EP.010 : เจ้าของหวีสับ

พี่รื่นเป็นภรรยาของเพื่อนรุ่นพี่ของสามีดิฉัน เราพบกันในงานเลี้ยง พูดคุยกันถูกคอ เธอเป็นคนน่านับถือ แถมยังสวยไม่สร่างแม้ว่าอายุจะย่างเข้าห้าสิบแล้วก็ตาม



ที่สำคัญ เธอผู้นี้แหละค่ะที่พาดิฉันไปพบปรากฏการณ์สุดสยอง!

หลังจากรู้จักกันหลายเดือน วันหนึ่งพี่รื่นก็ชวนให้ดิฉันทำงานขายประกัน เราเป็นแม่บ้านทั้งคู่ค่ะ คือต่างก็ลาออกจากงานตั้งแต่คลอดลูกคนแรก จนกระทั่งตอนนี้ลูกอายุยี่สิบเศษเรียนจบปริญญาเรียบร้อย พี่รื่นบอกว่ามาขายประกันดีกว่า หารายได้ให้ครอบครัว แล้วยังนำสิ่งดีๆ ไปเสนอให้คนในสังคม

ดิฉันตกลงเข้ารับการอบรมโดยพี่รื่นเป็นหัวหน้าสาย เธอขายประกันมานานแล้วค่ะ จนได้เป็นระดับหัวหน้า


เมื่อปีที่แล้วเราต้องไปสัมมนาที่เมืองกาญจน์ เข้าพักโรงแรมระดับดีมาก ดิฉันนอนกับพี่รื่นในห้องพักที่สะอาด ทันสมัย เป็นห้องที่สวยมาก แต่ทำไมดิฉันรู้สึกแปลกก็ไม่รู้

ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนห้องนี้มีใครอยู่ ...มันเหมือนกับเวลาที่เราเปิดห้องผิดน่ะค่ะ แม้จะไม่เห็นตัว แต่ก็รู้สึกว่าใครคนนั้นอยู่ในห้องขณะเปิดประตู...มันทำให้ดิฉันชะงัก เผลอร้องอุ๊ย...ออกมาเบาๆ

พี่รื่นไม่ทันได้ยิน เพราะมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าจากรถลาก แต่พนักงานที่เข็นกระเป๋าขึ้นมากลอกตามองดิฉัน แล้วเขาก็รีบเบือนเลย เร่งมือยกกระเป๋าของเราเข้าห้องให้อย่างเรียบร้อย พี่รื่นชอบใจห้องนี้ มันเป็นห้องเล็กๆ มีห้องน้ำอยู่ตรงทางที่เปิดประตูเข้ามา เตียงเป็นแบบกว้างนอนได้สองคน ไม่ใช่เตียงแยกนอนเดี่ยวสองเตียง

นี่ละค่ะที่พี่รื่นชอบ...เธอเป็นคนกลัวผีตัวฉกาจเลยละค่ะ!

ดิฉันขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะที่พี่รื่นกำลังชมวิวและกินผลไม้ที่ทางโรงแรมวางไว้ให้บนโต๊ะตัวเล็กเป็นการต้อนรับ

ห้องน้ำสะอาดค่ะ มีอ่างอาบน้ำด้วย กระจกผนังก็กว้างตลอด ทำให้ยิ่งดูโล่งและโอ่โถง เคาน์เตอร์ตรงอ่างล้างหน้า มีดอกไม้ช่อสีม่วงเล็กๆ ปักแจกัน และมีขวดสบู่ แชมพู ครีมทาผิว วางไว้ในตะกร้าสานใบเล็กน่าเอ็นดู

แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหวีสับของใครมาวางอยู่บนนี้ด้วย?

มันเป็นหวีประดับเพชรเม็ดนิดๆ เรียงเป็นแถว ดูสวยมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดรอดสายตาพนักงานทำความสะอาดมาได้ขนาดนี้ ดิฉันมั่นใจว่าเป็นของคนที่มาพักก่อนหน้านี้ลืมเอาไว้

ไม่เป็นไร...ดิฉันจะเอาไปให้พนักงานต้อนรับตอนลงไปข้างล่าง จะบอกเขาว่าแขกลืมของ...

จัดการหมุนก๊อกน้ำเย็นล้างหน้า โดยไม่ได้เปิดก๊อกน้ำอุ่นผสม พอล้างเสร็จเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดิฉันรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว...ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง เพราะเงาตัวเรามองออกมาไม่เหมือนเราเลยค่ะ...มันเหมือนคนอื่นที่กำลังเลียนแบบท่าทางของเรา พร้อมกับมองสบตาเราอย่างขบขันอยู่ในที!

เอ๊ะ! ชักจะยังไงเสียแล้วซี! ขนเริ่มลุกซ่าเมื่อเห็นสีหน้าเงาตัวเองในกระจกดูน่ากลัว และใบหน้าของดิฉันเองในเงาสะท้อนนั้นดูไม่เหมือนเดิม...คล้ายกับว่ามันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ

ไม่เอาแล้ว...ดิฉันรีบออกจากห้องน้ำ คิดว่าตัวเองประสาทเกินไป เฮ้อ...อายุตั้ง 48 แล้วนี่คะ เลือดจะไปลมจะมา...ฮอร์โมนคงทำพิษน่ะค่ะ! คิดเลอะเทอะหลอกตัวเองให้กลัวอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!

วันนั้นเราอบรมสัมมนาจนมืดค่ำ กว่าจะกลับเข้าห้องก็ห้าทุ่มกว่าแน่ะค่ะ

พี่รื่นดูเหนื่อยมาก เธอบอกว่าเพลียๆ ขออาบน้ำก่อน ดิฉันเลยเปิดทีวีดู ม่านหน้าต่างน่ะเอาลงหมด แถมเปิดไฟทั้งห้อง แต่กระนั้นแสงไฟก็ดูจะสว่างไม่พอสักเท่าไหร่

ตอนดูทีวี ดิฉันรู้สึกเหมือนมีเงาคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงหางตา แต่พอมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร...แปลกชะมัด

หลังจากอาบน้ำต่อจากพี่รื่น ดิฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นและอยากเข้านอนทันที พี่รื่นหลับแล้วค่ะ เธอหลับง่ายแบบนี้แหละ ดิฉันดับไฟ เหลือแต่ไฟในห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มไว้

ไม่ถึงห้านาที...กำลังหลับตาจะเคลิ้มอยู่ดีๆ ก็ต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนในห้องน้ำ ทั้งที่พี่รื่นก็หลับอยู่ข้างดิฉันแท้ๆ แล้วใครล่ะ?

ขณะคิดอยู่ ก็เห็นชัดๆ แล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาจากห้องน้ำ!

คุณพระช่วย! ผมเธอยาวปรกน้ำที่ก้มต่ำ แขนสองข้างลู่อยู่แนบตัว เธอลอยช้าๆ น่าสยองมากๆ ผ่านความมืดสลัวอ้อมมาข้างเตียงด้านพี่รื่น แล้วเธอก็นอนลงติดกับพี่รื่นเลยค่ะ! ที่นอนยุบยวบ เล่นเอาดิฉันชาวาบไปทั้งตัว...ทำอะไรไม่ถูกนอกจากสวดมนต์

พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดไฟหัวเตียง แล้วค่อยๆ มองไปตรงนั้น...มันว่างเปล่า!

ดิฉันไม่กล้าเล่าให้พี่รื่นฟังเพราะไม่อยากให้เธอกลัว แต่เดชะบุญที่เช้านั้นชักโครกในห้องน้ำเสีย เราได้ย้ายไปนอนห้องอื่น ซึ่งดิฉันคิดว่าโชคดีที่สุด...แต่ถึงจะนอนห้องอื่นก็ยังอดหวาดระแวงไม่ได้เลย

พอถึงกรุงเทพฯ เล่าให้พี่รื่นฟังแทนที่จะกลัวเธอกลับหัวเราะฮึๆ บอกว่าอย่าคิดอะไรมาก หนทางยังอีกไกล ดิฉันต้องอบรมสัมมนาอีกหลายครั้ง! เห็นอะไรก็เฉยไว้ดีแล้ว...เป็นงั้นไปค่ะ!

EP.009 : เงาในกระจก

เรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2546 ดิฉันและพี่ๆ น้องๆ ได้รวบรวมเงินกัน แล้วก็มาเที่ยวพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ สาเหตุที่เลือกมาจังหวัดนี้ เพราะน้องชายมารับเหมาปลูกบ้านให้กับญาติ จึงถือโอกาสมาดูบ้านและเที่ยวไปด้วยในตัว พอตกกลางคืน ก็ได้ที่พักที่อยู่ไม่ไกลมากนักกับบ้านที่ปลูกไว้ ที่พักนั้นมีลักษณะเป็นบังกะโลหลังเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว ภายในห้องพักจะมีเตียงนอนขนาดใหญ่ เป็นเตียงเดี่ยว ราคาห้องละ 500 บาท โดยปกติก็จะพักได้ไม่เกิน 2 คน ต่อห้อง แต่ด้วยความที่เรามีเงินจำกัด จึงได้ต่อรองกับผู้ดูแลให้เช่า โดยเล่นเข้าพักห้องเดียวทีเดียวถึง 5 คน เป็นผู้ใหญ่ 4 คนและเด็ก 1 คน ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือลูกชาย ของดิฉันเอง ผู้ดูแลก็ยอมหลังจากต่อรองกันนานพอสมควร



พอเปิดประตูบ้านพักให้เรียบร้อย ก็ไม่เห็นเขาย้อนมาดูอีกเลย ขอผ้าห่ม เพิ่ม 1 ผืน เขาก็ไม่เอามาให้ คิดว่าเขาคงรำคาญพวกเราเต็มแก่ ที่ต่อรองเขามากแล้วยังขอโน่นขอนี่เพิ่มอีก

แต่ตอนที่จะเข้าไปบ้านพัก พวกเราก็เกิดความรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะสังเกตว่ามีเครื่องรางมากกว่าห้องอื่นๆ ทั้งหน้าห้องและภายในห้องพัก มีผ้ายันต์ปิดไว้ด้วย พอขอเปลี่ยนไปพักห้องอื่นทางผู้ดูแลก็ตอบว่า เต็มหมดทุกหลังแต่เราก็ไม่เห็นมีใคร เพราะไม่ใช่ฤดูเทศกาลท่องเที่ยว ประกอบกับสถานที่ก็ไม่ใช่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากอยู่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มาก แต่ดิฉันคิดว่า อยู่กันหลายคนคงไม่เป็นไร

ก่อนเข้าห้องพัก พวกเราก็ยกมือไหว้ขอโทษขอขมาเจ้าที่เจ้าทางกันเรียบร้อย หลังจากนั้นทยอยกันอาบน้ำ พอสี่ทุ่มเศษก็ขึ้นเตียงจะเข้านอน เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว


แต่ดิฉันนอนหลับไม่สนิท เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตลอดเวลา มันดังโหยหวน จนนอนหลับๆ ตื่นๆ แต่พอลืมตาก็ไม่เห็นมีใครเหมือนกับเสียงที่ได้ยินเลย จึงข่มตาหลับต่อ คิดว่าหูของตนคงจะฝาดไปเอง หรือไม่ก็เหนื่อยมาจากการเดินทางกระมัง

ภายในห้องที่เข้าพักจะมีกระจกบานใหญ่มาก และมีรอยร้าวอยู่ที่มุมบนด้านขวา ซึ่งกระจกบานนี้ติดอยู่ที่ข้างฝาตรงข้ามกับปลายเตียง ใกล้ตีห้าพอฉันจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หางตาก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงนั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เด็กคนนั้นอายุน่าจะ 14-15 ปี ฉันไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นนั้นจะเป็นเงาของอะไรหรือไม่ จึงเพ่งดูในกระจกอีกรอบ ก็เห็นชัดสองตาเลยว่าเธอกำลังนั่งอยู่

ตอนแรกก็คิดว่าน้องสาวคงจะถอดเสื้อผ้า แล้ววางพาดไว้ที่เก้าอี้ ดิฉันจึงหันกลับไปมองที่เก้าอี้ ปรากฏว่าที่เก้าอี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่บนเก้าอี้ทั้งสิ้น แต่พอหันกลับมามองในกระจกอีก ก็เห็นเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ อย่างเหม่อลอยเหมือนเดิมอีก พอหันกลับไปมองอีกรอบ ก็เห็นแต่เก้าอี้เปล่าๆ อีก เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ถึง 3 รอบ

ดิฉันจึงเริ่มพิจารณา เห็นตัวเธอดูซีดขาว ตั้งแต่สีหน้า มือ ขา เล็บ หน้าตาดูเศร้า เหมือนคนมีความทุกข์ทรมานกับอะไรสักอย่าง เสียงของเธอนั้น ร้องเรียกหาบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ปนกับเสียงร้องไห้ ขนของฉันลุกซู่

ครั้นฉันจะเรียกคนอื่นให้ตื่นขึ้นมา พวกเขาก็กำลังหลับหลับสบาย ฉันเลยละสายตา เลิกมองแล้วรีบเข้าห้องน้ำ ฉันรีบอาบน้ำ เพราะอยู่ในห้องน้ำคนเดียวและตอนนั้นก็กลัวมากเสียด้วย เสียงโหยหวนยังครวญครางอยู่แถวหู เหมือนเธอมายืนร้องอยู่ด้านหลัง

มาถึงขั้นนี้ ฉันรีบล้างตัว พอออกมาก็รีบเปิดไฟทั้งห้องทันทีเลย อารมณ์ตอนนั้นไม่เกรงใจใครๆ อีกแล้ว
พอเปิดไฟ ตรงโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่เห็นใครนั่งอยู่ตรงนั้นอีก แต่ที่ไม่น่าเชื่อเลย คือ เบาะเก้าอี้ตัวนั้น ยังอุ่นๆ เหมือนคนนั่งเพิ่งจะลุกจากที่นั่งไปอยู่เลย...บรื๋อ

ว่าแล้วฉันก็เผ่นออกจากห้องมารอคนอื่นๆ โดยที่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยเพราะกลัวว่า พวกเขาจะหวาดกลัวจนหมดสนุกกัน

ดิฉันเก็บความสงสัยไว้ในใจมาตลอด จนมาเล่าให้เพื่อนๆ ที่ทำงานฟัง เพื่อนๆ แนะนำให้ใส่บาตรให้กับเด็กสาวคนนั้น ดิฉันก็ทำตาม แล้วดิฉันลองซื้อหวยเพราะเพื่อนบอกว่าเราจะโชคดีจากบุญ ที่เราได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาปรากฏว่าฉันโชคดีจริงๆ ถูกหวยถึง 2 ครั้งซ้อน

ดิฉันจึงให้ญาติของดิฉันที่อยู่ทางนู้นช่วยตามหาต้นสายปลายเหตุกับสิ่งที่ดิฉันเจอให้ว่า เธอมีความเป็นมาอย่างไรและเป็นใครกันแน่

ดิฉันมารู้จากญาติในภายหลังว่า เด็กผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารมาก เธอมาพักที่บังกะโลหลังนี้กับพี่ชายและเพื่อนๆ ของพี่ชาย แต่พี่ชายกลับเมาจนครองสติไม่อยู่และในที่สุดก็ร่วมกับเพื่อนข่มขืนและบีบคอเธอ ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ จนขาดใจตาย ก่อนจะอำพรางศพไว้ใต้เตียงแล้วหนีไป

ดิฉันได้ฟังก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ได้เงินจากหวยมาก็รีบทำบุญส่งให้อีกรอบ สาธุ ไปเกิดที่ชอบๆ เทิ้ด แม่เจ้าประคู้ณ

EP.008 : วิญญาณบาป

บ้านดิฉันอยู่ในซอยแถวถนนรัชดา เป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นคึกคักสุดๆ ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้าศุกร์เสาร์ต้นเดือนรถจะติดกันเป็นแพ ยาวเหยียดจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยก็ว่าได้สถานบริการเพียบ ทั้งโรงแรมโรงนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ สปาจริงและบังหน้าค้ากาม ไหนจะมีโคโยตี้ล่อตาล่อใจพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก

ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ!

บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน

อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม

ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว


คืนหนึ่ง เรื่องร้ายก็อุบัติขึ้นจริงๆ

เสียงปืนดังสนั่นราว 4-5 นัดติดๆ กันจนดิฉันกับสามีสะดุ้งตื่น ลงมาจากชั้นบนก็พบน้องสาวที่กำลังตื่นเต้น...เพื่อนบ้านเปิดไฟทั้งสองฝั่ง ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าๆ พวกเราออกไปดูเหตุการณ์กันที่หน้าประตูรั้ว...แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดเรื่องที่บ้านหลังไหน?



ไม่ช้าตำรวจก็มาถึง...น่าแปลกที่ไม่มีเจ้าทุกข์หรอกค่ะ!

เสียงโจษจันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าบ้านนั้น บ้างก็ว่าบ้านนี้...ผู้คนออกมาดูกันมากขึ้นทุกที จนกระทั่งไปพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ข้างถนนใต้ต้นไม้ ถัดจากบ้านดิฉันไปไม่ไกลนัก โดนยิงที่อกซ้ายจนเลือดแดงฉานไหลนองน่าเสียวไส้ คุณป้าคุณน้ามองเห็นก็ร้องหวีดว้าย บางคนถึงกับเป็นลมไปก็มี

รถมูลนิธิแล่นเข้ามา แสงไฟวูบวาบน่าเวียนหัว...ตำรวจสอบถามใครก็ไม่ได้เรื่องล้วนแต่บอกว่าได้ยินเสียงปืนจนตกใจตื่นกันทั้งนั้น...น้องสาวกอดแขนดิฉันแน่น ถามแต่ว่าใครคะ...ขโมยมันขึ้นบ้านใคร? ดิฉันส่ายหน้า หันไปทางสามี...เขากระซิบว่าเจ้าของบ้านคงยิงขโมยตาย แต่กลัวจะมีเรื่องเดือดร้อนทีหลังเลยไม่ยอมปริปาก

หรือว่าจะเป็นพ่อบ้านอารมณ์ร้อน คนที่เคยประกาศว่าจะยิงทิ้งคนร้าย...ดิฉันมองหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย หันไปทางบ้านนั้นก็พบว่าปิดไฟเงียบเชียบ...

เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปเดือนเศษก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา!

คืนนั้นฝนตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำ อากาศเย็นสบายจนน่านอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างทำให้ดิฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก...สามีบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัด เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงน้องสาวที่นอนคนเดียวในห้องชั้นล่าง ลูกๆ ยังหลับอยู่ในห้องติดๆ กันนี่เอง

ดิฉันกระโดดลงบันไดอย่างลืมตัว ปากก็ร้องตะโกนชื่อน้อง...ยายนิดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตลอดเวลา เกือบพร้อมๆ กับที่น้องถลาออกมาที่ห้องรับแขก เปิดไฟสว่างจ้า พอเห็นดิฉันก็โผเข้ากอดไว้แน่น ร้องไห้โฮ...พร่ำแต่ว่า "ช่วยด้วยๆ" อยู่ไม่ขาดปาก

ในห้องนอนน้องไม่มีอะไรผิดปกติ หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดและมุ้งลวด...มองออกไปเห็นถนนเปียกโชก เป็นเงาวับอยู่ในแสงไฟ มีรถแล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา

น้องสาวก็เล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!

ขณะที่นอนหลับก็มีเสียงครวญครางเบาๆ มากระทบหู เสียงอะไรลากไปตามพื้นใกล้ๆ หน้าต่าง อดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงย่องไปดู...ท่ามกลางแสงสว่างเหลืองรัวจากเสาไฟฟ้า ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นเต็มม่านตา...

ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังเดินลากขา ท่าทางโซซัดโซเซ มือหนึ่งกุมอกไว้ ใบหน้าเงยแหงนไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม...สีแดงฉานไหลจากง่ามนิ้วมาถึงท่อนแขน! เลือดสดๆ เหมือนเลือดที่ไหลนองบนพื้นถนนในคืนที่เกิดเหตุร้ายไม่มีผิดเลย


ภาพที่เห็นทำให้เธอหวิดจะช็อกคาที่ หลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว...คุณพระช่วย!

ฉับพลันนั้นเอง ร่างอุบาทว์ที่กำลังจะเดินผ่านไปก็กลับชะงักงัน! เธออ้าปากค้างตะลึงมอง ใบหน้าของมันค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคงแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!

จากด้านหลังจนเห็นเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียม...มันค่อยๆ หันมาขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเหลือกลาน อยากจะหันหน้าหนี อยากจะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด หรือไม่ก็หายวับไปเสียเลย ภูตร้ายจะได้มองไม่เห็น...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป...

ในที่สุด ภูตนรกตนนั้นก็หันมาจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาวไม่ผิดกับเปลวไฟ!

"ว้าย! ช่วยด้วยๆ..." ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าใส่จนแทบจะช็อกตายคาที่ แผดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งเปิดประตูมือไม้สั่นพลางหวีดร้องไปด้วย...จนกระทั่งดิฉันวิ่งลงมาพบเธอ

"ตาฝาดน่ะ! หรือไม่ก็คิดมากไปเอง" นั่นเป็นอย่างมากที่ดิฉันจะปลอบน้องได้...ก่อนจะพาเธอขึ้นไปนอนด้วย คืนนั้นดิฉันหลับๆ ตื่นๆ จิตใจสับสนวุ่นวายบอกไม่ถูก ภาพของศพหัวขโมยคืนนั้นยังติดหูติดตาไม่รู้ลืม

วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย...พ่อบ้านที่เคยประกาศว่าจะฆ่าโจรเมื่อเดือนก่อนหัวใจวายตายคาที่นอน ภรรยาเขาเล่าว่าเห็นศพสามีอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเหมือนเห็นภาพอันน่าสยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!

EP.007 : ตุ๊กตาคู่

"ทยิดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นยมทูตมารับวิญญาณ

ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เราสองแม่ลูกต้องอาศัยอยู่กับญาติชื่อคุณยายสมร..เพราะสาเหตุนี้เองค่ะที่ดิฉันได้พบกับเรื่องน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต!



คุณยายสมรเป็นคนอ้วนดำ ตัวใหญ่ ปากร้าย เจ้าระเบียบ เอาแต่ใจตัวเอง ชอบระบายอารมณ์กับเรา ถึงแม้จะมีฐานะร่ำรวย ลูกเต้าหลายคนก็จริง แต่ทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็แยกบ้านกันไปหมด เพราะทนปากคุณแม่ไม่ไหว


สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความเป็นคนขี้โรคของคุณยายก็ได้ค่ะ ทั้งเบาหวาน ไตพิการ ความดันสูงและโรคหัวใจ.. ก่อนตายได้เดือนเศษก็เป็นงูสวัดค่ะ ดูๆ ก็น่าสงสารเพราะไข้ขึ้นสูง ปวดและอ่อนเพลียจนลุกไม่ได้เลย จนต้องหอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล

ดิฉันเป็นคนอยู่เฝ้าไข้เพราะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยปิดเทอมใหญ่..ไม่ได้คิดเลยว่าจะตาย กลับคิดว่าอีกราวอาทิตย์เดียวก็หาย กลับบ้านได้

เมื่อไปอยู่โรงพยาบาลราว 3-4 วัน คุณยายสมรก็ดูค่อยยังชั่วขึ้น พูดได้แม้จะอ่อนระโหยโรยแรง แต่ตอนหลังๆ ชักเพ้อเจ้อพิกล บางทีก็พูดกับใครที่มองไม่เห็น.. ดิฉันก็กลัวซิคะ แหม! อยู่โรงพยาบาลนี่นา เล่นพูดกับอะไรไม่รู้ที่มาอยู่รอบๆ เตียง!

สายตาคุณยายก็มักมองตามสิ่งที่ดิฉันมองไม่เห็น บางครั้งก็ยิ้มหรือหัวเราะเบาๆ เหมือนดูเด็กๆ วิ่งซนอยู่

พลบค่ำวันหนึ่ง ดิฉันอ่านหนังสือให้คุณยายฟัง ขณะอ่าน หางตาก็เห็นเงาแว่บๆ เหมือนใครเดินผ่านไป ดิฉันเงยหน้ามองทันทีแต่ไม่เห็นใครสักคน..เราคงตาฝาด! แต่แล้วเงานั้นก็ปรากฏอยู่เรื่อยๆ ให้เห็นจากหางตาเท่านั้น ถ้าหันไปมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร

สิ่งที่น่ากลัวคือ อยู่ดีๆ คุณยายถามว่าเห็นตุ๊กตา 2 ตัวที่มานั่งปลายเตียงนั่นมั้ย? แหม! ดิฉันแทบจะกลับบ้านทันทีเลยค่ะ คงเข้าใจนะคะว่ามันหลอนน่าดู

คนยิ่งกลัวผี และนี่ก็เป็นโรงพยาบาลด้วยนะ!

ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ต้องทนอยู่ให้ได้ ตอนดึกๆ คุณยายหลับสนิทไปแล้วดิฉันยังไม่กล้าหลับตา เป็นแบบนี้มา 2-3 คืนแล้วค่ะ พอง่วงมากก็ผล็อยหลับไปเอง

คืนนั้น พอเคลิ้มๆ ดิฉันก็เห็นเด็กผมจุก 2 คน ท่าทางเป็นเด็กผู้ชาย นุ่งโจงกระเบนสีแดง มีสังวาลพาดอยู่ช่วงบนของลำตัวเปลือยเปล่า เด็กทั้งสองวิ่งเล่นรอบเตียงที่คุณยายหลับอยู่..ดิฉันผวาสะดุ้งตื่น ยังแว่วเสียงเด็กหัวเราะเต็มหูแล้วจางหายไป

เอ..ท่าจะฝันไปเองละมั้ง? ความกลัวคงออกฤทธิ์ ผสมกับคำว่า "ตุ๊กตา 2 ตัว" ที่คุณยายสมรพูดเลยเก็บไปฝัน

รุ่งขึ้น คุณยายมีไข้ต่ำๆ แต่ตาลอย หน้าเหลืองนวล ดูสวยเชียวทั้งๆ ที่เป็นคนอ้วนดำ ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ! ดิฉันชมว่าคุณยายสวย..พอแม่มาเยี่ยม แม่ก็แอบกระซิบว่าเฝ้าคุณยายให้ดีนะ แม่สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้!

พอตกกลางคืน แม่ต้องกลับไปดูบ้าน ดิฉันเฝ้าไข้คุณยายตามเดิม

อีกแล้วค่ะ! พอนั่งเพลินๆ ก็จะเห็นอะไรแว่บหนึ่งทางหางตา คราวนี้ดิฉันเห็นสีแดงๆ มันทำให้นึกถึงร่างเล็กๆ ที่นุ่งโจงกระเบนแดง..ทันใดนั้น คุณยายสมรก็พูดขึ้นว่า "มารับแล้วเรอะจ๊ะ..เอาล่ะ! จะไปเดี๋ยวนี้ละนะ" แล้วก็เงียบเสียงไป

ดิฉันเห็นคุณยายเหม่อมองเพดาน นึกว่าท่านเพ้อก็เลยจับแขนเขย่าเบาๆ เสียงแหบแห้งสั่นเครือก็ดังขึ้น..ตุ๊กตา 2 ตัวนั่นมารับยาย! เห็นมั้ย?

"อะไรนะคะ?" ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองเหมือนคนใกล้จะร้องไห้เต็มที..มือเท้าเย็นเฉียบไปหมด แต่คุณยายสมรกลับยิ้มละไม

"เด็กหัวจุกโจงกระเบนแดงน่ะ น่ารักมาก..." คำพูดเบาๆ แต่กลับสดใสเหลือเชื่อ มันสั่นประสาทดิฉันสุดขีดจริงๆ ค่ะ

..ราวสองชั่วโมงต่อมา คุณยายก็อาการทรุดไม่รู้สึกตัว หมอและพยาบาลวิ่งกันวุ่น แต่ก็หมดหวัง ชีวิตดิ้นรนที่จะออกจากร่างกายทรุดโทรมบอบช้ำ ใกล้จะหมดสภาพเต็มทีแล้ว..จนสำเร็จ!

ดิฉันต้องรีบโทรศัพท์ตามลูกๆ ของท่านมาดูใจ..

คุณยายสมรสิ้นลมหายใจคืนนั้น..เมื่อดิฉันเล่าเรื่องตุ๊กตา 2 ตัว หรือเด็กหัวจุก 2 คน ที่เราเห็นเหมือนๆ กัน ใครๆ ที่ได้ฟังเรื่องนี้ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..นั่นคือยมทูต..น่าขนหัวลุกจังเลยนะคะ!



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

EP.006 : วิญญาณหลงทาง

"คนชุดขาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนครราชสีมา

ดิฉันเป็นพยาบาลมาสิบปีเศษ โดยอาชีพแล้วพวกเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีหรือวิญญาณอะไรหรอกค่ะ ยิ่งต้องคลุกคลีกับคนไข้ คนเจ็บคนตายมานับไม่ถ้วน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกชาชินเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว



ยอมรับว่าตอนเป็นนักเรียนพยาบาลใหม่ๆ ก็กลัวผีกันทุกคนละค่ะ ไม่ว่าภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่มากระทบจมูก บรรยากาศมันชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกลิ่นยา กลิ่นเลือด กลิ่นของความเจ็บปวดและความตายที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัว

เสียงคราญครางโอดโอยของคนไข้ เสียงสะอึกสะอื้นของญาติผู้เสียชีวิต เสียงถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล่องลอยมากระทบหู ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากผู้ไม่มีร่างกาย!


ถ้าวิญญาณมีจริง โรงพยาบาลก็คงจะเป็นแหล่งรวมของวิญญาณมากที่สุด!

ยิ่งคิดยิ่งสยอง! หลายครั้งก็หลอนตัวเอง...

เรื่องผีในโรงพยาบาลได้ยินบ่อยมาก เดี๋ยวคนไข้ในห้องรวมเล่า เดี๋ยวคนไข้ห้องพิเศษเล่า พวกเพื่อนรุ่นน้องบางคนก็มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าว่า ตอนมาเข้าเวรเห็นคนไข้มานั่งที่บันได...กอดอก ตาเหม่อ ตกใจว่าออกมาได้ยังไง เมื่อคืนยังอาการหนักอยู่แท้ๆ

เมื่อรีบไปตามเปลมาก็ไม่พบตัว พอขึ้นตึกถึงได้รู้ว่าคนไข้คนนั้นตายไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว! เพื่อนๆ หาว่าตาฝาด หรือเล่าเรื่องผีหลอกสนุกๆ แต่เพื่อนรุ่นน้องขวัญอ่อนมากค่ะ...หน้าซีดเผือด เป็นลมฟุบไปเลย

ดิฉันได้ประสบกับเรื่องสยองขวัญอย่างจังๆ เมื่อปีกลายนี้เอง!

เหตุเกิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา อันเป็นที่ทำงานของดิฉัน วันนั้นเขม่นตาขวาตั้งแต่เช้า ใจคอหงุดหงิดโดยหาสาเหตุไม่พบ จนถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนมาชวนลงไปทานข้าวในห้องอาหารชั้นล่าง เราอยู่ชั้น 5 ก็ลงลิฟต์ไป 3-4 คน มีคนอื่นๆ มาลงที่ชั้น 4 กับชั้น 3 อีกราว 6-7 คนได้ค่ะ

ก่อนจะถึงชั้น 2 ก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุก!

อากาศเย็นวูบผิดปกติ ทุกคนหันมองหน้ากัน ดิฉันขนลุกซ่า...แจ่มพยาบาลรุ่นน้องวัยเบญจเพสร่างบอบบาง ยืนอยู่ข้างดิฉันก็ร้องขึ้นว่า...กูไปด้วยคน!

สะดุ้งโหยงกันไปหมด หันขวับไปมอง...มีเสียงร้องวี้ดว้ายแสบแก้วหูแล้วถอยกรูดมารวมกัน ดิฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เบิกตาโพลงร้องว่า...แจ่มๆ เป็นไร?

"กูไม่ใช่แจ่ม" เสียงเขย่าขวัญดังขึ้นอีก นัยน์ตาขุ่นขวางโพลงจ้าเหมือนนัยน์ตาคนวิกลจริต "กูจะกลับบ้าน!"

"เอ๊! ใครเป็นอะไร?"

เสียงนั้นทำให้หลายๆ คนกรี๊ดออกมาอีก...ประตูลิฟต์เปิดเมื่อถึงชั้นล่างที่มีคนจะขึ้นรออยู่น่ะซีคะ พวกเราเผ่นกระเจิงราวกับผึ้งแตกรัง คนที่รอลิฟต์มองเห็นแจ่มเดินตาขวางออกมาก็ร้องกรี๊ดๆ จนสับสนอลหม่านไปหมด

"ผีเข้า...ผีเข้า!" เสียงใครตะโกนไม่ทราบ แต่ดิฉันหายหิว มองแจ่มที่มีท่าทางแข็งกระด้าง ยืนจังก้า หน้าเชิดคล้ายผู้ชายอกสามศอก...จริงหรือเนี่ย ผีเข้าแจ่ม?!

"พี่นง" เป็นพยาบาลอาวุโสชาวสุรินทร์ ได้ชื่อว่ามีความรู้ทางคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์ ต้องรับหน้าที่ร่ายเวทเพื่อประเล้าประโลมบางสิ่งบางอย่าง ที่เกือบทุกคนเชื่อว่าเป็นวิญญาณเข้าสิงแจ่ม...ทำพิธีกันแถวหน้าลิฟต์นั่นเอง

"ชื่ออะไร? มาจากไหน" พี่นงถาม มีเสียงอู้อี้แบบไม่เต็มใจตอบ ครั้นถามซ้ำก็ยังไม่ได้ความ เลยต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า จะไปไหน?

"ไปอุดรฯ ข้าจะกลับบ้าน...ข้าจะให้คนพาไปอุดรฯ"

"แล้วทำไมไม่ไป..."

"มันไม่พาข้าไป ข้าต้องติดอยู่ที่นี่ ข้าอยากกลับบ้าน" เสียงแหบห้าวกลายเป็นสั่นเครือแทบจะโหยหวน พวกผู้หญิงถอยกรูด คนไข้ที่มารอพบแพทย์ด้านหน้าเมียงๆ มองๆ เข้ามาทางหน้าลิฟต์ จนพวกเราต้องขอร้องให้กลับไปนั่งตามเดิม

ในที่สุด ร่างบอบบางของแจ่มก็ล้มฮวบ...ฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลย พี่นงบอกกับพวกเราว่า...ญาติผู้ตายนำศพกลับแต่ไม่ได้ทำพิธีให้ถูกต้อง วิญญาณจึงถูกจำขังอยู่ที่นี่ ขอให้พวกเราช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วยก็แล้วกัน

เดี๋ยวนี้ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด

EP.005 : สาเหตุจากโลงเย็น

เมื่อ 5-6 ปีก่อน ข้าพเจ้ากับเพื่อนได้เดินทางไปกาญจนบุรีเพื่อปฏิบัติธรรม ได้เข้าพักที่วัดในสังขละบุรี แต่เผอิญไปถึงตอนค่ำและกุฏิที่จะเข้าพักหาลูกกุญแจไม่เจอพระท่านจึงให้เข้าพักที่โรงครัว



เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็สะดุดตากับวัตถุรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คลุมด้วยผ้าสีน้ำเงินมีป้ายเขียนว่า "โลงเย็น"

ข้าพเจ้าขนลุกทันที แต่นึกได้ว่าเราเองก็ต้องมานอนในนี้เช่นกัน โลงก็ว่างอยู่จะไปกลัวอะไร ข้างหลังโลงเย็นมีห้องเล็กๆ ที่พระจะให้เราเข้าพัก พอเปิดประตูก็ปรากฏว่าไฟเสีย ไฟในโลงเย็นก็เสียเช่นกัน มีเพียงไฟข้างนอกเท่านั้นที่ติด เราจึงต้องใช้เทียนไข


หลังจากอาบน้ำเสร็จกลับมาเพื่อนก็ถามว่าได้กลิ่นอะไรไหม? เขาโดนกลิ่นนั้นรบกวนจนปวดหัว ข้าพเจ้าปลอบว่าอย่าไปรังเกียจเลย ถึงเวลาของเรากลิ่นก็ไม่ต่างกัน

เราคุยกันจนถึงเที่ยงคืน ก็มีเสียงทุบประตูดังโครมๆ... โครมๆ เราได้แต่มองหน้ากันแต่ไม่กล้าพูดอะไร แล้วมีเสียงดังตึงๆๆๆ เราหันมาสบตากันอีกครั้ง แล้วแหงนหน้ามองดูที่มาของเสียง พอเงียบข้าพเจ้าก็พูดขึ้นว่า...พรุ่งนี้จะถวายอาหารเลี้ยงพระ แล้วกรวดน้ำไปให้!

จนตีหนึ่ง เพื่อนหยิบตะปูทองเหลืองส่งให้ พลางบอกว่า "นี่เป็นตะปูตอกโลง เค้าพกติดตัวไปงานศพ"

เมื่อข้าพเจ้าจับตะปูก็ขนลุกเกรียว รีบส่งคืนเพื่อนทันที พลางตัดใจว่าจะนอน ท่องพุทโธ กว่าจะหลับก็พลิกตัวหลายรอบ...แล้วฝันว่าไปเข้าห้องน้ำกับเพื่อน เพื่อนเข้าห้องน้ำได้ แต่ข้าพเจ้าเข้าไม่ได้ เปิดประตูไม่ออก เลยหันไปมองที่ลานหน้าโรงครัว

ที่นั่นมีผู้ชาย 6-7 คนยืนจับกลุ่มกันอยู่ พอเพื่อนออกมาก็จับมือวิ่งหนี พวกนั้นก็ไล่ตามมาจนทัน คว้าข้อมือเพื่อนกับจับไหล่ข้าพเจ้าแน่น จากนั้นก็รู้สึกชาที่ไหล่

แต่ในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าก็ท่อง โอม...นะมะ ศิวะๆ

หลุดจากถูกจับตื่นขึ้นมานึกดีใจที่ผีอำเราไม่ได้ เสียงไก่ขันแล้วแต่ยังไม่สว่าง ก็นอนต่อ...แล้วฝันอีกว่านั่งอยู่ท้ายรถ เป็นรถต่างจังหวัด พอเลี้ยวโค้งก็ทับคนเสียงดังกร็อบ เราก็หันไปดู เลือดแดงเต็มไปหมด เลี้ยวทีก็ทับคนตายที เป็นอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง

เมื่อตื่นขึ้นมาก็เล่าให้เพื่อนฟัง ตกสายก็ถวายอาหารพระ กรวดน้ำ เมื่อพระท่านหาลูกกุญแจเจอแล้วก็ย้ายไปอยู่กุฏิข้างนอก นอนอีกคืนก็ไม่มีเรื่องน่ากลัวอะไรอีก

ข้าพเจ้ากลับมาก่อน แต่เพื่อนยังอยู่ต่ออีก 3 วัน กลับมาก็โทร.มาเล่าว่า โลงศพนั้นยายคนหนึ่งแกซื้อถวายวัด พอแกตายก็มาอยู่เฝ้าโลงนั้น ใครมาก็แสดงกลิ่นให้รู้ ส่วนห้องเล็กนั้น พวกกะเหรี่ยงเข้าไปขโมยตัดต้นไม้ในป่าจะเอาไปปลูกบ้าน แต่บังเอิญรถคว่ำตายทั้งหมด 8 คน พวกญาติจึงนำไม้เหล่านั้นมาถวายวัด พระก็เก็บไว้ในโรงครัว

ตอนกลางคืนพระเคยเห็นผู้ชาย 7-8 คนเดินอยู่บนหลังคา ชาวบ้านเขารู้กันทั้งนั้น

แสดงว่าในฝันพวกผู้ชายที่ไล่ข้าพเจ้ากับพวกที่ถูกรถทับ ก็คงต้องการบอกให้เรารับรู้ คงต้องการส่วนบุญจากเรา ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แล้ว

หลังจากวันนั้นการค้าของข้าพเจ้าก็ทรุด ไม่มีใครซื้อของ ขาดทุนทุกวัน...ข้าพเจ้าไปหาหลวงปู่ เล่าคร่าวๆ ให้ท่านฟัง ท่านก็ให้ข้าพเจ้าใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลโดยเฉพาะเจาะจงให้ผู้ชายรูปร่างผอมสูง ไว้หนวด คนนี้เป็นหัวหน้า ให้ไปสู่สุคติอย่ามารบกวนกันเลย

ต่อมาการค้าก็กระเตื้องขึ้นบ้าง ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าส่วนบุญนั้นคงไม่พอ เราต้องทำบุญอย่างอื่นที่ให้ผลมาก จึงไปทำสังฆทาน แล้วเขียนใบบังสุกุลเจาะจงอย่างชัดเจน พร้อมกับปล่อยปลาไหลและหอยขม พร้อมกับเงินอีก 1 บาท ซื้อที่ให้ปลากับหอย อธิษฐานให้ปลาไหลไปกับความขมขื่น

หลังจากนั้นการค้าก็ดียิ่งขึ้นจนเป็นปกติ

การที่ได้พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ อย่าได้คิดว่าดวงซวย หากแต่นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำบุญช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก...เกิดมาชาติหนึ่งพึงสร้างกุศลผลบุญไว้เถิด

EP.004 : สะพานผีสิง




เมื่อราว 5-6 ปีก่อน เคยมีอุบัติเหตุรถผสมปูนวิ่งขึ้นมาบนสะพานลอยข้ามแยกกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปลงแถวหน้าตลาดอ.ต.ก. แต่รถเกิดหลุดโค้ง พุ่งทะลุราวกั้นหล่นโครมลงไปบนถนนข้างล่าง เกิดเรื่องสยดสยองสุดขีดทันใด

นั่นคือ เด็กท้ายรถโดนแรงอัดขาขาดตกอยู่บนพื้นสะพาน ส่วนร่างแหลกเหลวยับเยินพุ่งผ่านหน้าต่างของตึกข้างถนน เข้าไปนอนตายคาที่อยู่ชั้นสองนั่นเอง!

ใครได้ฟังข่าวทางวิทยุล้วนแต่เศร้าสลดระคนเสียวสันหลังไปตามๆ กัน

ผมกับเพื่อนเคยเจอะเจอเหตุการณ์ขนหัวลุก ไม่ใช่วิญญาณที่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้นหรอกครับ มันเกิดขึ้นก่อนนานแล้ว ที่ผมเสียวสันหลังก็เพราะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่สิงสู่อยู่บนสะพานนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องสยองนั่นก็เป็นได้

ตอนนั้นผมไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นน้องแล้วไปต่อกับเพื่อนๆ จนถึงตีสองถึงได้แยกย้ายกันกลับ ถนนโล่งว่าง ผมขับรถมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง โดยมีบ้านที่อยู่แถวประดิพัทธ์เป็นจุดหมาย

ครั้นมาถึงทางที่โค้งจะลงถัดอ.ต.ก.ไปหน่อย แสงไฟ ตัดกับหมอกสีเหลืองส้ม ผมเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ราว 5-6 ขวบกำลังยืนอยู่คนเดียวข้างรั้วด้านขวา ร่างแกผ่ายผอมดูกระจ้อยร่อยน่ากลัวพิลึก...

เด็กอะไรมายืนอยู่บนสะพานลอยตอนตีสอง แต่งชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนจะไปงานโรงเรียน...ทำให้ผมมัวตกตะลึง งงงันจนรถเกือบหลุดโค้ง!

เมื่อมองกระจกหลังอีกที ถนนกลับว่างเปล่า ไม่มีแม่หนูน้อยเสียแล้ว! เธอหายไปได้ยังไงกัน? พอรุ่งขึ้นเอาไปคุยกับเพื่อนที่ทำงาน อ้าว? กลับได้มาอีกเรื่องเลยครับ

เพื่อนเล่าว่าเคยขับรถขึ้นสะพานนั้นตอนดึกดื่น พอเริ่มตีโค้งรถก็เสียหลักหมุนคว้าง บังคับไม่อยู่จนคิดว่าตายแน่ๆ ความตระหนกทำให้หลุดปากโพล่ง...พ่อแม่ช่วยด้วย! ปรากฏว่ารถหยุดนิ่งทันใด แต่สร้อยคอเส้นใหญ่ที่แขวนพระนั้นขาดได้ยังไงก็ไม่ทราบ?

ช่วงที่รถจะหยุดนิ่ง เขามองเห็นใครกลุ่มหนึ่งเกือบ 20 ร่างเป็นเงาดำๆ...ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ พวกนั้นยืนมองมาทางเขาเป็นจุดเดียวคล้ายพวกไทยมุงไม่มีผิด!

เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นไร ทั้งหมดก็หันหลังกลับ ค่อยๆ จางหายไปจนลับตา...

พวกเราสรุปกันว่า บนสะพานนั้นต้องมีวิญญาณสิงสู่มากมาย...พวกเขาคงตายบนสะพานนี้กระมัง วิญญาณถึงได้สิงสู่อยู่บนสะพานนี้น่ะ?

คำตอบคือไม่มีหรอกครับ! แต่พี่สาวผมซึ่งอายุห้าสิบกว่าแล้ว เคยเป็นผู้สื่อข่าวสมัยท่านนายกเกรียงศักดิ์ โน่น...สมัยนั้นยังเพิ่งมีเซ็นทรัลลาดพร้าว สวนจตุจักรก็เพิ่งเริ่มสร้าง เริ่มปลูกต้นไม้กันไม่นาน

เธอเล่าว่า เวลาคนงานขุดลงไปจะเจอโครงกระดูก หัวกะโหลกมากมายเป็นสิบๆ เชื่อว่าพวกนี้คงถูกลวงมาฆ่า หรือเอาศพมาทิ้งไว้ สาเหตุเพราะสมัยนั้นเลยสะพานควายไปไม่ไกลก็เปลี่ยวแล้ว เหมาะสำหรับปล้น จี้ และสังหารโหด น่าสยองมากๆ เลยครับ

ตั้งแต่นั้นมา เวลาขับรถขึ้นไปบนสะพานโค้งนี้ผมจะสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณที่ไม่สงบสุขเหล่านั้นเสมอ อย่างที่พ่อเคยสอนว่า เวลาที่ผ่านสี่แยกอันตราย โค้งผีสิง หรือแม่น้ำใหญ่ก็ควรสวดมนต์เป็นประจำ


อย่างน้อยๆ ก็ "นะโมพุทธายะ" หรือ "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ" ก็ได้

ทั้งนี้ เพราะวิญญาณที่เดือดร้อน ทนทุกข์ทรมาน หรือ วิญญาณผีตายโหง ต้องพบจุดจบของชีวิตอย่างเจ็บปวดรุนแรง รวมทั้งพวกฆ่าตัวตาย ก็ยังต้องการผู้บอกทางไปสู่โลกหน้าอยู่ตรงนั้นเอง...พวกเขายังไม่ไปสู่สุคติ!

คิดแล้วก็น่าสงสาร น่าสลดใจมากๆ เลย...

เมื่อก่อนเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจอยู่ในบ้านเมืองนี้อย่างพวกเรามีทุกข์มีสุข เคยหัวเราะและร้องไห้ อย่างพวกเรามาเหมือนกัน...ผมเต็มใจเสมอที่จะแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญกุศลให้พวกเขา ขอให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่สุคติโดยทั่วกัน

อย่างน้อยก็เชื่อว่า อาจจะทำให้วิญญาณเหล่านั้นได้ชุ่มชื่นขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ถือว่ายังดีนะครับ!

EP.003 : ห้องสีชมพูที่ มช.

(ภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหา)


ตำนานห้องสีชมพูที่ มช.

โดยเฉพาะนศ.หญิงที่จะต้องพักที่หอ 8 โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอกและย้ำเสมอว่า
เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ ห้ามลืมเด็ดขาด!!

นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอที่เพื่อนผมได้ฟังตอนปีหนึ่ง แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ปี 2532 ของนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง

ซึ่งประเพณีหรือเรียกว่ากฏของ มช.คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์ (ถ้าวันเสาร์รุ่นพี่ไม่นัด)กลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบนศ.หญิงน้องใหม่คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นับวันยิ่งดูรักกันมากขึ้นทุกวันจนมาถึงกลางเทอม

รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนศ.หญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลัง มช.

ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอนศ.หญิงคนนี้ทุกครั้ง และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุกครั้ง เป็นไปอย่างนี้เกือบจะ 5 เดือนจนเป็นที่อิจฉาของเหล่านศ.หญิงที่หอนั้น

ใครเห็นก็ต่างพูดแซวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นศ.หญิงรู้สึกดีใจและรักรุ่นพี่คนนี้มาก แต่ต่างกัน รุ่นพี่คนนี้เริ่มที่จะตีตัวออกห่าง เพราะรู้สึกว่านศ.หญิงคนนี้ เริ่มที่จะจริงจังกับตนเองมากเกินไป

แล้ววันที่นศ.สาวคนนี้เสียใจที่สุดและได้สร้างตำนานอันลือลั่นก็มาถึง

เย็นวันศุกร์ที่รุ่นพี่จะต้องมารับเป็นประจำทุกครั้ง.. แต่วันนี้รุ่นพี่มาถึงก็ดึกมากแล้ว นศ.หญิงเลยถามว่าทำไมมาดึกซึ่งหลายคนก็บอกว่าเพราะรุ่นพี่คนนั้นไปติดพันหญิงอีกคนอยู่ นศ.หญิงคนนี้ได้ยินแล้วก็เก็บไว้ในใจตลอดไม่กล้าที่จะถามเพราะกลัวเสียคนรักไป และเธอก็บอกกับรุ่นพี่คนนี้ว่ามีเรื่องที่จะพูดด้วย เป็นเรื่องสำคัญมาก รุ่นพี่คนนี้ก็บอกให้ไปคุยกันที่หอ หญิงสาวคนนี้ก็เลยซ้อนรถไปแล้วก็คุยขณะที่ซ้อนรถอยู่

บอกว่าตนเองตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว 

พอได้ยินแค่นั้นรุ่นพี่คนนี้ก็จอดรถทันที แล้วก็ถามย้ำว่าเมื่อกี้พูดว่าอะไร หญิงสาวเลยย้ำไปว่าตังครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว รุ่นพี่คนนี้ไม่รับผิดชอบหาว่า หญิงสาวนอกใจไปคบชายอื่น พอท้องแล้วจึงมาอ้างว่าตนเป็นคนทำ

รุ่นพี่คนนี้ขอบอกเลิกเธอในทันที และปล่อยให้เธอเดินจากหลัง มช.กลับมาที่หอตามลำพัง

ระหว่างทางหญิงสาวก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกเสียใจปนความเคียดแค้นต่อชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไป บวกกับกลัวทางบ้านจะรู้ความจริงและทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทำให้เธอตัดสินใจเอาเด็กออก แต่เธอไม่กล้าพอที่จะไปที่โรงพยาบาลหรือบอกให้ใครทราบ

พอมาถึงห้อง เมทร่วมห้องไม่อยู่เพราะกลับบ้านกันหมด เธอเลยเอาเด็กออกด้วยตัวเอง โดยการเอาไม้บรรทัดเหล็กกระทุ้งจนมดลูกฉีก

เธอทำไปโดยไม่รู้วิธีการที่ถูกต้องทำให้เธอเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้เขียนข้อความไว้บนกำแพงห้องนั้นว่า

"กูมีมึงคนเดียว"

วันรุ่งขึ้นเมทร่วมห้องก็เข้ามาที่หอด้วยท่าทีวิตกกังวล และได้ไปที่ห้องพักที่เธอได้พักกับหญิงสาวคนนี้ ก็ได้พบกับศพของหญิงสาว รอยเลือดกระจัดกระจายและข้อความบนกำแพงจึงแจ้งให้ป้าผู้คุมหอทราบ ก็ได้มีการสอบสวนเมทคนนี้ ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนเสียชีวิต

เมทคนนี้ก็บอกว่าเมื่อคืนฝันเห้นเพื่อนมาบอกลาและให้ไปเอาศพที่ห้องลงมาด้วยแถมยังฝากบอกป้าคุมหออีกว่า

ห้ามใครก็ตามมายุ่งกับห้องของเธอ

หลังจากจัดการเรื่องศพและงานศพเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้มีการทำความสะอาดห้องนั้นโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเลือดให้สีจางลง เปลี่ยนที่นอนและผ้าปูที่นอนใหม่จนห้องเกือบจะสะอาดเหมือนเดิม

แต่รุ่งขึ้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนขนลุกก็คือ ทั้งรอยเลือดและข้อความที่หญิงสาวคนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้หายไป แต่รอยเลือดกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 

ทางหอเลยพิจารณาเอาสีใหม่มาทาทับไม่ให้เห็นรอยเลือด แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นรอยต่างๆก็กลับมาอยู่ดังเดิมเหมือนกับไม่ได้มีการนำสีมาทาแต่อย่างใด

ทางหอเลยได้เชิญพระที่วัดฝายหินมาทำพิธีแต่พระท่านบอกว่าทำพิธีไล่ไปคงไม่ได้เพราะวิญญาณนี้เฮี้ยนมาก เพราะยังมีความอาฆาตและมีลูกในท้องอีกด้วย เลยได้แต่ทำการสะกดวิญญาณไม่ให้ไปหลอกคนในหอ

หลังจากทำพิธีสะกดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ทางหอก็ได้ทาสีห้องใหม่แต่คราวนี้ใช้สีชมพูเพราะจะได้มองไม่เห็นคราบเลือดบนกำแพง จนกลายมาเป็นตำนานห้องสีชมพูจนถึงเดี๋ยวนี้

ปัจจุบันนี้ผมไม่ทราบนะว่าห้องนั้นใช้ทำอะไร แต่ตอนที่เพื่อนผมอยู่ที่หอ 8 นั้น เพื่อนบอกว่าห้องนั้นใช้เป็นห้องเก็บของที่ไม่ใช่แล้ว เพราะไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปได้แต่โยนๆของเข้าไปเท่านั้น

เพราะเคยมีแม่บ้านเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้เพราะประตูถูกล็อคทั้งๆที่ลูกบิดและที่ล็อคห้องนั้นมันล็อคจาก
ด้านใน

ส่วนเหตุการณ์ที่เพื่อนผมเจอนะอยากรู้ไหมถ้ากล้าพอจะอ่านก็อ่านเลย

ห้องสีชมพูนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ของถ้ามองจากด้านหน้าหอ 8 จะอยู่ฝั่งซ้ายไม่แน่ใจว่าเป็นห้องเลขอะไร

ตอนนั้นทั้งแถบนั้นไม่มีนักศึกษาอยู่ใกล้ห้องนั้นแม้แต่คนเดียวเพราะกลัวเกี่ยวกับประวัติห้องสีชมพูนั้นมากแต่เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่ามีนศ.หญิงท่าทางออกผู้ชายคนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เชื่อกับเรื่องที่เล่าเท่าไหร่ เลยบอกว่างั้นถ้าไม่มีใครอยู่จริงๆ ขออยู่ใกล้ๆห้องนั้นแหละ เพราะเงียบดีจะได้ไม่มีใครรบกวน

ป้าผู้คุมหอตอนนั้นก็เลยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะลงชื่อห้องไปแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้เพราะห้องจะไม่ว่างพอที่จะรับแน่ๆ

นศ.คนนั้นก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่ที่แถบนั้นแหละห้องไหนก็ได้

ป้าเขาเลยให้ตรงชั้น 2 ห้องของนศ.หญิงคนนี้อยู่ถัดจากห้องสีชมพูไปอีก 2 ห้อง อยู่ใกล้ๆห้องน้ำ (หอหญิง 8 ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมจะอยู่สุดทางฝั่งขวาถ้านับจากด้านหน้าตึกก็จะอยู่ลึกสุดของแต่ละชั้น) นศ.คนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวอะไร

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ตอนที่รับน้องอยู่เพื่อนผมก็ถามว่าเจออะไรแปลกๆบ้างไหม 

นศ.คนนี้ก็ตอบว่าไม่เจอนี่ เรื่องที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังนะอย่าไปเชื่อมากเลยแต่งขึ้นมาให้รุ่นน้องกลัวทั้งนั้นแหละ และหลังจากรับน้องเสร็จคืนนั้นเอง หอ 8 หญิงก็ต้องตื่นกันทั้งหอตอนตี 2

เพราะได้ยินเสียงกรี๊ดของนศ.คนนี้ดังลั่น 

ป้าผู้คุมหอ รปภ.หน้าประตูหอและนศ.ทั้งหมดต่างออกมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น เพื่อนผมก็เดินขึ้นไปดูตามป้าเจ้าของหอและรปภ.จะเปิดประตูแต่ประตูห้องล็อค

ป้าผู้คุมหอก็เลยบอกว่าเปิดประตูห้องสิ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ เป็นอะไรรึเปล่า

นศ.คนนี้ก็ตะโกนออกมาบอกว่าประตูไม่ได้ล็อค แต่มีผู้หญิงคนนี้ดึงประตูไว้อยู่

พูดแค่นั้นทั้งป้า ผู้คุมหอ รปภ.และเพื่อนผมพร้อมกับนศ..หญิงอีกหลายคนรีบวิ่งแทบจะไม่ทัน แต่พอวิ่งกำลังจะลงมา ประตูห้องก็เปิดออกเอง นศ.หญิงคนนั้นสลบคาห้องต้องเอามาปฐมพยาบาลข้างล่าง

โดยเพื่อนผมบอกว่ากว่าจะเข้าไปเอาตัวออกมา ป้าผู้คุมหอต้องไปเอาองค์พระพุทธรูปที่หิ้งพระขึ้นมาเลยทีเดียว ส่วนรปภ.ก็ต้องเอาสร้อยพระออกมาถือชูไว้ด้านหน้า แล้วค่อยๆอุ้มนศ.คนนั้นออกมาโดยให้นศ.ช่วยกันดันไม่ให้ประตูปิด

พอปฐมพยาบาลเสร็จแล้วนศ.คนนั้นฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้บอกว่าจะลาออกไปเรียนที่อื่น จนตอนเช้าพ่อแม่ก็บินมาจากกรุงเทพมาหาที่หอพักแล้วให้นศ.คนนี้มาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะพ่อแม่นศ.คนนี้ไม่เชื่อว่าลูกถูกผีหลอกน่าจะโดนเพื่อนแกล้งมากกว่า

นศ.คนนี้เลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่อ่านหนังสืออยู่ ก็ได้ยินเสียงคนหายใจใกล้ๆหู จากนั้นก็ได้ยินเสียงขาเตียงเลื่อนเหมือนมีคนนั่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเสียงจากด้านล่าง

ซักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนคนหายใจไม่ออกแล้วก็ไอเบาๆ ก็เริ่มที่จะกลัวขึ้นมานิดๆปนกับความสงสัยและอยากรู้เลยพูดออกไปว่า

"อยู่ห้องใกล้ๆกันออกมาให้เห็นเลยดีกว่าไหม"

แค่นั้น ก็ได้ยินเสียงเล็บขูดกับกำแพงรอบๆห้อง รอบแล้วรอบเล่าจนทนไม่ไหวจะวิ่งออกจากห้อง แต่พอหันไปทางประตูแค่นั้นก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งใส่ชุดนอนสีเหลืองครีมมีเลือดออกมาทาง หู ตา
จมูก ปาก และช่องคลอด ยืนจ้องหน้าพร้อมกับพูดว่า

"อยากเจอไม่ใช่เหรอ มาหาแล้วนี่ไง"

ตนเองจึงร้องออกไปอย่างสุดเสียงก็เห็นหญิงสาวคนนั้นหัวเราะและมองมาทางตนเอง แล้วก็ได้ยินเสียงป้าคุมหอบอกให้เปิดประตูแต่ตนไม่ได้ล็อค

พอบอกไปว่ามีหญิงสาวคนนี้ยืนจับประตูอยู่แค่นั้น หญิงสาวคนนี้ก็หัวเราะแล้วเดินทะลุกำแพงห้องข้างๆไปเลย จากนั้นประตูก็เปิดออกเองแล้วตนเองก็สลบไป

พ่อแม่นศ.คนนี้ได้ฟังยังไม่อยากเชื่อเลยขอดูห้องสีชมพู แต่เพียงแค่อยู่ด้านล่างแล้วมองขึ้นไป ยังไม่ทันได้ไปถึงห้อง ก็เห็นนศ.เจ้าของห้องสีชมพูยืนที่หน้าต่างให้เห็นด้วยใบหน้าโชกเลือด ทั้งพ่อแม่และนศ.คนนั้นเลยรีบออกจากหอพักนั้นทันทีและได้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ

ส่วนชั้นนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปอยู่ใกล้ๆห้องนั้นเลยตลอด 4 ปีที่เพื่อนผมเรียนอยู่ และเพราะบ้านเพื่อนผมอยู่ต่างจังหวัด เลยพักแต่หอใน แล้วเพื่อนบอกว่าวันดีคืนดีก็ได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง เสียงกรีดร้องบ้าง หรือบางทีไฟห้องนั้นก็เปิดเองทั้งๆที่ไม่มีหลอดไฟ

แต่ที่เพื่อนผมเจอหนักที่สุดคือตอนไปห้องน้ำ เพื่อนผมไปคนเดียว เพราะปลุกใครก็ไม่ยอมไปเป็นเพื่อน
เลยรีบวิ่งไปเข้าแล้วก็รีบวิ่งกลับ (ห้องเพื่อนผมอยู่คนล่ะฟากกับห้องน้ำเลย)

แต่ขากลับระหว่างที่วิ่งผ่านทางเดินเชื่อมฝั่งซ้าย-ขวา ก็เห็นเงาคนค่อยๆเดินจากอีกฟากมา (เพื่อนผมอยู่ฟากขวา ห้องชมพูฟากซ้าย) เพื่อนผมเลยวิ่งเข้าห้องอย่างรวดเร็วพร้อมกับแหกปากกะให้ทุกคนตื่น แต่แปลกที่ไม่มีใครได้ยินสียงเพื่อนผมเลย

พอเพื่อนผมวิ่งเข้าห้องได้ก็รีบเอาหนังสือพระมาวางไว้หลังประตูแล้วนอนคลุมโปงเลย มันบอกได้ยินเสียงเล็บขูดกับกำแพงรอบห้องเหมือนกับที่นศ.คนนั้นบอก มันเลยท่องบทสวดอุทิศส่วนกุศลให้กว่าเสียงจะเงียบก็เกือบครึ่งชั่วโมง

แต่ที่แปลกคือเมื่อเสียงเงียบไปแล้ว เพื่อนทุกคนในห้องตื่นพร้อมกันหมด และพูดขึ้นพร้อมกันว่าเหมือนมีใครไม่รู้เดินตามเข้ามาในห้องด้วย เพราะเห็นแต่เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น คืนนั้นเลยไม่ได้นอนกันทั้งห้อง เปิดไฟ เปิดวิทยุกันจนถึงเช้าเลย

วันรุ่งขึ้นไปหาซื้อโปสเตอร์รูปพระและผ้ายันต์ที่วัดอุโมงค์มาแแปะไว้เต็มห้อง

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากเสียงร้องไห้และกรีดร้องที่กลายเป็นเรื่องปกติที่ชวนขนลุกของห้องสีชมพูหอ 8 หญิงไปแล้ว

มาจาก: FW Mail

EP.002 : บ้านที่ผีชอบอยู่




เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบ้านบางหลังถึงมีคนเจอผีบางหลังไม่เคยเจอ เป็นไปได้มั้ยว่าลักษณะของบ้านที่แตกต่างกันเป็นตัวกำหนด เหมือนกับคนเราบางคนชอบบรรยากาศแบบภูเขา บางคนชอบทะเล ผีเองก็เคยเป็นคนมาก่อนรสนิยมที่ว่าก็เลยติดตัวไป ทำให้ผีเลือกบ้านที่ตัวเองชอบ และนี่คือสุดยอดเคล็ดลับ “จัดบ้านอย่างไรให้ผีชอบอยู่ หรือวิธีการสร้างบ้านผีสิง นั่นเอง” พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1. เลือกทำเลอาถรรพ์ เช่น บ้านตรงกันข้ามโบสถ์ วิหาร วัด ศาลเจ้า โรงพยาบาล สุสาน เสา เครื่องหมายจราจร มีปล่องไฟ เป่าลมพุ่งมาหาบ้าน หรือที่เปลี่ยวๆห่างจากชุมชน ถ้าบ้านใครอยู่ในที่ดังกล่าว เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในการเชิญผีมาอยู่เลยทีเดียวล่ะ

2. สร้างด้วยไม้เป็นหลัก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ เพราะต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน และในบ้านมีเสาเอกให้ด้วยก็แหล่มเลย

3. ทำบริเวณบ้านให้รกครึ้มไปด้วยแมกไม้พฤกษานานาพันธุ์ แถมด้วยต้นไม้ต้องห้ามประเภท ตะเคียน ไทร ซ่อนกลิ่น อะไรพวกนี้ยิ่งถูกใจสุดๆ

4. ฝืนหลักฮวงจุ้ยเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งเยอะยิ่งชอบอยู่ ในศาสตร์ทางวิชาฮวงจุ้ยได้กล่าวถึงลักษณะของบ้านที่มักจะมีผีหรือคนในบ้าน มักจะเห็นผี ดังนี้

- ประตูหน้าบ้านมีพลังอิมมาก หมายถึงมีความมืดมาก และทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงช่วง 210 องศา-240 องศา หรือหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงช่วง 30 องศา-60 องศา ซึ่งทางฮวงจุ้ยจะเรียก 2 ทิศทางนี้ว่า ประตูผี

- บ้านที่มีแสงสว่างไม่พอ ภายในบ้านมีบรรยากาศมืด ๆ สลัว ๆ โดยเฉพาะทิศ ตะวันตกเฉียงใต้และทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือมีความมืดมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังอิมมากขึ้น โอกาสเจอผีก็มีสูงตามไปด้วย

- บ้านที่มีรูปทรงของบ้านยาวกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบ้านธาตุไม้ อาทิเช่น บ้านห้องแถวมี ทางเดินตรงกลางมืด ๆ ผีก็ชอบอยู่ด้วย

- การสร้างห้องพระตรงกับห้องน้ำ, ประดับประดาด้วยของอัปมงคลต่างๆเช่น เขากระทิง นอแรด, การทำกำแพงให้เก่าสกปรกขึ้นราและทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านโทรมที่สุด ฯลฯ

เป็นยังไงกันบ้างสำหรับ การจัดบ้านให้น่าอยู่ (สำหรับผี) เป็น D.I.Y. ที่ใครก็ทำได้ ลองทำกันดูนะ อย่าลืมส่งต่อให้คนที่ท่าน(ไม่)รัก ขอให้มีความสนุกกับเพื่อนใหม่ในบ้านนะ.....

EP.001 : อาถรรพ์กระดานหน้างานศพ



เรื่องนี้ออกอากาศในรายการ The Shock เมื่อวันที่ 21 ก.ค.50 
คนเล่าเรื่องนี้ชื่อคุณเบิร์ด คือวันนึงมีเพื่อนคุณเบิร์ดโทรมา ให้ไปงานศพของพ่อ

ที่วัดแถวๆเทเวศวัดนี้เค้าว่ากันว่าต้องมีเส้นมีสายพอสมควรถึงจะเอาศพมาตั้งได้ คุณเบิร์ดก็ได้ไปร่วมงานศพพร้อมกับเพื่อนๆกลุ่มนึง จนฟังสวดเสร็จแขกก็ทยอยกลับแต่คุณเบิร์ดกับเพื่อนๆยังคงนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นลูกคนตายซักพักระหว่างนั้นฝนก็ตกลงมาจนกลุ่มคุณเบิร์ดยังกลับบ้านไม่ได้ระหว่างที่นั่งรอฝนหยุดอยู่นั้น กลุ่มเพื่อนๆคุณเบิร์ด ก็เกิดความคะนอง มีคนนึง ชื่อเอก พูดทำนองเล่นๆว่า งานนี้ไม่ค่อยดีเลยเนอะเลี้ยงแค่เอแคร์ ถ้าเป็นงาน ศพเรานะ เราจะเลี้ยงเอสแอนด์พีเลย

หลังจากนั้นมีเพื่อนอีกคนนึง มองไปเห็นกระดานหน้าศาลา(กระดานที่ไว้ใช้เขียนชื่อคนตาย เวลาสวดใครเป็นเจ้าภาพวันไหนฯลฯ

ซึ่งคุณเบิร์ดเค้าลองให้ผู้ฟังและพี่ป๋องสังเกตดูว่าแทบทุกวัดกระดานพวกนี้จะไม่มีใครเค้าทิ้งชอร์คไว้เลยไม่มีแม้แต่เศษที่ตกตามพื้นเวลาเขียนมักจะให้เจ้าหน้าที่ของวัดเท่านั้นเป็นผู้เขียนและเขียนแล้วก็มักจะเก็บชอร์คไว้อย่างมิดชิด แต่เพื่อนของคุณเบิร์ดคนนึง วิ่งหายไปซักพัก แล้วไปหามาได้ซึ่งไม่รู้ไปหามาจากไหน แล้วก็เอามาเขียนเล่น เป็นชื่อจริง นามสกุลจริง ของคนชื่อเอก แทนที่คนชื่อเอกจะโกรธ กลับบอกว่า เฮ้ย!!!มึงเขียนนามสกุลกูผิด จริงๆมันต้องแบบนี้ แล้วเอกก็ไปแก้ชื่อให้ถูกด้วยการลบตัวการรันต์ ด้วยความคะนองที่ยังไม่จบ เพื่อนคนนั้นก็เลยเขียนทั้งวันตาย วันเผา เอกก็ให้ความร่วมมือด้วยการเล่นตอบ เอกบอกว่า โหไม่เอาไม่ตายวันนี้หรอก (วันที่เพื่อนเขียน)กูตายวันนี้เดี๋ยววันจันทร์พวกมรึงก็ไม่มางานกู แล้วเอกก็เอาโทรศัพท์มาดูปฎิทินแล้วบอกต่อว่า เอาวันนี้ดีกว่าวันที่ 14 ส.ค. 49 แล้วอีก 7 วันก็เผา วันที่ 20 ส.ค. 49

ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ต่างคิดกันว่าเป็นเรื่องขำๆ แล้วก็ได้เขียนตามที่เอกบอกจนครบ มีทั้งชื่อ นามสกุล วันตาย วันเผา ครบถ้วน

หลังจากนั้นผ่านมาได้ซักพัก คนชื่อเอกก็โทรมาหาคุณเบิร์ดเล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้เค้าเหนื่อยเหลือเกิน นอนไม่ค่อยหลับเลยแล้วก็ฝันแปลกๆบ่อยมาก เค้าจะฝันทำนองว่าจะมีคนมาพาเค้าไปที่ไหนไม่รู้คล้ายๆกับวัดที่เคยไปงานศพพ่อเพื่อน เค้าบอกว่าเค้าก็เดินตามคนๆนั้นไป เค้าบอกว่าเค้าได้เจอคนมากมายเค้าเข้าไปพูดด้วยแต่ก็ไม่มีใครคุยกับเค้าซักคนเอกบอกว่าเอกฝันทำนองนี้หลายครั้ง คุณเบิร์ดก็บอกว่า คงทำงานเหนื่อยวันนี้ให้มานอนที่บ้าน เดี๋ยวจะเปิดแอร์ให้นอน ตอนกลางคืนเอกก็มานอน แล้วตอนเช้าเอกก็ปลุกคุณเบิร์ดตั้งแต่ 6โมงเช้า ทั้งๆที่เอกเป็นคนขี้เซาและตื่นสายมาก(คุณเบิร์ดบอก) เอกเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่นอนหลับ รู้สึกเหมือนฝันว่ามีคนมาลากเค้าออกจากเตียงไป ไปคล้ายๆที่เดิม แล้วก็เหมือนเดิมคือคุยกับใครก็ไม่มีใครคุยด้วย คราวนี้เค้าบอกว่าเค้ารู้สึกไม่ดีเค้าเลยวิ่งหนีคนที่พาเค้าไปจนตื่น

ในระหว่างที่เล่าคุณเบิร์ดถามว่าแขนไปโดนอะไรมา (คุณเบิร์ดเหลือบไปเห็นแผลที่แขนเอก)

เอกบอกว่าก็ล้มตอนที่วิ่งหนีมาเนี้ยแหละและตอนวิ่งมาก็ใส่รองเท้าสีแดงของแฟนคุณเบิร์ดที่อยู่หน้าห้องไปด้วยวิ่งจนรองเท้าขาด คุณเบิร์ดก็ยังไม่คิดอะไร นึกว่าเอกคงเพลีย อยู่มาวันนึง กลุ่มเพื่อนคุณเบิร์ดก็ได้ไปเที่ยวกัน แถวๆรัชดาซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีเอกอยู่ด้วยซึ่งก็ได้ตกลงกันระหว่างเบิร์ดกับเอก แล้วว่า คืนนี้เอกจะขับรถให้เบิร์ดแล้วก็จะไปนอนที่บ้านเบิร์ดเพราะว่าเอกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยดื่ม ระหว่างทางขากลับคุณเบิร์ดก็สังเกตเห็นว่าเอกเหมือนคนที่เหนื่อยมากๆ ทั้งๆที่เวลาอยู่กับเพื่อนเอกจะเป็นคนที่เฮฮามาก แล้วเอกก็ได้บอกว่าวันนี้เค้าจะไปนอนกับแฟนดีกว่าเพราะเค้ารู้สึกไม่ค่อยดี เบิร์ดก็ไม่ได้ว่าอะไร จนถึงประมาณตี 4ในคืนเดียวกัน ก็มีโทรศัพท์จากแฟนเอกโทรมาหาเบิร์ด มาบอกว่า เอกล้มที่หน้าห้อง ตอนนี้อยู่ที่รพ.พระราม 9 เบิร์ดก็รีบไปในทันทีแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะเอกเสียแล้ว หมอบอกว่าเอกมีอาการคือปอดแฟบไปข้างหนึ่งคือเป็นโรคอะไรซักอย่าง แต่ที่น่าแปลกคือเอกก็ไม่ดื่มและไม่สูบบุหรี่ แล้วที่สำคัญ วันนั้นมันคือวันที่ 13 ส.ค. 49 ก่อนวันที่เขียนในกระดานเพียง 1 วันแต่ตอนนั้นทุกคนก็ยังไม่คิดอะไร เพราะลืมเรื่องกระดานกันไปหมดแล้วในระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องการตายของเอกก็ไม่มีใครนึกถึงเรื่องกระดาน เพราะทุกคนต่างก็ลืมไปหมด

เบิร์ดก็กำลังติดต่อกับญาติของเอก เพราะตอนนี้พ่อ แม่เอกอยู่ที่ออสเตรเลียหมด

เบิร์ดนึกขึ้นมาได้ว่าเอกมีป้าอยู่คนนึงอยู่แถวลาดพร้าว เบิร์ดก็ได้ติดต่อไป ในระหว่างนั้นเบิร์ดก็ได้หาวัดที่จะเอาศพเอกไปตั้งด้วยแต่ที่แปลกก็คือ เบิร์ดหาวัดไม่ได้เลยซักวัดเดียว!!!(เบิร์ดอยู่แถวห้วยขวาง) วัดแถวห้วยขวางก็ไปดูมาหมดบางวัดเบิร์ดก็สนิทกับเจ้าอาวาส แต่ก็ยังไม่ได้ เต็มทุกวัน ในระหว่างที่เบิร์ดกำลังเครียดอยู่ ก็มีโทรศัพท์โทรมาจากป้าเอกบอกว่าหาวัดได้แล้ว โดยเพื่อนของป้าเค้าหาให้ โดยใช้เส้นของเพื่อนป้าเบิร์ดก็ดีใจ ที่หาวัดได้ ก็ถามว่าวัดไหน และที่ป้าบอกมาก็คือ วัดเดียวกันกับพ่อเพื่อนที่ตาย!!!! และที่สำคัญศาลาเดียวกัน!!!!(ศาลาที่ไปเขียนกระดานเล่น) ตอนนี้ทุกคนเริ่มคิดถึงเรื่องกระดานแล้ว เพราะอะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้เพื่อนทุกคนก็มางานศพของเอก ก็ได้มานั่งคุยกันถึงเรื่องของกระดานแล้วก็มีการกำหนดวันเผาของเอก ซึ่งก็เป็น วันที่ 20 ส.ค. 49 (วันที่เอกกำหนดไว้) ตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะ!! เบิร์ดกับเพื่อนๆ ก็ได้มีการ นำดวงของเอกไปดูหมอมากหลายที่และแทบทุกที่ก็จะบอกคล้ายๆกัน คือ เอกยังไม่ตาย!!!แต่ช่วงนี้จะต้องอยู่อย่างลำบาก จะทำอะไรก็ไม่ขึ้น

ในระหว่างนั้น เบิร์ดเล่าว่า เอกมาเข้าฝันบ่อยมากบางทีก็มาเข้าฝันให้เพื่อนที่ยืมเงินเอาเงินมาคืนเอากางเกงยีนมาคืน

บางทียามที่บริษัทเอกก็เห็นเอกทำงานจน ถึง 4 ทุ่มทั้งๆที่เอกเป็นคนเช้าชามเย็นชามคือกลับ 5 โมงเป๊ะทุกที และแฟนเบิร์ดก็ถามว่าเบิร์ดเอารองเท้าสีแดงให้ใครใส่ไป ทำไมรองเท้าถึงขาด(ที่เอกเคยเล่าให้ฟังว่าใส่วิ่งหนีในความฝัน) เคยมีพระให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า เอกอาจจะยังไม่ถึงที่ตายแต่มาเขียนให้ตัวเองตาย ก็เลยยังไม่ได้ไปไหนต้องชดใช้กรรมให้หมดก่อน หรือถ้าอยากให้เอกไปดี ก็ต้องใช้กุศลแรงคือการบวช เบิร์ดกับเพื่อนๆ ก็ได้รวมตัวกัน ลาพักร้อนแล้วก็บวชให้เอก จนทุกวันนี้ก็มีบ้างที่เอกมาเข้าฝันแต่ก็น้อยกว่าเมื่อก่อนแล้ว....

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .