าม่านไทรย้อยนั่นน่ะ บางทีก็เห็นผู้หญิงผมยาวสยาย บางทีก็เห็นเป็นผู้ชายรูปร่างกำยำ หนักกว่านั้นคือเห็นคนเป็นโขยง!

ยิ่งบอกว่ามีพระอยู่ที่นั่นยิ่งขนลุก พอหันไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากรากไทรที่แกว่งไกวตามสายลม ยอดไม้สะบัดใบกราว ฟังราวกับเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนใหญ่ ต้องเผ่นกระเจิงซีครับ วันนั้น...แต่ไม่ช้าก็ลืมเลือนไปตามประสาเด็ก

จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!

เราไปเล่นดีดลูกหินกันแถววัดโคกราว 4-5 คน มีเจ้าหนอม เจ้าปื๊ด เจ้าดำกับเจ้าแหลม...คนหลังนี่ละครับที่มันอุตริเห็นพระโผล่มายืนหน้าต้นไทรวัดก่อนน่ะ

เมื่อคืนฝนตกหนักจนพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด เคยเล่นล้อต๊อกกันเลยเล่นไม่ได้ พื้นที่ไม่อำนวย จะเล่นซ่อนแอบกันก็ไม่ค่อยไว้ใจ..เดี๋ยวกำลังแอบอยู่ดีๆ เกิดจะเอ๋เข้ากับพระจีวรเหลืองอ๋อยเข้า มีหวังร้องจ้า เรียกหาพ่อแก้วแม่แก้วไปตามๆ ดีไม่ดีดันผ่าตกใจสุดขีดจนผมร่วงหมดหัวจะทำยังไง?

บรื๋อออ..เล่นรวมกลุ่มกันยังงี้เหละ ปลอดภัยไร้กังวล ถึงจะโดนผีหลอกก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมละเอ้า!

วันนั้นฟ้าครึ้มมาตั้งแต่บ่ายแล้ว พวกเรากลับเห็นว่าดีซะอีก ไม่ต้องเจอแดดร้อน ถ้าฝนเกิดเทลงมาเราก็วิ่งกลับบ้าน...เด็กบ้านนอกไม่ใช่น้ำตาลนี่ครับ จะได้กลัวละลาย

สรรพสิ่งเงียบเชียบน่าวังเวงใจ สายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ฟังคล้ายเสียงใครกำลังทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเรากำลังสนุกกันจนลืมตัว ส่งเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนาน

จู่ๆ เจ้าปื๊ดดีดลูกหินอีท่าไหนไม่รู้ กระเด็นหวือ..หายเข้าไปในซุ้มข่อยที่เป็นแอ่งตื้นๆ อยู่ข้างกอไผ่ เจ้าตัวเดินตามไปพลางบ่นพึมพำ เจ้าหนอมโพล่งขึ้นว่า ระวังผีหลอกนะมึง!

เจ้าปื๊ดหันมาด่า เจ้าดำกลับซ้ำเติมว่า...เดี๋ยวก็เจอพระเหมือนไอ้แหลมอีกคน

คราวนี้เจ้าปื๊ดไม่ต่อล้อต่อเถียง แหวกหญ้าลงก้มหน้าหาลูกหิน ก่อนจะหันขวับมาร้องลั่น...ช่วยด้วย! ผีหลอก! พวกเราหัวเราะกันใหญ่ เจ้าหนอมร้องว่าอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก! กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะมาหลอกวะ?

ว่าแล้วก็วิ่งไปหา มีผมกับเจ้าแหลมเดินตาม...อ้าว? เจ้าหนอมร้องจ้า หงายหลังตึง ผมกับเจ้าแหลมหัวเราะก๊ากเลย...ไอ้สองคนมันสมคบกันหลอกเราแน่ๆ

ครั้นวิ่งไปเห็นภาพนั้น ผมรู้สึกหูอื้อตาลาย เสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในสมองทันที...หันกลับได้ก็โกยอ้าวไม่คิดชีวิต เพื่อนอีกสามคนรั้งท้าย ร้องตะโกนโหวกโหวยเหมือนคนบ้าเพราะเราเห็นผีตาโบ๋กำลังอ้าปากผะงาบๆ หัวเราะเย้ยหยันเต็มตา

เมื่อพวกผู้ใหญ่รู้เรื่องพากันไปดู ก็ปรากฏว่าเป็นโครงกระดูกที่โดนฝนชะจนหัวกะโหลกโผล่พ้นดินขึ้นมา...ภาพนั้นยังติดตามาจนถึงป่านนี้เลยครับ! บรื๋อออ

EP.025 : บึงผีสิง

สมัยเด็กผมอยู่บ้านหนองคู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยเรียกกันว่าจังหวัดขุขันธ์ อันเป็นจังหวัดชายแดนติดกับกัมพูชา



คำว่า "หมอเขมร" ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ...เป็นที่รู้กันว่าหมอเขมรน่ะหมายถึงหมอไสยศาสตร์ ที่ช่ำชองเรื่องไสยดำ อาถรรพณ์เวทอันเร้นลับน่าสยดสยอง แน่ล่ะครับ ว่าต้องหนีเรื่องภูตผีปีศาจไปไม่พ้น

พูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบฟังทั้งนั้น ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็กลัวผีกันทุกคน พวกผู้ใหญ่เขาว่ามันก็ดีไปอย่าง เด็กๆ กลัวผีจะได้ไม่ไปซุกซนที่เปลี่ยวๆ หรือตกน้ำตกท่าเพราะลับหูลับตาพวกผู้ใหญ่

ที่แถวบ้านผมมีหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีปลาชุกชุมมาก ลุงเหลือกับลุงใสชอบชักชวนกันไปทอดแหที่หนองน้ำใหญ่นั้นบ่อยๆ ส่วนมากจะไม่ผิดหวัง ได้ปลาตัวโตๆ มากินเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา


วันนั้นสองสหายหาปลาแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่มันหลบหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหมด มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยมาติดแหเท่านั้น ต่างคนต่างบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งไปตามๆ กัน ลุงเหลือถึงกับฮึดฮัดไม่หยุดหย่อน...อย่าว่าแต่จะเอาไปผัดไปแกงเป็นกับข้าวเลย แค่เอาไปทำแกล้มกินกับเหล้าก็ยังไม่พอ!

จนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว...

ลุงใสเหวี่ยงแหโครมลงไปเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ถึงกับตาลุก ร้องว่าได้ไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวเท่าน่องแล้ว เพื่อนเอ๋ย...ก่อนจะช่วยกันดึงแหขึ้นมา เพ่งมองไปในความสลัวก็เห็นอะไรขาวๆ ดิ้นขลุกขลักเต็มแห แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องจ้าสุดเสียง

นั่นคือ...ไม่มีปลาตัวโตๆ อย่างที่นึกกระหยิ่มใจ แต่กลับเป็นหัวกะโหลกขาวโพลนนับสิบๆ หัวที่กำลังหันขวับมาหัวเราะร่า อ้าปากปะหงับๆ จนสองเกลอปล่อยแหหลุดมือหันหลังกลับ ร้องแต่ว่า ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...พลางวิ่งแหกป่าแหกดงกลับบ้านไม่คิดชีวิต...สบถสาบานว่าจะไม่ขอย่างกรายไปที่หนองน้ำผีสิงอีกต่อไป

ตากรีกับตาบ่ายรู้ข่าวก็หัวเราะร่า ประกาศว่าพวกแกไปหาปลาตั้งแต่สมัยหนุ่มจนผมหงอกเต็มหัว ไม่เคยกลัวผีสางนางไม้ที่ไหน...ต่อไปจะไปหาปลาที่หนองใหญ่มากินทุกๆ วัน

รุ่งขึ้นชายชราทั้งสองก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

หลังจากช่วยกันลากแหหนักอึ้งพักใหญ่ โดนดึงกลับจนต้องลุยน้ำที่ริมขอบหนองลงไป กระทั่งดึงแหขึ้นมาได้...ปรากฏว่าไม่มีปลา ไม่มีหัวกะโหลก แต่เป็นร่างศพผู้หญิงผมยาวกำลังขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนสองเกลอหงายตึงลงน้ำด้วยความตกใจสุดขีด

ต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นบกได้ก็เผ่นกระเจิง ล้มลุกคลุกคลานเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นจนถึงบ้าน...สองสหายเล่าเหตุการณ์กระท่อนกระแทนก่อนจะสิ้นสติไป

ตากรีจับไข้ได้สองวันก็ขาดใจตาย ส่วนตาบ่ายก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้...ไม่มีใครกล้าไปหาปลาที่หนองน้ำนั้นตอนกลางคืนอีกเลย!

พ่อเคยชวนผมไปตกเบ็ดตอนกลางวันแสกๆ ต้นตาลที่ดกหนาร่มครึ้ม ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ลมเจ้ากรรมก็พัดซ่าๆ ไม่หยุดหย่อน ใบตาลแก่ๆ แกว่งไกวแกรกกราก...เล่นเอาผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุดหย่อนจนต้องนั่งเบียดพ่อแจ พึมพำว่า...ทำไมไม่มีใครมาตกเบ็ดทอดแหกันสักคน?

พ่อชักคันเบ็ดขึ้นมาเก็บ พูดเบาๆ ว่า...เอ็งลองมองดูอีกทีซิว่ามีกี่คนกันแน่?

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วต้องอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป...รอบบึงใหญ่นั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กๆ ก็มี กำลังนั่งตกปลาตัวแข็งทื่อหลายสิบคน...ก่อนจะร้องโวยวาย พ่อก็ฉุดมือผมลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินช้าๆ พลางกระซิบว่า...อย่าหันไปมองพวกมัน!

นี่ขนาดกลางวันแสกๆ นะ ยังมาหลอกกันจะๆ ยอดตาลไหวซ่า เล่นเอาขาผมแข็งทื่อแทบจะก้าวไม่ไหว อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกจนกระทั่งถึงบ้าน...ไม่ขาดใจตายเพราะบึงผีสิงอย่างตากรีก็บุญโขแล้วครับ!

EP.024 : รถโดยสารผี

เม็ดฝนที่สาดกระหน่ำลงมา ทำเอาคนที่เลิกงานในช่วงนั้นต่างใจคอไม่ดี เพราะส่วนใหญ่ไม่มีพาหนะส่วนตัว ต้องอาศัยรถโดยสารประจำทางหรือรถรับจ้างกลับที่พัก สาวใหญ่ได้ชายคาตึกแถวเป็นที่หลบฝน พร้อมกับชะเง้อมองดูรถโดยสารประจำทางที่ผ่านมาแต่ละคัน ว่าใช่สายที่ตัวเองต้องการจะขึ้นหรือเปล่า



ปกติแล้วรถประจำทางที่หล่อนต้องการจะขึ้นนั้น นานๆจะมีผ่านมาสักคัน เมื่อเจอฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างนี้ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งวิ่งออกจากชายคาตึกไปโบกมือไม่ทัน ผู้โดยสารที่เคยมีนับสิบก็ทยอยขึ้นรถโดยสารประจำทางกันเกือบจะหมดแล้ว จนกระทั่งเหลือหล่อนกับผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก สาวใหญ่ออกอาการหวาดหวั่นไปต่างๆ นานาโดยเฉพาะอันตรายที่จะมาถึงอย่างไม่รู้ตัว การยืนอยู่ตัวคนเดียวคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ และถ้ามีเพื่อนคุยในระหว่างที่รอรถก็คงจะดีไม่น้อย


หล่อนเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วทักทายขึ้นก่อน "สวัสดีค่ะ เห็นคุณยืนรอรถอยู่นานพอกับฉัน เออ...ไม่ทราบว่ารอรถสายอะไรหรือคะ" ผู้หญิงคนนั้นขยับตัวนิดๆ พร้อมกับกลิ่นเหม็นอับที่โชยออกจากตัว

"สวัสดีค่ะ" สาวใหญ่ตีหน้าเจื่อนตั้งท่าจะถอยกลับ เพราะได้กลิ่นฉุนเข้าจมูกเหมือนผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เจอน้ำมาเป็นปี การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูดี แต่ทำไมกลิ่นถึงได้เหม็นอับอย่างนี้ เป็นเรื่องที่สาวใหญ่ต้องคิด แต่เมื่อได้มาแล้วจะถอยกลับก็กะไรอยู่ เพราะถึงยังไงมีเพื่อนก็ยังดีกว่าหนีไปยืนอยู่ตัวคนเดียว

"รอรถสายอะไรหรอคะ" หล่อนถามอีก
"สาย 7 ค่ะ" ผู้หญิงคนนั้นตอบเสียงแปร่งๆ

สาวใหญ่ทำหน้างุนงง เพราะรถโดยสารประจำทางสาย 7 ไม่ได้วิ่งผ่านมาทางนี้

"เออ ฉันว่าคุณคงมาผิดป้ายกระมังคะ" เธอถามออกไป
"ไม่ผิดหรอก คุณหรือเปล่าที่มารอผิดป้าย" ผู้หญิงคนนั้นแย้ง

สาวใหญ่ทำหน้างง เพราะป้ายนี้เป็นป้ายประจำที่ต้องมายืนรอรถเดินทางกลับบ้านเป็นไปไม่ได้ที่ จะหลงป้ายเหมือนผู้หญิงคนนั้นว่า "ไม่หรอกค่ะ ฉันเลิกงานก็มารอรถที่นี่ทุกวันค่ะ" หล่อนยืนยันว่ามาไม่ผิดป้ายอย่างแน่นอน

จากนั้นก็ออกอาการหลุกหลิกเหมือนได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จนอีกฝ่ายสังเกตแล้วถามขึ้น "ได้กลิ่นอะไรเหรอคะ"

"เอ่อ..." สาวใหญ่ตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเปิดยิ้มเพื่อไม่ให้เสียมารยาท "ฉันไม่ได้กลิ่นอะไรเลยค่ะ" สาวใหญ่รีบออกตัว จากนั้นก็ตั้งคำถามในใจก่อนตอบขึ้น "คุณมั่นใจนะคะว่ามารอรถไม่ผิดที่ ฉันใช้เส้นทางนี้มา 10 กว่าปี ฉันไม่เห็นมีรถสาย 7 สักคันและไม่ใช่เส้นทางนี้ด้วยค่ะ"

"ไม่ผิดหรอกค่ะ และฉันก็ขึ้นประจำด้วยค่ะ" เธอตอบกลับมา
"เออ...คุณทำงานแถวนี้หรอคะ" สาวใหญ่ถาม

"ไม่เคยเห็นฉันเหรอ จริงสิ...คนกรุงเทพ ก็อย่างนี้แหละ เห็นกันทุกวี่ทุกวันก็ต่างคนต่างอยู่ไม่่ค่อยทักทายกันหรอก" ผู้หญิงคนนั้นว่าไปทางอื่น
"ฉันก็มารอที่ป้ายนี้เป็นประจำ แต่ฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน" หล่อนตั้งข้อสังเกต

แม้ฝนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงแต่กลิ่นเหม็นอับก็ยังตลบอบอวลอยู่ไม่จางหาย สาวใหญ่เองก็ไม่กล้าแสดงกิริยาอาการอะไรมากนัก ได้แต่เก็บความสงสัยว่า มันเป็นกลิ่นอะไรกันแน่

"แต่ฉันเห็นคุณบ่อยค่ะ" ผู้หญิงคนนั้นว่าขึ้น
"จริงหรอคะ แปลกมากค่ะ" เธอแปลกใจจริงๆ

"คุณคงไม่สังเกตเอง แต่อย่าสงสัยเลยค่ะ เพราะป้ายนี้มีคนรอรถโดยสารกันเยอะ และเราคงอยู่กันคนละมุมก็ได้ค่ะ แต่ฉันเห็นคุณจริงๆนะคะ" เธอว่าดังนั้น

สาวใหญ่ออกอาการหนาวสั่นนิดๆ เพราะละอองฝนที่โปรยมาโดน แม้จะมีรถโดยสารประจำทางผ่านมาหลายคัน แต่ก็ไม่มีสายที่ตัวเองต้องการจะขึ้นผ่านมาสักคัน "เอ...ทุกคืนไม่เคยรอนานอย่างนี้มาก่อน ชนกันหรือเปล่าก็ไม่รู้" สาวใหญ่โพล่งขึ้น

"เหรอคะ" "แย่จัง ตกตอนไหนไม่ตกดันมาตกเอาตอนเลิกงาน" "เดี๋ยวก็หยุดแล้ว" ผู้หญิงคนนั้นว่า
"คุณรู้ได้ไง เล่นเทกระหน่ำอย่างนี้ไม่หยุดง่ายๆหรอกค่ะ" สาวใหญ่ถามออกไปตามที่คิด

"โอ๊ะ...สงสัยว่าสาย 7 กำลังจะมาแล้วล่ะค่ะ คุณรอรถคนเดียวคงเหงาแย่ ยังไง...ขอตัวก่อนนะคะ หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะคะ" ผู้หญิงคนนั้นว่าจบก็้เดินฝ่าฝนออกไปที่ป้ายรถเมล์


เม็ดฝนที่เคยสาดกระหน่ำลดความรุนแรงเหลือแค่พรำๆ เท่านั้น จนสาวใหญ่เองไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่กลิ่นเหม็นอับก็จางไปด้วยเช่นกัน "โชคดีค่ะ" หล่อนร้องบอกผู้หญิงคนนั้น

สักพักก็เห็นรถประจำทางสาย 7 แล่นมาอย่างช้าๆ จนสาวใหญ่เองคิดว่าคนขับมาผิดเส้นทางหรือเปล่า บนรถนั้นมีผู้โดยสารเต็มไปหมด แออัดยัดเยียดจนแทบไม่มีที่ว่างให้ขึ้นไปได้อีกแล้ว สาวใหญ่จ้องตาไม่กะพริบ เพราะคนที่แออัดยัดเยียดกันอยู่บนรถโดยสารคันนั้นดูแปลกๆ

"ฉันไปก่อนนะคะ" หญิงคนนั้นหันมาบอก ก่อนจะเดินขึ้นไปเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นๆ รถประจำทางคันนั้นยังไม่เคลื่อนออกจากป้าย ในขณะที่สาวใหญ่นั้นยืนตัวแข็งทื่อสายตาจดจ้องด้วยความสงสัย ไม่ใช่เพียงแต่ในรถเท่านั้น แม้แต่บนหลังคาก็มีผู้โดยสารเต็มไปหมด แต่ละคนเหมือนหุ่นตุ๊กตาแข็งทื่อ สาวใหญ่ได้แต่จ้องตาค้างจนกระทั่งรถโดยสารสาย 7 คันนั้นเคลื่อนออกจากป้ายอย่างช้าๆ

ทันใดนั้นเอง ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็โผล่ทะลุออกมานอกกระจกหน้าต่างพร้อมกับมือที่โบกให้ สาวใหญ่ขนลุกขนชันก่อนจะสะบั้นเย็นยะเยือกไปทั่วขุมขน สายตาก็จ้องมองรถโดยสารคันนั้นตาไม่กะพริบ ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวที่โผล่ทะลุออกมา พร้อมกับมือที่โบกให้นั้นยังคงอยู่ในสายตาของสาวใหญ่ จนกระทั่งรถโดยสารประจำทางคันนั้นหายลับตาไป พร้อมๆกับรถโดยสารประจำทางอีกคันแล่นเข้ามาเทียบจอด

แต่สาวใหญ่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันใดก็มีอันล้มฮวบลงเสียก่อน จนผู้โดยสารกรูกันลงมาปฐมพยาบาลกันวุ่นวาย แม้แต่ตอนที่หมดสตินั้นสาวใหญ่ก็ยังมองเห็นใบหน้าและมือของผู้หญิงคนนั้น แม้ก่อนหน้านั้นรถโดยสารคันดังกล่าวจะหายลับตาไปแล้วก็ตาม

เป็นเรื่องจริงค่ะ ที่เกิดขึ้นกับตัวของเพื่อนสาวดิฉันเอง แต่ตัวแสดงได้แต่งขึ้นเอาค่ะ ไม่เชื่อโปรดอย่าลบหลู่

EP.023 : ที่อาถรรพณ์

ก่อนอื่นบอกก่อนนะคะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงตามคำบอกเล่าของยายและพ่อ ผู้ที่ประสบและอยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้น เนื้อที่นี้มีอยู่จริง ไม่ขอเอ่ยว่าบริเวณไหนนะคะ แต่อยู่ในจังหวัดสระบุรี ไม่ไกลจากวัดหลวง



ที่ๆว่านี้ แต่เดิมเป็นของใครไม่ทราบ ทราบเพียงแต่ว่ายายได้รับมาดูแลพร้อมโรงเจร้าง ยายและตาได้ที่ตรงนั้นและตากับยายก็อาศัยอยู่โดยเราต้องรื้อโรงเจร้างนั้นมาทำบ้าน ไม่บางส่วนยังคงอยู่ในบ้านปัจจุบันใช้เป็นขื่อ

อยู่มาไม่นานมีซินแสเคยทักไว้ว่าที่ๆนี้เป็นที่แรงและคนที่จะมาอยู่และดูแลนั้นต้องเป็นคนจีนเท่านั้น แย่เลยเพราะยายและตาเป็นคนไทย ก็อยู่มาไม่มีอะไรน่ากังวลเพราะยายเป็นคนธรรมะธรรมโมไปวัดตลอดรักษาศีล ตาเป็นผู้ใหญ่บ้านในตอนนั้นแต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


อยู่ๆตาก็เป็นไข้หนาวไม่มีสาเหตุและจะเพ้อตลอด หนาวถึงขนาดต้องเอาผ้าห่มและฟูกมาทับที่ตัวตาหลายชั้น และเวลาร้อนก็ต้องแก้ผ้านอนเลยและต้องเช็ดตัวตลอด พอไปโรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรไม่มีโรคอะไร ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้งแต่พอมาบ้านก็เป็นตลอด จนตากินอะไรไม่ได้ผอมซีดดำไม่นานตาก็เสีย

ตอนนั้นโรงเจที่ว่ารื้อมา ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านหลายคนอยู่ ไปแอบรื้อมาก่อนแล้วไม่ว่าจะวงกบหน้าต่างประตู พวกเค้าหารู้ไม่นั่นหมายถึงการเอาชีวิตไปเสี่ยงจากนั้นไม่นานพวกเค้าก็เริ่มตายไปทีละคนละคน จนคนสุดท้ายรู้ตัวว่าตัวเองไม่รอดแน่ ตาคนนี้แกเลยไปซื้อโลงมาเลยตั้งไว้ที่บ้าน เปิดเพลงพระสวดคนตายกล่อมตัวเองทุกวันตอนหัวค่ำ เพราะแกรู้แน่ว่าไม่รอด และแล้วจากนั้นไม่ถึงเดือนแกก็เสียจริงๆ ทั้งกลุ่มตายโดยไม่มีสาเหตุ

ส่วนพ่อของฟิมก็เจอ ตรงที่ๆตรงนั้นเคยมีต้นมะม่วงอยู่ ตอนเย็นพ่อได้ไปนั่งเล่นใต้ต้นนั้น อยู่ๆเห็นเณรน้อยเดินมาและจวนจะถึงต้นมะม่วงกังลังจะเลี้ยว พ่อเลยทักไปว่า เณรมาทำไรแถวนี้หรือ จากนั้นพ่อแค่หันตัวไปอีกทางกะว่าจะชวนเณรมานั่งแต่พอหันกลับไป ก็ไม่เจอใคร ซึ่งเวลาเร็วมากและเณรจะหลบไปไหนในเมื่อที่ตรงนั้นโลงก็มีแต่ต้นมะม่วงที่พ่อนั่งอยู่

ต่อมาเวลาที่ยายอยู่ก็มีญาติๆรู้จักกันเค้ามาขออยู่ด้วยระยะนึง แกมีลูกซึ่งเป็นทหารคนนึง อยู่ๆลูกคนนี้ก็มีอาการคลั่งเหมือนผีสิง ตกเย็นมักจะถือมีดแล้วมาตะโกนไล่ยายฟิมว่า มึงมาอยู่ที่ของกูทำใม ออกไป ออกไป พ่อก็เห็นเหตุการณ์นั้นแล้วก็ต้องคอยระวังและคอยห้ามตานั่น แต่ต้องช่วยกันหลายคนเพราะแรงเยอะมาก ไม่นานนักญาติก็ย้ายไปและไม่นานทหารคนนั้นก็เสียสติ กลายเป็นคนเสียสติ อันนั้นไม่ได้ถามว่าเค้าไปล่วงเกินอะไรไหมต้องขอโทษเรื่องข้อมูลด้วยนะคะ

ทหารคนนี้อยู่ได้นานจนอายุมาก เมื่อสองปีที่แล้วแกหนีออกจากบ้านแก แกบ่นว่าไม่อยากรบกวนใคร แล้วแกก็หนีขึ้นเขา ซึ่งเขานี้ก็ติดกับที่ๆว่า วันที่แกหายไปฝนตกติดกันสองวัน ทุกคนระดมหา จนมาเจอแกบนเขาท่าทางจะเป็นไข้หนาวตาย และแกก็ตายไปอีกคนแบบแปลกๆ

ปัจจุบันยายได้ขายที่ตรงนั้นไปนานแล้วค่ะ ตอนนี้มีคนไปดูแลแทนแล้วทราบว่าเป็นเชื้อจีน แต่เค้าทำเป็นโรงเจปรับปรุงใหม่ แต่ก็ไม่มีอะไรนะคะ แต่ว่าเค้าเคยจัดที่บริเวณนั้นเพื่อเป็นตลาดนัดแต่ก็ไม่มีคนมาเดินมากนักและเงียบมาก สรุปคือก็เงียบไปค่ะ

ที่ตรงนั้นเงียบและวังเวง เท่าที่ดูที่ตรงนั้นไม่สามารถหาประโยชน์ทางธุรกิจได้เลย ต้องเป็นเกี่ยวกับงานกุศล หลายๆท่านที่แวะมาอ่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกว่าอยู่บริเวณไหน แต่เรื่องนี้คนเก่าแก่ที่อยู่ที่นั่นจะทราบดีค่ะว่าเรื่องนี้มีจริง

ถ้าพลาดผิดประการใดขออภัยด้วยนะคะ และขออนุโมทนาบุญกับดวงวิญญาณที่กล่าวมา และขออโหสิด้วยนะคะ ถ้าล่วงเกินประการใด

EP.022 : ซอยวัดใจ

ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ได้ฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่นที่นี่ล้วนแต่มีผีดุทั้งนั้น ดุมากบ้างน้อยมาก แต่ส่วนมากน่ะไม่ได้เห็นด้วยตัวเองหรอกนะ...เขาเล่าว่าทั้งนั้นเลย!



แถวบ้านดิฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นชุมทางปีศาจแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ค่ะ

นั่นคือสี่แยกทางรถไฟ ถนนนครไชยศรีตัดกับถนนสวรรคโลก ด้านซ้ายไปสถานีรถไฟสามเสน ด้านขวาไปทางสวนจิตรลดา ไหนจะรถชนกันที่สี่แยก ไหนจะเกิดเรื่องรถไฟชนรถยนต์ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

ที่น่ากลัวมากๆ คือรถไฟทับคนตายคาที่ซิคะ! สมัยก่อนเกิดเรื่องบ่อยมากแถวๆ สะพานดำข้ามคลองสามเสน ที่มีต้นทางจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลเลียบวังศุโขทัยมาถึงวัดอัมพวัน, วัดสุคันธาราม...ไหลคดเคี้ยวไปไกลถึงถนนพระรามเก้าโน่นแน่ะค่ะ

มิน่าล่ะ ขนาดห่างจากย่านสามเสนมาไกลโขแล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อสถานีรถไฟสามเสนเหมือนกัน!


เมื่อราว 2 ปีก่อนก็มีผู้ชายหนุ่มนุ่งกางเกงลายพราง สวมเสื้อคอกลมสีขี้ม้านั่งดื่มเบียร์ที่หน้าร้านในสถานีอยู่ดีๆ รถไฟขาขึ้นเปิดหวูดจากหัวลำโพงจะเข้าเทียบชานชาลาสามเสน ชายผู้นั้นก็วิ่งไปนอนหงายขวางทางรถไฟดื้อๆ

เสียงผู้คนร้องกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายระงมไปหมด รถไฟหยุดไม่ทันแน่ๆ ล้อเหล็กทับแขนขาขาดกระเด็นน่าสยดสยองสิ้นดี ขนาดการรถไฟกั้นทางข้ามแล้วนะคะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ห้ามคนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแน่

ผีทางรถไฟแถวสะพานดำที่เคยซาไปก็กลับดังขึ้นมาใหม่ ตอนกลางคืนมีคนเห็นห้อยโหนโยนตัว หัวขาดขาขาดเป็นประจำ!

ซอยบ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ สี่แยก ตรงข้ามซอยเข้าวัดจอมสุดาราม หรือวัดไพรงามพอดี เป็นซอยเล็กจนทางกทม.ไม่ได้ตั้งชื่อให้ แต่พวกเราเรียกกันเองว่า "ซอยวัดใจ"

ความเล็กของซอยขนาดเข้าได้แต่มอเตอร์ไซค์ ถ้ารถตุ๊กตุ๊ก จะเข้าซอยนี้ต้องมีคนขับเก่งจริงๆ ค่ะ เพราะซ้ายขวาห่างรั้วสูงลิบไม่ถึงศอก ถ้ามีคนเดินอยู่ก็ต้องหยุดเดิน แนบตัวกับกำแพงรั้วเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเฉี่ยวชน

ต้องวัดใจกันว่ารถกับคนใครจะหยุดก่อนกัน? ถึงเรียกว่าซอยวัดใจไงคะ!

ไม่จำเป็นจริงๆ รถตุ๊กตุ๊ก ก็ไม่อยากเข้าหรอกค่ะ แม้ว่าทางแคบที่ว่าจะไม่เกินร้อยเมตร...ต่อจากนั้นก็เป็นทางกว้าง มีซอยเล็กๆ สำหรับคนเดินอยู่ทางซ้าย บ้านช่องแน่นหนา ผู้คนคึกคักพอสมควร

ซอยนี้มีคนเดินเข้า - ออกแทบไม่ขาดระยะ ส่วนหนึ่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหาพนะ คนที่เดินก็เดินจนชินแล้ว ล้วนแต่คุ้นหน้ากันทั้งนั้น พูดไปอีกทีก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ

อ้อ! ยกเว้นต้นโพธิ์ที่สุดซอย (ความจริงกลางซอย)

ถ้ามองไปตรงๆ ก็จะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาดไม่สูงนักอยู่สุดทางพอดี...แต่ไปถึงจะมีทางเลี้ยวแคบๆ สั้นๆ อยู่ทางซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาออกไปอีกที เป็นต้นโพธิ์เก่าแก่หลายสิบปีแล้วค่ะ มีฐานปูนล้อมรอบ ชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำซอย มีคนมาบนบานศาลกล่าวเป็นประจำ

ผ้าแพรสีต่างๆ สดใสเต็มโคนโพธิ์ มีทั้งพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ที่คนมาบนและแก้บน ร่ำลือกันมานานว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่น มีคนถูกหวยกันบ่อยๆ มาหลายปีดีดักแล้ว

ตอนกลางวันก็ดูสวยงามดีนะคะ หรือจะเป็นเพราะเห็นจนชินตาก็ไม่ทราบ แต่พอตกกลางคืนดูร่มครึ้ม ชวนให้วังเวงใจอย่างไรพิกล!

นอกจากให้หวยแม่น ยังมีเสียงลือว่าผีดุอีกต่างหาก!

บ้านดิฉันอยู่ก่อนถึงต้นโพธิ์ค่ะ พอเดินเข้าซอยพ้นทางแคบได้ไม่ไกลก็เห็นต้นโพธิ์โดดเด่น ไม่มองก็ต้องมองนะคะ...ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าบ้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติสักครั้งเดียว

ตัวเองไม่กลัวผี ไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า...ถึงไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่นะคะ...ในที่สุดก็เจอดีเข้าจนได้!

เมื่อปลายปีนี้เอง ดิฉันเลิกงานตอนค่ำเพราะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี นั่งรถสาย 14 จากประตูน้ำกลับบ้าน...พอเดินเข้าซอยรู้สึกเยือกเย็นชอบกล นึกได้ว่าเป็นหน้าหนาว แต่ผู้คนไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด คล้ายกับมีเราเดินเข้าซอยคนเดียว

มีรถมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากข้างหลัง ตอนนั้นใกล้จะพ้นทางแคบที่มีรั้วสูงๆ ขนาบทั้งสองข้างแล้ว ดิฉันแอบเข้าชิดซ้าย...รถคันนั้นก็แล่นหวือผ่านไป แต่ดิฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

คุณพระช่วย! ไม่เห็นรถราสักคันเดียว มีแต่เสียงเท่านั้นเอง!

คงจะเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่า หูฟั่นเฟือน! ประสาทหลอน! ไม่อยากคิดอะไรมาก รีบเดินเร็วขึ้นเพราะรำคาญเนื้อตัว อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มทีแล้ว

ไม่ช้าก็เห็นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้นยืนทะมึนอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น น่าแปลกที่เห็นใครนั่งกอดเข่าอยู่บนขอบปูนรอบโคนต้น ฟุบหน้านิ่งๆ คล้ายคนนั่งหลับ...อากาศก็ชักเย็นยะเยือกขึ้นทุกที

ขณะที่จะเลี้ยวเข้าบ้านก็มองดูอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายไปแล้ว...หายไปต่อหน้าต่อตาดื้อๆ เล่นเอาดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว...คราวนี้เชื่อสนิทแล้วค่ะว่าเจ้าพ่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จริง อย่างน้อยก็ผีมีจริงๆ ไม่อยากหลอกตัวเองว่าตาฝาดแล้วค่ะ!

EP.021 : เธอชอบผม แต่ผมกลัว!

ผมทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่กรมชลประทาน แถวศรีย่าน เช่าห้องอยู่ในซอยองครักษ์ บางกระบือ เพื่อนร่วมห้องคือเจ้าเที่ยง ทำงานอยู่ที่เดียวกัน เรามีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เช่น เป็นเด็กตจว. ชอบอ่านหนังสือกับดูหนังเหมือนกัน



เจ้าเที่ยงเป็นเด็กอยุธยา ถือโอกาสกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์ ส่วนผมเป็นเด็กจันทบุรี อย่างมากก็กลับบ้านเดือนละครั้งเพราะอยู่ไกลเอาการ

เราเช่าห้องอยู่ชั้นล่าง สมัยนั้นเดือนละ 200 บาทก็ถือว่าแพงเต็มที่ ถึงจะมีเตียงกับตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ให้ก็ตาม แต่ก็ดีอย่างตรงที่ใกล้กรมชลฯ ขนาดเดินไป-กลับได้สบาย

ความจริงผมมีแฟนอยู่ที่เมืองจันท์ชื่อชบา แต่ยังไม่ได้แต่งงานหรืออยู่กินด้วยกัน เลยพอจะพูดได้ว่าเรายังเป็นโสดทั้งคู่


ตอนที่เจ้าเที่ยงกลับบ้านวันสุดสัปดาห์ ก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น!

คืนนั้น ผมกินข้าวจากหน้าโรงหนังแล้วเดินกลับห้องพัก พบเพื่อนร่วมบ้านเช่า 2-3 คนอยู่ห้องใกล้ๆ กัน เขามองผมด้วยสายตาแปลกๆ พิกลแต่ผมไม่สนใจ...อาบน้ำอาบท่าจากห้องน้ำรวมทางด้านหลัง แล้วก็มานุ่งกางเกงแพรสวมเสื้อยืดนอนอ่านหนังสือ ในที่สุดก็เคลิ้มหลับไป

มีเสียงประตูเปิดแอ๊ดเบาๆ ตอนแรกนึกว่าประตูห้อง แต่แล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้าวออกมาจากตู้เสื้อผ้าข้างฝา เป็นตู้ค่อนข้างสูง มีราวแขวนเสื้อกางเกงกับชั้นวางเสื้อผ้า ...สาวร่างอวบระหงในชุดนอนสั้นสีชมพู ผมดำขลับยาวประบ่า ช่วยขับวงหน้าให้ดูขาวผ่อง ตาดำโต ปากสวยเต็มอิ่มกำลังเผยอยิ้มนิดๆ เป็นยิ้มที่ยั่วเย้าและท้าทายสิ้นดี!

ขณะที่ผมมองดูงุนงงราวโดนสะกด เธอก็ก้าวเข้ามาหาช้าๆ อกอวบพุ่งเด่นสั่นกระเพื่อมตามท่าเดินจนมาหย่อนสะโพกลงที่ขอบเตียง ยิ้มละไมพลางโน้มใบหน้าลงมา

ผมเอื้อมมือไปจับท่อนแขนเย็นฉ่ำของเธอ ร่างนั้นก็โน้มลงมาจนก้อนเนื้อตูมเต่งสัมผัสกับมือผม...เบียดเสียดกับอกผม แล้วใบหน้าของเราก็แนบเคล้ากันนัวเนียจนอารมณ์หนุ่มแตกตื่นไปหมด ร่างอวบพลิกลงนอนหงาย ผมชันกายขึ้นมามองสบตาดำขลับกลีบปากจิ้มลิ้มเผยอยิ้มยั่วเย้า ผมลูบเคล้าก้อนเนื้อสั่นกระเพื่อมก่อนจะฟุบหน้าลงคลุกเคล้าความหอมหวานชนิดลืมตัวลืมตาย

ไม่มีเสียงพูดจาอะไร นอกจากเสียงคร่ำครวญคล้ายสะอื้น กับเสียงหอบหายใจลึกแรง ขาดเป็นห้วงๆ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเงียบเชียบไปตามเดิม

ผมหลับผล็อย...จมดิ่งเข้าไปสู่ห้วงเหวลึกลับ ดำมืดราวกับอุโมงค์ของความตายไม่ผิดเลย!

รุ่งขึ้น ผมตื่นค่อนข้างสาย รู้สึกอิ่มเอิบสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้แน่ว่าเหตุการณ์น่าตื่นเต้นวาบหวามที่ผ่านมาเมื่อคืนนั้น มันเป็นเพียงความฝันหรือความจริงกันแน่? บนเตียงก็ปราศจากร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น

อาบน้ำแต่งตัวออกไปหาโจ๊กใส่ไข่กิน แล้วรีบกลับห้องเช่า ปิดประตูเงียบ

เหตุการณ์ตื่นเต้นแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง คืนไหนผมนอนคนเดียว "เธอ" จะออกจากตู้เสื้อผ้ามาหลับนอนด้วยเป็นประจำ

ถึงแม้จะไม่รู้แน่ว่าฝันหรือจริง แต่ผมถูกเพื่อนๆ ทักว่าหน้าตาซีดเซียวไปมาก แม้แต่เจ้าเที่ยงยังล้อว่าผมคงพาใครมานอนด้วยตอนที่มันกลับไปเยี่ยมบ้าน

เวลาผ่านไปราว 3 สัปดาห์ วันศุกร์นั้นเพื่อนผมไปอยุธยาตามเคย แต่แฟนผมมาจากจันทบุรี...คืนนั้นเราหลับนอนกันตามประสาคนรักอย่างมีความสุขจนหลับสนิท

เสียงดังแอ๊ดดด...ทำให้เราสะดุ้งตื่น เปิดไฟหัวเตียงสว่างโพลง

นรกเป็นพยาน! ประตูตู้เสื้อผ้าเปิดออกช้าๆ แล้วร่างในชุดชมพูเบาบางก็ปรากฏขึ้นยืนเด่น ใบหน้าขาวซีด ดวงตาดำปี๋ลุกวาว...ชบาร้องกรี๊ดๆ แสบแก้วหู ผมเองก็รู้สึกเหมือนโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้แต่ร้องตะโกนว่า หนีเร็ว!

ชบาเผ่นพรวด ผมวิ่งตามไปติดๆ เรากระโดดลงบันไดเตี้ยๆ แทบหัวคะมำไปหอบฮั่กๆ อยู่หน้าบ้าน เสียงหมาเห่าหอนเขย่าประสาทสิ้นดี แสงไฟจากห้องเช่าอื่นๆ เปิดขึ้นทีละดวงสองดวง ผู้คนทยอยกันออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าเรื่องให้ฟัง

หนุ่มใหญ่คนหนึ่งบอกว่า ผมเก่งที่อยู่ได้นานที่สุดกว่ารายอื่นๆ ส่วนจะมีสาเหตุผีดุบ้าผู้ชายเพราะอะไร ผมไม่อยากทราบจริงๆ ครับ นอกจากจะรีบย้ายที่อยู่ทันใด!

EP.020 : วิญญาณในตึกคณะพยาบาลศาสตร์

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริง ของคนใกล้ตัวผู้เขียน ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เขียนนั่นเอง เขาได้นำเรื่องมาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกทีหนึ่งมาฟังเรื่องของเขากันเถอะ




ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ในห้องเรียนบนตึกของคณะพยาบาลในคืนวันนั้น เป็นเสียงของใคร และมาทำอะไรในห้องที่มืดสนิท ในยามวิกาลเช่นนั้น สิ่งนี้ยังเป็นคำถามคาใจของผู้คนที่ได้รับฟังเรี่องราวที่เกิดขึ้นจากปากน้องสาวของผู้เขียนและเพื่อนของเขา ซึ่งเขาทั้งสองมิอาจจะลืมเหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น เมื่อคืนวันอาทิตย์ พ.ศ. 2529 น้องสาวของผู้เขียนศึกษาอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในขณะนั้นอยู่ชั้นปีที่ 3 ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์

ใครจะรู้ว่าในคืนวันที่เกิดเหตุ อันน่าขนลุกคืนนั้น จะกลายเป็นคืนที่ทำให้น้องสาวของผู้เขียนซึ่งเรียนทางด้านการแพทย์ หันมาเชื่อเรื่อง ภูติผี วิญญาณ อย่างจริงๆ จังๆ

คืนวันนั้น เป็นช่วงใกล้สอบปลายปี นักศึกษาส่วนมากจะหาจับจองที่ ที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เป็นที่อ่านหนังสือ เพื่อจะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือ

ในคืนวันที่เกิดเหตุ ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ น้องสาวของผู้เขียนเขาได้ตระเตรียมหนังสือใส่กระเป๋า แล้วเดินออกมารอเพื่อนที่นัดกันไว้ เพื่อที่จะไปหาที่อ่านหนังสือด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย เพื่อนของเขา ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ซึ่งอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะดีนัก มารับที่หน้าหอหญิง (สมัยนั้นนักศึกษายังไม่ค่อยมีรถคันสวยๆ รุ่นใหม่ๆ ใช้เหมือนสมัยปัจจุบันนี้) จากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถตระเวนหาที่อ่านหนังสือ จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของทั้งคู่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่ก็มาเจอที่เหมาะๆ ที่จะอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิ โดยไม่มีใครรบกวน มันเป็นศาลาไม้หลังเล็กๆ ยกพื้นสูงจากระดับพื้นดินนิดหน่อย มีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ มีแสงไฟเปิดสว่างไว้ อยู่ติดกับข้างๆ ตึกของคณะพยาบาลนั่นเอง บรรยากาศรอบๆ ถูกขนาบข้างด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ซึ่งเขาเล่าว่าปกติแล้วศาลาแห่งนี้จะไม่ค่อยว่างเลย ในวันอื่นๆ ที่ผ่านมาเขาเคยขับรถแวะเวียนมาหลายครั้งไม่เคยได้นั่งสักที จะมีคนนั่งอยู่ก่อนเสมอเพราะบรรยากาศดี สงบเงียบ เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างดี

เมื่อทั้งคู่มาถึงศาลา ก็จอดรถไว้ใต้ต้นหูกวางข้างถนนแล้วก็เดินขึ้นไปบนศาลา พร้อมกับพูดคุยกันว่า " วันนี้โชคดีจังไม่มีใครมานั่งที่ศาลาก่อนเรา" เมื่อหาที่นั่งเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ต่างก็นั่งอ่านหนังสือของแต่และคน โดยไม่พูดคุยกัน จะมีนานๆครั้งที่พูดคุยกัน ซักถามกันในเนื้อหาบทเรียนของหนังสือที่อ่าน บางครั้งเขาก็ละสายตาจากหนังสือมองไปรอบๆ เขาก็เห็นนักศึกษาอีกคู่หนึ่ง นั่งอ่านหนังสือ อยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆ ตึกคณะพยาบาล ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก เขาก็ใจชื้นขึ้นมาว่า ยังพอมีเพื่อนอยู่บ้าง

ทั้งคู่นั่งอ่านหนังสือจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร ขณะนั้นเขามองดูนาฬิกาในข้อมือ เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ทั้งคู่ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า จะเกิดเหตุการณ์อันน่าขวัญผวาขึ้นกับพวกเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนที่ใส่รองเท้าส้นสูง เดินดัง ก๊อก! ก๊อก! ไปมาหลายครั้งในห้องเรียนที่มืดสนิท บนตึกคณะพยาบาลซึ่งอยู่ข้างๆ ศาลาที่เขานั่งนั่นเอง

ทั้งคู่มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างคนต่างก็ก้มหน้าฝืนอ่านหนังสือต่อไป ซึ่งเริ่มจะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือแล้ว เสียงจากบนตึกไม่หยุดเพียงเท่านั้น จากเสียงคนเดิน เริ่มมีเสียง ลากเก้าอี้ ดังแกรก กราก ครืดคราด ไปมา ดังขึ้น! ดังขึ้น! และดังขึ้น!

ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง แต่มิกล้าแม้จะเอ่ยปากพูดคุยกัน บรรยากาศตอนนั้น น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเย็นยะเยือก หนาวสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ ขึ้นมาทันที ทำให้ทั้งคู่ ขนลุก ซู่! ขึ้นมาพร้อมๆกัน ต่างคนต่างเก็บหนังสือของตัวใส่กระเป๋า โดยไม่มีการพูดคุยกัน

และขณะที่ทั้งคู่เก็บหนังสืออยู่นั้น เสียงลากเก้าอี้ก็ยังไม่หายไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังแว่วมาจากห้องเดียวกันนั่นเอง ทั้งคู่ได้ยินเหมือนกัน เป็นเสียงเพลงร้องออกมาด้วยเสียงอันโหยหวน เยือกเย็น และลากเสียงยาวๆ ผิดจากเสียงของคนธรรมดา ว่า "บอกว่า...ฉานนน...เสียจาย.....ด้าย....ยีน.....หมายยยย..." ชวนให้ขนลุก ขนพองยิ่งนัก ทั้งคู่ทวีความกลัวขึ้นอย่างสุดขีด โดยไม่มีการรอช้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งคู่หยิบกระเป๋าหนังสือได้ แทบจะกระโดดลงจากศาลา

ทั้งคู่ยังวางฟอร์ม ไม่กล้าวิ่ง แต่ในใจอยากจะวิ่งเต็มทนแล้ว ขณะที่ทั้งคู่เดินโกยแนบมาที่จอดรถ เสียงเพลงนั้นยังดังไล่หลังอยู่เรื่อยๆ และก็ร้องอยู่แต่ วรรคเดิมวรรคเดียว กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นตลอด
ทั้งคู่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่รถ ในใจก็ภาวนาให้รถสตาร์ทติดง่ายๆด้วยเถิด..ปกติแล้วรถจะสตาร์ทติดยาก ดังที่ผู้เขียนได้บอกแต่แรกแล้วว่า รถอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งคู่คิดในใจว่าถ้ารถไม่ติดก็จะทิ้งรถไว้ตรงนั้น และก็จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลย แต่ด้วยเดชะบุญ รถคู่ชีพมันช่วยชีวิตในยามคับขัน หรือจะเป็นด้วยความกลัวทำให้รวบรวมพลัง สตาร์ทรถ เพียงครั้งเดียว เครื่องก็ติดขึ้นมาทันที

ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถ และบิดคันเร่งอย่างสุด สุด เพื่อออกจากที่ตรงนั้นอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ โดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย..

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะคะ วันรุ่งขึ้นของคืนวันนั้น ตอนเวลาประมาณ 3 โมงเช้า เขาก็ได้รับข่าวร้ายจากทางมหาวิทยาลัยว่า มีนักศึกษารุ่นน้องชั้นปีที่ 2 ของคณะพยาบาลได้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนวัว ระหว่างทางจากบ้านมามหาวิทยาลัย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน คือคนขับ ส่วนคนซ้อนท้าย บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวที่โรงพยาบาล

ทราบเรื่องภายหลังว่าน้องนักศึกษาพยาบาลปีที่ 2 พร้อมกับเพื่อน 1 คน ซึ่งพักอยู่ในหอของทางมหาวิทยาลัยได้เดินทางกลับบ้าน ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในวันที่เกิดเเหตุ คือวันอาทิตย์

ผู้เป็นพ่อและแม่ ได้พาลูกสาวไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยม เพื่อจะให้ลูกสาวนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย
กว่าจะทำเรื่องซื้อ-ขายกันเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว พ่อได้บอกกับลูกสาวว่า พรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันจันทร์ พ่อจะเอารถมอเตอร์ไซค์ใส่รถกระบะ แล้วขับไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัย แต่ลูกสาวกำลังเห่อรถคันใหม่ ประกอบกับไม่อยากกลับในวันจันทร์ เพราะจะไม่ทันเข้าเรียน จึงไม่เชื่อฟังพ่อ และขอพ่อกับแม่ว่าจะกลับในวันอาทิตย์ให้ได้ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ พร้อมกับเพื่อนไปมหาวิทยาลัยเอง

ผู้เป็นพ่อกับแม่ก็มิอาจจะทนคำขอของลูกสาวได้ จึงปล่อยให้ลูกสาว ขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ออกจากบ้านพร้อมกับเพื่อน เดินทางกลับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หรือเราเรียกว่า เวลาโพล้เพล้ นั่นเอง

ในระหว่างทาง ก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เมื่อมีวัววิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด และรถได้พุ่งชนวัวเข้าอย่างจัง ทำให้รถเสียหลัก น้องนักศึกษาซึ่งเป็นคนขับกระเด็นตกข้างทาง คอหักและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนเพื่อนก็บาดเจ็บสาหัสดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ ได้รับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น หัวใจแทบแตกสลาย เป็นลมล้มพับไปตามกัน

ท่านผู้อ่านที่เคารพคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของผู้เขียน และเพื่อนของเขาในคืนวันนั้น มันจะเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่ได้รับอุบัติเหตุ ในวันเดียวกันนี้หรือไม่ ก็มิอาจจะพิสูจน์ได้แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ทั้งสองขวัญผวา และไม่กล้าที่จะไปอ่านหนังสือตรงศาลาข้างตึกนั้นอีกเลย..

หลายวันผ่านไป ทั้งคู่ก็มักจะนำเรื่องเหตุการณ์ในคืนวันนั้นไปเล่าให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่าอยู่นั้น ก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นว่า เขาก็เจอ เหตุการณ์นั้นเหมือนกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย มีเสียงคนเดินบนตึก มีเสียงลากเก้าอี้ มีเสียงร้องเพลง และก็เป็นเพลงเดียวกัน ในคืนวันเดียวกันด้วย

สรุปแล้วในคืนวันนั้น เจอเหตุการณ์ ขวัญผวา ไป สองคู่ 4 คน ท่านผู้อ่านจำสองคน ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจากคู่ของน้องสาวผู้เขียนได้ไหมคะ คู่นั้นแหละค่ะ ก็โดนเหมือนกัน ทั้งคู่ก็วิ่งหนีอย่างขวัญหนี ดีฝ่อ ในเวลาไล่เลี่ยกัน

เขาทั้ง 4 คน คิดว่า เสียงต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น มันเกี่ยวโยงกันกับน้องนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ที่เสียชิวิตจากอุบัติเหตุคนนั้น คงเป็นวิญญาณของน้องมาวนเวียนอยู่บนตึกที่เคยเรียน และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แล้วท่านผู้อ่านล่ะคะ คิดว่าเสียงบนตึกคณะพยาบาลนั้นเป็น เสียง..ของใคร?

EP.019 : คนเล่นของถึงฆาต

สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไป



ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ


ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระบูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย

"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก

พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่าสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมียของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า

อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!
 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .